ติดเชื้อ HIV อายุ18 เป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้เลยหรอ
ตั้งกระทู้ใหม่
2. มันจะดูไม่ดีมั้ยครับถ้าเกิดว่ามีคนรู้ว่าเราติดเชื้อ HIV ตั้งแต่อายุยังน้อย
3. เวลาไปเรียนหรือไปสมัครงานคนที่ติดเชื้อมีวิธีการวางตัวในสังคมยังไงให้เค้ายอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้มั้ยครับ
**สาบานได้เลยครับว่าทุกเรื่องที่พูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่มีบิดเบือน**
***อย่าคอมเม้นด่านะครับ***
26 ความคิดเห็น
แวะมาให้กำลังใจน้าาา ^^
ขอตอบที่ละข้อนะ ความคิดเห็นส่วนตัวจ้าา
1. ถุงยางอาจจะรั่ว หรือ ติดทางสัมผัสอื่น ๆ 2. ผลาดแล้วก็ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่ได้ทำให้เดือดร้อน ไม่ต้องเก็บคำพูดคนอื่น ๆ มาใส่ใจ ให้กำลังใจตัวเองก็พอค่ะ สู้ ๆ 3. เรื่องสมัครงานอาจจะมีผล แต่งานหลายที่ ๆ เค้าก็สามารถทำจากที่บ้านได้ หรือ ลงทุนธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเองก็ได้น้าาา ยังไงลองศึกษาดูค่ะ ดูแลรักษาตัวเองดี ๆ ให้กำลังตัวเอง รักตัวเองให้มาก ๆ สู้ ๆ น้าาา
ขอบคุณครับ
1. HIV จริง ๆ แล้วก็ติดได้หลายทางครับ ไม่ใช่แค่การมีเพศสัมพันธ์
อาจบางที คุณเกิดมีแผลแล้วไปสัมผัสกับสารคัดหลั่งของอีกฝ่ายเข้า ก็อาจติดได้โดยไม่รู้ตัว
2. ปัจจุบัน สังคมเปิดกว้างมากกว่าแต่ก่อนครับ คนเริ่มมีความรู้เรื่อง HIV มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้กว้างแบบ 100% เพราะงั้นมันก็จะมีทั้งคนที่รับได้และคนที่รับไม่ได้ ต้องเข้าใจตรงจุด ๆ นี้ครับ
3. จริง ๆ ที่ทำงานส่วนใหญ่ไม่ได้บังคับตรวจร่างกายตอนเข้าทำงานครับ และปัจจุบันเริ่มมีการรณรงค์ให้บริษัทที่บังคับตรวจให้ยกเลิก เพราะการมีเชื้อ HIV ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับการทำงาน(ยกเว้นบางสายงาน)
.
ตรงนี้ ผมเข้าใจครับ ว่าคุณเองก็ไม่ได้อยากจะให้ตัวเองมีเชื้อ แต่ทีนี้มันมีขึ้นมาแล้ว
สิ่งที่คุณควรต้องทำคือการเข้าสู่กระบวนการรักษา ไปหาหมอ รับยาต้านไวรัสให้ตรงเวลา ดูแลตัวเองให้มากกว่าคนปกติ เท่านี้คุณก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติครับ และถ้าเมื่อไรที่คุณรับยาจนผลการตวจปริมาณไวรัสเป็น Undetectable ก็จะไม่ส่งต่อเชื้อให้คนอื่นครับ (Undetectable = Untransmissable)
ทำความเข้าใจและอยู่ร่วมกับมันให้ได้ครับ
การที่คุณมีเชื้อไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวของคุณลดลง
ด้วยเช่นนั้น ก็อย่าได้คิดบัั่นทอนคุณค่าของตัวเองด้วยตัวเองนะครับ
เป็นกำลังใจให้
ขอบคุณครับ
1. สารคัดหลั่งทุกชนิดของผู้ติดเชื้อ ติดมาตอนออรัลรึป่าว
2. แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน อยู่ที่ดวงของคุณว่าคนรอบตัวเป็นยังไง
