การเขียนนิยายลงทุก ๆ วัน จะสามารถพัฒนาเทคนิคการเขียนได้ไหม
ตั้งกระทู้ใหม่
กลัวเขียน ๆ ไปแล้วย่ำอยู่กับที่...
24 ความคิดเห็น
ไม่ย่ำอยู่กับที่หรอก แค่พัฒนาโดยไม่ทันรู้ตัว
ได้อยู่ครับ แต่อาจไม่ครอบคลุมทุกด้านนัก
อย่างน้อยที่ได้แน่ ๆ ก็เช่น
- สกิลการพิมพ์ไว
- การลำดับหน้าหลังให้เรื่องเดินไปข้างหน้าได้ แบบสะดุดน้อยลง หรือลดอาการที่กำลังพิมพ์ ๆ อยู่แล้วนึกไม่ออกว่าจะพิมพ์อะไรต่อ
- การด้นสดในวันที่อารมณ์ตัน ๆ จะคล่องขึ้น
ผมเองก็เขียนบทความสั้น ๆ ในพันทิปห้องฟุตบอลทีมหนึ่ง สัปดาห์ละ 2-4 บทความแล้วแต่ขยัน แต่ส่วนใหญ่หลังเกมนี่ไม่พลาด พิมพ์ไปพิมพ์มา บางทียาวกว่านิยายตอนหนึ่งเสียอีก...
แต่เดิมผมชอบอ่านซอกเกอร์ก็เคยสงสัยนะว่าเขามีอะไรมาให้เขียนหนักหนานะ คือบางคนเขียนบทความลงคอลัมน์ตัวเองแทบจะทุกวัน หรือวันเว้นวัน
จนพอพิมพ์บทความเองได้ปริมาณที่ว่าแล้วก็พอจะเข้าใจว่าถึงจุดหนึ่งแล้ว คุณจะร่ายสดได้เลย โดยไม่ต้องกางกระดาษแล้วร่างว่าจะเขียนอะไรบ้าง ทุกอย่างมันจะอยู่ในหัวแบบมีประเด็นพร้อม และเรียบเรียงต้นจนจบได้ในทีเดียว ถ้าเกิดเก็บประสบการณ์การเขียนได้มากพอน่ะนะครับ ส่วนประเด็นนั้นมีมากมาย ตราบที่มีข่าวอัพเดทเรื่อย ๆ ประเด็นร้อนแรงทั้งหลายอย่าง VAR การซื้อขายนักเตะ ควันหลงหลังเกม ฯลฯ แม้แต่ประเด็นที่บ่นกันในเฟสบุ๊ค คุณสามารถหยิบมาเขียนได้หมด
อย่างไรก็ดีทักษะที่พัฒนาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการพิมพ์และการเรียบเรียงความคิด
แต่ไม่ได้รวมไปถึงความสนุก การตีประเด็นที่พิมพ์ ความไหลลื่น สำนวน ทั้งหลายเหล่านี้จะได้เพิ่มจากการศึกษางานอื่นเพิ่มเติมครับ เช่นอ่านความใหม่ ๆ งานเขียนคนอื่นประกอบ และการหมั่นสังเกตคอมเม้นต์ทั้งหลายว่าโอเคกับสิ่งที่เขียนเพียงใด
พิมพ์มาก ๆ เพิ่มจุดแข็งจากภายในครับ
แต่จะให้ดีได้อีกก็ต้องรับจุดแข็งจากภายนอกมาประกอบกันด้วย
ดีกว่าอยู่เฉย ๆ แน่นอนครับ
พัฒนาได้ค่ะ เขียนไปเรื่อยๆจะจับจุดได้เองว่าควรเขียนยังไง เราก็เริ่มจากการไม่รู้ ภาษาการเขียนไม่ดีเลย ไม่มีใครมาติด้วย แต่มันพัฒนาเอง
ไม่ได้ แต่จะเพิ่มความเคยชินของระเบียบวินัย ส่วนมากสุดก็คือความคล่องแคล่วของการพิมพ์
ซึ่งเมื่อไปถึงจุดหนึ่งที่ไม่ได้กระชับเวลาเขียนให้สั้นลง ทุกอย่างก็จะย่ำอยู่กับที่
อ่าน เขียน คิด
อ่านให้หลายหลาย
เขียนสิ่งที่ตัวเองถนัด
คิด ตั้งคำถามกับสิ่งที่อ่านและเขียน
นิยายมันประกอบด้วยหลายอย่าง
สำนวนการเขียน
