Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รู้สึกยังไงครับเวลารู้ว่านิยายที่เรารู้สึกว่าสนุกความจริงแล้วลอกพล็อต/ไอเดียของต่างชาติมา

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ขอไม่ยกตัวอย่างนะครับ

คือผมเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ค่อยอ่านนิยายคนไทยเขียนนะครับ ไม่ใช่เพราะดูถูกคนในชาติอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าพล็อตมันเดิมๆ วนอยู่ในอ่าง นานๆ ทีจะเจอเรื่องแหวกๆ น่าสนใจ โผล่มาให้อ่าน

หลายครั้งแล้วที่เจอเรื่องที่”แตกต่าง”

เอ้ย เจ๋งว่ะ ไอเดียดีนะ คนไทยก็คิดได้นี่นา เก่งๆ ตามๆ

ผ่านไปสักพัก.. บังเอิญไปเจอมังงะ-นิยายเวปต่างประเทศ อ้าว ทำไมมันเหมือนกันเลยละ... คือไม่เหมือนแบบเป้ะหรอก แต่ใจความหลักกับจุดขายมันเหมือนกัน

จะแถว่าไม่ได้ลอก แต่เป็น”แรงบันดาลใจ”มันก็ได้อยู่หรอก แต่เล่นไปเอา “แรงบันดาลใจ” ที่เป็นหัวใจ เป็นจุดขายของนิยายเขาทั้งเรื่องมาใช้มันก็เกินไปนะครับ

บางเรื่องหยิบนั้นนิด นี่หน่อยของแต่ละเรื่องมายำๆ ในเรื่องของตัวเอง ผมที่ไปตามอ่านนิยายจีนในเวปอิ้งที่ยังไม่เคยมีใครหยิบมาแปลไทยนี่อ่านไปเหวอไปเลยครับ เหตุการณ์ย่อย เหตุการณ์รอง ขนาดชื่อกลุ่มมันยังคล้าย

รู้สึกเฟลมากเลยครับที่เคยหลงชื่นชมนักเขียนพวกนั้นไป

คือรู้สึกเหมือนได้ความหวังว่านักเขียนเราเก่ง ไอเดียดี แต่สุดท้ายก็มาเจอความจริงแบบนี้ รู้สึกแย่มากเลยครับ


แสดงความคิดเห็น

>

22 ความคิดเห็น

yurinohanakotoba 9 ธ.ค. 62 เวลา 20:52 น. 2

ถ้าวน ๆ อยู่กับข่าวสารวงการหนังสือจะพบว่าลอกกันมานานแล้ว

ทั้งที่เขียนหนังสือดีแต่ก็ยังลอกพลอต ลอกซีรีย์มาเขียนนิยายเปลี่ยนเป็นไทยก็มี

ดังนั้นชาชินเถอะครับ สนุกกับเรื่องที่อ่านก็พอ


0
DekGym3 9 ธ.ค. 62 เวลา 21:02 น. 3

สนใจของผมมั้ยครับ ไม่ได้ลอกใครแน่ๆ เพราะนั่งทางในเขียนมาตลอดทาง พลอตก็ด้นสดเอาเป็นตอนๆไป เหอะๆ

5
darkius 9 ธ.ค. 62 เวลา 22:02 น. 3-1

เชื่อเถอะครับ เดี๋ยวก็จะมีคนทักว่าตอนนั้น ตอนนี้ หรือพลอตแบบนี้ มาจากนิยายเรื่องนี้หรือเปล่า ถ้านิยายเรื่องนั้นเคยเขียนมาก่อน

0
มัณทนา[ชิปกับเดลขายของในคลอง] 9 ธ.ค. 62 เวลา 22:19 น. 3-2

3-1 ของเราเจอแบบพีคสุด คือ

มีคอมเมนต์บอกว่าลักษณะการบรรยายของเราเหมือนพระไตรปิฎก

What ? เราเขียนแฟนฟิคการ์ตูนญี่ปุ่นนะคะ

ไม่ใช่แฟนฟิคที่อ้างอิงประวัติของพระพุทธเจ้าในพุทธประวัติกับพระไตรปิฎก

เราไม่รู้ว่าคนที่คอมเมนต์เป็นชาวพุทธที่คลั่งศาสนาเหรอเปล่า

คงแยกไม่ออกระหว่างพระไตรปิฎก คัมภีร์ของศาสนาพุทธและแฟนฟิคกับนิยาย

เราไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกนะคะ

เราอ่านแต่คัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์กับไตรภูมิพระร่วง

ถ้าหนังสือเกี่ยวกับศาสนาพุทธ เราอ่านเฉพาะไตรภูมิพระร่วงเท่านั้น

ส่วนพวกหนังสือสวดมนต์ สมัยเรียนประถมกับสมัยเรียนมัธยมต้น

เราเคยชอบอ่านมากและต้องใช้ในการสวดมนต์ไหว้พระทำนองสรภัญญะทุกวันศุกร์

แต่พอมาเรียนมัธยมปลายและจนถึงปัจจุบัน เราเทค่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้เอาไปบริจาค

