Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

แชร์ประสบการณ์อยู่หอกับเพื่อนต่างชาติ ที่ ม.ขอนเเก่น CIEE โครงการสุดคูลที่ทั้งฟรีเเละดีมาก!

ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีครับ ผมชื่อ เก่ง

ขอเกริ่นก่อนเลยว่าผมเป็นคนหนึ่งที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองจากการดูหนัง ฟังเพลง จนฟังออกพูดได้ก็พยายามหาทุนไปเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เคยตัดสินใจสมัครเพราะคิดว่าตัวเองยังไม่เก่งมากพอ จนสอบ ป.ตรี เข้ามาที่ ม.ขอนแก่น (เอกภาษาอังกฤษ) ถึงใน class เรียนเองได้ใช้ภาษาอังกฤษอยู่แล้วเเต่ในใจก็ยังอยากมีเพื่อนต่างชาติไว้ฝึก skill การพูดอยู่ดี ส่วนตัวผมเคยลอง App คุยกับเพื่อนต่างชาติมาหลายอันเเล้ว เเต่มันไม่ค่อยเข้ากับผมเท่าไรเลยเลิกใช้ไป เอาเป็นว่า ช่วงขึ้นปีสอง ผมก็ได้รู้จากเพื่อนในสาขาที่เคยอยู่ชมรมด้วยกันว่าเขาอยู่โครงการที่มีรูมเมทเป็นชาวอเมริกัน ด้วยความอยากพ่นภาษาอังกฤษไฟแลบ ผมก็เลยสมัครตามเพื่อนในเทอมต่อมา

CIEE หรือชื่อเต็มๆว่า Council on International Educational Exchange เป็นโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างประเทศจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำ MOU ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ CIEE สาขาประเทศไทย ก็ตั้งอยู่ที่บริเวณหลัง​ มข. โดยนักศึกษาจากสหรัฐอเมริกามาเรียนในประเทศไทยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน สาธารณสุขในเชิงวิชาการ รวมไปจนถึงเรียนรู้ในเรื่องของ ประเพณี วัฒนธรรม เเละความเป็นอยู่ นทุกๆเทอมโครงการเปิดรับสมัครนักศึกษาไทยระดับปริญตรีทุกชั้นปี ในมหาวิทยาลัยขอนเเก่น เพื่อมาเป็นรูมเมทกับนักศึกษาชาวอเมริกันแบบฟรีๆไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้นักศึกษาที่ผ่านการสัมภาษณ์ก็ยังมีโอกาสที่จะเป็นรูมเมทต่อไปเรื่อยๆ ถ้าได้รับการประเมินผลที่ดีจากคู่รูมเมทและโครงการอีกต่างหาก เรียกว่ามีโอกาสอยู่ในโครงการนี้ไปจนเรียนจบได้เลย

ห้องของโครงการเป็นห้องเเอร์ ไมโครเวฟ ตู้เย็นพร้อม..คือดีมาก

ห้องของโครงการเป็นห้องเเอร์ ไมโครเวฟ ตู้เย็นพร้อม..คือดีมาก

จนถึงตอนนี้ในระยะเวลาหนึ่งปีกว่าของการอยู่ในโครงการ ผมมีรูมเมทเป็นชาวอเมริกันทั้งหมด 3 คนครับ  แต่ นอกจากรูมเมทตัวเองแล้ว ผมก็ยังมีโอกาสมีเพื่อนเเละ hang out กับเพื่อนนักศึกษาเเลกเปลี่ยนชาวอเมริกันคนอื่นๆด้วยนะ คือไม่ต้องไปถึงอเมริกาก็ได้ฝึกภาษาอังกฤษกันจนเหนื่อย เพราะโครงการนี้ก็เหมือนย้ายอเมริกาขนาดย่อมๆมาอยู่ที่ไทยแล้ว และหอพักในโครงการก็อยู่บริเวณหลังมอ ชื่อหอเกษียณสินธิ์เพลส สะดวก สบาย เดินทางได้ไม่ลำบากเลยต่อให้ไม่มีรถส่วนตัว

