อยากเป็นนักเขียน ตั้งกระทู้ใหม่ ตั้งกระทู้ใหม่ สวัสดีค่ะทุกๆคน คือเราต้องเกริ่นก่อนว่า ตอนนี้เราเพิ่งมารู้ตัวว่าอยากเป็นนักเขียนค่ะ ซึ่งตอนนี้เราเรียนได้ปี3แล้ว คือคำถามเราอยากจะถามว่า การที่จะเป็นนักเขียนมันจำเป็นมากมั้ยคะว่าเราต้องจบทางด้าน ศิลปศาสตร์ อักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์ อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ คือจากที่เราได้อ่านมาหลายอย่าง นักเขียนส่วนมากจะมีภาษาการเขียนที่ค่อนข้าง สละสลวยมากค่ะ #นักเขียน #นิยาย manonmhonnun 15 ก.ย. 62 เวลา 01:35 น. 3 like 753 views Facebook Twitter รายชื่อผู้ถูกใจกระทู้นี้ คน
Nainate 15 ก.ย. 62 เวลา 01:50 น. 1 ไม่จำเป็นครับ นักเขียนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จบมาจากสายที่ใช้ด้านภาษาโดยตรง แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เรียนทางด้านภาษามามันช่วยให้การใช้ภาษาดูดีขึ้นและดูสบายตา แต่สุดท้ายมันก็อยู่ที่ประสบการณ์ทั้งนั้นล่ะครับ ค่อยๆเขียนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็พบแนวทางที่เหมาะกับเรา ภาษาที่ใช่ แนวทางที่ชอบ ฝึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของนิยายเราสรุปสั้นๆก็คือ เขียนไปเถอะครับ เขียนบ่อยๆ ให้มันกลายเป็นนิยายในแบบของเรา 4 1 ถูกใจ 4 ตอบกลับ 1 เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
manonmhonnun 15 ก.ย. 62 เวลา 02:17 น. 1-1 ตอนนี้เราก็พยายามอ่านให้มาก เขียนมากๆอยู่ค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาตอบคำถามและคำแนะนำนะคะ เรารู้สึกมีกำลังใจมากค่ะ 3 0 ถูกใจ 3 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ
BackHand 15 ก.ย. 62 เวลา 01:58 น. 2 การเป็นนักเขียนมันไม่ได้เกี่ยวกับใบปริญญารองรับอะไรทั้งสิ้นครับ และคณะที่คุณยกตัวอย่างมา เขาก็ไม่ได้สอนให้คนเป็นนักเขียนด้วยเอาจริงๆนะ ผมว่าคนเป็นนักเขียน เริ่มต้นจากการเป็น “นักอ่าน” เสียมากกว่าคนที่อ่านเยอะ อ่านงานหลายประเภท จะค่อยๆซึมซับวิธีสื่อสารของนักเขียนเข้าไป จนกระทั่งเป็นฝ่ายเริ่มเขียน และเริ่มมีแบบสำนวนการเขียนเป็นของตนเองอย่างผมเองอาจจะไม่ถือเป็นนักเขียนอาชีพ แต่ก็เขียนมาพอสมควรละ นิยาย, เรื่องสั้น, สารคดี, คอนเทนต์เฟสบุ๊ค, วิจารณ์หนัง ฯลฯ แต่ถ้าถามว่าผมจบอะไรมา ผมจบสายวิทย์สุขภาพซะด้วยซ้ำ แต่ก็ได้ข้อดีจากจุดนี้คือสามารถเขียนงานให้มีความเป็นไซไฟ รู้เรื่องพืช สัตว์ การทำงานของกล้ามเนื้อ ตลอดจนจิตวิทยานิดหน่อย ก็เอามาใช้ในงานเขียนของเราได้ 3 2 ถูกใจ 3 ตอบกลับ 2 เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
manonmhonnun 15 ก.ย. 62 เวลา 02:18 น. 2-1 ขอบคุณสำหรับคำตอบและคำแนะนำดีๆนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ 3 0 ถูกใจ 3 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ
sedtaruji 15 ก.ย. 62 เวลา 08:33 น. 2-2 ของเราเขียนอาหารลงไปให้คนอ่านน้ำลายสอได้ 1 0 ถูกใจ 1 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ
15 ก.ย. 62 เวลา 02:23 น. 3 ไม่จำเป็นเลยค่ะ จะจบจากไหน ก็เขียนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเรามีความรู้ด้านทางภาษาได้ดี ใช้ความรู้ตั้งแต่ที่เราเรียนมา มาประยุกต์ใช้กับการเขียน ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ก็สามารถทำได้ดีค่ะ ฝึกเขียนเรียบเรียงประโยคให้เป็นรูปประโยค อ่านแล้วไม่ติดขัด มันก็สามารถ เรียกว่า 'ดี' ได้ค่ะ 2 0 ถูกใจ 2 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
fufufu bot อีกแล้ว 15 ก.ย. 62 เวลา 06:29 น. 4 ไม่จำเป็นหรอกฮะ ว่าจะต้องจบอักษรหรือด้านภาษา ผู้เขียนบทความนี้ https://writer.dek-d.com/Miran/writer/view.php?id=1860018 เธอก็ไม่ได้จบทางนั้นเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ ในนั้นมีตัวอย่างเธออยู่ ลองหาอ่านดูจะเข้าใจว่า มันอยู่ที่ 'ความใส่ใจ' มากกว่าสิ่งที่เป็น 4 0 ถูกใจ 4 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
white cane 15 ก.ย. 62 เวลา 06:46 น. 5 ขอเพียงให้คุณอ่านออกเขียนได้ก็เป็นนักเขียนได้ครับ ขนาดตัวผมได้วุฒิการศึกษาแค่ประถมศึกษาปีที่ 6 ยังมาเป็นนักเขียนได้เลยหรือไม่ก็ใช้อีกวิธีหนึ่งไม่ต้องมีอะไรมากแค่หัดเขียนและอ่านให้เยอะก็พอครับ 4 0 ถูกใจ 4 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
ผมเอง 15 ก.ย. 62 เวลา 06:52 น. 6 ก็เขียนสิผมอ่านมาทั้งชีวิต ผมยังเป็นนักเขียนไม่ได้เลย ไม่ใล่อะไรหรอก ผมไม่มีความพยายามที่เพียงพอ 1 0 ถูกใจ 1 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
nanvaris 15 ก.ย. 62 เวลา 07:07 น. 7 เริ่มจากอ่านเยอะๆ ครับอ่านเยอะ เราก็จะได้แนวทางการใช้ภาษาแล้วมาปรับให้เป็นแนวของเรา 1 0 ถูกใจ 1 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
ปล่อยอึ่ง 15 ก.ย. 62 เวลา 07:19 น. 8 แค่เขียนบทละครรอบกองไฟได้ แค่นี้ก็เริดแล้วครับ 2 3 ถูกใจ 2 ตอบกลับ 3 เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
sedtaruji 15 ก.ย. 62 เวลา 08:34 น. 8-1 เขียนไปยังไม่เท่ากับตอนออกไปแสดง เอ็งก่อนๆ 555 1 0 ถูกใจ 1 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ
15 ก.ย. 62 เวลา 10:58 น. 8-2 ในหนัง มีแต่คนอยากเป็นพระเอก นางเอกในละครรอบกองไฟ มีแต่คนอยากจะเป็นต้นไม้ ก้อนหิน 1 0 ถูกใจ 1 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ
sedtaruji 16 ก.ย. 62 เวลา 08:33 น. 8-3 เพื่อนบอกตุเป็นงูดินก็พอ 1 0 ถูกใจ 1 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ
InaeO 15 ก.ย. 62 เวลา 07:52 น. 9 เราจบสายวิทย์ เอ่อ แต่ภาษาเราก็ไม่สละสลวยขนาดนั้น 2 0 ถูกใจ 2 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
popu07 15 ก.ย. 62 เวลา 07:53 น. 10 เขียนนิยาย ตัวอย่างให้อ่านหน่อยได้ป่าวครับ งิงิด้วยรักและหวังดี 1 0 ถูกใจ 1 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
กินช้อน 15 ก.ย. 62 เวลา 08:12 น. 11 ไม่หรอก เขียนไปเถอะครับ เรื่องภาษานี่ต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์เอาทั้งนั้น แค่ว่าอ่านมากๆ เขียนมากๆ และตกตะกอนความรู้เอาครับ..ค่อยๆ ลองผิดลองถูกไปแหละครับ สู้ๆ เข้า....ว่าแต่สนใจกาวสักแท่งมั้ยครับ? 2 3 ถูกใจ 2 ตอบกลับ 3 เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
กินช้อน 16 ก.ย. 62 เวลา 19:26 น. 11-2 เพื่อมิตรภาพที่ดี เอาไป 1 ลังฟรีเลยๆ ครับ 1 0 ถูกใจ 1 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ
sedtaruji 17 ก.ย. 62 เวลา 08:05 น. 11-3 หลังจากอยู่ในลัทธิมารมาตั้งนาน ถึงเวลาออกมาทำมาหากินสักที 1 0 ถูกใจ 1 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ
ณริสา 七夕 15 ก.ย. 62 เวลา 09:42 น. 12 เราจบบริหาร อายุมากกว่าจขกทสิบกว่าปีก็มาเขียนนะคะ แต่ภาษาก็...ช่างมันเถอะค่ะ (เหมือนเด็กประถม) เรายังด้านเขียนมาได้เลยค่ะ 2 0 ถูกใจ 2 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
15 ก.ย. 62 เวลา 09:55 น. 13 เรือนแก้วก็เรียนมาทางสายเศรษฐกิจ การเงิน ยังหลงรักตัวอักษรเลยค่ะ :) 2 0 ถูกใจ 2 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
Helegriel ณ ชะอำ 15 ก.ย. 62 เวลา 11:37 น. 14 เราจบคณะที่คุณว่ามาค่ะ แต่ไม่ได้เรียนด้านภาษาไทยโดยตรงต้องบอกว่าวิชาการเขียนสร้างสรรค์ การเขียนบันเทิงคดี มีสอนในคณะก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าสอนแล้ว รู้วิธีมีคนตรวจสอบแล้ว สุดท้ายจะเก่ง(หรือว่าชอบวิชานี้)กันทุกคน ส่วนหนึ่งเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล ความคิดสร้างสรรค์และลีลาสำนวนเป็นสิ่งที่สอนกันได้ยาก(มันก็คล้าย ๆ การวาดรูปนั่นแหละค่ะ ใคร ๆ ก็สามารถวาดได้ ฝึกเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองแบบหมอถึงจะสามารถผ่าตัดคนไข้ ทุกคนมานั่งเรียนเหมือนกันแท้ ๆ แต่มีลายเส้นของตัวเองที่ไม่เหมือนคนอื่น)พวกคนที่เรียนมาในคณะทางการเขียนโดยเฉพาะ จะรู้หลักภาษา รู้เหตุและผลของธีมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ได้ส่งงานแล้วมีบก.