พวกหนังสือธรรมะกับพระไตรปิฎก เราไม่อ่่านค่ะ ไม่ถูกจริต

เพราะเราไม่ใช่พวกคลั่งศาสนาและไม่ได้ศรัทธาศาสนาพุทธแบบเถรวาท

เราศรัทธาเฉพาะลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า และศาสนาพุทธแบบมหายานตามธรรมเนียมจีน

ศาสนาคริสต์ และศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเท่านั้น

0
darkius 9 ธ.ค. 62 เวลา 22:40 น. 3-3

3-2 ผมนี่จินตนาการไม่ออกเลย บรรยายแบบพระไตรปิฏก ยังไงกันล่ะนี่

0
มัณทนา[ชิปกับเดลขายของในคลอง] 9 ธ.ค. 62 เวลา 22:50 น. 3-4

3-3 คงจะประมาณ "ดูกรอานนท์ บลาๆๆๆๆๆ ตถาคต"

เวลาเราอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานชาดกและเรื่องราวต่างๆที่บันทึกในพระไตรปิฎก

จากหนังสือเล่มอื่นที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธกับนิทานชาดก

จะเจอประโยคที่ขึ้นต้นด้วยว่า "ดูกรอานนท์" ตลอด

0
keaw_igot7 12 ธ.ค. 62 เวลา 18:42 น. 3-5

เหมือนกันเลยค่ะ ชอบประโยคนี้มาก "หยุดก่อนอานนท์"แต่ไม่ได้เอามาเขียนนิยายนะ เอาไว้ล้อชื่อเพื่อน555

0
ปล่อยอึ่ง 9 ธ.ค. 62 เวลา 21:07 น. 4

แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่าต่างชาติอาจจะลอกคนไทยไปก็ได้


เห็นอะไรก่อน ก็คิดว่าเป็นต้นฉบับแล้วรึ


คนสองคนไม่เคยรู้จักกัน แต่ดันคิดเหมือนกัน นี่คือลอกงั้นรึ


คิดได้ก่อนแต่เขียนทีหลัง คิดได้ทีหลังแต่เขียนก่อน ใครลอกใครไม่ลอกดูกันตรงไหน


***ถ้าคุณยังอยู่ ไม่ว่าคุณอยู่ไหน ไม่ว่าคุณเป็นใคร โปรดจงตอบคำถาม

2
white cane 10 ธ.ค. 62 เวลา 12:49 น. 4-1

ถูกใจมากเลย เพราะอ่านกระทู้แล้วรู้สึกว่าเหมือนคนไทยถูกกล่าวโทษก่อนเป็นอันดับแรก เหมือนกับว่าเดินไปซื้อข้าวราดแกงร้านที่หนึ่ง กินจนอิ่มแล้วเดินต่อไปเจอข้าวร้านแกงร้านที่สอง ก็คิดในใจแล้วว่า ร้านแรกมันต้องก๊อปปี้ร้านที่สองมาแน่นอน ประมาณนี้

0
ปล่อยอึ่ง 10 ธ.ค. 62 เวลา 21:36 น. 4-2

ผมเคยคิดประมาณนี้


นี่คือมุมมองของคนไทยเราเอง

หากลองมองในมุมของคนต่างชาติดู เขาก็คงจะมีนิยายห่วยๆ หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน เรื่องไหนที่ไม่ดังในบ้านเขา ก็จะไม่ถูกตีพิมพ์และไม่ดังมาถึงบ้านเราอีกที


เกี่ยวกันไหมหนิ เอิ่ม...คงเกี่ยวแหละ


ถ้าพูดเรื่องพล็อตหรือโน่น นี่ นั่น ผมว่าบางทีอะไรที่มันเป็นของไทยก็อาจจะเป็นที่รู้จักหรือนิยมชอบอยู่ในระดับหนึ่งเหมือนกันนะ เพียงแต่เราอาจจะมองข้ามมันไป หรือไม่ก็ดูถูกของของตัวเองไปเลย เช่น หาว่าเราโง่แล้วไปลอกผลงานคนอื่นมา


เอ้า ไปกันใหญ่ล้ะ


0
Nonnoi01 9 ธ.ค. 62 เวลา 21:20 น. 6

เอาจริงๆ นะครับ รู้สึกว่า "เป็นเรื่องปกติครับ"


ผมมองว่านิยายมันก็มีแนวของมันชัดเจนอยู่แล้ว เช่นแนวแฟนตาซี แนวรัก แนวตลก บลาๆ ต่อให้เป็นใครที่ไหนเขียนเขาก็ต้องเขียนตามแนวที่เขาชอบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันต้องเกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความซ้ำ หรือ ความจำเจ" อยู่แล้วครับ


ส่วนที่บอกว่าเป็นแนวใหม่ และแนวที่แตกต่าง อันนี้ผมก็ยังคงมองว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรหรอกถ้าดูที่แก่นจริงๆ เราก็จะพบว่ามันหนีไม่พ้นแนวหลักอยู่แล้ว


ดังนั้นผมคิดว่านักเขียนนิยายทุกคนไม่เคยคิดจะลอกพล็อตของใครหรอกครับ ถ้าลองมาเป็นนักเขียนแบบจริงๆ จังๆ ดูจะรู้ว่าเขารักนิยายของตัวเองมากขนาดไหน เขารักจนไม่อยากให้นิยายของตัวเองต้องโดนคนตราหน้าว่า "ลอก" เขามาหรอกครับ