รูมเมทคนที่ 1

ห้องมันก็จะดู Real นิดหนึ่งเนอะ

เมื่อผ่านการสัมภาษณ์และถูกคัดเลือกเข้ามาเป็นรูมเมท พี่สตาฟในโครงการจะจับคู่รูมเมทกับนักศึกษาอเมริกัน(เพศเดียวกัน​) ให้โดยอิงการสังเกตจากรอบการสัมภาษณ์ การตอบคำถาม ความชอบต่างๆ รวมไปถึงทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเเละความเหมาะสมอื่นๆ สำหรับผมเเล้วรูมเมทอเมริกันทุกคนของผม เราเข้ากันได้ดีไปจนถึงถึงขั้นดีมาก ก่อนเจอนักศึกษารูมเมทของเรา พี่ๆในโครงการจะนัดปฐมนิเทศรูมเมทเก่าและรูมเมทใหม่เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการ หน้าที่ของการเป็นรูมเมทในโครงการ การเตรียมความพร้อมกับวัฒนธรรมใหม่ๆและการทำความเข้าใจเมื่ออยู่กับคนที่มาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน รวมไปถึงการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากรุ่นพี่รูมเมทเก่า และจบการปฐมนิเทศด้วยการแจ้งว่าใครคือรูมเมทอเมริกันของเรา 

รูมเมทคนแรกของผมชื่อ คอนเนอร์ (Connor) เขาเรียน Political Science ที่  University of Pennsylvania รัฐ Philadelphia ตอนก่อนเจอกันผมก็ทำป้ายชื่อเเบบเขียนบนกระดาษเอ 4 เหมือนเวลาเราไปรับใครที่สนามบิน มารับเขาที่สำนักงานของโครงการ ในใจคือผมตื่นเต้นมากเพราะว่าเป็นรูมเมทต่างชาติคนเเรกในชีวิต (จริงๆแล้วกลัวว่าเขาจะคุยกับผมไม่รู้เรื่อง)  ก่อนจะเเนะนำรูมเมทสองฝ่ายให้รู้จักกันในเทอมนั้น รูมเมทไทยกับรูมเมทฝรั่งก็จะยืนอยู่คนละด้านห่างๆกันหน่อย ก่อนที่พี่สตาฟจะบอกให้เรายกป้ายชื่อขึ้น นายคอนเนอร์ ผู้เป็น hugger นี้ก็พุ่งมากอดผมเลยบอก “Nice to meet you”ส่วนผมก็รับกอดเเบบเกร็งๆ เพราะไม่ชินกับการถูกกอด (ฮ่า ๆ)  ขอนับเป็น culture shock แรกของผมนะ เรานึกว่าจะต้อง shake hand เเบบที่เห็นบ่อยๆในหนัง Hollywood เวลาเจอกัน อะไรเเบบนั้นซะอีก

ในเทอมนั้นด้วยตัวผมเองก็ติดเรียนกับกิจกรรรมชมรมค่อนข้างหนัก ในช่วง 4 เดือนที่อยู่ด้วยกันเราเลยจะไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมาก นอกจากกินข้าวเย็นในรอบๆม.ขอนเเก่น ไปวัดป่า (เพื่อนบอกว่าอยากไปหาความสงบทางด้านจิตใจส่วนผมไปเป็นล่ามเเปลภาษาธรรมให้) แต่เวลากลับมาเจอกันที่ห้องทีไรก็คุยกันทีเป็นชั่วโมงๆ โดยเฉพาะช่วงก่อนนอน ด้วยความที่ คอนเนอร์เขาเรียนสาขาเกี่ยวกับการเมืองและผมเองชอบคุยเรื่องที่จะได้ยินความคิดจากคนอื่น บทสนทนาของเราในช่วงก่อนนอนก็เลยเหมือนเป็นคลาส Speaking Dissusion ไปในตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง ศาสนา ความเเตกต่างของประเทศไทยเเละอเมริกา มุมมองของคนไทยต่ออเมริกาหรือมุมมองของอเมริกาต่อเมืองไทยเองก็ตาม

สำหรับผม การอยู่กับรูมเมทอเมริกันคนเเรกสอนให้ผมรู้จักพูดเพื่อตัวเองมากขึ้นเพราะบางครั้งเเล้วตอนที่ผมอยู่กับรูมเมทคนไทย ด้วยกรอบของ ‘ความเกรงใจ’ ทำให้บางครั้งก็มันสะสมจนมากเกินไปจนลำบากตัวเอง เเต่พอได้อยู่กับคนอเมริกัน มีเรื่องอะไรที่เขาทำเเล้วเราไม่สบายใจเวลาอยู่ในห้อง เราก็ต้องพูดกับเขาตรงๆ ตั้งเเต่แรกๆ เขาจะได้เข้าใจชัดเจน