มืออาชีพตรวจ ฯลฯ ก็คือถูกฝึกฝนตามระบบระเบียบของคณะมา เขาก็จะมีข้อได้เปรียบแบบหนึ่งแต่อย่าลืมว่า ระบบระเบียบต่าง ๆ ก็เป็นข้อเสียเปรียบในตัวเองเหมือนกัน เพราะพอคุ้นชินและยึดติดกับระบบมากไป เขาก็มักไม่ค่อยเขียนอะไรใหม่ ๆ สังเกตว่า สายนิยายเกมออนไลน์ ไลท์โนเวล นิยายแชท ซึ่งกำลังรุ่งเรือง กลับหาคนจบทางนี้มาเขียนได้น้อยมากเลยลองคิดดูถ้าโลกมีแต่นักเขียนแบบ แก้วเก้า ร เรือในมหาสมุท มาร์กาเร็ต แอทวูด มันคงน่าเบื่อมากจริงไหมคะที่สำคัญนักเขียนที่จบคณะอื่น(หรือไม่จบอะไรเลย) ก็มีประสบการณ์ชีวิตและความรู้เฉพาะทาง ที่คนจบทางนี้ไม่มี วงการนิยายสืบสวนฆาตกรรมงี้ มีแต่หมอ ตำรวจ อัยการ มาเขียนกันตรึมสรุปอย่าคิดมาก เรียนคณะที่คุณชอบไปเถอะค่ะ แบบที่รักศาสตร์ศิลป์ของมันโดยรวม เพราะถ้าสมมติคุณจะเรียนคณะนี้ ชอบเขียนนิยาย(ภาษาไทย)อย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องชอบอ่านวรรณคดี ปรัชญา ตรรกศาสตร์ วิจารณ์บทละคร วิเคราะห์ระบบการออกเสียง แปลสารคดี ฯลฯ คือต้องรักหรือเห็นคุณค่าของมันมากพอจะทำทั้งหมด ถ้าต้องการเรียนแค่เขียนนิยายอย่างเดียว เรียนนอกคณะสะดวกกว่าค่ะ มีคอร์สที่น่าสนใจมากมาย เช่นการเขียนนิยายของคุณกีรติ ชนา การเขียนเรื่องสั้นเบื้องต้นของคุณปราย พันแสง การเขียนไลท์โนเวลของสำนักพิมพ์คาโดคาวะที่จามจุรีแสควร์ นอกจากนี้ถ้าเก่งภาษาอังกฤษก็ยังมีคอร์สออนไลน์ฟรีอีกเยอะค่ะ 3 0 ถูกใจ 3 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
SilverPlus 15 ก.ย. 62 เวลา 15:34 น. 15 การเขียนนิยาย เป็นได้ทั้งกิจกรรมทำสนุก ๆ งานอดิเรก และงานอาชีพจริงจัง และโดยส่วนมาก มักเปิดกว้างด้านการศึกษา จบอะไรก็เขียนหนังสือได้แต่จะมีบางสาขาที่จะคลุกคลีอยู่กับหนังสือมากกว่า ซึ่งมองดูแล้วอาจได้ประโยชน์กับงานเขียนมากกว่าสายการเรียนอื่นอยากจะตอบว่า เรียนอะไรก็เป็นนักเขียนได้ แต่คำตอบนี้สั้นเกินไป มันมีรายละเอียดมากมายเรื่องสายการเรียน โดยส่วนตัวคิดว่า การเรียนวารสาร กับการเรียนวิศวกรรม ย่อมได้รูปแบบความคิดแตกต่างกัน ไม่ได้จะบอกว่า เรียนวิศวะเขียนนิยายไม่ได้นะ แค่จะบอกให้เห็นว่า ในหัวของนักศึกษาสองสายนี้ มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างกัน เป็นธรรมชาติของสองสายอาชีพที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ถ้าชอบหนังสือ ชอบการเขียน ชอบงานที่เกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ การเรียนวารสารจึงตอบโจทย์มากกว่า เพราะนอกจากจะได้เขียนนิยายที่เราชอบแล้ว เรายังได้ทำงานที่เกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ด้วย ประมาณว่า เป็นนักเขียนไม่ได้ ก็เป็นบรรณาธิการไปเลย ได้ทำงานเกี่ยวกับนิยายที่ชอบ แม้จะไม่โดยตรง แต่ก็ยังใกล้ชิดจนไม่รู้สึกโหยหาการเขียนนิยายมากนัก ในกรณีที่เราไม่มีเวลาเขียนนิยาย เพราะต้องหาเงิน 2 0 ถูกใจ 2 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
mikaelluciano 15 ก.ย. 62 เวลา 23:23 น. 16 ไม่จำเป็นครับ จบภาษา ก็เป็นได้ ถ้าหากคุณขยันมากพอ เผลอ ๆได้ทำงานแปลได้อีกด้วยเป็นหมอ ก็เขียนนิยายอิสระได้ ถ้าบริหารเวลาเป็น ไม่จำเป็นต้องจบทางด้านนั้นโดยตรงก็ได้ ถ้าอ่านมาเยอะมากพอและฝึกฝนทุก ๆวัน กล้าที่จะรับคำติชม บางคนก็ยังคลอดผลงานออกมาระหว่างเรียนเลยครับ 2 0 ถูกใจ 2 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
