How to พิชิต Grade & สอบทุกสนาม 1
ตั้งกระทู้ใหม่
Say hi นาจ้าา ทุกคนน ก็มาถึง Part 2 ละเนอะที่มีชื่อว่า ว่า ว่า ว่า ว่า ที่หัวข้ออ่านเอา เย้ 55555555
*ก่อนอื่น พี่ขอขอบคุณจริงๆจาก Part ที่แล้ว พี่ตกใจมาก มีคนอ่านเยอะมาก เสียงตอบรับดี หลายๆคนชอบ พี่Happy มากๆเลยละ น้ำตาจิไหล T T ก็ Part นี้พี่จะพยายามให้ดีกว่าเดิมละกัน งั้นมาอ่านกันได้เลยเยอะ
พี่ก็ขอเกริ่นก่อนว่า พี่อยู่สาย วิทย์ - คณิต เนอะ ซึ่งพี่ไม่ได้เรียนเก่งเว่อร์วัง ส่วนตัวพี่เป็นคน ขี้เกียจ ( มาก ) แบบหลายๆคนเลยละ จะสอบเก็บคะแนนไม่อ่าน แบบฝึกหัดไม่ทำ เรียนก็ไม่เรียน เน้นทำงานส่งเพราะไม่ชอบดองงาน 555555 ( *ยกเว้นเรื่องที่ชอบจะ อ่าน จะเรียน จริงจังมาก ) อารมณ์ไม่เส้นตายไม่อ่านอะไรเบอร์นั้น ซึ่งเป็นแบบนั้นจริงๆ ตลอด ม.ปลาย แต่เกรดพี่ min 3.01 max 3.59 ในช่วงของ ม.ปลายนะ ก็ไม่น่าเกลียดเนอะ มั้ง 555555
อะ มาเข้าเรื่องดีกว่า พี่ก็จะบอก Gimmick เรื่องของการทำยังไงให้เกรดดี ทำยังไงให้เวลาสอบเรามีแต่ confident ไม่มี panic และได้คะแนนได้ตามที่พวกน้องๆหวังกันนาจ้าาา ซึ่งพี่ว่า วิธีพี่น่าจะเอาไปปรับกันได้ทุกคนยันสอบเข้ามหาลัย หรืออาจจะได้มากกว่านั้นนาจ้า
* นี่คือการแถม หลังจากที่พี่ อธิบายวิธีหมดแล้ว พี่จะเจาะวิธีการอ่านแต่ละวิชาให้น้องๆทุกคน เอาไปสอบเข้ามหาลัยได้เลย โดยมีวิชา คณิต ไทย สังคม ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ดาราศาสตร์ และอังกฤษ ด้วยนะ เดี๋ยวพี่จะแปะลิ้งค์อีกลิ้งค์ให้เลยละกัน หุๆๆ ・:*+.\(( °ω° ))/.:+
พี่ขอแยกเป็น 2 ส่วนละกันในเรื่องนี้ เพราะพี่รู้ว่าต้องมีน้องบางหลายๆคนที่มีงบหน่อยก็อาจจะไปเรียนพิเศษที่นู้นที่นี่ และ น้องๆอีกหลายคนที่อาจจะไม่มีงบเรียนพิเศษแต่ก็อยากจะเก่งเหมือนเพื่อนที่เรียนพิเศษรึเปล่า เอ๊ะ 5555 อ่าโอเคร ต่อๆๆ ซึ่งพี่จะแยกออกเป็น 2 สายเวลาพี่เล่าเลยละกันคือ
1 ) สายเรียนพิเศษ
2 ) สายฟรี
2 สายที่พี่ว่าเนี่ยพี่บอกเลยว่าเราจะอยู่สายไหนก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน เหมือนเส้นทางของคนเราที่ว่า " คนเรานั้นมีเส้นทางเหมือนกัน หรือ ไม่เหมือนกันก็ได้ ถึงเส้นทางจะเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีทางเหมือนไปซะทุกอย่าง แต่สุดท้าย ปลายทางของเราเหมือนกันคือ ประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความสุขในแบบของเรา " ซึ่งพี่ขอไม่เน้นว่าจะเรียนหรือไม่เรียนในตรงนี้นะเพราะมันอยู่ที่กำลังทรัพย์เราและความอยากหาความรู้เราเองด้วย พี่เลยขอไม่เจาะลึกตรงนี้ละกันเนอะ อะลองไปดูว่าพวกเราจะเจออะไรมาบ้างดีกว่า อะ ปาย ปาย ปาย เย่ะ
ถ้านับตั้งแต่พี่เรียนมา สมั๊ย อนุบาลกระลาครอบ ยัน ประถมกระปุ๊กลุก ประจวบจนจะจบ มัธยมคนหน้าหมอง จนจะอยู่มหาลัยละ พี่ลองวิธีอ่านหนังสือมากมายหลายอย่างหลายๆคนนะ ซึ่งพี่ว่าหลายๆคนอาจจะมีความออกเป็น 2 ฝ่าย คือ " อ่านเยอะๆหลายๆชั่วโมงสิดี & ค่อยๆแบ่งอ่านที่ละน้อยไม่ต้องอ่านเยอะสิดี " พี่อยากให้น้องๆ เข้าใจก่อนว่า Power ทางสมาธิ และ ทางสภาพร่างกาย แต่ละคนรับไหวไม่เท่ากัน การจะอ่านแบบไหนที่ทำให้มันมี ประสิทธิภาพมากที่สุด ก็ไม่มีใครจะตอบได้เพราะ effective แต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน แต่ แต่ แต่ ใช่ว่าความสุดขั้วนี้มันจะไม่มีทางออก มันมีจ้ะ พี่เคยคิดนะ ระหว่างการเอาสุดขั้วระหว่าง อ่านเป็นชั่วโมงๆ + อ่านน้อยๆนิดๆหน่อย(นิดจริงๆ) มันจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะงงเกันเนอะ งั้นเราลอง ให้นึกถึง สุดโต่งแบบเต็มพิกัด + น้อยนิดเตี้ยเรี่ยดิน = กลางๆ อะเออ อ่านหนังสือแบบ กลางๆคือยังไงลองมาคิดตามพี่ดู