เเละเพราะตอนนั้นผมไม่ได้มีกล้องเเละเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปเป็นทุนเดิม  เรื่องน่าเศร้าที่ตามมาที่ผมพึ่งรู้ตัวหลังจากเขากลับคือ ‘อ้าว อยู่ด้วยกัน 4 เดือนมีรูปด้วยกันอยู่ด้วยเเค่รูปเดียว...’ 
 

รูมเมทคนที่ 2
 


แซมผู้ชอบกินซาลาเปาเป็นชีวิตจิตใจ
 

รูมเมทคนที่สองของผมชื่อ เเซม (Samuel) เขาเรียน Environmental Studies ที่ Colorado University Boulder รัฐ Colorado (แต่รัฐที่อยู่จริงๆคือ Michigan) บางครั้งผมก็เรียกเพื่อนว่า ‘บักแซม’  ในรูมเมทอเมริกันสามคนผมสนิทกับทุกคนนะ เเต่ผมรู้สึกว่าผมสนิทและใช้เวลากับแซมเยอะที่สุด อาจจะด้วยความที่ทั้งผมกับเขามีอะไรบางอย่างที่คล้ายกันอยู่เช่น เราสองคนชอบฟังเพลงเหมือนกัน ผมชอบร้องเพลงเวลาอาบน้ำ ส่วนเเซมเนี้ยเขาจะชอบเปิดเพลงตอนเช้าช่วงที่เราเเต่งตัวไปเรียนกันเป็นประจำ บางวันก็มีร้องเพลงกันก่อนออกไปเรียน จนตอนนี้ Playlist เพลงของแซมก็ยังติดหูผมอยู่เพราะเปิดเกือบทุกวัน อีกอย่างหนึ่งก็คือผมกับเเซมชอบดูหนังเหมือนกัน เรื่องที่ได้ไปดูด้วยกันในโรงหนังคือ Avengers Endgame ส่วนเรื่องอื่นก็ดูในคอมหรือผ่านจอโปรเจ็คเตอร์กับเพื่อนรูมเมทไทยและอเมริกันคนอื่น ซึ่งเราก็เรียกว่า ‘Movie Night’ เเต่เรื่องที่ Hit เเละ Hot สุดที่ดูกันก็คือ Season สุดท้ายของ Game Of Throne ผมกับแซมเป็นรูมเมทคู่เดียวที่ชอบเรื่องนี้ด้วยกันเลยคุยกันถูกคอ  เรากับเพื่อนอเมริกันอีก 6-7 คนจะรวมตัวกันไปดูเรื่องนี้ด้วยกันอาทิตย์ละตอน เป็นประสบการณ์ดูซี่รี่ย์ภาษาอังกฤษที่ล้อมไปด้วยเพื่อนที่พูดภาษาอังกฤษ พอดูจบก็มาถกกันเรื่องเนื้อเรื่อง ตัวละครต่อ สนุกไปอีกแบบ  

ช่วงสองเดือนสุดท้ายก่อนกลับนายเเซมก็ตัดสินใจอยากเรียนรู้การถ่ายรูปด้วยตัวเอง ผมก็เลยได้พาเขาไปซื้อกล้องฟิล์ม หลังจากนั้นมาเราก็ออกไปถ่ายรูปรอบๆมหาลัยวิทยาลัยด้วยกันอยู่ 2-3 ครั้ง


และคงเป็นเพราะเทอมนั้นผมไม่มีกิจกรรมชมรมเเละคลาสเรียนที่หนักมาก นอกจากเป็นเทอมที่ผมได้ใช้เวลากับรูมเมทตัวเองเยอะเเล้ว ก็ยังได้ใช้เวลากับรูมเมทอเมริกันเเละรูมเมทไทยในโครงการด้วย (จริงๆโครงการไม่ได้บังคับนะว่าเราต้องพาเพื่อนไปเที่ยวไหน เเต่ก็เนอะเขาอุตส่าห์มาอยู่ไทยระยะเวลาสั้นๆ ก็อยากพาทัวร์รอบๆเป็นบางโอกาส) ราก็ไปกันหมดรอบรั้ว มข. ไปกินข้าวตลาดมอ ไปซื้อของตลาดเปิดท้าย เดินชิลล์ๆที่ถนนคนเดินขอนเเก่น  ไปจนถึงตลาดต้นตาล หรือเซ็นทรัล เอาซะว่าไปกันจนนึกที่ hang out กันไม่ออก เพราะไปกันเกือบครบหมดเเล้ว

