Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ออ จาก “เด็กเกเร-เหลือขอ” จากไทย สู่ นัก steel trade ในประเทศนิวซีแลนด์

ตั้งกระทู้ใหม่

Q: ช่วยแนะนำตัวเองให้รู้จักกันหน่อยค่ะ

ชนภัทร วาทิตมงคล ชื่อเล่น ออ ครับ ตอนม.ปลายเรียนอยู่ อัสสัมชัญ สมุทรปราการ ใช้ชีวิตและเติบโตที่ สมุทรปราการ มาอยู่ประเทศนี้ได้เพราะแม่ครับ แม่ปฏิเสธิที่จะส่งไป อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนนาดา เพราะว่าตอนนั้นนิวซีแลนด์ดูจะเงียบที่สุดและคนไทยด้วยกันไม่ค่อยมากเท่าไหร่

ตอนนี้เป็น steel trader กับ บริษัท Kiwi Steel ครับ

Q: เห็นบอกว่า ออลป็นเคยเด็กเกเรที่ไทยด้วย ไหนเล่าหน่อยว่าเกเรนะดับไหน

ระดับที่ทางบ้านและโรงเรียนไม่ต้อนรับเลยโดนส่งมาอยู่ต่างประเทศครับ บ้านก็อยากให้โรงเรียนช่วย โรงเรียนก็อยากให้ทางบ้านจัดการเอง ปัดโยนกันเป็นลูกปิงปองเลยครับ

มียกพวกชกต่อยนิดหน่อยตามภาษาวัยรุ่นทั่วไปครับ ออจะไปหนักเรื่องมั่วสุมมากกว่า บ้านแทบไม่กลับ เห็นหน้าพ่อแม่นับชม. ได้เลยต่ออาทิตย์ อยู่แต่กับเพื่อนจับกลุ่มมั่วสุมทั้งวันทั้งคืน เพื่อนคือครอบครัวและผมรักเพื่อนมาก

พูดให้เห็นภาพง่ายๆคือ สิ่งที่เด็กผู้ชายไม่ควรทำ ไม่ควรลอง ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว ผมได้ทำลงไปหมด… ขาดอย่างเดียวจริงๆเลยคือทำสุภาพสตรีท้อง แต่ทุกวันนี้ผมก็คิดว่าโชคดีน่ะไม่งั้นเป็นพ่อลูกอ่อนเลี้ยงลุกอยู่เมืองไทยแล้วครับ เข้าห้องเรียนน้อยมากกๆครับ โดยเฉพาะตอนม.ปลายเคยหายไปเป็นเดือนๆ พูดจาไม่ดีครับ ไม่เคารพผู้ใหญ่ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ไม่มีสักนิดเลยครับ เพราะผมไม่ชอบให้ใครมาสอดหรือตัดสินชีวิตของตัวเอง

Q: ไม่ชอบเรียนแต่ สุดท้ายเรียนจบยูทอปจาก นิวซีแลนด์ ด้วย…มันเป็นมายังไง

สำหรับออทุกๆอย่างมันเริ่มจากการโดนดูถูกบวกกับ passion ครับ ผมเป็นเด็กที่โดนดูถูกมาตลอด ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับบรรดาญาติพี่น้องที่จบการศึกษาดีๆ เอ็นติด เรียนสถาบันชั้นนำของเมืองไทย ส่วนผมในตอนนั้นเป็นอะไรไม่ได้มากกว่าเด็กเพนจรที่ทุกสายตามองเหมือนกันว่า “-คนไร้ค่า” ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ หายใจไปวันๆเพื่อสร้างแต่ปัญหา

จริงๆแล้วออตัดสินใจแล้วครับว่าจะไม่เรียนต่อมหาลัย เพราะออเป็นคนไม่ชอบเรียนอยู่แล้ว แต่การตัดสินใจเรียนให้จบเพราะเหตุผลข้อเดียวในใจเลยครับ ผมอยากเห็นแม่ผมมีเรื่องให้คุยเกี่ยวกับลูกชายแกบ้างเวลาท่านพบปะผู้คน ญาติ พี่น้อง หรือใครก็ตาม ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยผมขอทำสักอย่างในชีวิตให้แม่พอมีหน้าในสังคมบ้าง

