Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิว! BALAC Round 1/2020

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ดีฮะะ นี่คือประสบการณ์จากข้าพเจ้าที่ติด Balac แล้วนะค้าา (ดีใจแป๊ป ) ทุกคนที่เล็งที่นี่ไว้ก็คงรู้ๆกันอยู่แล้วเนอะว่าการสัมภาษณ์ของ Balac เป็นอะไรที่สำคัญมากๆๆๆๆ เราก็เคยอยู่ในจุดที่นั่งอ่านรีวิวของรุ่นพี่เหมือนกัน วันนี้ก็เลยได้ฤกษ์มาเขียนรีวิวเองบ้าง เป็นความรู้ให้น้องรุ่นต่อๆไปนะจ๊ะ เริ่มเลยจ้าา!

การยื่นคะแนน

สามารถดูรายละเอียดได้ทางเว็บ https://www.arts.chula.ac.th/~balac/web/Procedures-Balac

เรายื่น CU-TEP 106 กับ CU-AAT (Verbal) 660 น้าา แต่สำหรับใครที่คะแนนผ่านเกณฑ์นิดเดียวหรือคาบเส้น ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะที่นี่ตัดคะแนนจากสัมภาษณ์ 100% ไม่มีข้อเขียนด้วย(รอบ 1)ใครยื่นคะแนนไปถ้าถึงเกณฑ์มีสิทธิ์สัมภาษณ์ทุกคนค่าา

》On to the interview! 》

Prior to the interview

️วันสัมภาษณ์ห้ามลืมบัตรประจำตัวสอบกับบัตรประชาชนเด็ดขาด ไม่งั้นไม่มีสิทธิ์สอบนะจ๊ะ️

ควรไปถึงก่อนเวลาสัมภาษณ์ครึ่งชั่วโมง เราได้คิว 11.00 น. ไปถึงประมาณ 10 โมง 10 (เร็วไปนิด) ช่วงรอคิวจะนั่งอยู่ในห้องเก็บตัว เป็นห้องเล็กๆ มีคนอื่นอยู่ประมาณ 4–5 คน ทุกคนนั่งเงียบกันมาก ไม่รู้ว่าอ่านข่าว ซ้อมพูดในใจ หรือว่าเล่นโทรศัพท์เฉยๆ 55555 เราตั้งใจจะอ่านโน้ตที่จดไว้ แต่ทว่าในห้องนั้นมีทีวี…และเปิดสารคดีสัตว์โลก! สมาธิจะเหลือเหรอะจ๊ะ 5555

พอถึงคิวก็จะมีคนมาเรียกออกไปนั่งรอหน้าห้องสัม ประมาณ 10.30 น. คนอื่นก็ถูกเรียกออกไปหมดเหลือเราคนเดียวจ้าาา ก็รอต่อไป ความรู้สึกตอนนั้นคือกึ่งตื่นเต้นกึ่งไม่ตื่นเต้น เพราะติวสัมภาษณ์กับรุ่นพี่มา (พี่เขาช่วยได้เยอะจริงๆทุกคน กราบละ)

สุดท้ายกว่าจะโดนเรียกออกไปก็จะ 11 โมงแล้ว เราก็แอบ เย่ะ!ได้สัมสักที… ปรากฏว่ายังไม่ถึงคิวจ่ะแม่! มีอีกคนนั่งรออยู่เหมือนกัน แต่ก็ดีได้มีเพื่อนคุย และอีกอย่างที่ดีก็คือห้องสัมภาษณ์มันเป็นกระจก มีฝ้าเป็นแถบๆแต่ก็มองเห็นด้านใน! ทำให้เราเห็นว่าเอ้อ ดูชิวจังวะ แบบอาจารย์ดูอารมณ์ดี ขำกันลั่นห้องตลอดเลย สุดท้ายกว่าจะเข้าห้องสัมภาษณ์จริงๆก็ประมาณ 11.45 เลทมาเกือบชั่วโมง! 55555

Interview

เข้าไปอย่างแรกก็ good morning แล้วก็ไหว้อาจารย์ทุกคน เราสัมห้อง 601/18 มีอาจารย์ฝรั่งผู้ชายสูงอายุท่านหนึ่งนั่งตรงข้ามเรา อีกสองท่านเป็นผู้หญิงคนไทย อาจารย์ก็ทักทายยิ้มๆและเชิญให้นั่ง

*นี่ตามที่จำได้ ไม่ได้พูดงี้เป๊ะๆนะ แล้วก็พูดอังกฤษทั้งหมด*

อ. : Could you introduce yourself?