เราจะปรับความเข้าใจกันแบบสรุปคร่าวๆ ที่ละอันก่อนละกัน
1 ) การอ่านแบบสุดโต่ง = อ่านแบบอ่านเยอะๆเลยเว้ย เออวันนี้ต้องอ่าน ฟิสิกส์ ให้หมดทั้งเล่ม ทำคณิตให้ได้ 300 ข้อ ต่อด้วย จำศัพท์ อีก 100 คำ แบบโฟกัส จริงๆ เลยนะ แล้วทำๆๆๆๆๆ เพื่อหวังว่า จะรีบทำให้มันรับรู้เนื้อหาให้เร็วที่สุด แน่นอนว่า หลายๆคนคงรู้จักคำว่า One Night Miracle อารมณ์แบบนั้นเลย
ข้อดี : มันทำให้เราเจอเนื้อหา ข้อสอบ คำศัพท์ พวกนี้ ผ่านตาหมดไวมากๆ ทำให้มีเวลาไปเจอข้อสอบจริงเร็ว
ข้อเสีย : กดดันตัวเองสูงเกินไป เครียดแน่นอน สมองรับไม่ไหว เกิดการท้อได้ง่ายมาก จำยังไงก็ไม่หมดแน่นอน เพราะมันจะเป็นความจำแบบชั่วคราวไม่ใช่ถาวรแต่อย่างใด
(* ยกเว้น ใครที่ พลังกาย พลังสมาธิ ดีแบบฟ้าประธานพรมาให้ครบทุกอย่าง อันนี้อีกเรื่องนะ )
2 ) การอ่านแบบ Slow Life = การอ่านวันละ นิส วันละ น้อย อ่านสักแบบ หน้า 2 หน้า แต่โฟกัสจริงๆเหมือนกัน อะพอเสร็จละวันนี้ ไปดูซีรี่ย์ ดู Facebook Netflix Youtube ทวิต ไอจี สตอรี่ bee talk เกม บลาๆ ว่ากันไป ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เลยเพราะมันไม่เหนื่อย อะไรประมาณนั้น
ข้อดี : ไม่เครียด สามารถทำได้เรื่อยๆ ไม่กดดันตัวเอง จำหน้าที่อ่านได้เกิน 90 - 100 %แน่นอน
ข้อเสีย : ถ้าทำช้าเกินไปทำให้เกิดการ เตรียมตัวไม่ทัน มีโอกาสหลุดได้ง่ายเพราะเออเดียวเราทำแปปๆก็ได้พักละสมาธิอาจจะหลุดได้ ทำให้เก็บเนื้อหาช้า ส่งผลให้เราเจอข้อสอบจริงช้าเข้าไปอีก
สังเกตุได้ว่า ทั้ง 2 วิธีย์ มีข้อดีเสียต่างกัน ซึ่งพี่มองว่าถ้าเราเอา 2 อันนี้มารวมกันเกิดอะไรขึ้น เลยทำให้พี่คิด วิธีอ่านหนังสือแบบพี่เองที่ใช้ทุกวันนี้เลยคือ หลัก " F.R.E.M.P " อ่านว่า แฟร้ม ซึ่งพี่เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะใช้วิธีนี้ แต่อาจจะไม่รู้จักชื่อเพราะเป็น วิธีที่พี่คิดขึ้นมาเองแบบเออ มโนเองละอยากแลดูมีความรู้ 5555555 ก็ ใช้เองได้ผลเอง ไม่บอกใคร ไม่แคร์สื่อ เย่ะ ไม่เกี่ยวละ กลับมาๆ ซึ่ง F.R.E.M.P แน่นอนละมันต้องมีคำย่อ งั้นเรามาดูกัน
F = Flexible ; ถ้าแปลตรงตัวเราจะเข้าใจว่ามันคือ ความยืดหยุ่น แต่ในที่นี้แปลว่า ความสามารถในการปรับตัว
R = Read ; แปลว่า อ่าน หรือ การอ่าน
E = Effective ; ตรงตัวคือ อย่างมีประสิทธิภาพ
M = Myself ; แน่นอนมันแปลว่า ด้วยตัวเอง
P = Permanent ; คำสุดท้าย หมายถึง อย่างถาวร
พอรวม F.R.E.M.P เข้าด้วยกัน
จะมีความหมายว่า การปรับตัวในการอ่านหนังสืออย่างมีประสิทธิภาพแบบถาวรด้วยตัวเราเอง
เออ พี่เดาว่าเรานะสงสัยละว่า พี่การอ่านแบบ FREMP มันเป็นยังไง แล้วมันดีมั้ย ช่วยพวกน้องได้จริงรึเปล่า อ่าๆๆคงอยากรู้ละสิ ( ;-; อยากรู้เปล่าหว่า ) แต่พี่ขอรวบรัดเลยละกัน พี่กลัวพวกเราเบื่ออ่านของพี่ก่อนอะ (´°̥̥̥̥̥̥̥̥ω°̥̥̥̥̥̥̥̥`)
พี่ขออิงจากการประสบการณ์ตัวพี่ในช่วงพี่คิดหลัก FREMP ก็ประมาณ ปิดเทอม ม.3 ขึ้น ม.4 ซึ่งพอพี่คิดๆๆๆๆๆๆๆวนไปวนมา เขียนวิธีลง A4 จัดหมวดคิดๆๆ จนได้หลัก นี้ขึ้นมา แล้วพี่ก็ลองทำเองเลยเว้ย แล้วมันได้ผลจริงๆ นะจ้ะตัวเธอ สิ่งที่พี่ทำนี้ทำได้ทุกวิชา พี่จะบอกแนวนะเพราะบอกแล้ว มันคือความยืดหยุ่นแบบที่เราจัดสรรได้เอง อย่างพี่จะอ่านหนังสือสักวิชานึง ต้องถามก่อนว่า เนื้อหาแบบไหน สอบอะไร ถ้าสอบเก็บคะแนนเราอาจจะจริงจังนิดนึงก็ได้ แต่เป็นพี่ พี่จะจริงจังเรื่องเอาไปสอบมหาลัย เลยทำให้เวลาพี่อ่านหนังสือจะอ่านเจาะเฉพาะเอาไปสอบมหาลัยได้เลย ไม่ค่อยอ่านของ รร เท่าไหร่ที่แบบเรียนตามหลักสูตร ซึ่งพี่จะอ่านเกินหลักสูตรรอยาวๆไปเลย 5555555 กลับมาเข้าเรื่องๆ