แต่ผมก็เข้าใจความเห็นของ จขกท. นะครับ เพราะอดีตผมก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่พอได้มาแต่งนิยายแบบจริงๆ จังๆ ดูแล้วบอกตามตรงว่ากลัวมากๆ เลยที่นิยายของตัวเองจะโดนคนอื่นด่าว่าลอก แต่ก็ตามที่ผมบอกไปข้างต้นแหละครับ แนวหลักๆ ของนิยายมันก็มีอยู่แค่นั้น จะเกิดการซ้ำ หรือ จำเจ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ผมว่าดูที่ตัวเนื้อเรื่องและความสนุกส่วนตัวคนอ่านดีกว่าครับ ^^

0
darkius 9 ธ.ค. 62 เวลา 21:56 น. 7

ต่อให้พยายามคิดแทบตาย สุดท้ายมันก็จะบังเอิญไปคล้ายกับนิยายเรื่องดังไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


อย่างเรื่องแรกที่ทำเงินให้ผม ที่ชื่อเรื่องถึงเกิดอีกครา... ชื่อจอมเวทเจ็ดดาราที่คิดเอาไว้ ก็มีคนทักว่าคล้ายๆกับกลุ่มจอมเวทในเรื่องเซียนจอมเวท ทั้งที่ผมเคยอ่านเรื่องเซียนจอมเวทแบบผิวเผิน


ส่วนเรื่องล่าสุดที่เขียน ศัตรูของมนุษยชาติ ก็ดันมีนิสัยและการวางเขตแดนคล้ายๆกับเกม Death Stranding อีก ทั้งที่ผมเขียนเรื่องล่าสุดมาก่อนที่จะมีคนแคสเกมนี้เสียอีก


และอีกหลายอย่างครับ ที่มีคนทักว่าคล้ายนั้นคล้ายนี่ ทั้งที่ผมไม่เคยอ่านเรื่องนั้นเลยก็มี

0
kurozuki 9 ธ.ค. 62 เวลา 22:00 น. 8

เราก็ยอมรับตรง ๆ แล้วกันว่าเราลอกเอาพล็อตส่วนหนึ่งของ The autopsy of Jane Doe มาแล้วเอามาดัดแปลงเนื้อหาให้ต่อเนื่องกับพล็อตต่อมาซึ่งก็เอามาจาก Mummy 2017


ถ้าถามว่าทำไมถึงไปเอาพล็อต The autopsy of Jane Doe ก็เพราะเราคิดพล็อตเปิดเรื่องของตัวเองไม่ออกจริง ๆ เลยต้องไปเอาพล็อตของเขาส่วนหนึ่งมาเป็นปรับเป็นรูปแบบของตนเอง


ถ้าคุณสนใจก็ไปลองอ่านดูได้ว่าที่เราเขียนมันลอกมาทั้งดุ้นหรือเปล่า


http://writer.dek-d.com/degel01/writer/view.php?id=2023954


เราก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุุณจะวิจารณ์เรื่องของเรายังไง





0
A.L. Lee 9 ธ.ค. 62 เวลา 22:06 น. 9

เราเคยซีเรียสกับการลอกมาก ๆ มาก่อน แต่พอนึกไปนึกมา ไม่ว่าวงการไหน จะวรรณกรรม ดนตรี ศิลปะ พอมาชำแหละเอาดี ๆ มันก็ลอก ดัดแปลง วนเวียนกันไปมานั่นแหละ


จะบอกว่าเขียนแนวกระแส พล็อตโหลจนไม่รู้ว่าได้ไอเดียจากเรื่องไหนมา ไม่ถือว่าผิด แต่ได้ไอเดียจากเรื่องที่แตกต่างถือว่าผิด?

ซะงั้น ?? ไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยไหม?


จะหาว่ากินปูนร้อนท้อง ก็ได้ ยอมรับตรง ๆ แบบ คห.บน เลยว่า นิยายที่เราเขียน มีเรื่องที่จุดประกายทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย แต่เราแค่เอามาเป็นไอเดียตั้งต้นเท่านั้น หลังจากนั้นก็คิดโครงเรื่อง พล็อตย่อยต่าง ๆ เอาเอง ซึ่งมันจะไปบังเอิญซ้ำกับหนังหรือนิยายเรื่องไหน เราไม่อาจตรัสรู้ได้ เพราะชีวิตนี้อ่านนิยาย ดูเมะ ดูซีรีส์ ดูหนัง เป็นร้อยเป็นพันเรื่อง ไอเดียในหัวเรามันก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้เสพมาเขย่ารวมกันนั่นแหละ หรือคุณจะบอกว่าคุณสามารถเขียนนิยายได้โดยไม่ได้รับอิทธิพลจากงานที่คุณเคยอ่านมาก่อนเลยซักเรื่องเดียว เป็นไปได้จริงเหรอ


ที่รับไม่ได้ คือก็อปของคนอื่นมาทั้งดุ้น เช่น อาจจะก็อปข้อความของงานเขียนคนอื่นมาใ้ช้ทั้งย่อหน้า หรือนิยายเหมือนคนอื่นฉากต่อฉาก อันนี้คงโดนเละ