รูมเมทไทยเเละรูมเมทอเมริกัน  at หน้าฮ้านหมอลำ



กีฬาสีรูมเมทไทย-รูมเมทอเมริกันเเละสตาฟในโครงการ (สีผม VS อีก 3 สี)

เบื้องหลังของรูปนี้คือจะสอบกันอยู่เเล้วนะแต่ยังเอาเวลามาแกล้งเพื่อน



ตอนสงกรานต์พ่อเเม่กับพี่สาวของแซมมาเที่ยวที่ไทย ผมก็เลยเป็นเหมือนไกด์นำเที่ยวขอนเเก่นในตัว


 
หลังจบสงกรานต์เสร็จ ปลายเดือนเมษาผมก็จัดทริปไปเที่ยวที่บุรีรัมย์ จังหวัดบ้านเกิดผม เราหารค่ารถกัน จัดเป็นทริประยะสั้น 1 คืน 2 วัน ของรูมเมทไทย 5 คน กับรูมเมทอเมริกัน 5 คน สำหรับผมในฐานะเจ้าบ้านก็ได้พาเพื่อนไปเที่ยวปราสาทเขาพนมรุ้ง วนอุทยานเขากระโดง และจบที่สนามฟุตบอลช้างเอรีนา ผมคิดว่าเป็นอีกหนึ่งทริปในความทรงจำดีๆที่พวกเรามีร่วมกัน
 

 
ช่วงเวลา 4 เดือนของเราหมดไปไวมาก ในวัน Farewell Ceremony (พิธีบายศรีบอกลา) ผมและรูมเมทไทยคนอื่นก็มาลารูมเมทตัวเองเเละเพื่อนๆ ผูกเเขน น้ำตาซึมร้องไห้บอกลากันเเละขอให้ทุกคนทางกลับประเทศกันอย่างปลอดภัย
 

 
รูมเมทอเมริกันหลายคนหลังจากจบโครงการก็จะเที่ยวรอบๆทวีปเอเชียก่อนค่อยกลับกัน ส่วนเเซมก็มีเพลนจะเที่ยวในกรุงเทพก่อน 4 วันก่อนเดินทางกลับ ตอนนั้นช่วงสอบปลายภาคพอดี พอสอบวิชาสุดท้ายเสร็จผมก็ขึ้นเครื่องตามแซมไปที่กรุงเทพ (ขึ้นเครื่องบินครั้งเเรกในชีวิต) ซึ่งตอนเเรกก็คิดว่าเราจะได้ไปเป็นไกด์นำเที่ยวในกรุงเทพให้เพื่อนเนอะ เเต่นึกได้ว่าตัวเองก็ไม่เคยเที่ยวกรุงเทพเลยเพราะถ้าจะไปก็ไปเรื่องธุระมากกว่า ถือว่าเหมือนไปเที่ยวกรุงเทพครั้งเเรกเอง (+รูมเมทอเมริกัน)
 