***นี่คือการ ยกตัวอย่าง แค่ 1 ตัวอย่างเท่านั้นโดยใช้หลัก FREMP พอเราเริ่มทำวิชาแรกได้ก็จะทำทีเดียวหลายวิชาได้นะจ้ะ
อะเราจะมาดูกันที่ละขั้นเลยนะ เริ่ม !! (´ω`)
ขั้นแรก : พอเรารู้ละว่าจะอ่านวิชานี้ เรื่องนี้ หัวข้อนี้ เราก็ lecture ไว้ก็ได้ว่าอ่านอะไร
ขั้นที่สอง : เราก็จะ เปิดผ่านตา โดย จำหัวข้อของบทที่อ่านให้ได้ให้หมด เพราะ การอ่านหัวข้อแล้วจำหัวข้อให้ได้ก่อนจะเป็นประตูสู่การไปจำ Detail ของแต่ละหัวข้อได้ ถ้าเทียบง่ายๆ อย่างเช่นนิทาน แต่ละที่ก็ไม่น่าต่างกันมากในรายละเอียดแต่ ชื่อเรื่องยังไงพี่คิดว่าน่าจะเหมือนกัน อย่างอยู่ดีๆเราใส่ยับเล่าแต่เนื้อหา กระต่ายกับเต่าเลย ซึ่งบางทีเนื้อเรื่องมันไม่เหมือนกันทั้งหมดทำให้เกิดความซับสนเวลาจำหรือเถียงกับเพื่อนได้ ไม่เชื่อไปลองดูกับบางเนื้อหาที่มันมีกระบวนการหรือคำศัพท์คล้ายๆกัน เถียงกันบ้านแตกสาแหลกขาดบอกเลย เพราะเคยมาแล้ว 555555 ต่อๆ แต่พอเราบอกอะเดี๋ยว จะมาเล่าเรื่อง กระต่ายกับเต่า อะ เห็นม่ะ มันต่างนะ พอบอกชื่อเรื่องเราจำ concept เรื่องคร่าวๆได้เลยว่า กระต่ายท้าเต่าวิ่ง วันวิ่งกระต่ายวิ่งนำ พอไม่เห็นเต่าก็เลยนอนรอ ตื่นมาเต่าเข้าเส้นชัย เห็นม่ะมันไม่มีอะไรเลยเว้ย ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไร เนื้อหา เวลาบรรยายจะต่างกันแค่ไหน สุดท้ายมันมี concept สรุปสั้นๆ เหมือนกันทุกอัน อะๆๆพอเข้าใจวิธีรึยังละ เจ้าน้องๆทุกคน
***ขั้นที่สาม : พอเราทำ 2 ขั้นแรกแล้ว เราก็จะลงเนื้อหาที่เราต้องการ น้องอาจจะถามว่าเอ๊ะพี่ งั้นมันต่างจากวิธีปกติตรงไหน มันมีจุดต่างที่ดูยากอยู่น้อง การใช้หลัง FREMP บอกแล้วว่ามันคือ การปรับให้เหมาะกับตัวเราแบบถาวร เราไม่จำเป็นที่จะต้องว่า เนื้อหาเราต้องอ่านแล้วจำได้หมด หรือ อาจจะจำให้หมดเลยก็ได้ หรืออาจจะยังไม่จำเลยก็ได้ เอ๊ะงงละสิหมายถึงอะไร ครับน้อง การที่เราเอาแแต่อ่านหนังสือในตำรามันไม่ทำให้เราเข้าใจริงๆ ก็จะส่งผลให้อ่านยังไงมันก็จำไม่ไ่ด้สักที พี่เลยจะบอกว่า น้องต้องออกไปเจอของจริง อะพอเริ่มเข้าใจม่ะ น้องอาจจะไปดูวิดิโอเพื่อให้เห็นภาพ , ออกไปเจอในชีวิตจริงเลย , ถามผู้รู้ , ทำข้อสอบ / แบบฝึกหัด สังเกตุได้ว่า มันมีวิธีมากมายที่จะทำให้เราเรียนรู้ในแบบของเราเอง และเมื่อเรารู้เราถนัดที่จะเรียนรู้แบบไหนเราก็จะเอาไปปรับใช้ได้ตลอดชีวิต ตามหลัก FREMP ทืี่ F = Flexible ก็คือ มันไม่มีอะไรตายตัวปรับได้ตลอดเวลา " ไม่ว่าจะทั้งเรื่องเวลาอ่านจะนานแค่ไหนกี่นาทีกี่ชั่วโมงต่อวันอะไรก็ว่าไป หรือ จะอ่านมากอ่านน้อย จะ ไฮไลท์ไม่ไฮไลท์ จะสรุปหรือไม่สรุป " มันอยู่ที่ตัวเราเลยเว้ย อยู่ที่ว่า " เราจะหาแนวการอ่านตัวเองได้มากแค่ไหน ไม่มีใครมาบอกน้องได้หรอกว่าต้องอ่านแบบไหน อ่านเท่าไหร่ พักเท่าเท่าไหร่ถึงจะพอ " เพราะพี่บอกแล้วว่า power ทางกาย กับ สมาธิ ของคนเราไม่เท่ากันจะอิงคนอื่นไม่ไ่ด้ แต่พี่จะขอแนะวิธีพี่ที่พี่คิดว่ามัน Okay สำหรับหลายๆคนเพรา พี่เคยสอนวิธีนี้ให้กับน้องบางคนไปแล้วผลที่ได้มันดี อะมาดู ส่วนตัวพี่จะทำ ขั้น 1-2 ก่อน พอเสร็จ พี่จะอ่านเนื้อหาแค่รอบเดียวจริงๆ อย่าง ถ้าพี่อ่านเรื่อง Expo&log พี่ก็จะอ่าน กฎ หรือ สูตร ที่สำคัญๆ เสร็จปุ๊ป พี่ทำโจทย์เลยจ้า ไม่แคร์สื่อจริงๆ 55555555 เพราะพี่คิดว่า มันเป็นวิธีที่ทำง่ายและไม่ต้องลงทุนอะไรเลยและมันทำให้เราจำและเข้าใจได้ยาวๆ เลยอะนะ หรือ พวก ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ พีก่็ใช้วิธีนี้ อย่าง อย่างชีวะ มันต้องจำเยอะมาก พี่ก็ใช้วิธีนี้ ทำขั้นตอน 1-2 แล้ว พี่จะอ่าน Detail ทั้งหมดแบบจริงจัง รอบเดียว แล้วทำข้อสอบเลย อ่าา รอดูต่อนะ
พอเราทำเสร็จเราก็ตรวจคะแนน เสร็จปุ้ป