พล็อตเรื่อง
การพิมพ์นิยายไปร้อยหน้าพันหน้า ยังไงก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวคนเขียนอยู่แล้ว ทั้งด้านสำนวน การวางแผนเรื่องราว จังหวะเรื่องต่าง ๆ เราจะเข้าใจ และรู้วิธีใช้มัน
เพียงแต่นิยาย มันมีอีกส่วนประกอบหนึ่ง ที่มันอยู่นอกเหนือการฝึกฝน นั่นก็คือ พล็อต
จะบอกว่าฝึกได้ ก็ได้ จะบอกว่าฝึกไม่ได้ ก็ได้เช่นกัน การคิดพล็อตนิยาย แม้แต่ผู้ที่แต่งนิยายมาแล้วนับไม่ถ้วน ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ปวดหัวไม่ต่างอะไรจากมือใหม่
ถ้าไม่นับพล็อตหวือหว่า แปลก และดังมาก ๆ พล็อตพื้น ๆ ทั่วไป ผู้มีประสบการณ์ ยังไงก็คิดได้เร็วกว่า ครอบคลุมรอบคอบกว่า
แต่พอให้คิดพล็อตระดับดังพลุแตก หน้าใหม่ หน้าเก่า ไม่มีใครได้เปรียบกว่ากันเลย
ถ้าอยากพัฒนาด้านสำนวน การพิมพ์นิยายปริมาณมาก ๆ ย่อมจะเกิดการพัฒนาการกว่าการอยู่เฉย ๆ แต่สำหรับการคิดพล็อต (เรื่องดัง) แล้ว เกรงว่าประสบการณ์จะช่วยอะไรไม่ได้มาก
โดยความรู้สึกส่วนตัว แม้จะแต่งนิยายมาหลายเรื่อง แต่รู้สึกว่ายังเป็นเบบี้ ในเรื่องการคิดพล็อตอยู่เลย
เราคิดว่าต้องอ่านงานของนักเขียนท่านอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยครับ
เขียนอย่างเดียวอาจไม่พอเน้อ แต่ก็ดีแล้วนะที่เขียนได้ทุกวัน ก็เป็นการฝึกอย่างนึง
พัฒนาไปได้เเน่นอนอยู่เเล้ว ขอเเค่รักษาพล๊อตเรื่องไว้ได้ก็พอเเล้ว
ผมเองตอนเริ่มเขียนเองก็ไม่มั่นใจเลย ทั้งสำนวน การใช้คำซ้ำ คำพูดที่ใช้ก็ทื่อๆ เเต่พอเขียนเข้าทุกวันมันก็รู้สึกปรับไปเอง เเน่นอนว่าเเรกๆก็ไม่มีคนเข้ามาติชมเหมือนกัน เเต่อาศัยอัพทุกวันกับความสม่ำเสมอจึงทำให้นิยายผมติดหน้าเเรกในหมวดตลอด
ผมว่าเทคนิคการเขียนสำคัญ เเต่ที่ผู้อ่านต้องการที่สุดคือการลงให้สม่ำเสมอ
เป็นกำลังใจให้ครับ
มันอาจทำให้ภาษาของเราคมขึ้นนะครับ แต่เขียนนิยายของตัวเองอย่างเดียวก็ไม่ต่างกับดูหนังเรื่องเดิม ๆ มันต้องเอาของผู้อื่นเข้ามาผสมด้วย
ต่อให่คุณไม่ได้เขียนเรื่องยาว คุณเขียนเรื่องสั้นหรือบทความ และเขียนทุกวัน เช่นคุณอาจจะมีโจทย์ใน 1 เดือนว่าเดือนนี้จะเขียนเกี่ยวกับธีมอะไร แล้วก็เขียนที่เกี่ยวข้องกันบ้างไม่เกี่ยวกันบ้าง คุณจะได้ฝึกทั้งขบคิด ทั้งเชื่อมโยง
และที่สำคัญที่สุดคือการที่คุณเขียนได้ทุกวัน คุณจะไม่มีอาการฝืดหรือตันเวลาเขียนค่ะ สู้เขานะคะ
ได้ครับส่วนจะช้าหรือเร็วมันขึ้นอยู่กับพรสวรรค์แต่มันมีการพัฒนาแน่นอน การจะพัฒนาฝีมือในการเขียนมันใช้เวลาเป็นปีๆ มันไม่ใช่อะไรที่สามารถทำให้เห็นผลเร็วขึ้นแบบปุบปับได้ครับ