แต่ถ้านักเขียนได้ไอเดียมาจากเรื่องไหนๆ ก็ตาม แล้วเอามาตกตะกอน สร้างสรรค์ใหม่ด้วยสมองตัวเอง ถึงมันจะไปคล้ายกับเรื่องอื่นๆบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร


กลัวซ้ำมากก็ไม่ต้องเขียนกันพอดี

2
kurozuki 10 ธ.ค. 62 เวลา 03:16 น. 9-2



มันปรี๊ดแตกเหมือนมีคนมาพยายามจับผิดนิยายเราเลยยอมรับมันตรง ๆ แล้วก็สบายใจดี--ใครใคร่อ่านใครไม่อยากอ่านหรือตามจับผิดก็บอกไปตรง ๆ ว่าเอามาจากเรื่องไหน

0
Goldgoldbob 9 ธ.ค. 62 เวลา 22:16 น. 10

เท่าที่เราสังเกตุ แบบนิยายเรื่องไหนเป็นกระแส ก็จะเกิดการเขียนคล้ายๆกันออกมาเพื่อเรียกเรทติ้ง ซึ่งเราเห็นบ่อยตามนิยายรัก มีเรื่องไหนดังขึ้นมา เรื่องอื่นๆของนักเขียนท่านอื่นก็จะมีพล็อตออกมาคล้ายๆกัน แต่การดำเนินเรื่องหรือการบรรยายจะต่างกัน แต่มันก็มีส่วนหนึ่งที่คิดเองโดยที่ไม่เคยอ่านเรื่องนั้นๆมาก่อน บางทีมันก็บังเอิญไปเหมือนเอง

0
sutanainight 9 ธ.ค. 62 เวลา 23:03 น. 11

เอาจริงๆ เรื่องพล๊อตซ้ำ และการนำไอเดียมาต่อยอด ผมมองว่ามันเป็นเรื่องสีเทาๆ อยู่แล้วครับ ไม่ใ่ชแค่วงการนักเขียนเท่านั้น ทั้งวงการเกมส์ ภาพยนต์ ตลอดจนแต่งเพลง เราก็จะเห็นๆ กันบ่อยว่าบางทีพล๊อตเรื่องจะมีความคล้ายคลึงกันบ้าง ในด้านภาพยนต์ผมจะยกตัวอย่างหนังอย่าง white house down กับ olympus has fallen ซึ่งถ้าใครได้ชมภาพยนต์ทั้งสองเรื่องก็จะ อ้อ ทันทีว่าเค้าโครงเรื่องหลักมันโครตจะเหมือนกันเป๊ะ! ต่างกันที่อรรถรสและการดำเนินเรื่อง ที่ทั้งสองเรื่องนั้นมีต่างกัน แต่ในแง่เบื้องลึกก็หนีไม่พ้น การแข่งขันทางธุรกิจ แหละครับ ในส่วนเกมส์ ก็จะคล้ายๆ กับวงการนักเขียนเลย เกมส์ไหนกระแสดัง ก็จะจูงผู้เล่นได้เยอะ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นเกมส์ที่มีสไตล์คล้ายๆ กันออกมาเยอะมาก เพราะผู้เล่นนิยมเล่นเกมส์แนวนี้ จึงทำยอดขายได้ ส่วนนิยายก็จะคล้ายคลึงกัน นิยายที่มีพล๊อตในกระแสก็จะดึงดูดผู้อ่านได้สูงกว่า นิยายนอกกระแส นักเขียนหลายคนจึงเลือกที่จะเขียนนิยายตามกระแส ซึ่งแน่นอนพล๊อตมันจึงอาจมีซ้ำและใกล้เคียงกันบ้างเป็นเรื่องปกติ ให้นึกว่าแต่ละวันมีนิยายที่คนเขียนใหม่เกิดขึ้นทุก 1 แสนเรื่องทั่วโลก มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่แต่ละเรื่องจะมีการดำเนินเรื่องที่ไม่ซ้ำกัน แต่ สิ่งที่เขารับกันไม่ได้คือการ ลอก มาทั้งดุ้นเลย 80% ของเนื้อหาหากมีการคล้ายคลึงกับนิยายเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกินไป อันนี้ผมก็มองว่าผู้เขียนมีเจตนาที่ไม่ดีละ ยกตัวอย่างวงการงานวิชาการที่ผมตีพิมพ์งาน งานวิชาการส่วนใหญ่เราจะยึดแนวคิดของผู้ทำวิจัยก่อนหน้าเป็นหลัก (Ref) แล้วนำมาประยุกต์กับวิธีการที่เราคิดใหม่ หรือเสริมแต่งของเขาให้ได้ของใหม่ จึงจะเห็นว่าในสายงานวิชาการเราก็มีการใช้พล๊อตจากคนอื่น มาประยุกต์กับงานของเราเหมือนกันครับ แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์เดียวกันว่างานวิจัยที่เราทำต้องไม่เหมือนกับงานวิจัยก่อนหน้ากี่ % ก็ว่ากันไป ผมเลยมองว่าที่เจ้าของกระทู้ว่ามา อาจจะเน้นไปที่การ ลอก งานใช่มั้ยครับ ซึ่งถ้าเขาลอกมาทั้งหมด อันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยครับ แต่ถ้าเป็นแค่จุดใดจุดหนึ่ง ถ้าเราเป็นแฟนนิยายเขา ก็อาจจะถามเขาไปตรงๆ ก็ได้ครับ ว่าได้ไอเดียจากไหน เพราะจริงๆ แล้วนักเขียนเขาอาจจะหยิบยืมไอเดียเล็กๆ น้อยมาปั้นแต่งเพิ่มเติมก็ได้ครับ ^ ^