Q: แล้วไปเรียนต่อนิวซีแลนด์ใหม่ๆ ชีวิตเป็นยังไงบ้าง

เหนื่อยน่ะครับผมบอกเลย การที่มีชีวิตอยู่ต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย บอกเลยครับว่าไม่ง่ายจริง ๆ พวกที่ว่าเห็นคนอยู่ต่างประเทศ ชีวิตดีสบายๆ ไม่ลำบาก มาครับมาลอง อาทิตย์แรกมาเลยคือลงแดงครับ ภาษาบ้านๆคือขาดของทุกชนิด ภาษาพูดไม่ได้ อยู่ไม่ไหว เงินมีติดตัวนิดเดียวเพราะความโอหังของตัวเองก่อนจะบินมา ไม่อยากขอเงินที่บ้านอีกแล้วหลังจากโดนชี้หน้าดูถูกมาโดยที่บ้านของเราเอง เด็กสปอยไม่เคยลำบากครับถ้าภาษาทั่วไปจะพูดอะนะ

บ้านผมจ่ายค่าโฮสให้เดือนนึงครับแต่ผมทำเรื่องย้ายออกตั้งแต่วันที่ 2 เพราะคิดว่ามันแพงไปและอยากออมาให้ที่อยู่เองให้ถูกกว่า และทำได้ครับตอนนั้น เจอรุ่นพี่ที่เรียนภาษาด้วยกันคนไทยชวนกันมาแชร์ห้องทั้งๆที่รุ้จักกันวันเดียว ผมไปดูห้องละก้เล็กๆลกๆนอนรวมกัน 4 คน เตียง 2 ชั้น แต่ออตัดสินใจทันทีว่าจะอยู่เพราะการที่เราอยากจะเอาชนะที่บ้านให้ได้ และ ไม่อยากกลับไปมือเปล่า ออไม่อยากเห็นแม่โดนหัวเราะเยาะ ตอนนั้นผมคิดแค่นั้นจริงๆเพื่อให้สู้ต่อไป

ไม่ได้ทานเนื้อสัตว์เกือบๆจะเดือนน่ะครับถ้าจำไม่ผิด ประหยัดด้วย กินแค่นม กล้วย แอปเปิ้ล คอนเฟค และก็พิซซ่าถาดละ $5 ถาดนึงกิน 2 วันครับ พิซซ่าบูดบ้างก็กินครับเพราะไม่มีเงิน

หลังจากนั้นสักพักก็เริ่มหาทำงานร้านอาหารไทยครับ เป็นเด็กเสริฟทั่วไปแบบที่นักเรียนนอกเค้าทำกัน ทำได้แปบเดียวครับ อาทิตย์เดียว ก็ออกเพราะเกเร พอไม่พอใจก็มีเรื่องอารมณ์ร้อนนิดหน่อย555 เป็นคนไม่ยอมคนครับตั้งแต่เด็กๆ ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คนอื่นไม่ฟัง พอเริ่มโตจึงเข้าใจว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง

พอเรียนภาษามาได้ 5 เดือนก็มารู้ว่าข้อมูลที่เอเย่นให้มากับกฎเกณฑ์การจะเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ มันไม่ตรงกัน ก็โกรธแต่ก็เดินหน้าหาหนทางต่อคนเดียว สุดท้ายดิ้นร้นจนได้เข้ามหาวิทยาลัย AUT (Auckland University of Technology) Bachelor’s of Business in International Business ถือว่าเป็นมหาลัยต้นๆถ้าอยากเรียนคณะบริหารในประเทศ


Q: จากคนที่ไม่ชอบเรียนหนังสือเลย…มาเรียนมหาลัยเข้าจริงๆ มันเป็นยังไง

เรียนยากมากครับ บวกกับ หัวผมที่ไม่ค่อยจะได้ใช้งานด้านวิชาการสักเท่าไหร่ ไม่ได้เรียนดีเรียนเด่นครับ เพราะว่าระยะเวลาที่เรียนออทำงานหาเงินเลี้ยงชีพไปด้วยตลอดไม่เคยพัก เรียน 3 ปีครับจบ