เรา : บอกชื่อ นามสกุล ชื่อเล่น โรงเรียน ชั้น hobbies etc. ตามปกติแล้วก็ตบท้ายว่า I’m interested in joining the Balac programme.

อ. : Oh, and why is that?

เรา : เพราะ Balac สอนเกี่ยวกับสิ่งที่หนูสนใจ คือ language and culture และเป็นโปรแกรมเดียวที่สอนทั้งสองอย่างด้วย course ที่หนูสนใจก็มี Asia/The West and the Making of the Modern Wolrd ถึงแม้รุ่นพี่ที่รู้จักจะบอกว่าเป็นวิชาที่ยากที่สุด แต่โดย context ของมันหนูคิดว่าหนูจะ enjoy เนื้อหาของวิชานี้ เพาาะหนูชอบเรียนประวัติศาสตร์ อยากจะรู้ว่าทั้งตะวันตกและตะวันออก contribute อะไรต่อโลกนี้ตั้งแต่อดีตที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ แล้วก็สนใจ Gender Studies ด้วย สมัยเนี้ยมันไม่ได้มีแค่เพศหญิง เพศชาย แต่มี LGBTQ+ ด้วย และถึงแม้ว่าทั้งโลกกำลังพยายามลด inequality ระหว่างแต่ละเพศ หนูคิดว่าจริงๆแล้วมันยังมีอยู่นะ พวกเรายัง unconsciously being sexist โดยที่เราไม่รู้ตัว (จริงๆอันเนี้ยเกริ่นไว้อยากให้อ.ถามต่อแต่เขาไม่ถาม น่าจะฉอดไปเลย :P) ต่อมาหนูคิดว่า Balac จะเปิดโอกาสมากมายให้กับหนู เช่นการไปเรียนที่ต่างประเทศเพราะที่นี่ encourage ให้ไปแลกเปลี่ยน และก็เป็น international programme ซึ่งจะทำให้ภาษาอังกฤษของหนูดีขึ้นด้วย (ประโยคต่อไปคือพูดเบรกอ.ไว้ก่อนเลย) หนูรู้ว่าจริงๆ ก็มีหลายคณะที่ไปแลกเปลี่ยนได้ แต่ Balac จะสอน keys ในการอยู่ร่วมกับคนอื่นที่ต่างวัฒนธรรม ต่างภาษา ต่างความคิดได้ เพราะเราเรียนเรื่องความเจ้าใจในวัฒนธรรม สุดท้ายหนูอยากจะ challenge ตัวเอง by surrounding myself with talented professors and friends! (อ.ขำตรง talented professors 5555)

อ. : You said here (in your SoP) that culture can cause conflicts. Can you give me an example of that?

เรา : ยกตัวอย่างประเด็นโขนของไทยกับกัมพูชา ว่าเราทะเลาะกันว่าเป็นของใครกันแน่ เพราะมันคล้ายกันมาก เราได้อิทธิพลจากอินเดียเหมือนกัน และเป็นประเทศเพื่อนบ้าน วัฒนธรรมมันก็แลกเปลี่ยนกันตลอดด้วย จึงเรียกได้ว่าเป็น shared culture มากกว่า

อ. : เอ้า งั้นวัฒนธรรมอะไรที่คล้ายกัน เราห้ามเคลมว่าเป็นของเรา แต่ต้องบอกว่าเป็น shared หรอ?

เรา : ไม่ค่ะ เราบอกได้ว่าเป็นของเรา เขาก็บอกได้ว่าเป็นของเขา เพราะจริงๆแล้วมันก็มี slight difference เวลาไทย adapt กับเขมร adapt แค่ว่าอย่าเอามาเปรียบเทียบว่าใครดีกว่ากัน เหมือนตอนนี้ที่ไทยกับเขมรด่ากันอยู่บนอินเตอร์เน็ต คนเขมรก็จะบอกว่าไทยก๊อปของเขา คนไทยก็จะตอบกลับไปดูถูกเหยียดเขมรว่าเป็นขอทาน ไร้การศึกษา ซึ่งหนูคิดว่ามันเป็นอะไรที่ childish มากที่จะมานั่งเถียงกันแบบนี้ ทางที่ดีเราควรจะมี mutual respect และ appreciate วัฒนธรรมของทั้งสองฝ่ายค่ะ (อ.ก็อื้มม แล้วเปิด SoP ต่อ)

อ. : How can culture limit our perspectives?