0
ทิตภากร : กันต์ระพี 10 ธ.ค. 62 เวลา 02:43 น. 14

ถ้าเราคิดได้ คนอื่นก็คิดได้เช่นกันค่ะ


อย่าลืมว่า...เราไม่ได้คิดพล็อตเก่งคนเดียวในโลกเสียที่ไหน อีกอย่างนิยายไม่ว่าจะแนวไหนก็มีพล็อตไม่หนีกันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็มาจากประสบการณ์ตรงที่ดูหนัง ดูละคร หรือไม่ก็อ่านหนังสือกันทั้งนั้น ถ้าการเดินเรื่องเหมือนเกิน 80% หรือฉากทุกฉากเหมือนเป๊ะๆ เกิน 15 ฉาก อืม...อันนั้นน่าคิด

อย่าว่าแต่ไทยลอกเทศเลยค่ะ แม้แต่เทศลอกไทยก็ยังมี มันมีมานานมากแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าเหมาะรวมว่ามีแต่ไทยทำ อย่างฉากนางเอกล้มจูบปากพระเอกก็เห็นเป็นประจำทั้งไทยทั้งเทศ ถ้าบอกว่าฉากเบสิกๆ อย่างนี้เป็นการลอกคงไม่ต้องเขียนกัน เว้นแต่ว่าพล็อตมันจะแปลกแตกต่างถึงขนาดร้องว่า...เฮ้ย! ใช่หรือวะ อันนั้นค่อยมาว่ากันอีกที

0
White Frangipani 10 ธ.ค. 62 เวลา 02:51 น. 15

รู้สึกยังไงครับเวลารู้ว่านิยายที่เรารู้สึกว่าสนุกความจริงแล้วลอกพล็อต/ไอเดียของต่างชาติมา



สวัสดีค่ะ คุณเจ้าของกระทู้


คือผมเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ค่อยอ่านนิยายคนไทยเขียนนะครับ ไม่ใช่เพราะดูถูกคนในชาติอะไรหรอก


ช่างน่าเสียดายแทนคุณ มากมายเลยด้วยค่ะ


วรรณกรรมมากมายของไทย ซึ่งบรรพบุรุษได้เคยสร้างสรรค์เรียบเรียงไว้นะคะ มีอยู่มากมาย ซึ่งเป็นผลงานที่ดี มีคุณค่า สามารถจรรโลงจิตใจให้ผู้เสพ ได้เป็นอย่างดี


ช่างน่าเสียดาย แทนคุณ ที่คุณพลาดค่ะ


แค่รู้สึกว่าพล็อตมันเดิมๆ วนอยู่ในอ่าง นานๆ ทีจะเจอเรื่องแหวกๆ น่าสนใจ โผล่มาให้อ่าน


ความที่พล็อตออกมาเดิมๆ เพราะเป็นเรื่องราวที่ผู้คนนิยม และยอมรับไงคะ จึงเกิดความเดิมๆ และทำซํ้าๆ จากหลายๆ ยุคหลายๆสมัย ทำออกมาเมือไร ก็มีผู้คนมากมายยอมรับ


แบบนี้แล้ว ไม่เป็นหลักฐานได้อีกหรือคะว่า เรื่องราวของไทยมีดีอยู่จริง


หากไม่ดีจริง ก็ขายไม่ได้ ไม่มีคนดู ไม่มีคนอ่านสิคะคุณ



หรือคุณว่าไงคะ?



หลายครั้งแล้วที่เจอเรื่องที่”แตกต่าง”

เอ้ย เจ๋งว่ะ ไอเดียดีนะ คนไทยก็คิดได้นี่นา เก่งๆ ตามๆ

ผ่านไปสักพัก.. บังเอิญไปเจอมังงะ-นิยายเวปต่างประเทศ อ้าว ทำไมมันเหมือนกันเลยละ... คือไม่เหมือนแบบเป้ะหรอก แต่ใจความหลักกับจุดขายมันเหมือนกัน

จะแถว่าไม่ได้ลอก แต่เป็น”แรงบันดาลใจ”มันก็ได้อยู่หรอก แต่เล่นไปเอา “แรงบันดาลใจ” ที่เป็นหัวใจ เป็นจุดขายของนิยายเขาทั้งเรื่องมาใช้มันก็เกินไปนะครับ


อยากบอกคุณว่าทั้งหมดที่คุณกล่าว(บอกเล่า)มา เป็นความคิดเห็นของคุณเป็นส่วนบุคคล ทั้งสิ้นนะคะ