sedtaruji 16 ก.ย. 62 เวลา 08:47 น. 17 เริ่มจับปากกาขีดเขียนนิยายตลกๆตอนอายุสิบสาม ระหว่านั้นก็เรียนภาษาเพิ่มเติม หลังจากนั้นก็ไปฝึกงานจัดเลี้ยงในอิมแพค พบผู้คนมากหน้าหลายตา ได้ฝึกภาษา สมัครทำครัวในโรงแรมแห่งหนึ่งในสีลม จดรายการสั่งของมือแทบหงิก ทุกวันๆจนกลายเป็นเคยชิน จนออกมาเปิดร้านเป็นของตัวเอง ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ยังขีดๆเขียนไม่รู้จักจบ ทำด้วยใจรัก หวังว่าโลกใบน้อยที่เราวาดขึ้นจะทำให้คนอื่นมีความสุข โลกที่ตั้งแต่แรกแม้นจะยังไม่สวยงาม แต่ก็เป็นโลกที่เรารักและใช้ส่วนหนึ่งในชีวิตบรรจงวาดมันขึ้นมา จากโลกว่างๆเริ่มมีต้นไม้ บ้านหลังน้อย เฟอร์นิเจอร์ จนวันหนึ่งมันสวยงาม และคนที่เขามานั่งในนั้นก็มีความสุข มันคือสิ่งเล็กๆที่เราเรียกว่าเป็นผลงาน นักเขียนทุกคนมีมุมมอง ความชื่นชอบและประสบการณ์ในชีวิตไม่เหมือนกัน นักเขียนบางคนอาจเขียนบรรยายฉากสงครามได้มากกกว่าคนที่เคลเผชิญกับสงคราม อาจบรรยายลักษณะอาหาร และวัตถุดิบได้มากกว่าคนเป็นพ่อครัว ทุกอย่างนี้คือสิ่งที่เราขีดเขียนมันขึ้นมาเอง ต้นไม่หนึ่งต้นกว่าจะเติบโตสวยงามขึ้นมาได้ ล้วนต้องมีระยะเวลาของมัน มันอาจผ่านฝน น้ำท่วม ฤดูแล้งมานับสิบปี จนยืนหยัดให้ผู้ที่เดินผ่านมองเห็นได้ เชื่อเถอะค่ะ เชื่อในตัวเอง ความคิดของตัวเอง และโปรดเชื่อในตัวของคนอ่าน เชื่อแล้วลงมือทำ จับปากกาขึ้นเขียน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นผลงานจากปลายปากกาของคุณ 2 0 ถูกใจ 2 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
L@zy.Writer 17 ก.ย. 62 เวลา 08:33 น. 18 เริ่มง่ายๆด้วยการลงมือเขียนครับ 2 0 ถูกใจ 2 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
เล่าปี่ขงเบ้งลิโป้ 21 ก.ย. 62 เวลา 15:10 น. 19 ถ้าสายของมันก็จะเป็น อักษรศาสตร์ครับ 3 0 ถูกใจ 3 ตอบกลับ เมนู แก้ไข แจ้งลบ ปักหมุด
19 ความคิดเห็น
ไม่จำเป็นครับ นักเขียนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จบมาจากสายที่ใช้ด้านภาษาโดยตรง แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เรียนทางด้านภาษามามันช่วยให้การใช้ภาษาดูดีขึ้นและดูสบายตา
แต่สุดท้ายมันก็อยู่ที่ประสบการณ์ทั้งนั้นล่ะครับ ค่อยๆเขียนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็พบแนวทางที่เหมาะกับเรา ภาษาที่ใช่ แนวทางที่ชอบ ฝึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของนิยายเรา
สรุปสั้นๆก็คือ เขียนไปเถอะครับ เขียนบ่อยๆ ให้มันกลายเป็นนิยายในแบบของเรา
ตอนนี้เราก็พยายามอ่านให้มาก เขียนมากๆอยู่ค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาตอบคำถามและคำแนะนำนะคะ เรารู้สึกมีกำลังใจมากค่ะ