ช่วงเรียนก็ทำงานที่บาร์ฝรั่ง ก็เริ่มเป็นตั้งแต่เด็กเสริฟ คนล้างแก้ว บาร์เทนเดอร์ บาริสต้า ผู้ช่วยผุ้จัดการสุดท้ายก็มาเป็นผู้จัดการในปีสุดท้าย มีใบพร้อมรับร้องอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สามารถเป็นผู้จัดการบาร์หรือโรงแรมได้ทั่วประเทศ

Q: แล้วอะไรมันเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของออคะ

คือผมเป็นผู้จัดการอยู่ปีนิดๆครับ แล้วก็ต้องสละตำแหน่งเพราะได้โอกาสเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปอยู่ที่จีนประมาน 4 เดือนครับ แปลกดีครับตอนอยุ่ที่จีน partner ของ AUT ดันเป็นมหาลัยฝรั่งเศสที่มี campus operate ที่นั่น

แปลกแต่จริงครับ ออเป็นคนไทย ที่ไปแลกเปลี่ยนเป็นตัวแทนของประเทศ NZ ที่เมืองจีนโดยมีนักเรียนชาวฝรั่งเศสอีกประมาน 120 กว่าคนอยู่ด้วยกัน… กลายเป็นเอเชียคนเดียวของทั้งรุ่น 555555 สนุกดีครับเรียนรู้วัฒนธรรมและภาษาจีนไปพร้อมกับคนฝรั่งเศส ทำให้ผมมีเพื่อนดีๆที่พักอยุ่ด้วยกันในช่วงนั้นมากมาย

พอกลับมาที่ NZ ก็ต้องทำ intern เพื่อทำจบครับ ต้องหางานที่เกี่ยวกับสายที่เราเรียนคือ การค้าระหว่างประเทศ ไปเป็นทาสเค้าอยุ่ประมาน 4 เดือนครับ ไม่ได้จ่ายตังด้วย และก็ทำ report ส่งเริ่มจบ ออมีโอกาสทำ intern เกี่ยวกับส่งเข้า-ออกเหล้า rum ชนิดหนึ่งซึ่งทำจาก NZ แท้ๆ ซึ่งก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างถนัดและเราก็มีความรู้เรื่องเครื่องดื่มพอสมควร

จบกับบริษัทเหล้าก็เปื่อยๆครับ เค้าไม่จ้างต่อเพราะตอนนั้นวีซ่าให้เด็กต่างด่าวอย่างเราอยู่ต่อแค่ปีเดียว แถมบริษัทตองเขียนจดหมายชี้แจงอีกหลายฉบับว่าทำไมต้องจ้างเราแทนที่จะจ้างคนท้องถิ่น ตอนนั้นก็คิดจะกลับเมืองไทยครับรู้สึกว่าออก็ตั้งใจมาแค่นี้นิหน่า ผมแค่มาทำให้ผู้หญิงคนนึงภูมิใจและไม่อายคนอื่นเค้า อย่างน้อยลูกชายคนเดียวของแม่ก็เรียนจบ

กำลังจะดูตั๋วกลับบ้านแล้วครับ Immigration ประกาศว่าจะมีการปรับให้เด็กจบใหม่ระดับป.ตรีได้วีซ่าเป็น 3 ปีแทนที่ปีเดียว เลยตัดสินใจว่างั้นเดินต่อดีกว่า เพราะผมมีความฝันที่อยากทำให้แม่ได้มาอยู่ที่นี่ใช้ชีวิตอยู่ข้างๆเรา ออเลยต้องทำงานและผ่านการทดสอบหลายๆอย่างเพื่อให้ได้เป็น Permanent Resident (PR) เป็นพลเมืองของประเทศนี้ ครอบครัวจะได้มาอยู่ใช้ชีวิตที่นี่ได้ด้วย