ผมมาเจอกับเเซมที่ร้านเจ๊ไฝ ซึ่งนายเเซมรอ 4- 5 ชั่วโมงกว่าจะได้กิ

วันต่อมาก็ผจญภัยนั่งรถตู้จนถึงตลาดน้ำดำเนินสะดวก

ก่อนจะมาเดินเดินด๊อกแด๊กเที่ยวที่เยาวราชกันวันต่อมา

ฝ่าดงหนังสือและคลื่นความร้อนที่ตลาดจตุจักร

เเวะมากินติ่มซำ--ติ่มซ่ำร้านนี้อร่อยมากจริง ดูจากหน้าแซมได้

เที่ยววันวันสุดท้าย ณ กรุงเก่า อยุธยา
ก่อนจะลากัน ผมก็ไปส่งเพื่อนขึ้นรถไปสนามบินสุวรรณภูมิเเบบเศร้าๆและใจหาย เเซมบอกว่าเราก็แค่บอกลากันตอนนี้เเต่สักวันในอนาคตก็ต้องได้เจอกันอีกเเหละ สำหรับผมเเล้วนอกจากที่เราเหมือนกันหลายอย่าง เเต่ความเเตกต่างในมุมมองชีวิตของเเซมก็สอนให้ผมรู้จักที่จะปล่อยให้ตัวเองฟรีบ้าง ไม่ต้องเคร่งเครียดมีเเบบแผนไปกับทุกอย่างในชีวิต ช่วงเวลาที่ผมใช้กับรูมเมทอเมริกันคนนี้ผมคิดว่ามันเป็นเวลาเเห่งการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวผมเองมากขึ้น เเละมันก็ทำให้ผมก้าวออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง จนได้ลองทำอะไรใหม่ๆอีกหลายอย่าง

รูมเมทคนที่ 3


 

 
รูมเมทคนที่สามของผมชื่อ โม (Mohamed) เขาเรียนจบ ป.ตรี สาขา Psychology ที่ Michigan State University รัฐ Michigan (ตอนนี้เรียน med school ที่มหาวิทยาลัยเดิม) เขามาเรียนในคอรส์ระยะสั้นเเค่ประมาณสามอาทิตย์ เเต่สำหรับรูมเมทคนที่สามคนนี้ผมก็ตื่นเต้นที่จะเจอไม่เเพ้กันเลย ครอบครัวของโมเป็นชาวตะวันออกกลางมาจากประเทศเลบานอน ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่อเมริกาตั้งเเต่ตอนที่เขายังเด็ก(โมพูดภาษาอาหรับได้) ที่บอกว่าตื่นเต้นมีเหตุผลสองอย่างคือ โมเรียนจบด้านจิตวิทยา เพราะตัวผมเองก็ชอบเรื่องจิตวิทยาพอสมควรก็เลยได้แลกเปลี่ยนความคิดเรื่องนี้กัน อีกอย่างคือในมุมของศาสนา เพราะตัวเองก็ไม่เคยมีเพื่อนสนิทหรือคนใกล้ชิดที่นับถือศาสนาอิสลามมาก่อน ทำให้ผมอยากแลกเปลี่ยนเเละฟังความคิดเห็นในเรื่องนี้ของเขาด้วย

โครงการมีทริปสั้นๆให้รูมเมทไทยกับรูมเมทอเมริกันไปเที่ยวเขื่อนอุบลรัตน์ด้วยกัน

 
ช่วงระยะเวลาสั้นๆที่อยู่ด้วยกัน ผมกับโมก็ได้เเลกเปลี่ยนความคิดในเรื่องศาสนาของด้านศาสนาพุทธเเละศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นอะไรที่เปิดโลกทัศน์ผมมาก  นอกจากนี้ผมยังได้ฟังเรื่องชุมชนชาวตะวันออกกลางที่ Michigan รัฐบ้านเกิดเขา และผลกระทบของเหตุการณ์ 9/11 ต่อคนที่นับถือศาสนาอิสลามในอเมริกา ทำให้ผมได้เข้าใจผลกระทบของสื่อเเละความหวาดกลัวของคนอื่นทีมีต่อผู้นับถืออิสลามหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวจนมันทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา(คนที่นับถือศาสนาอิสลาม)เองไม่ได้ราบรื่นเท่าที่ควรนัก 

โมเองก็ชอบฟังเพลงเหมือนกัน เขาเเนะนำให้ผมฟังเพลงชื่อ Bright ของ Kehlani เนื้อหาเพลงเกี่ยวกับ ’การรักตัวเองเพราะไม่มีใครที่จะสามารถรักคนที่ไม่รักตัวเองได้’ ผมฟังเเล้วชอบมาก เปิดฟังอยู่ซ้ำๆ สำหรับโมเเล้วเขาได้สอนผมให้มองเรื่องราวบางอย่างจากหลายมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องศาสนาหรือวัฒนธรรม และเรียนรู้ที่จะรักตัวเองมากขึ้นก่อนที่จะให้คนอื่นมารักเรา
 

รูมเมทไทยตอนซัมเมอร์ 2019
 
แฝด+แฝด
 

 
ปรากฏสะท้านโลก (อย่างน้อยก็สำหรับผม) คือเพื่อนผมที่เป็นเเฝดรูมเมทไทย (กระเเต-กระต่าย) ได้จับคู่กับเพื่อนรูมเมทเเฝดอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม (สองคนที่ใส่เเว่น) สองสาวอเมริกันนี้คือ ซาร่า เเละซ่อนย่า (Sara+Sonya) เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนช่วงซัมเมอร์เป็นเวลาสองเดือน เเละทั้งคู่เรียนด้านสังคมวิทยา ที่ University of Colorado Boulder เหมือนกับเเซม ในตอนซัมเมอร์ผมไม่มีรูมเมทอเมริกันเพราะมีรูมเมทอเมริกันผู้ชายมาเเค่คนเดียว แต่ผมก็ยังได้สนิทเเละใช้เวลากับรูมเมทเพื่อนตัวเองได้ พวกเรามักจะ hangout กินข้าวเย็น เดินตลาด นู้นนี้นั้น ซึ่งเราก็ไปเเบบแฝดกับแฝด+ ผมนี้เเหละ นอกจากนี้สองสาวซอนย่า ซาร่า ยังสอนผมเเละกระเเต กระต่ายว่ายน้ำด้วย จนตอนนี้พวกผมก็หัดว่ายเองต่อจนพอจะได้เเล้ว
 

อารมณ์เลือดข้นคนจาง

 

เเต่ที่รันยาวสุดคือ ‘Movie Night’ ของพวกเรา ผมกับสองสาวแฝดอเมริกัน ไล่ดูเลือดข้นคนจางจนจบ เพราะสาวซอนย่าเธออินมาก ตอนเเรกผมก็จะไม่ได้อินมากนะแต่ดูไปกับเพื่อนเเล้วก็ติดไปกับเพื่อนด้วย  พอดูเสร็จเราก็มาคุยกันต่อเรื่องเนื้อเรื่อง ตัวละคร อารมณ์เหมือนวิชาวิเคราะห์ภาพยนตร์ไปในตัว

สำหรับผมเเล้วบทสนทนากับซอนย่าและซาร่า ทำให้ผมเข้าใจถึงมุมมองของครอบครัวที่อพยพไปอยู่ที่อเมริกาว่าเขาต้องเจออุปสรรคอะไรกันบ้าง ทั้งเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติที่ยังมีให้เห็นในสังคมกันอยู่ในสังคมที่อเมริกา เเละอีกเรื่องคือเราจะต้องสู้ให้สุดเพื่อความฝันของตัวเอง เหมือนที่ทั้งคู่ที่ก็ไม่ได้มาเเลกเปลี่ยนที่ไทยง่ายๆเพราะเจอกับอุปสรรคในทางด้านการเงินเหมือนกัน


มาส่งเพื่อนที่ บขส ขอนเเก่นไปขึ้นรถไปสนามบิน

 
เหล่า High Schoolers
 

 
ในช่วงซัมเมอร์ ผมได้รับมอบหมายหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยสตาฟกับสตาฟหลักชาวอเมริกันอีกคนดูเเลน้องๆ Highshcool ที่มาเเลกเปลี่ยนระยะสั้น ในการดูเเลน้องๆทั้ง 7 คน นอกจากการได้เป็นไกด์เล่าประวัติ วัฒนธรรม หรือความรู้เกี่ยวกับประเทศไทยเเล้ว ผมยังได้เรียนรู้การมีความรับผิดชอบมากขึ้นอีกด้วย
 

ไปดูถ้ำค้างคาวเเละเดินป่าที่ภูผาม่านกัน

พาน้องๆเสี่ยงเซียมซีที่ศาลหลักเมืองขอนแก่น

นำเที่ยววัดพระธาตุหนองแวง


วันบอกลาก่อนไปส่งน้องๆที่สนามบิน

 