การเป็นนักเขียนมันไม่ได้เกี่ยวกับใบปริญญารองรับอะไรทั้งสิ้นครับ และคณะที่คุณยกตัวอย่างมา เขาก็ไม่ได้สอนให้คนเป็นนักเขียนด้วย
เอาจริงๆนะ ผมว่าคนเป็นนักเขียน เริ่มต้นจากการเป็น “นักอ่าน” เสียมากกว่า
คนที่อ่านเยอะ อ่านงานหลายประเภท จะค่อยๆซึมซับวิธีสื่อสารของนักเขียนเข้าไป จนกระทั่งเป็นฝ่ายเริ่มเขียน และเริ่มมีแบบสำนวนการเขียนเป็นของตนเอง
อย่างผมเองอาจจะไม่ถือเป็นนักเขียนอาชีพ แต่ก็เขียนมาพอสมควรละ นิยาย, เรื่องสั้น, สารคดี, คอนเทนต์เฟสบุ๊ค, วิจารณ์หนัง ฯลฯ แต่ถ้าถามว่าผมจบอะไรมา ผมจบสายวิทย์สุขภาพซะด้วยซ้ำ แต่ก็ได้ข้อดีจากจุดนี้คือสามารถเขียนงานให้มีความเป็นไซไฟ รู้เรื่องพืช สัตว์ การทำงานของกล้ามเนื้อ ตลอดจนจิตวิทยานิดหน่อย ก็เอามาใช้ในงานเขียนของเราได้
ขอบคุณสำหรับคำตอบและคำแนะนำดีๆนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ
ของเราเขียนอาหารลงไปให้คนอ่านน้ำลายสอได้
ไม่จำเป็นเลยค่ะ จะจบจากไหน ก็เขียนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเรามีความรู้ด้านทางภาษาได้ดี ใช้ความรู้ตั้งแต่ที่เราเรียนมา มาประยุกต์ใช้กับการเขียน ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ก็สามารถทำได้ดีค่ะ ฝึกเขียนเรียบเรียงประโยคให้เป็นรูปประโยค อ่านแล้วไม่ติดขัด มันก็สามารถ เรียกว่า 'ดี' ได้ค่ะ
ไม่จำเป็นหรอกฮะ ว่าจะต้องจบอักษรหรือด้านภาษา ผู้เขียนบทความนี้ https://writer.dek-d.com/Miran/writer/view.php?id=1860018 เธอก็ไม่ได้จบทางนั้นเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ ในนั้นมีตัวอย่างเธออยู่ ลองหาอ่านดูจะเข้าใจว่า มันอยู่ที่ 'ความใส่ใจ' มากกว่าสิ่งที่เป็น
ขอเพียงให้คุณอ่านออกเขียนได้ก็เป็นนักเขียนได้ครับ ขนาดตัวผมได้วุฒิการศึกษาแค่ประถมศึกษาปีที่ 6 ยังมาเป็นนักเขียนได้เลย
หรือไม่ก็ใช้อีกวิธีหนึ่งไม่ต้องมีอะไรมากแค่หัดเขียนและอ่านให้เยอะก็พอครับ
ก็เขียนสิ
ผมอ่านมาทั้งชีวิต ผมยังเป็นนักเขียนไม่ได้เลย ไม่ใล่อะไรหรอก ผมไม่มีความพยายามที่เพียงพอ
เริ่มจากอ่านเยอะๆ ครับ
อ่านเยอะ เราก็จะได้แนวทางการใช้ภาษา
แล้วมาปรับให้เป็นแนวของเรา
แค่เขียนบทละครรอบกองไฟได้ แค่นี้ก็เริดแล้วครับ
เขียนไปยังไม่เท่ากับตอนออกไปแสดง เอ็งก่อนๆ 555
ในหนัง มีแต่คนอยากเป็นพระเอก นางเอก
ในละครรอบกองไฟ มีแต่คนอยากจะเป็นต้นไม้ ก้อนหิน
เพื่อนบอกตุเป็นงูดินก็พอ
เราจบสายวิทย์
เอ่อ แต่ภาษาเราก็ไม่สละสลวยขนาดนั้น
เขียนนิยาย ตัวอย่างให้อ่านหน่อยได้ป่าวครับ งิงิ
ด้วยรักและหวังดี
ไม่หรอก เขียนไปเถอะครับ เรื่องภาษานี่ต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์เอาทั้งนั้น แค่ว่าอ่านมากๆ เขียนมากๆ และตกตะกอนความรู้เอาครับ
.
.
ค่อยๆ ลองผิดลองถูกไปแหละครับ สู้ๆ เข้า
.
.
.
.
ว่าแต่สนใจกาวสักแท่งมั้ยครับ?