เพราะจริงแล้ววรรณกรรมมากมายของไทย ซึ่งประสบความสำเร็จ มิได้ลอกใครมา


และมิได้นำแรงบันดาลใจมาจากประเทศไหนๆ ทั้งสิ้นค่ะ


สาเหตุเพราะคุณไม่เคยดู ไม่เคยอ่านเรื่องราวของไทยสินะคะ คุณจึงไม่รู้ได้


เอาแบบนี้ดีกว่า จะยกเรื่องราวตัวอย่าง บางเรื่อง ซึ่งถูกสร้างเป็นละคร ที่ดี มีคุณภาพมาให้คุณดูดีกว่านะคะ


ทั้งหมดข้างล่างนี้...เจ้าของเม้นต์นี้ ไม่เคยเห็นเป็นวัฒนธรรมการสร้าง หรือการเรียบเรียง เรื่องราว คาแร็คเต่อร์ พล็อต หรือวัฒนธรรม ซึ่งมีแฝงอยู่ในเรื่องที่ยกมานี้ จากประเทศใดๆ มาก่อนเลย สักครั้งในชีวิตค่ะ


ทั้งที่เจ้าของเม้นต์ก็พยายามจับตาดูมาตลอด และทั่วถึง


คุณดูนะคะ


ความเป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่าของไทย


และความเป็นไทย วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงาม ความเชื่อ ความศรัทธาในความดี ความมีศีลธรรม คุณธรรม


แม้ความรักซึ่งเป็นความรัก ความจริงใจ ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีีอันดีของตัวละคร


สิ่งดีๆ ของไทยนี้ ได้ถูกนำมาบรรจง เรียบเรียบ ทักทอ ก่อ สาน ไว้เพื่อก่อเกิดเป็นวรรณกรรมอันลํ่าค่าของไทย...ซึ่งไม่เหมือนของชาติใดๆ ในโลกค่ะ คุณเจ้าของกระทู้


คือวิธี หรือรูปแบบ หรือวัฒนธรรมการสร้างสรรค์วรรณกรรมที่มีคุณค่าของไทยค่ะ


คุณตั้งใจดู คลิป ละคร เหล่านี้ ซึ่งเป็นผลงานของไทยนะคะ


ตั้งใจดู ตั้งใจฟัง หลายๆ รอบนะคะ


คุณอาจจะจะสามารถสัมผัสคุณค่า ซึ่งจะสามารถเกิดขึ้นได้ ต่อความรู้สึกของคุณ ผ่านผลงานเหล่านี้บ้างก็เป็นได้ค่ะ





















รู้สึกเฟลมากเลยครับที่เคยหลงชื่นชมนักเขียนพวกนั้นไป

คือรู้สึกเหมือนได้ความหวังว่านักเขียนเราเก่ง ไอเดียดี แต่สุดท้ายก็มาเจอความจริงแบบนี้ รู้สึกแย่มากเลยครับ


เจ้าของเม้นต์นี้เข้าใจว่าเหตุที่คุณรู้สึกเฟล เพราะคุณไม่มีภูมิต้านทาน...นั้นแท้จริง ตัวคุณเอง เป็นสาเหตุค่ะ


คุณเองค่ะที่เวิ้งว้าง เกี่ยวกับวรรณกรรมไทย เป็นเหตุค่ะ


เพราะคุณเวิ้งว้าง คุณจึงโหวงเหวง รู้สึกไร้ซึ่งแก่นสาร เกี่ยวกับเหตุดังกล่าว ด้วยสาเหตุุที่คุณไม่มีข้อมูลที่แท้จริง คุณไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่คุณคิด...คุณจึงเกิดอาการกลวง และ แน่นอน ในที่สุด คุณก็เกิดอาการความรู้สึก เช่นที่คุณเป็นอยู่นี้เป็นธรรมดาค่ะ


เจ้าของเม้นต์นี้แนะนำคุณว่า ขอให้คุณพยายามมองสิ่งที่ใกล้ตัวไว้ก่อน น่าจะดีกว่า สำหรับคุณค่ะ


เพราะจริงแล้ววรรณกรรมเทศนะคะ ส่วนใหญ่ ทำ สร้าง หรือสร้างสรรค์ เพื่อโกยเงินอย่างเดียว เสียมากกว่าค่ะ


เพราะการโกยเงิน ชนิด ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเต็มนะคะ เป็นวัฒนธรรม เป็นประเพณี เป็นขนบธรรมเนียมของเขา ของคนส่วนใหญ่ นั้นเองค่ะ


คุณไม่รู้เรื่องนี้จริงหรือคะ?


ซึ่งต่างจากวรรณกรรมของไทย ที่มีวัฒนธรรมการสร้างสรรค์ด้วยจิตใจ และจิตวิญญาณ ด้วยการรวมเอาสิ่งดีๆ เข้าไปมีส่วนร่วม นั้นเป็นความจริงนะคะ


ดั่งคำ ซึ่งนักเขียนผู้มีผลงานทั้งหลายได้กล่าวขึ้นเสมอๆ ว่า ผลงานที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมานั้นๆ ให้อะไรกับคนอ่าน หรือให้อะไรกับสังคมบ้าง?