Q: การหางานหลังเรียนจบที่นิวซีแลนด์ยากมั๊ย

หางานด้านที่ตัวเองชอบและจบตรงสายนั้นยากครับ เพราะส่วนมากเค้าก็ไม่อยากจะรับเด็กเอเชีย บวกกับจบใหม่อย่างเรา ยื่นสมัครงานอยู่ประมาน 4 เดือนได้ครับ หาเป็น 10 เว็ป ยื่นเกิน 10 ที่ สมัครเข้าสัมมนาหางาน ออกไปเจอผู้คนเพื่อเอาคอนเนคชั่น ผลลัพท์คือเปิดคอมมาทุกเช้าจะมีอีเมลประมานเกือบเต็มหน้า gmail ตอบกลับมาว่าขอแสดงความเสียใจ ปฏิเสธ เป็นแบบนี้ทุกวันครับ ท้อ ท้อจนมองเป็นปกติ ผ่านไปสักพักก็เริ่มเห็นเป็นเรื่องขำขันครับ เพราะมันมีเมลปฏิเสธทุกวันจริงๆ มีโทรมาสัมภาษณ์บ้างแต่ก็ไม่เคยเรียกไปสัมภาษณ์จริงจัง

Q: แล้วในที่สุด จากเด็กเกเรคนนี้ กลายมาเป็น steel trader ได้ยังไงคะ

มีอยู่วันนึงครับปลายๆเดือน7 ตัดสินใจว่าไม่เอาแล้ว ขอไปเที่ยวสักพักละกันจะเก็บกระเป๋าไปยุโรปคนเดียวแพลนว่าเดือน 9 แต่ Kiwi Steel ดันโทรเข้ามาก่อน แล้วนัดเราไปสัมภาษณ์ ปรากฏว่าได้ครับ แพลนยุโรปผมเลยไม่ไปเลย

เลยได้มาทำงานด้าน trader เกี่ยวกับเหล็กครับ ไม่มีความรู้ด้านเหล็กเลยผม เริ่มจาก Junior แล้วก็ต้องทำการบ้านหนักมาก อ่านเพิ่มเติม หาความรู้คุยกับคนเยอะๆ ต้องแข่งขันกับทั้งคนภายในประเทศ นอกประเทศ กับตำแหน่งนี้ สุดท้ายก็ได้ทำงานในตำแหน่งนี้

เหตุผลคือเค้าเห็นความจริงใจของเราครับ ผมไม่ใช่ฝ่ายขายที่เก่งที่สุด ไม่ใช่คนซื้อที่ต่อรองเก่งที่สุด ไม่มีความรู้มากที่สุดไม่มีกลยุทธ์ อายุน้อยที่สุด แต่การที่เค้าเลือกเราเพราะความจริงใจในการพูดและการกระทำ ทำให้ผมเห็นว่าสิ่งที่เราเป็นตั้งแต่เด็กสุดท้ายแม้หลายคนจะไม่เข้าใจ แม้มันจะพาเราหลงทางไปในทางที่ไม่ดี แต่สิ่งที่ผมไม่เคยทิ้งคือความเป็นตัวเองครับ ผมอยากทุกคนเชื่อในตัวเอง อย่าลืมว่าวันนึงเราเคยเป็นใคร และทำจงทำให้คนอื่นยอมรับให้ได้

Q: มีอะไรอยากจะบอกกับเด็กเกเรที่ไทยบ้าง

  • น้องไม่ต้องเรียนเก่งครับ ไม่ต้องเป็นที่ 1 ในทุกๆเรื่อง อย่าหนีสิ่งที่ตัวเองเป็น จงเชื่อในและศรัธทาในตัวเอง อย่าพยายามที่จะเป็นคนอื่น และวันนึงการที่เรายอมรับการเป็นตัวเองมันจะมอบรางวัลให้คุณเอง
  • ลองเถอะครับ ลองให้หมด ลองให้รู้ว่าผิด ลองให้รู้ว่าถูก อาจจะไม่ถูกใจใคร แต่รับรองว่าถ้าเราคิดได้เราจะควบคุมมันอยู่ครับ ผิดพลาดไวแล้วกลับตัว ยังดีกว่าพลาดผิดในวันที่แก่ตัว มันจะสายเกินหันกลับมา
  • ทำอะไรอยู่เรารู้อยู่แก่ใจ ทำอะไรนึกถึงหน้าแม่ พ่อ เยอะๆครับ เพราะคนที่เดือดร้อนหลังจากนั้นไม่ใช่-แต่เป็นท่านครับ
  • พละกำลัง จำนวนเพื่อนที่มี อาวุธ ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินว่าใคร แพ้ ชนะ ครับ บางครั้งรู้จักยอมบ้าง ไม่ต้องทำเท่ตลอดเวลา และคุณจะมีเพื่อนและคนที่รักมากขึ้น
  • เกเรได้ครับแต่ไม่ใช่เลว อย่าเอาคำว่าเกเรมาเป็นข้ออ้างให้ตัวเองทำตัวทรามได้ ต่างกันน่ะครับ เกเรได้พ่อแม่คุณเดือดร้อนก็พอแล้ว อย่าทำให้บ้านอื่นเดือดร้อนครับ เค้าอาจจะมีลูกแค่คนเดียว ลูกคนนั้นอาจเป็นความหวังของคนทั้งบ้าน พราดครั้งเดียวมันจะรู้กับใจเราตลอดไป