เรา : (blank นิดหน่อยตอนแรก เลยแถๆถ่วงเวลาไปก่อนจนนึก example ออก 555) ก็สิ่งที่ถูก กับสิ่งที่ผิด ในวัฒนธรรมของแต่ละชาติก็ไม่เหมือนกันนะคะ เช่นในไทย ผู้หญิงผู้ชายที่ไม่ได้ in a relationship หรือเป็นญาติจะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ แต่ในชาตตะวันตกส่วนใหญ่ผู้หญิงผู้ชายจับมือกัน กอดกันได้เป็นเรื่องปกติ สมมติถ้าคนไทยคนนึงเห็นฝรั่งสองคนจูบกันในที่สาธารณะ ก็จะถือว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไม่สมควร แต่สำหรับฝรั่งแล้วมันเป็นเรื่องปกติมากๆ

อ.ฝรั่ง : What are some stereotypes for Thai people?

เรา : ก็มี stereotype ว่าไทยเป็น land of smiles และคนไทยไม่ take things seriously ซึ่ง stereotypes ก็เบสมาจากความจริงส่วนหนึ่ง เพราะคนไทยชอบพูดว่าไม่เป็นไร ทำผิดอะไรเล็กๆน้อยๆก็จะประนีประนอม และมี leniency เช่นในโรงเรียนงี้ ถึงจะมีกฎว่าลอกการบ้าน โดนตัดคะแนน โกงข้อสอบปรับตกทุกวิชา แต่ครูก็มักจะทำเป็นไม่เห็นเพื่อช่วยเด็ก

อ. : แล้วคุณคิดว่าทุกคนในไทยได้รับ leniency เท่ากันหมดรึเปล่า หรือว่าเป็นแค่บางกลุ่ม?

เรา : นี่แหละค่ะปัญหานึงของไทย เพราะ there’s a lot of nepotism(ระบบอุปถัมภ์) going on เช่นถ้าคนรวยหรือมีอำนาจทำผิดกฎหมาย เขาจะ get away with it ได้ง่ายมากๆเพราะมี connection กับผู้มีอำนาจ แต่ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาจะโดนจับทันที แต่กฎหมายบางอย่างของไทยก็ไม่ lenient เลยนะคะ เช่นกฎหมายที่เกี่ยวกับสถาบัน K. (รู้เรื่องเนอะ 555) คุณผิดปุ๊บ เข้าคุกปั๊บไม่มีการประนีประนอม

อ. : You mentioned nepotism. Is it hard for you to speak up about it when your dad is a Colonel? (อ.ยิ้ม เราขำ)

เรา : จริงๆโรงเรียนหนูก็ก่อตั้งโดย K นะคะ but here I am talking about the monarchy (555) หนูว่ามันโอเคที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องพวกนี้ แต่ต้องรู้จักกาละเทศะและผู้ซึ่งหนูก็คิดว่าหนูพูดตรงนี้ได้เพราะอ.ทุกท่านน่าจะ open กับเรื่องพวกนี้นะคะ (อ.ขำกันใหญ่)

อ. : Is that what you chose Balac?

เรา : ใช่ค่ะ หนูคิดว่าที่นี่เป็นที่ที่เปิดกว้างต่อความคิดเห็นต่างๆ และจะสอนให้หนูเป็นคน open minded ด้วย เพราะทุกคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิด เราจึงต้อง respect ความคิดเห็นของคนอื่นด้วย (อ.ก็อื้ม..)

อ. : (กลับไปที่ SoP เฉย เราโดน SoP หนักมาก แต่ไม่โดนข่าวเลย) You said that Balac will teach you to become a more well-rounded person. Can you give us examples of what you think is well rounded ness and how Balac can give you that?

เรา : (อันนี้ก็เงิบนิดหน่อย.. ไม่หน่อยอ่ะมาก 5555) ก็…ทุกคนควรจะมี communication skills ที่ดี และใน globalised world ภาษาอังกฤษก็เป็นภาษากลางในการสื่อสารกับคนทั่วโลก Balac ก็สามารถพัฒนาภาษาอังกฤษของหนูได้ และก็มีคอร์ส public speaking (อ.ลั่นเลย Another one?? Is there a public speaking propaganda going on? อ.ขำกันเอง แปลว่ามีคนอยากเรียนเยอะ? งง 5555 เราก็แบบ เอ่อ.. ค่ะ ถึงแม้หนูจะเคยประกวดสุนทรพจน์มาแล้วแต่หนูคิดว่าการพูด การสื่อสารของหนูมันยังไม่ได้ดีขนาดนั้นค่ะ)