ไม่ว่าข้อที่ถูกหรือจะข้อที่ผิด เราเขียนคำอธิบายแต่ละข้อว่า ช้อยส์นี้ถูกผิดยังไง พี่จะ เขียนคำอธิบายให้ตัวพี่เข้าใจเองว่าเออมันเป็นงี้ๆๆ concept สั้นก็ได้ หรือจะ บทกวีเลยก็ได้ตามใจเรา ทำแบบนี้ทุกข้อละทุกช้อยส์ที่เราไม่รู้ ไม่sure แล้วเสร็จปุ้ป พี่จะพอแล้วพี่ก็จะไปทำอย่างอื่นเช่น นอน.... นอนจริงๆนะ ( การนอนคือการ พักผ่านที่ดีที่สุด เย่ ) จากนั้นพี่จะมาทวนข้อสอบที่ทำไปตอนแรกใหม่อีกรอบ แล้วอ่าน แบบคิดตาม วิเคาระห์ตาม แบบละเอียดทุกคำที่เราโน้ตไว้ เช ื่อม่ะ อ่านวนงี้สัก 3 รอบ แบบจริงจังให้เวลากับมันนะ เราจะไม่ต้องไปนั่งอ่านหนังสือเป็นหน้าๆเล่มๆ อีกเลยตอนจะสอบ เราก็อ่านแค่ที่เราทำมาทั้งหมดนั้นอะ เป็นทั้งข้อสอบและสรุป ในตัวมันเองหมดเลย เป็นไงล่าา ไม่เชื่ออะเด้ แต่พี่ลองทำแบบนี้ คะแนนไม่ล่วง มีเวลาไปทำอย่างอื่นแน่นอน ลองง่ายๆแค่ ครึ่งเทอมแรกเราทำแบบนี้กับทุกวิชาเรียนนำชาวบ้านเขาไปเลยเว้ย เพียงเดือนเดียว เราจะทำครบทุกวิชาและเข้าใจทุกวิชาเลยเว้ย แล้วอีก 1 เดือน ที่เขาสอน เราก็เอาเวลาเไปเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยได้อีกเห็นม่ะ คุ้มจะตาย พอจะสอบกลางภาค ปลายภาคงิ เราจะเอากลับมาอ่านทวนก็ได้ไม่อ่านก็ได้แล้วแต่เเลยสุดท้ายเราก็จะไป สอบชิวๆเลยยยจ้าาาา
มาสรุปหลัก FREMP กันดีกว่าจะเได้เข้าใจง่ายๆ
1 ) รู้ก่อนว่าเราจะอ่านอะไร แล้ว lecture หัวข้อ และหัวข้อย่อยๆมา ยังไม่ต้องสนใจ Detail นะ
2 ) เราจะมาจำหัวข้อย่อยๆ ให้ได้ทั้งหมดก่อน Jum!! หัวข้อสำคัญที่สุดก่อนจะไปจำอย่างอื่น
***3 ) เราจะมาลงอ่าน Detail ที่เรายังไมไ่ด้อ่าน ซึ่ง จะอ่านจากสรุป จากไฮไลท์ ก็ได้ แต่ขอขายของนิสนิด พี่จะอ่านจาก Clear มันสรุปดีมากสำหรับพี่ ส่วนว่าด้วยเรื่องเวลาอ่านเราจะอ่านนานอ่านแปปเดียว จะอ่านมากอ่านน้อย จะ ไฮไลท์ไม่ไฮไลท์ จะสรุปหรือไม่สรุป ก็ขอให้เราไปปรับกันเองละกันแต่ถ้าจะทำตามพี่ก็ได้เดี๋ยวพี่จะสรุปวิธีของพี่ให้ด้วยละกัน อะต่อๆ เสร็จ พอเราอ่านเสร็จ จะอ่านกี่รอบก็ได้ แต่ขอแบบจริงจังนาา เสร็จปุ๊ป ทำข่้อสอบ ทำเสร็จก็ หาคำอธิบาย ทุกช้อยส์ในแต่ละข้อ ให้เราเข้าใจเอง
4 ) สิ่งสำคัญอีกอย่างนึง คือ การพัก เราก็จะไปพักทำอะไรก็ได้ จะนอน จะเล่น จะดูหนังแล้วแต่เลย แต่จะให้ตายยังไงก็ต้องพัก จำไว้ต้องพัก!! จากนั้นเราก็กลับมาอ่านข้อสอบที่เราทำเมื่อกี้ใหม่ โดยเราจะ อ่านโจทย์ข้อนั้นๆเสร็จ ตามด้วยอ่านช้อยส์และทำความเข้าใจทีละช้อยส์แบบให้เข้าใจริงๆนะ พี่เชื่อว่าไม่เกิน 3 - 5 รอบ เราจะเข้าใจเนื้อหาเองแบบไม่ต้องไปอ่านวนในหนังสือเป็น 10 รอบ และมันแฮปปี้แน่นอน ระหว่าง อ่านหนังสือที่มีแต่ตัวหนังสือ & อ่านชีทข้อสอบที่ lecture แบบ concept แบบใจความหลักๆ สั้นๆได้ใจความ เห็นภาพมากกว่าด้วย เจอโจทย์แล้วมันผ่านตาด้วย อันไหนดีกว่ากันละ
คิ้กค้ากกกกก
สรุป หลัก FREMP ฉบับพี่ใช้เอง
หาวิชาที่จะอ่าน --> ดูหัวข้อที่ต้องการแล้ว lecture ทั้งหมด --> อ่านเนื้อหาทั้งหมดที่พี่ lecture ไว้จากสรุป หรือจากหนังสือตัวเต็มเลยก็ได้ (*แนะนำอ่าน สรุป ) --> ทำข้อสอบ --> หาคำอธิบาย ทุกช้อยส์ในแต่ละข้อเขียนคำอธิบาย --> นอนไปเลย 1-2 ชม --> กลับมาอ่านใหม่ + ทำความเข้าใจทุกข้อทุกช้อยส์ให้หมด -->Happy แน่นอน
นี่คือ link ของส่วนที่บอกว่าจะแถมนา ใครอยากอ่านต่อเข้าไปอ่านได้ ใครไม่อยากไม่อ่ากน็ได้เด้อ ไม่บังคับกัน
How to พิชิต Grade & สอบทุกสนาม 1&2
*ก่อนอื่น พี่ขอขอบคุณจริงๆจาก Part ที่แล้ว พี่ตกใจมาก มีคนอ่านเยอะมาก เสียงตอบรับดี หลายๆคนชอบ พี่Happy มากๆเลยละ น้ำตาจิไหล T T ก็ Part นี้พี่จะพยายามให้ดีกว่าเดิมละกัน งั้นมาอ่านกันได้เลยเยอะ