Q: ชอบ/ไม่ชอบอะไร เกี่ยวกับชีวิตในประเทศนิวซีแลนด์บ้างคะ

ชอบ

  1. ธรรมชาติ อากาศ ทุกอย่างคือความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ประเทศแห่งธรรมชาติ ชื่อนี้ไม่ได้มาเล่นๆจริงครับ
  2. ผู้คนคุยกับคนแปลกหน้าแบบเป็นมิตรครับ ทักทายกันก่อนคุยเหมือนทุกคนเป็นพี่น้องกันโดยไม่เขินอายหรือรู้สึกรังเกลียดที่จะพูดคุยกับคนอื่น
  3. น้อยที่จะใช้กำลังมีหรือมีเรื่องการตามผับ บาร์ ครับ

ไม่ชอบ

  1. การเปิดโอกาสให้คนต่างชาติมาทำงานยังไม่มากนักครับ
  2. ถ้าภาษาสำเนียงคุณไม่เปะหรือเข้าใจง่าย คนจะไม่ค่อยยอมรับครับ
  3. ยังมีการเหยียดเชื้อชาติอยู่พอสมควร

Q: ช่วยเล่าเรื่องที่พีคที่สุดเท่าที่เคยเจอมาใน NZ

เรื่องนี้ชอบมาก ตอนนั้นทำงานอยู่ที่บาร์แล้วกำลังจะปิดบาร์ มีฝรั่งขาวคนนึงเดินมาสั่งอีกแก้วแต่ออปฏิเสธที่จะขาย เค้าก็ยืนคุยกับเราอารมณ์กวนตีนหน่อยๆ คิดในใจมีเรื่องแหงเลยคืนนี้ สุดท้ายเค้าถามเราเป็นคนที่ไหน เราบอกเป็นคนไทย ฝรั่งคนนั้นดันพูดไทยได้รัวชัดมาก แถม request เพลง Joey boy ประมาน 3-4 เพลง แร๊ปไทยได้หมดเลย รู้อีกทีเค้าโตมากับเฮียโจ้ โจอี้บอย สมัยวัยรุ่น และเค้าก็ยกสายโทรหาโจอี้ให้ผมคุย มีความงงเต็มไปด้วยความดีใจ อึ้งๆ สุดท้ายกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีคนนึงต่อกันมากๆและยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ ทำให้เรารู้ว่าโลกที่กว้าวงใหญ่บางทีมันก็เล็กนิดเดียวในชีวิตของคนเรา จะพูดจะจาอะไรควรคิดดีๆ ต่อให้อีกซีกนึงของโลกก็ตามอาจมีคนเข้าใจเจตนาของคุณ

Q: หากนำวัฒนธรรมหรือค่านิยมที่ NZ กลับไปพัฒนาบ้านเราได้ 1 อย่าง สิ่งนั้นจะเป็นอะไร

อารมณ์ครับ บ้านเราทำอะไรไม่ถูกใจก็เก็บมาใส่ใจเอามาเนอารมณ์ ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท วัฒนธรรมที่นี่อย่างนึงที่ถ้าคนไทยคนไหนมาสัมผัสต้องพูดเป็นเสียงเดียวคือ “อารมณ์” คุณจะเสียงดังแค่ไหนก็ได้ในร้านบาร์ หรือนั่งชิว เอะอะโวยวาย เข้ามาคุยกับโต๊ะอื่นด้วย ความมึนเมา ไม่มีทางมีเรื่องครับ ทุกคนจะพร้อมที่จะคุยกับคุณถ้าคุณคุยกันดีๆ ไม่มีมองหน้าแล้วตีกันครับ

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น