มาถึงช่วง Lottery/impromptu/จับฉลากแล้วค่าา! ช่วงไฮไลต์ที่หลายคนรอคอย… และมันคือ “The dreaded moment” เราบอกอ. อ.ก็แบบทำไมทุกคนกลัว lottery แล้วอ.อีกท่านก็ don’t worry, you’ll be doing the exact same thing you’ve been doing! You’ll be fine! คือให้กำลังใจสุดๆ :) จากนั้น อ.คนแรกก็อธิบาย ของเราให้จับ 3 เลือกสอง ให้โน้ต 2 นาที แล้วพูด 3–5 นาที แต่ถ้าเกินเขาก็ไม่ว่า ซึ่ง!! ซึ่ง!!! เราโชคดีมากจับได้ social media, discrimination แล้วก็ music :D คือโล่งมากกก ถึงกับบอกอ. Can I choose all three of them? อ.noo! เลือกมา 2 แต่ถ้าจะพูดทั้งหมดเลยก็แล้วแต่ 5555 เราเลยเลือก social media กับ discrimination ค่ะ

Summarise ที่เราพูด : พูดว่าจะแบ่ง discrimination เป็น gender discrimination กับ racial discrimination แล้วก็อธิบายว่าแต่ละอย่างเป็นปัญหายังไง และ social media เป็น platform ที่คนจะมาแสดงความคิดเห็นเก่ยวกับปัญหาพวกนี้ เช่น #metoo (อธิบาย) แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าใช้ platform พวกนี้แบบผิดๆ เช่นกลุ่ม over feminists ที่บิดเบือนวัตถุประสงค์ของ # เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองและเหยียดผู้ชาย และพวกโฆษณา racist ทั้งหลาย (ยกตัวอย่างไป) ต่อไปก็เริ่มเบลอแล้วพูดวนไปเรื่อง music ที่ช่วย raise awareness เรื่อง racism หรือ support พวก lgbt เช่นเพลง Blackbird ของ the Beatles, Black or white ของ Michael Jackson, You need to calm down ของ Taylor Swift ซึ่งใช้ social media เป็น platform ในการเผยแพร่ให้กับคนทั้วไป…

เห้อออ! เหนื่อย (เหนื่อยพิมพ์นี่แหละ 5555)

ถึงตอนนี้คือเหมือนใกล้หมดเวลาแล้ว เลทมากแล้วด้วยล่ะ อ.เริ่มเลิ่กลั่กไม่รู้จะถามไร

อ.1 : เอ้อใช่! Why Balac? Like, which courses are you interested in? ถามไปยังเนี่ย? หรือยังไม่ได้ถาม? ()

อ.2 : เอ๊ะ ถามไปแล้วนิ You’ve said so many things 5555

เรา : เอิ่ม บอกไปแล้วค่ะ มี Asia and-

อ.1 : อ๋อออ public speaking ไง!

อ.2 : เอ้อออ!

เรา : um okay.. 5555

อ.2 : So do you have any questions?

เรา : หนูสนใจวิชา cultures and narratives ค่ะ แต่ไม่รู้รายละเอียด เลยอยากทราบว่าเรียนอะไรคะ (อ.2 กับ อ.ฝรั่ง มองหน้ากันเพราะไม่มีใครสอนวิชานี้)

อ.1 : เอ้อใช่ จำได้ละ จะถามว่า have you been reading anything?

เรา : หนูชอบ Percy Jackson ของ Rick Riordan ค่ะ (อาจจะดูเหมือนหนังสือเด็กนะ แต่ตอนเริ่มอ่านเราก็เด็กจริงๆ สรุปก็คือหนังสือประเภทไหนไม่สำคัญ analyse ได้ก็พอ) แล้วก็อธิบายเรื่องคร่าวๆ ทำไมถึงชอบ สะท้อนสังคมยังไง เช่น เรื่อง ปัญหาครอบครัว lgbt, มี Greek myths ที่มีเรื่อง incest, rape, sexism แล้วก็ support เด็กที่เป็น dyslexia, ADHD หรือ disabled, clash ระหว่าง different cultures and beliefs ของกรีก/โรมัน ประมาณนี้เน้อ

พอตอบเสร็จอ.1 ก็ขอดูพอร์ตเรา แล้วอ.2 ก็อธิบายวิชาที่ถามเมื่อกี้ และก็เป็นอันเสร็จสิ้น interview ของเราค่าาาา ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ตอนออกจากห้องประมาณ 12.15 เป็นคนสุดท้ายของช่วงเช้าเลย