พี่ก็ขอเกริ่นก่อนว่า พี่อยู่สาย วิทย์ - คณิต เนอะ ซึ่งพี่ไม่ได้เรียนเก่งเว่อร์วัง ส่วนตัวพี่เป็นคน ขี้เกียจ ( มาก ) แบบหลายๆคนเลยละ จะสอบเก็บคะแนนไม่อ่าน แบบฝึกหัดไม่ทำ เรียนก็ไม่เรียน เน้นทำงานส่งเพราะไม่ชอบดองงาน 555555 ( *ยกเว้นเรื่องที่ชอบจะ อ่าน จะเรียน จริงจังมาก ) อารมณ์ไม่เส้นตายไม่อ่านอะไรเบอร์นั้น ซึ่งเป็นแบบนั้นจริงๆ ตลอด ม.ปลาย แต่เกรดพี่ min 3.01 max 3.59 ในช่วงของ ม.ปลายนะ ก็ไม่น่าเกลียดเนอะ มั้ง 555555
อะ มาเข้าเรื่องดีกว่า พี่ก็จะบอก Gimmick เรื่องของการทำยังไงให้เกรดดี ทำยังไงให้เวลาสอบเรามีแต่ confident ไม่มี panic และได้คะแนนได้ตามที่พวกน้องๆหวังกันนาจ้าาา ซึ่งพี่ว่า วิธีพี่น่าจะเอาไปปรับกันได้ทุกคนยันสอบเข้ามหาลัย หรืออาจจะได้มากกว่านั้นนาจ้า
* นี่คือการแถม หลังจากที่พี่ อธิบายวิธีหมดแล้ว พี่จะเจาะวิธีการอ่านแต่ละวิชาให้น้องๆทุกคน เอาไปสอบเข้ามหาลัยได้เลย โดยมีวิชา คณิต ไทย สังคม ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ดาราศาสตร์ และอังกฤษ ด้วยนะ เดี๋ยวพี่จะแปะลิ้งค์อีกลิ้งค์ให้เลยละกัน หุๆๆ ・:*+.\(( °ω° ))/.:+
พี่ขอแยกเป็น 2 ส่วนละกันในเรื่องนี้ เพราะพี่รู้ว่าต้องมีน้องบางหลายๆคนที่มีงบหน่อยก็อาจจะไปเรียนพิเศษที่นู้นที่นี่ และ น้องๆอีกหลายคนที่อาจจะไม่มีงบเรียนพิเศษแต่ก็อยากจะเก่งเหมือนเพื่อนที่เรียนพิเศษรึเปล่า เอ๊ะ 5555 อ่าโอเคร ต่อๆๆ ซึ่งพี่จะแยกออกเป็น 2 สายเวลาพี่เล่าเลยละกันคือ
1 ) สายเรียนพิเศษ
2 ) สายฟรี
2 สายที่พี่ว่าเนี่ยพี่บอกเลยว่าเราจะอยู่สายไหนก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน เหมือนเส้นทางของคนเราที่ว่า " คนเรานั้นมีเส้นทางเหมือนกัน หรือ ไม่เหมือนกันก็ได้ ถึงเส้นทางจะเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีทางเหมือนไปซะทุกอย่าง แต่สุดท้าย ปลายทางของเราเหมือนกันคือ ประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความสุขในแบบของเรา " ซึ่งพี่ขอไม่เน้นว่าจะเรียนหรือไม่เรียนในตรงนี้นะเพราะมันอยู่ที่กำลังทรัพย์เราและความอยากหาความรู้เราเองด้วย พี่เลยขอไม่เจาะลึกตรงนี้ละกันเนอะ อะลองไปดูว่าพวกเราจะเจออะไรมาบ้างดีกว่า อะ ปาย ปาย ปาย เย่ะ
ถ้านับตั้งแต่พี่เรียนมา สมั๊ย อนุบาลกระลาครอบ ยัน ประถมกระปุ๊กลุก ประจวบจนจะจบ มัธยมคนหน้าหมอง จนจะอยู่มหาลัยละ พี่ลองวิธีอ่านหนังสือมากมายหลายอย่างหลายๆคนนะ ซึ่งพี่ว่าหลายๆคนอาจจะมีความออกเป็น 2 ฝ่าย คือ " อ่านเยอะๆหลายๆชั่วโมงสิดี & ค่อยๆแบ่งอ่านที่ละน้อยไม่ต้องอ่านเยอะสิดี " พี่อยากให้น้องๆ เข้าใจก่อนว่า Power ทางสมาธิ และ ทางสภาพร่างกาย แต่ละคนรับไหวไม่เท่ากัน การจะอ่านแบบไหนที่ทำให้มันมี ประสิทธิภาพมากที่สุด ก็ไม่มีใครจะตอบได้เพราะ effective แต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน แต่ แต่ แต่ ใช่ว่าความสุดขั้วนี้มันจะไม่มีทางออก มันมีจ้ะ พี่เคยคิดนะ ระหว่างการเอาสุดขั้วระหว่าง อ่านเป็นชั่วโมงๆ + อ่านน้อยๆนิดๆหน่อย(นิดจริงๆ) มันจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะงงเกันเนอะ งั้นเราลอง ให้นึกถึง สุดโต่งแบบเต็มพิกัด + น้อยนิดเตี้ยเรี่ยดิน = กลางๆ อะเออ อ่านหนังสือแบบ กลางๆคือยังไงลองมาคิดตามพี่ดู
เราจะปรับความเข้าใจกันแบบสรุปคร่าวๆ ที่ละอันก่อนละกัน
1 ) การอ่านแบบสุดโต่ง = อ่านแบบอ่านเยอะๆเลยเว้ย เออวันนี้ต้องอ่าน ฟิสิกส์ ให้หมดทั้งเล่ม ทำคณิตให้ได้ 300 ข้อ ต่อด้วย จำศัพท์ อีก 100 คำ แบบโฟกัส จริงๆ เลยนะ แล้วทำๆๆๆๆๆ เพื่อหวังว่า จะรีบทำให้มันรับรู้เนื้อหาให้เร็วที่สุด แน่นอนว่า หลายๆคนคงรู้จักคำว่า One Night Miracle อารมณ์แบบนั้นเลย