 ไงคะ


ยกตัวอย่างนะคะ ดูหนังเทศ บางครั้งดูจบ เดินออกจากโรงหนังนะ เดินตกตํ่า ตกสูง แทบหาทางกลับบ้านไม่ถูกเลยด้วยค่ะ

สาเหตุเพราะเกิดความเวิ้งว้าง โหวงเหวง เพราะความที่มันไร้สาระ หาแก่นสารไม่ได้ ในสิ่งที่เราเสพเข้าไป จนสติสตังจับจุดไม่ถูกเลยด้วยค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า (หัวเราะด้วยนํ้าตา เสียเงิน เสียเวลา เสียความรู้สึก โดยเปล่าประโยชน์)



คือรู้สึกเหมือนได้ความหวังว่านักเขียนเราเก่ง ไอเดียดี แต่สุดท้ายก็มาเจอความจริงแบบนี้ รู้สึกแย่มากเลยครับ


อีกไม่นานหรอก เขาทั้งหลายจะต้องเอาแบบอย่างวรรณกรรมของไทยอย่างยิ่งยวด...


เมื่อคนส่วนมากของเขาเกิดเป็นมัมมี่...หรือเป็นซอมบี้...คือเกิดเป็นคนที่ไม่มีจิตใจ ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีีวัฒนธรรม ไม่มีจริยธรรม ไม่มีขนบธรรมเนียม ไม่มีประเพณี ที่ดีงามเป็นกรอบ หรือเป็นแนวทางให้เขาทั้งหลายได้หยึด หรือได้เดินอีกต่อไป หลังจากที่เขาทั้งหลายเฝ้าสร้างสิ่งไร้สาระ ในการหาผลประโยชน์โดยง่าย เพื่อโกยเงินกันมางานพอสมควรแล้ว โดยที่ไม่คิดถึงผล...ที่แท้จริงของมัน


คุณคอยดูต่อไปก็แล้วกัน


ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น...จะเร็วหรือช้า เท่านั้น


เจ้าของเม้นต์นี้ มีมุมมอง มีความเชื่อ แบบนั้นค่ะ


ซึ่งแน่นอนเป็นมุมมองที่ต่างจากของคุณ


หวังว่าคุณจะรับได้ ในความคิดเห็น และมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งเจ้าของเม้นต์ส่งเข้ามาแลกเปลี่ยน ต่อกัน และกัน ภายใต้เม้นต์นี้นะคะ


ขอเป็นกำลังใจให้คุณ ขอให้คุณสามารถรู้สึกได้ว่า คุณสมควรที่จะเสพวรรณกรรมดีๆ ของไทยไว้บ้าง ซึ่งจะเกิดเป็นผลที่จะทำให้คุณเป็นคนที่มีความรู้สึกอบอุ่น ละมุนละไม ซึ่งเราเรียกว่าความสุข ภายในของคุณเอง ด้วยการเสพวรรกรรมในรูปแบบต่างๆ ของไทยค่ะ


เป็นกำลังใจค่ะ


https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-01.pnghttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-02.png


0
kurozuki 10 ธ.ค. 62 เวลา 06:18 น. 16

ขอระบายเพิ่มอีกนิดนะ...หลังจากปรี๊ดแตกมาแล้วรอบหนึ่ง...


คุณอยากรู้ไหมว่าทำไมเราถึงลอกพล็อต (ตามความเข้าใจของคุณ) The autopsy of Jane Doe มาเป็นพล็อตเปิดเรื่องของเรา...ถ้าไม่อยากอ่านก็ลบความคิดเห็นของเราไปเลยแล้วก็จงเชื่อว่าเราแถต่อไป...


ความจริง...เราตั้งใจอยากจะเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับยุคล่าแม่มดนี่มานานแล้ว ตั้งแต่เด็กเลยล่ะ...จะเรียกว่าฝังใจมากเลยก็ว่าได้


ในประวัติศาสตร์พวกต่างชาติในยุคล่าอาณานิคม--เขาดูถูกพวกเราว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ไร้อารยธรรมแล้วพวกเขาล่ะ...


ในหน้าประวัติศาสตร์ของพวกเขาช่วงศตวรรษที่ 13--พวกเขาจัดการพวกเห็นต่าง นอกคอก หรือแม้กระทั่งการแย่งชิงสมบัติด้วยข้อหาง่าย ๆ ว่าเป็นพ่อมดแม่มดหรือบุตรแห่งซาตาน และเมื่อคนเหล่านั้นปฏิเสธก็ถูกจับทรมานชนิดตายเสียดีกว่าอยู่


คนที่ไม่ผิดแต่โดนทรมานขนาดนั้นก็ต้องยอมรับในความผิดที่ไม่ได้ก่อขึ้นเพื่อจะได้ตาย ๆ ไปซะ!


เราไม่สามารถคิดพล็อตที่จะเชื่อมโยงเรื่องนี้มาสู่ยุคปัจจุบันได้ คือถ้าให้เราเขียนมันจะจบในอดีตไม่สามารถสะท้อนถึงสังคมปัจจุบันได้


จนกระทั่งเราได้เจอพล็อต The autopsy of Jane Doe นั่นแหละคือพล็อตในยุคมืดและโยงมาสู่ยุคปัจจุบันได้


เพราะในความคิดของเราแล้ว-- Jane Doe คือตัวแทนผู้บริสุทธิ์ในอดีตที่ถูกยัดข้อหาแม่มด และมันก็ได้เปลี่ยนจากผู้บริสุทธิ์กลายเป็นแม่มดไปจริง ๆ และนางพยายามที่จะดิ้นรนกลับมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง


เราจึงลอก (ตามความคิดของคุณ) พล็อตนี้มาเป็นพล็อตเปิดเรื่องของเรา


นี่คือความคิดที่เราต้องการแสดงออกมาทางงานเขียนของเราและเชื่อมโยงเรื่องต่าง ๆ ที่เราคิดว่าน่าสนใจให้เป็นพล็อตที่เราต้องการสื่อในความคิดที่เป็นแบบของตนเอง


สุดท้ายนี้...ถ้าคุณยังคงคิดว่าเราแถและเห็นเป็นเรื่องไร้สาระจะลบความเห็นของเราก็ตามสบายไม่ว่ากัน แต่เราขอยืมพื้นที่นี้ในการบอกเล่าข้อเท็จจริง หรือคุณอาจจะบอกว่าเป็นการแถก็ตามใจ

0
kurozuki 10 ธ.ค. 62 เวลา 07:07 น. 17-1

กล้าลอกมาทั้งดุ้นเลยเหรอ? นางไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหนเนี่ย!?

0
kurozuki 10 ธ.ค. 62 เวลา 08:11 น. 17-3

เรื่อง ghostwriters หรือนักเขียนเงานี่เราก็แค่เห็นแต่ในหนังแบบคนใหญ่คนโตจ้างให้มาเขียนหนังสือให้ แต่คุณก็ต้องไกด์ไลน์ให้เขานะว่าจะเขียนเกี่ยวกับอะไร เขียนเสร็จก็จ่ายเงินแล้วเครดิตผลงานก็เป็นของคนจ้าง


ถ้านางจ้างให้เขาเขียนจริง ๆ (ตามที่นางอ้าง) แสดงว่านางแทบจะไม่ได้กำหนดไกด์ไลน์อะไรให้เลย...เขาเลยก็อปงานคนอื่นมาให้แถมนางยังไม่ตรวจทานหรือเอะใจอีก...


มีเรื่องงามหน้าขนาดนี้ก็ไม่น่าแปลกใจแล้วล่ะ!

0
Sixtyone 10 ธ.ค. 62 เวลา 14:20 น. 17-4

ตัวอย่างที่คุณยกมา นักเขียนจีนก็มีล่ะ เราไม่ได้อ่านงานเองแต่งานนั้นถูกแปลเป็นไทยแล้วก็เลยมีพูดกันในวงการ ตอนต้นเรื่องนักเขียนคนนั้นเขียนเอง พอเริ่มดัง นักเขียนเกิดขี้เกียจมั้ง เลยไปก๊อบปี้งานบนอินเทอร์เน็ตมาใส่ในนิยายตัวเอง สุดท้ายนักอ่านก็จับได้ (นักอ่านจีนเองนั่นแหละที่จับได้) และมีบางจุดที่เรารู้สึกว่าตลกคือ คนแปลเรื่องนั้นออกมาเขียนคอมเมนต์ว่า นักเขียนเขียนงานไม่รู้เรื่อง ใช้คำวกวน อารมณ์ประมาณไม่รู้ว่าต้องการจะสื่อความหมายอะไร

0
kurozuki 10 ธ.ค. 62 เวลา 15:04 น. 17-6

ถ้าคิดจะโบ้ยให้นักเขียนเงานี่คงยากหน่อยล่ะ--เพราะเขาคงไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นและดีไม่ดีโดนพวกนั้นย้อนศรกลับ เพราะคนที่จะทำอาชีพนี้ได้ต้องแบ๊กดีมาก ทำงานให้คนใหญ่คนโตก็เยอะ...


ไม่ใช่อยู่ในวงการนักเขียนเท่านั้นที่อยู่ไม่ได้แม้แต่อาชีพทนายความที่เคยทำนี่ถ้าจะไปไม่รอดเหมืิอนกัน


ไม่ต้องสนใจกระทู้จิตตกนี้--เราแยกกระทู้ไปคุยเรื่องพวกนักเขียนเงาแบบจริงจังกันดีไหม? (ขำ ๆ นะ...อย่าซีเรียส)

0
ponasd 10 ธ.ค. 62 เวลา 11:24 น. 18

พล็อตมันก็วนๆอยู่แถวๆเดียวกันนั่นหละ

แต่สิ่งที่สำคัญคือ รูปแบบ/จังหวะ/คำ/การเขียน ที่ลอกกันไม่ได้แน่ๆ--ใครมันจะไปเขียนเหมือนกันได้ทุกย่อหน้า

ถ้าซีเรียสเรื่องพล็อตมากๆ...รู้จัก กาเหว่าที่บางเพลง ป่าวว

0
white cane 10 ธ.ค. 62 เวลา 12:55 น. 19

ถ้าเจ้าของกระทู้คิดแบบนั้น นั่นก็แสดงว่าตำนาน เรื่องเล่า และนิทาน ที่เอามาดัดแปลงเขียนขึ้นมาใหม่ก็ต้องลอกกันทั้งโลกแล้วสิครับ อย่างเช่น นิยายเรื่องไหนมีมังกร หรือมนุษย์หมาป่า หรือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง มันก็ต้องลอกจากคนยุคโบราณมาหมดเลยใช่ไหม ?

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

มีข้อความหยาบคาย ใช้ภาษาไม่เหมาะสม