การทำซ้ำจะได้ความเชี่ยวชาญค่ะ
สิ่งที่ทำให้การเขียนพัฒนา ไม่ใช่การดันทุรังเขียนร้อยหน้าหมื่นหน้า แต่คือ”ความคิด”
ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ออกไปใช้ชีวิตจริง ๆ การเขียนก็พัฒนาแล้ว
ยิ่งรู้มากยิ่งเขียนได้มาก ถ้าคุณมีห้องสมุดอยู่ในหัว คุณจะอ้างอิงความรู้เรื่องไหนมาเขียนก็ได้
เสพทุกสิ่งทุกอย่าง นักเขียนที่เก่ง คือนักเขียนที่อ่าน
คนเราเคยเจออะไรมาเท่าไหนก็เล่าได้แค่นั้น ยิ่งรู้มากก็เล่าได้มาก สู้ๆ
ได้ค่ะ แต่แนะนำให้เป็นอ่านเยอะๆ อ่านพวกบทความหรือนิยายหรืิอความรู้รอบตัวก็ได้ค่ะ ทำให้เราเพิ่มทักษะได้ค่ะ
ได้นะ ถ้าเราอ่านเพิ่มเติมควบคู่ไปด้วย แต่ก่อนเรากลัวซ้ำเลยไม่ค่อยอ่านงานคนอื่นเลย รู้ตัวอีกที.. ดันซ้ำกับตัวเอง หมดมุก
ทุกวันนี้เลย อ่านดะหมดเลย แล้วก๊รู้สึกว่าทุกครั้งที่เขียนตัวเองพัฒนาขึ้น
การฝึกฝนเขียนทุกวันเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่จำเป็นตองลงในเว็บหรือให้คนอื่นอ่านทุกวัน
เราควรจะคิด เรียบเรียง เขียน อย่างรอบคอบ ตรวจทานให้ดีก่อน
ถ้าเขียนแบบเร่งรีบเพื่อให้เสร็จนำไปลงทุกวันแต่ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
ก็อาจเปลี่ยนเป็นให้เวลากับการเขียนเพิ่มขึ้นแล้วเลื่อนไปลงวันถัดไป อาจจะดีกว่าก็ได้
ถ้าเอาแต่เขียนอย่างเดียวส่วนตัวคิดว่าไม่ได้ผลเท่าไหร่ครับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ลงนิยายทุกวัน วันละหนึ่งตอน
แต่องค์ประกอบที่จะทำให้เขียนนิยายได้ไวขึ้นคือแรงบันดาลใจครับ ถ้าวันไหนมีไฟขึ้นมาชั่วโมงเดียวก็เขียนได้หลายหน้า จนตกใจตัวเอง มือมันพิมพ์ไปได้เรื่อยๆ ตามที่สมองคิดออกมา แต่ถ้าวันไหนตัน ต่อให้เขียนทุกวัน ชั่วโมงหนึ่งอาจจะได้แค่หนึ่งบรรทัดก็มี
สิ่งที่จะได้จากการเขียนทุกวันคือการพิมพ์ไวและเพิ่มวินัยของตนเอง ส่วนเรื่องการเขียนนิยาย มันขึ้นอยู่กับว่าเราไปเจออะไรมาบ้างแล้วสมองเราจะลื่นเอง
ปล.นักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นหลายคนกว่าจะเขียนการ์ตูนแต่ละเรื่องออกมาได้เค้าต้องอ่านหนังสือทั้งห้องสมุด ดูสารคดี ออกเที่ยวหาประสบการณ์ ขอยกตัวอย่างอย่าง อ.โอดะ ที่ไปดื่มพักผ่อน ยังเกิดไอเดียเอาคาแรคเตอร์บาร์เทนเนอร์ในบาร์มาเขียนในการ์ตูนก็มี
ไม่ได้
เพราะ.
เทคนิค กับ ฝีมือ มันคนละความหมายกัน
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?