ข้อดี : มันทำให้เราเจอเนื้อหา ข้อสอบ คำศัพท์ พวกนี้ ผ่านตาหมดไวมากๆ ทำให้มีเวลาไปเจอข้อสอบจริงเร็ว
ข้อเสีย : กดดันตัวเองสูงเกินไป เครียดแน่นอน สมองรับไม่ไหว เกิดการท้อได้ง่ายมาก จำยังไงก็ไม่หมดแน่นอน เพราะมันจะเป็นความจำแบบชั่วคราวไม่ใช่ถาวรแต่อย่างใด
2 ) การอ่านแบบ Slow Life = การอ่านวันละ นิส วันละ น้อย อ่านสักแบบ หน้า 2 หน้า แต่โฟกัสจริงๆเหมือนกัน อะพอเสร็จละวันนี้ ไปดูซีรี่ย์ ดู Facebook Netflix Youtube ทวิต ไอจี สตอรี่ bee talk เกม บลาๆ ว่ากันไป ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เลยเพราะมันไม่เหนื่อย อะไรประมาณนั้น
ข้อดี : ไม่เครียด สามารถทำได้เรื่อยๆ ไม่กดดันตัวเอง จำหน้าที่อ่านได้เกิน 90 - 100 %แน่นอน
ข้อเสีย : ถ้าทำช้าเกินไปทำให้เกิดการ เตรียมตัวไม่ทัน มีโอกาสหลุดได้ง่ายเพราะเออเดียวเราทำแปปๆก็ได้พักละสมาธิอาจจะหลุดได้ ทำให้เก็บเนื้อหาช้า ส่งผลให้เราเจอข้อสอบจริงช้าเข้าไปอีก
สังเกตุได้ว่า ทั้ง 2 วิธีย์ มีข้อดีเสียต่างกัน ซึ่งพี่มองว่าถ้าเราเอา 2 อันนี้มารวมกันเกิดอะไรขึ้น เลยทำให้พี่คิด วิธีอ่านหนังสือแบบพี่เองที่ใช้ทุกวันนี้เลยคือ หลัก " F.R.E.M.P " อ่านว่า แฟร้ม ซึ่งพี่เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะใช้วิธีนี้ แต่อาจจะไม่รู้จักชื่อเพราะเป็น วิธีที่พี่คิดขึ้นมาเองแบบเออ มโนเองละอยากแลดูมีความรู้ 5555555 ก็ ใช้เองได้ผลเอง ไม่บอกใคร ไม่แคร์สื่อ เย่ะ ไม่เกี่ยวละ กลับมาๆ ซึ่ง F.R.E.M.P แน่นอนละมันต้องมีคำย่อ งั้นเรามาดูกัน
F = Flexible ; ถ้าแปลตรงตัวเราจะเข้าใจว่ามันคือ ความยืดหยุ่น แต่ในที่นี้แปลว่า ความสามารถในการปรับตัว
R = Read ; แปลว่า อ่าน หรือ การอ่าน
E = Effective ; ตรงตัวคือ อย่างมีประสิทธิภาพ
M = Myself ; แน่นอนมันแปลว่า ด้วยตัวเอง
P = Permanent ; คำสุดท้าย หมายถึง อย่างถาวร
พอรวม F.R.E.M.P เข้าด้วยกัน
จะมีความหมายว่า การปรับตัวในการอ่านหนังสืออย่างมีประสิทธิภาพแบบถาวรด้วยตัวเราเอง
เออ พี่เดาว่าเรานะสงสัยละว่า พี่การอ่านแบบ FREMP มันเป็นยังไง แล้วมันดีมั้ย ช่วยพวกน้องได้จริงรึเปล่า อ่าๆๆคงอยากรู้ละสิ ( ;-; อยากรู้เปล่าหว่า ) แต่พี่ขอรวบรัดเลยละกัน พี่กลัวพวกเราเบื่ออ่านของพี่ก่อนอะ (´°̥̥̥̥̥̥̥̥ω°̥̥̥̥̥̥̥̥`)
พี่ขออิงจากการประสบการณ์ตัวพี่ในช่วงพี่คิดหลัก FREMP ก็ประมาณ ปิดเทอม ม.3 ขึ้น ม.4 ซึ่งพอพี่คิดๆๆๆๆๆๆๆวนไปวนมา เขียนวิธีลง A4 จัดหมวดคิดๆๆ จนได้หลัก นี้ขึ้นมา แล้วพี่ก็ลองทำเองเลยเว้ย แล้วมันได้ผลจริงๆ นะจ้ะตัวเธอ สิ่งที่พี่ทำนี้ทำได้ทุกวิชา พี่จะบอกแนวนะเพราะบอกแล้ว มันคือความยืดหยุ่นแบบที่เราจัดสรรได้เอง อย่างพี่จะอ่านหนังสือสักวิชานึง ต้องถามก่อนว่า เนื้อหาแบบไหน สอบอะไร ถ้าสอบเก็บคะแนนเราอาจจะจริงจังนิดนึงก็ได้ แต่เป็นพี่ พี่จะจริงจังเรื่องเอาไปสอบมหาลัย เลยทำให้เวลาพี่อ่านหนังสือจะอ่านเจาะเฉพาะเอาไปสอบมหาลัยได้เลย ไม่ค่อยอ่านของ รร เท่าไหร่ที่แบบเรียนตามหลักสูตร ซึ่งพี่จะอ่านเกินหลักสูตรรอยาวๆไปเลย 5555555 กลับมาเข้าเรื่องๆ
***นี่คือการ ยกตัวอย่าง แค่ 1 ตัวอย่างเท่านั้นโดยใช้หลัก FREMP พอเราเริ่มทำวิชาแรกได้ก็จะทำทีเดียวหลายวิชาได้นะจ้ะ
อะเราจะมาดูกันที่ละขั้นเลยนะ เริ่ม !! (´ω`)
ขั้นแรก : พอเรารู้ละว่าจะอ่านวิชานี้ เรื่องนี้ หัวข้อนี้ เราก็ lecture ไว้ก็ได้ว่าอ่านอะไร