ก็จะเห็นได้ว่าอาจารย์ทุกท่าน(ในห้องนี้นะ)ใจดีมากเลย ไม่กดดัน ไม่จี้ ให้กำลังใจเราด้วย เราว่าสัมภาษณ์ไม่ได้ยากมากนะ แบบมันฟังดูยาก แต่พอมาทำเข้าจริงๆก็ เฮ้ย มันได้ว่ะ ;) เราว่าทุกคนที่อยากเข้าคณะนี้ และมีความสนใจด้านสังคม วัฒนธรรม ภาษาจริงๆ บวกกับสกิลภาษาอังกฤษที่ดีพอที่จะสื่อสารให้อาจารย์รู้เรื่องทำได้แน่นอน ถึงตอนพูดเราจะ struggle หรือสะดุดบ้างเขาก็ไม่ได้ว่านะ เพราะฉะนั้นแสดง passion เยอะๆ เตรียมอะไรไว้หาโอกาสฉอดใส่กรรมการไปเลย ที่สำคัญคืออย่าเฟค/โกหก เป็นตัวของตัวเองนะจ๊ะ ทุกคนสู้ๆน้าาา [:jj-big-0

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

Narikarnn_ 21 ก.พ. 63 เวลา 13:11 น. 1-1

(นี่จขกท.เอง) ดีใจที่ช่วยได้น้า สู้ๆค่าา

0
imjibinpimm 17 ม.ค. 63 เวลา 19:08 น. 2

ยินดีด้วยนะคะ~ อ่านแล้วเห็นทัศนคติของคุณเลย กรรมการก็คงเห็นเหมือนเรา ขอให้เป็นวันที่ดีนะคะ~~

1
Narikarnn_ 21 ก.พ. 63 เวลา 13:15 น. 3

อ้อๆๆ ที่สำคัญที่สุดนอกจาก passion แล้วคือโชว์ความคิดวิเคราะห์ค่ะ เพราะคณะนี้คือวิเคราะห์อย่างเดียวเรยย

0
0901 9 เม.ย. 63 เวลา 22:15 น. 4

รบกวนถามค่ะ เตรียม sop นานมั้ย มีที่เรียนแนะนำมั้ยคะ เราอยากติดมากๆค่ะ ตอนนี้มีแค่ sat ที่คะแนนถึงค่ะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

2
Narikarnn_ 11 เม.ย. 63 เวลา 20:17 น. 4-1

SoP เราเตรียมประมาณ 1-2 อาทิตย์อ่ะ เราเขียนแบบเรื่อยๆ แก้ไปแก้มาให้มันสละสลวยมากขึ้น แนะนำให้เขียนเองนะคะ ต้องทุ่มเทหน่อยเพราะอาจจะโดนถามเจาะแบบเราเลย เทคนิคของเราคือเขียนเรื่องที่เราอธิบายได้แบบละเอียดๆ อินๆ และเขียนเกริ่นไว้ล่อใจกรรมการให้ถามเรื่องนั้นเลยค่ะ เป็นการ manipulate การสัมภาษณ์ของเรา5555

0
Narikarnn_ 11 เม.ย. 63 เวลา 20:21 น. 4-2

คะแนนส่วน English proficiency tests เขารับ ielts toefl Cu-tep ส่วนตัวแนะนำ ielts ค่ะ เราไปสอบหลังจากที่ยื่นคะแนน Cu-tep ไปแล้ว5555) มันง่ายกว่าเยอะ และอัปคะแนนได้ง่ายที่สุด(มั้งคะ5555) ielts กับ cutep เราอ่านเองไม่ได้เรียนค่ะ เน้นทำบฝหไล่ทีละพาร์ท เน้นส่วนที่ไม่ถนัด แล้วก็ลองจับเวลาค่ะ ระหว่างนั้นก็พยายาม surround ตัวเองด้วยภาษาอังกฤษให้มากที่สุดค่ะ

0
D got u 14 เม.ย. 63 เวลา 21:19 น. 5

ยื่นแค่คะแนนสอบเลยหรอคะ ไม่ต้องทำพอร์ต? ถ้ามีแค่คะแนนสอบcu-tepยื่นได้มั้ยคะ

1
Narikarnn_ 17 เม.ย. 63 เวลา 16:28 น. 5-1

พอร์ตทางคณะไม่ได้บังคับค่ะ แต่คนส่วนใหญ่ (จขกทด้วย) ทำไปให้กรรมการดูตอนสัมภาษณ์เฉยๆ (เขาอาจจะไม่ดูด้วยซ้ำถ้าเราไม่ขอให้เขาดู) พอร์ตไม่ได้มีคะแนน ถ้าจะทำก็ไม่ต้องหรูหรามากก็ได้ค่ะ

แล้วก็ ยื่น Cutep อย่างเดียวไม่ได้นะคะ ต้องมี sat ไม่ก็ cuaat อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยค่า

0