ขอสองแท่ง 555
เพื่อมิตรภาพที่ดี เอาไป 1 ลังฟรีเลยๆ ครับ
หลังจากอยู่ในลัทธิมารมาตั้งนาน ถึงเวลาออกมาทำมาหากินสักที
เราจบบริหาร อายุมากกว่าจขกทสิบกว่าปีก็มาเขียนนะคะ แต่ภาษาก็...ช่างมันเถอะค่ะ (เหมือนเด็กประถม) เรายังด้านเขียนมาได้เลยค่ะ
เรือนแก้วก็เรียนมาทางสายเศรษฐกิจ การเงิน ยังหลงรักตัวอักษรเลยค่ะ :)
เราจบคณะที่คุณว่ามาค่ะ แต่ไม่ได้เรียนด้านภาษาไทยโดยตรง
ต้องบอกว่าวิชาการเขียนสร้างสรรค์ การเขียนบันเทิงคดี มีสอนในคณะก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าสอนแล้ว รู้วิธีมีคนตรวจสอบแล้ว สุดท้ายจะเก่ง(หรือว่าชอบวิชานี้)กันทุกคน ส่วนหนึ่งเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล ความคิดสร้างสรรค์และลีลาสำนวนเป็นสิ่งที่สอนกันได้ยาก
(มันก็คล้าย ๆ การวาดรูปนั่นแหละค่ะ ใคร ๆ ก็สามารถวาดได้ ฝึกเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองแบบหมอถึงจะสามารถผ่าตัดคนไข้ ทุกคนมานั่งเรียนเหมือนกันแท้ ๆ แต่มีลายเส้นของตัวเองที่ไม่เหมือนคนอื่น)
พวกคนที่เรียนมาในคณะทางการเขียนโดยเฉพาะ จะรู้หลักภาษา รู้เหตุและผลของธีมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ได้ส่งงานแล้วมีบก.มืออาชีพตรวจ ฯลฯ ก็คือถูกฝึกฝนตามระบบระเบียบของคณะมา เขาก็จะมีข้อได้เปรียบแบบหนึ่ง
แต่อย่าลืมว่า ระบบระเบียบต่าง ๆ ก็เป็นข้อเสียเปรียบในตัวเองเหมือนกัน เพราะพอคุ้นชินและยึดติดกับระบบมากไป เขาก็มักไม่ค่อยเขียนอะไรใหม่ ๆ สังเกตว่า สายนิยายเกมออนไลน์ ไลท์โนเวล นิยายแชท ซึ่งกำลังรุ่งเรือง กลับหาคนจบทางนี้มาเขียนได้น้อยมากเลย
ลองคิดดูถ้าโลกมีแต่นักเขียนแบบ แก้วเก้า ร เรือในมหาสมุท มาร์กาเร็ต แอทวูด มันคงน่าเบื่อมากจริงไหมคะ
ที่สำคัญนักเขียนที่จบคณะอื่น(หรือไม่จบอะไรเลย) ก็มีประสบการณ์ชีวิตและความรู้เฉพาะทาง ที่คนจบทางนี้ไม่มี วงการนิยายสืบสวนฆาตกรรมงี้ มีแต่หมอ ตำรวจ อัยการ มาเขียนกันตรึม
สรุปอย่าคิดมาก เรียนคณะที่คุณชอบไปเถอะค่ะ แบบที่รักศาสตร์ศิลป์ของมันโดยรวม เพราะถ้าสมมติคุณจะเรียนคณะนี้ ชอบเขียนนิยาย(ภาษาไทย)อย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องชอบอ่านวรรณคดี ปรัชญา ตรรกศาสตร์ วิจารณ์บทละคร วิเคราะห์ระบบการออกเสียง แปลสารคดี ฯลฯ คือต้องรักหรือเห็นคุณค่าของมันมากพอจะทำทั้งหมด
ถ้าต้องการเรียนแค่เขียนนิยายอย่างเดียว เรียนนอกคณะสะดวกกว่าค่ะ มีคอร์สที่น่าสนใจมากมาย เช่นการเขียนนิยายของคุณกีรติ ชนา การเขียนเรื่องสั้นเบื้องต้นของคุณปราย พันแสง การเขียนไลท์โนเวลของสำนักพิมพ์คาโดคาวะที่จามจุรีแสควร์ นอกจากนี้ถ้าเก่งภาษาอังกฤษก็ยังมีคอร์สออนไลน์ฟรีอีกเยอะค่ะ
การเขียนนิยาย เป็นได้ทั้งกิจกรรมทำสนุก ๆ งานอดิเรก และงานอาชีพจริงจัง
และโดยส่วนมาก มักเปิดกว้างด้านการศึกษา จบอะไรก็เขียนหนังสือได้
แต่จะมีบางสาขาที่จะคลุกคลีอยู่กับหนังสือมากกว่า ซึ่งมองดูแล้วอาจได้ประโยชน์กับงานเขียนมากกว่าสายการเรียนอื่น