สุดท้ายจากประสบการณ์ของผมที่ได้ใช้เวลากับเพื่อนๆต่างชาติที่ประเทศไทย ผมมองว่ากำแพงของภาษาและความแตกต่างในวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ควรเรียนรู้เเละทำความเข้าใจให้มาก พราะถึงแม้ทุกคนจะมาจากอเมริกา แต่พวกเขาเองก็มีหลากหลายเชื้อชาติ มีทั้ง ผิวขาว ผิวสี อินเดีย เอเชีย ตะวันออกกลาง ละติน และอื่นๆอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้เเหละที่ทำให้ผมได้มองเห็นมุมมองที่เเตกต่างของพวกเขา ที่ถึงแม้จะเติบโตในอเมริกาเหมือนกันแต่ละคนก็ยังคงมีวัฒธรรมของครอบครัวตัวเองฝังเเน่นอยู่ มันทำให้ผมเรียนรู้เรื่องของความเเตกต่างของวัฒนธรรมได้มากขึ้นไปอีกขั้น

สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับในโครงการสำหรับผมคือการบอกลากับเพื่อนๆชาวอเมริกันหลังจากที่เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมา จนถึงจุดหนึ่งผมพยายามบอกตัวเองว่าในโลกนี้มีผู้คนตั้งไม่รู้กี่ร้อยล้านคน มีความเป็นไปได้ในเรื่องต่างๆอีกเป็นอนันต์ มันคงมีเหตุผลสักอย่างที่ทำให้คนจากสองฟากโลกมาเป็นรูมเมทกัน หรือได้มากเจอกันในโครงการนี้ ได้ใช้เวลา ได้เรียนรู้จากกันและกัน ได้เป็นอีกส่วนหนึ่งของความทรงจำของอีกฝ่าย  โครงการนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีมากอีกอย่างในชีวิตมหาวิทยาลัยของผม นอกจากที่ได้เป็นตัวเเทนของประเทศไทยในการบอกเล่าด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต มุมมองความคิดของคนไทย เเละสร้างมิตรภาพกับผู้คนที่มีพื้นฐานวัฒนธรรมที่ต่างกันเเละเรียนรู้จากพวกเขาเเล้ว ผมยังได้เติบโตขึ้นในด้านทักษะของภาษา มุมมองด้านวัฒนธรรมโดยที่ไม่ต้องไปถึงต่างประเทศและอีกหลายสิ่งที่ผมคงเขียนบรรยายออกมากให้เห็นภาพไม่ได้ ดังนั้นหากมีโอกาสผมก็อยากให้ทุกคนลองมาสมัครในโครงการกันนะครับ  ^ ^

 

สนใจอยากสมัคร?

คุณสมบัติ

- เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น​ กำลังศึกษาในระดับ ป.ตรี คณะใดก็ได้ เพศหญิงและเพศชาย

- สื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับดี

- เป็นมิตร เข้ากับคนง่าย ชอบเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ

- ชอบช่วยเหลือและชอบเข้าร่วมกิจกรรม

- สามารถย้ายเข้าหอพักในโครงการได้ทันที หลังผ่านการสัมภาษณ์
***เเต่ละเทอมจะเปิดรับสมัครจำนวนรูมเมทไทยเเตกต่างกันออกไป โดยจะมีเทอม Spring (มกราคม-พฤษภาคม) เเละ Fall (สิงหาคม-ธันวาคม) ต้องเช็คดูด้วยนะครับว่าเทอมนั้นๆจะเปิดรับสมัครรึเปล่า ปกติจะรับสมัครก่อนเริ่มเทอมประมาณ 1 เดือน
ดูรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/cieekhonkaen/
สอบถามและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/groups/1801582976540749/

วันทำการวันจันทร์-ศุกร์: 9:00 – 17:00

#กระทู้ที่เเล้ว>>
แชร์จากเด็กที่เกียจ (ตอนนี้ก็ยังขี้เกียจ) ที่สู้เพื่อเป้าหมายจนสอบติด

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

โรส รุ่งธิวา โรเซลลา 20 พ.ย. 62 เวลา 12:54 น. 1

เคยร่วมโครงการนี้เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ได้เป็นรูมเมต เป็นครูสอนภาษาไทยให้นักเรียนแลกเปลี่ยน สมัยก่อน (20 ปีที่แล้ว) ที่พักจะเป็นคอนโดตรงหลังมอ จำชื่อคอนโดไม่ได้ละ แหะ ๆ

2
ชาลี สาลี 20 พ.ย. 62 เวลา 16:58 น. 1-1

เเบบนี้ โครงการก็มีมานานเลยนะครับ เพื่อนผมมีเเต่บอกว่าเเกอยู่หอฝรั่งเหรอ มีฝรั่งเต็มไปหมด 55555

0