ขั้นที่สอง : เราก็จะ เปิดผ่านตา โดย จำหัวข้อของบทที่อ่านให้ได้ให้หมด เพราะ การอ่านหัวข้อแล้วจำหัวข้อให้ได้ก่อนจะเป็นประตูสู่การไปจำ Detail ของแต่ละหัวข้อได้ ถ้าเทียบง่ายๆ อย่างเช่นนิทาน แต่ละที่ก็ไม่น่าต่างกันมากในรายละเอียดแต่ ชื่อเรื่องยังไงพี่คิดว่าน่าจะเหมือนกัน อย่างอยู่ดีๆเราใส่ยับเล่าแต่เนื้อหา กระต่ายกับเต่าเลย ซึ่งบางทีเนื้อเรื่องมันไม่เหมือนกันทั้งหมดทำให้เกิดความซับสนเวลาจำหรือเถียงกับเพื่อนได้ ไม่เชื่อไปลองดูกับบางเนื้อหาที่มันมีกระบวนการหรือคำศัพท์คล้ายๆกัน เถียงกันบ้านแตกสาแหลกขาดบอกเลย เพราะเคยมาแล้ว 555555 ต่อๆ แต่พอเราบอกอะเดี๋ยว จะมาเล่าเรื่อง กระต่ายกับเต่า อะ เห็นม่ะ มันต่างนะ พอบอกชื่อเรื่องเราจำ concept เรื่องคร่าวๆได้เลยว่า กระต่ายท้าเต่าวิ่ง วันวิ่งกระต่ายวิ่งนำ พอไม่เห็นเต่าก็เลยนอนรอ ตื่นมาเต่าเข้าเส้นชัย เห็นม่ะมันไม่มีอะไรเลยเว้ย ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไร เนื้อหา เวลาบรรยายจะต่างกันแค่ไหน สุดท้ายมันมี concept สรุปสั้นๆ เหมือนกันทุกอัน อะๆๆพอเข้าใจวิธีรึยังละ เจ้าน้องๆทุกคน
***ขั้นที่สาม : พอเราทำ 2 ขั้นแรกแล้ว เราก็จะลงเนื้อหาที่เราต้องการ น้องอาจจะถามว่าเอ๊ะพี่ งั้นมันต่างจากวิธีปกติตรงไหน มันมีจุดต่างที่ดูยากอยู่น้อง การใช้หลัง FREMP บอกแล้วว่ามันคือ การปรับให้เหมาะกับตัวเราแบบถาวร เราไม่จำเป็นที่จะต้องว่า เนื้อหาเราต้องอ่านแล้วจำได้หมด หรือ อาจจะจำให้หมดเลยก็ได้ หรืออาจจะยังไม่จำเลยก็ได้ เอ๊ะงงละสิหมายถึงอะไร ครับน้อง การที่เราเอาแแต่อ่านหนังสือในตำรามันไม่ทำให้เราเข้าใจริงๆ ก็จะส่งผลให้อ่านยังไงมันก็จำไม่ไ่ด้สักที พี่เลยจะบอกว่า น้องต้องออกไปเจอของจริง อะพอเริ่มเข้าใจม่ะ น้องอาจจะไปดูวิดิโอเพื่อให้เห็นภาพ , ออกไปเจอในชีวิตจริงเลย , ถามผู้รู้ , ทำข้อสอบ / แบบฝึกหัด สังเกตุได้ว่า มันมีวิธีมากมายที่จะทำให้เราเรียนรู้ในแบบของเราเอง และเมื่อเรารู้เราถนัดที่จะเรียนรู้แบบไหนเราก็จะเอาไปปรับใช้ได้ตลอดชีวิต ตามหลัก FREMP ทืี่ F = Flexible ก็คือ มันไม่มีอะไรตายตัวปรับได้ตลอดเวลา " ไม่ว่าจะทั้งเรื่องเวลาอ่านจะนานแค่ไหนกี่นาทีกี่ชั่วโมงต่อวันอะไรก็ว่าไป หรือ จะอ่านมากอ่านน้อย จะ ไฮไลท์ไม่ไฮไลท์ จะสรุปหรือไม่สรุป " มันอยู่ที่ตัวเราเลยเว้ย อยู่ที่ว่า " เราจะหาแนวการอ่านตัวเองได้มากแค่ไหน ไม่มีใครมาบอกน้องได้หรอกว่าต้องอ่านแบบไหน อ่านเท่าไหร่ พักเท่าเท่าไหร่ถึงจะพอ " เพราะพี่บอกแล้วว่า power ทางกาย กับ สมาธิ ของคนเราไม่เท่ากันจะอิงคนอื่นไม่ไ่ด้ แต่พี่จะขอแนะวิธีพี่ที่พี่คิดว่ามัน Okay สำหรับหลายๆคนเพรา พี่เคยสอนวิธีนี้ให้กับน้องบางคนไปแล้วผลที่ได้มันดี อะมาดู ส่วนตัวพี่จะทำ ขั้น 1-2 ก่อน พอเสร็จ พี่จะอ่านเนื้อหาแค่รอบเดียวจริงๆ อย่าง ถ้าพี่อ่านเรื่อง Expo&log พี่ก็จะอ่าน กฎ หรือ สูตร ที่สำคัญๆ เสร็จปุ๊ป พี่ทำโจทย์เลยจ้า ไม่แคร์สื่อจริงๆ 55555555 เพราะพี่คิดว่า มันเป็นวิธีที่ทำง่ายและไม่ต้องลงทุนอะไรเลยและมันทำให้เราจำและเข้าใจได้ยาวๆ เลยอะนะ หรือ พวก ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ พีก่็ใช้วิธีนี้ อย่าง อย่างชีวะ มันต้องจำเยอะมาก พี่ก็ใช้วิธีนี้ ทำขั้นตอน 1-2 แล้ว พี่จะอ่าน Detail ทั้งหมดแบบจริงจัง รอบเดียว แล้วทำข้อสอบเลย อ่าา รอดูต่อนะ
พอเราทำเสร็จเราก็ตรวจคะแนน เสร็จปุ้ป ไม่ว่าข้อที่ถูกหรือจะข้อที่ผิด เราเขียนคำอธิบายแต่ละข้อว่า ช้อยส์นี้ถูกผิดยังไง พี่จะ เขียนคำอธิบายให้ตัวพี่เข้าใจเองว่าเออมันเป็นงี้ๆๆ concept สั้นก็ได้ หรือจะ บทกวีเลยก็ได้ตามใจเรา ทำแบบนี้ทุกข้อละทุกช้อยส์ที่เราไม่รู้ ไม่sure แล้วเสร็จปุ้ป พี่จะพอแล้วพี่ก็จะไปทำอย่างอื่นเช่น นอน.... นอนจริงๆนะ ( การนอนคือการ พักผ่านที่ดีที่สุด เย่ ) จากนั้นพี่จะมาทวนข้อสอบที่ทำไปตอนแรกใหม่อีกรอบ แล้วอ่าน แบบคิดตาม วิเคาระห์ตาม แบบละเอียดทุกคำที่เราโน้ตไว้ เช ื่อม่ะ อ่านวนงี้สัก 3 รอบ แบบจริงจังให้เวลากับมันนะ เราจะไม่ต้องไปนั่งอ่านหนังสือเป็นหน้าๆเล่มๆ อีกเลยตอนจะสอบ เราก็อ่านแค่ที่เราทำมาทั้งหมดนั้นอะ เป็นทั้งข้อสอบและสรุป ในตัวมันเองหมดเลย เป็นไงล่าา ไม่เชื่ออะเด้ แต่พี่ลองทำแบบนี้ คะแนนไม่ล่วง มีเวลาไปทำอย่างอื่นแน่นอน ลองง่ายๆแค่ ครึ่งเทอมแรกเราทำแบบนี้กับทุกวิชาเรียนนำชาวบ้านเขาไปเลยเว้ย เพียงเดือนเดียว เราจะทำครบทุกวิชาและเข้าใจทุกวิชาเลยเว้ย แล้วอีก 1 เดือน ที่เขาสอน เราก็เอาเวลาเไปเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยได้อีกเห็นม่ะ คุ้มจะตาย พอจะสอบกลางภาค ปลายภาคงิ เราจะเอากลับมาอ่านทวนก็ได้ไม่อ่านก็ได้แล้วแต่เเลยสุดท้ายเราก็จะไป สอบชิวๆเลยยยจ้าาาา
มาสรุปหลัก FREMP กันดีกว่าจะเได้เข้าใจง่ายๆ
1 ) รู้ก่อนว่าเราจะอ่านอะไร แล้ว lecture หัวข้อ และหัวข้อย่อยๆมา ยังไม่ต้องสนใจ Detail นะ
2 ) เราจะมาจำหัวข้อย่อยๆ ให้ได้ทั้งหมดก่อน Jum!! หัวข้อสำคัญที่สุดก่อนจะไปจำอย่างอื่น
***3 ) เราจะมาลงอ่าน Detail ที่เรายังไมไ่ด้อ่าน ซึ่ง จะอ่านจากสรุป จากไฮไลท์ ก็ได้ แต่ขอขายของนิสนิด พี่จะอ่านจาก Clear มันสรุปดีมากสำหรับพี่ ส่วนว่าด้วยเรื่องเวลาอ่านเราจะอ่านนานอ่านแปปเดียว จะอ่านมากอ่านน้อย จะ ไฮไลท์ไม่ไฮไลท์ จะสรุปหรือไม่สรุป ก็ขอให้เราไปปรับกันเองละกันแต่ถ้าจะทำตามพี่ก็ได้เดี๋ยวพี่จะสรุปวิธีของพี่ให้ด้วยละกัน อะต่อๆ เสร็จ พอเราอ่านเสร็จ จะอ่านกี่รอบก็ได้ แต่ขอแบบจริงจังนาา เสร็จปุ๊ป ทำข่้อสอบ ทำเสร็จก็ หาคำอธิบาย ทุกช้อยส์ในแต่ละข้อ ให้เราเข้าใจเอง
4 ) สิ่งสำคัญอีกอย่างนึง คือ การพัก เราก็จะไปพักทำอะไรก็ได้ จะนอน จะเล่น จะดูหนังแล้วแต่เลย แต่จะให้ตายยังไงก็ต้องพัก จำไว้ต้องพัก!! จากนั้นเราก็กลับมาอ่านข้อสอบที่เราทำเมื่อกี้ใหม่ โดยเราจะ อ่านโจทย์ข้อนั้นๆเสร็จ ตามด้วยอ่านช้อยส์และทำความเข้าใจทีละช้อยส์แบบให้เข้าใจริงๆนะ พี่เชื่อว่าไม่เกิน 3 - 5 รอบ เราจะเข้าใจเนื้อหาเองแบบไม่ต้องไปอ่านวนในหนังสือเป็น 10 รอบ และมันแฮปปี้แน่นอน ระหว่าง อ่านหนังสือที่มีแต่ตัวหนังสือ & อ่านชีทข้อสอบที่ lecture แบบ concept แบบใจความหลักๆ สั้นๆได้ใจความ เห็นภาพมากกว่าด้วย เจอโจทย์แล้วมันผ่านตาด้วย อันไหนดีกว่ากันละ
คิ้กค้ากกกกก
สรุป หลัก FREMP ฉบับพี่ใช้เอง
หาวิชาที่จะอ่าน --> ดูหัวข้อที่ต้องการแล้ว lecture ทั้งหมด --> อ่านเนื้อหาทั้งหมดที่พี่ lecture ไว้จากสรุป หรือจากหนังสือตัวเต็มเลยก็ได้ (*แนะนำอ่าน สรุป ) --> ทำข้อสอบ --> หาคำอธิบาย ทุกช้อยส์ในแต่ละข้อเขียนคำอธิบาย --> นอนไปเลย 1-2 ชม --> กลับมาอ่านใหม่ + ทำความเข้าใจทุกข้อทุกช้อยส์ให้หมด -->Happy แน่นอน
นี่คือ link ของส่วนที่บอกว่าจะแถมนา ใครอยากอ่านต่อเข้าไปอ่านได้ ใครไม่อยากไม่อ่ากน็ได้เด้อ ไม่บังคับกัน
How to พิชิต Grade & สอบทุกสนาม 1&2
https://www.dek-d.com/board/view/3966469/
Search Results
Web results
อ้อลืมไป คำอวยพรก็อยู่ที่ How to พิชิต Grade & สอบทุกสนาม 2 จะเข้าไปอ่านแค่คำอำอวยพรก็ได้นะ ข้ามเนื้อหาไป 5555555 (^з^)-
Other Parts
Part 1 ทำยังไงถึงจะรู้ตัวเองสักที !!?
https://www.dek-d.com/board/view/3965865/
Part 3 The Worth of book
https://www.dek-d.com/board/view/3972097/
Part 4 How to สมัครค่ายมหาลัย
https://www.dek-d.com/board/view/3982834/
Part 1 ทำยังไงถึงจะรู้ตัวเองสักที !!?
https://www.dek-d.com/board/view/3965865/
Part 3 The Worth of book
https://www.dek-d.com/board/view/3972097/
Part 4 How to สมัครค่ายมหาลัย
https://www.dek-d.com/board/view/3982834/
แสดงความคิดเห็น