อยากจะตอบว่า เรียนอะไรก็เป็นนักเขียนได้ แต่คำตอบนี้สั้นเกินไป มันมีรายละเอียดมากมายเรื่องสายการเรียน โดยส่วนตัวคิดว่า การเรียนวารสาร กับการเรียนวิศวกรรม ย่อมได้รูปแบบความคิดแตกต่างกัน ไม่ได้จะบอกว่า เรียนวิศวะเขียนนิยายไม่ได้นะ แค่จะบอกให้เห็นว่า ในหัวของนักศึกษาสองสายนี้ มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างกัน เป็นธรรมชาติของสองสายอาชีพที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
ถ้าชอบหนังสือ ชอบการเขียน ชอบงานที่เกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ การเรียนวารสารจึงตอบโจทย์มากกว่า เพราะนอกจากจะได้เขียนนิยายที่เราชอบแล้ว เรายังได้ทำงานที่เกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ด้วย ประมาณว่า เป็นนักเขียนไม่ได้ ก็เป็นบรรณาธิการไปเลย ได้ทำงานเกี่ยวกับนิยายที่ชอบ แม้จะไม่โดยตรง แต่ก็ยังใกล้ชิดจนไม่รู้สึกโหยหาการเขียนนิยายมากนัก ในกรณีที่เราไม่มีเวลาเขียนนิยาย เพราะต้องหาเงิน
ไม่จำเป็นครับ
จบภาษา ก็เป็นได้ ถ้าหากคุณขยันมากพอ เผลอ ๆได้ทำงานแปลได้อีกด้วย
เป็นหมอ ก็เขียนนิยายอิสระได้ ถ้าบริหารเวลาเป็น
ไม่จำเป็นต้องจบทางด้านนั้นโดยตรงก็ได้ ถ้าอ่านมาเยอะมากพอและฝึกฝนทุก ๆวัน กล้าที่จะรับคำติชม
บางคนก็ยังคลอดผลงานออกมาระหว่างเรียนเลยครับ
เริ่มจับปากกาขีดเขียนนิยายตลกๆตอนอายุสิบสาม ระหว่านั้นก็เรียนภาษาเพิ่มเติม หลังจากนั้นก็ไปฝึกงานจัดเลี้ยงในอิมแพค พบผู้คนมากหน้าหลายตา ได้ฝึกภาษา สมัครทำครัวในโรงแรมแห่งหนึ่งในสีลม จดรายการสั่งของมือแทบหงิก ทุกวันๆจนกลายเป็นเคยชิน จนออกมาเปิดร้านเป็นของตัวเอง ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ยังขีดๆเขียนไม่รู้จักจบ ทำด้วยใจรัก หวังว่าโลกใบน้อยที่เราวาดขึ้นจะทำให้คนอื่นมีความสุข โลกที่ตั้งแต่แรกแม้นจะยังไม่สวยงาม แต่ก็เป็นโลกที่เรารักและใช้ส่วนหนึ่งในชีวิตบรรจงวาดมันขึ้นมา จากโลกว่างๆเริ่มมีต้นไม้ บ้านหลังน้อย เฟอร์นิเจอร์ จนวันหนึ่งมันสวยงาม และคนที่เขามานั่งในนั้นก็มีความสุข มันคือสิ่งเล็กๆที่เราเรียกว่าเป็นผลงาน นักเขียนทุกคนมีมุมมอง ความชื่นชอบและประสบการณ์ในชีวิตไม่เหมือนกัน นักเขียนบางคนอาจเขียนบรรยายฉากสงครามได้มากกกว่าคนที่เคลเผชิญกับสงคราม อาจบรรยายลักษณะอาหาร และวัตถุดิบได้มากกว่าคนเป็นพ่อครัว ทุกอย่างนี้คือสิ่งที่เราขีดเขียนมันขึ้นมาเอง ต้นไม่หนึ่งต้นกว่าจะเติบโตสวยงามขึ้นมาได้ ล้วนต้องมีระยะเวลาของมัน มันอาจผ่านฝน น้ำท่วม ฤดูแล้งมานับสิบปี จนยืนหยัดให้ผู้ที่เดินผ่านมองเห็นได้ เชื่อเถอะค่ะ เชื่อในตัวเอง ความคิดของตัวเอง และโปรดเชื่อในตัวของคนอ่าน เชื่อแล้วลงมือทำ จับปากกาขึ้นเขียน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นผลงานจากปลายปากกาของคุณ
เริ่มง่ายๆด้วยการลงมือเขียนครับ
ถ้าสายของมันก็จะเป็น อักษรศาสตร์ครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?