3. ถ้ากินยาต้านอยู่ตลอดก็ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ การติดเชื้อHIVมันเป็นโรคภายใน ดูภายนอกไม่รู้อยู่แล้ว จนกว่าจะเข้าสู่ระยะสุดท้ายที่เรียกได้ว่าเป็นเอดส์และพวกโรคแทรกซ้อนเริ่มฉวยโอกาส
ติดทางออรัลได้ด้วยหรือครับ เคยคิดแค่ว่าต้องเกิดจากการสอดใส่
น้ำลายก็เป็นสารคัดหลั่งนะครับ นอกจากนั้นออรัลก็คือเอาของอีกฝ่ายเข้าปาก หมายความว่าน้ำกามก็เข้าไปในปากได้ และถ้าหากในปากมีแผล ก็...ตามนั้นแหละ
Hiv ไม่ติดทางน้ำลายนะครับ น้ำลายถ้าติดต้องมีปริมาณมากเป็นลิตรๆนะครับถึงจะติด
ทางการออรัลถ้าไม่มีการหลั่งในปากก็ไม่ติด สอบถาม 1663 ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ได้
อย่าให้ข้อมูลผิดๆเดี๋ยวคนอื่นเค้าจะวิตกนะครับคุณ
แล้วรู้ได้ยังไงว่าเค้าไม่ได้มีการแตกในปากกัน อีกอย่างเค้าเขียนไว้อยู่แล้วว่าใช้ถุงตลอด คิดว่าเค้าติดจากทางไหนได้อีกล่ะครับ ถ้าถุงแตกเค้าก็รู้ตัวว่าเสี่ยงตั้งแต่แรกแล้ว ถุงรั่วไม่ต้องพูดถึงมันเป็นเรื่องทฤษฎีในทางปฏิบัติแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงแรกเริ่มมันอาจแค่รั่วแต่เอาๆไปซักพักขยายเป็นแตกแทบจะแน่นอน ยกเว้นแค่มันรั่วในจุดที่ไม่ค่อยมีการเสียดสี ที่เหลือก็คือติดทางเลือดซึ่งจขกท.ไม่ได้ให้ข้อมูลไว้จึงพิจารณาไม่ได้ ที่เหลืออีกอย่างก็ออรัล ถึงไม่ได้บอกว่าทำก็ตามแต่ส่วนมากเค้าก็ทำกันดังนั้นสันนิษฐานไว้ก่อนได้ว่าจขกท.ก็อาจจะทำ และคุณเองก็บอกว่า "เป็นไปได้ยาก" มันต่างจาก "เป็นไปไม่ได้" นะครับ ตราบที่ความเป็นไปได้ยังไม่ใช่0 มันมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว
คำถามข้อแรก ควรถามหมอค่ะ ส่วนที่ว่าไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม เพราะคนเราแยกแยะ ระหว่างเชื้อ HIV กับ เอดส์ ไม่ได้ เหมารวมไปหมดว่าเป็นโรคร้าย ซึ่งเรื่องนี้ถ้าคนเข้าใจ ก็ไม่เป็นปัญหาในสังคมค่ะ เวลาไปสมัครเรียนหรืองาน มันพอจะปกปิดได้ไหม แบบเก็บเป็นความลับไปเลย แล้วตัวเราก็มีหน้าที่ระวังไม่เราไปติดผู้อื่นก็พอ
กลัวว่าจะเป็นแบบ รร มหาลัยหรือที่ทำงานให้ตรวจสุขภาพ แล้วต้องเจาะเลือดมาพบเชื้ออ่าครับ กลัวมีเคสแบบนี้
1.สารคัดหลั่งทุกชนิดของผู้ติดเชื้อ ติดได้หมดครับ ทั้งจูบ ทั้งออรัล
2.อย่าบอกใครนะครับว่าติด แม้แต่เพื่อนที่ไว้ใจ ห้ามเลยยกเส้นครอบครัว
3.เหมือนข้อ 2ครับ หลักๆคือห้ามบอกใคร ทานยาต้านตามที่หมอกำหนดทุกอย่าง ทำอย่างเคร่งครัดแค่นั้น
ปกติผ่านแค่อ่าน Dek-D นะ แค่เจอกระทู้นี้ไปแล้วต้องรีบมาคอมเม้นท์เลย
ผมเป็นเกย์รุกตอนนี้แฟนผมเป็น HIV ตอนแรกที่คบกันยังไม่รู้ผลเลือกทั้งคู่ พอผลออกมาหลังจากครบกัน3เดือน แฟนผมติด ผมไม่ติด ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ผมรังเกียจรึรักเค้าน้อยลงเลย แถมอยากดูแลเค้ามากขึ้นอีก ตอนนั้นเค้า อายุ18 19นี่ละครับผมก็อายุไล่ๆกับเค้า เค้าก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมเพิ่มเติมแค่กินยาต้านตามเวลาแค่นั้นเอง ปัจจุบันครบกันมาแล้ว 3ปี เชื้อเค้าก็อ่อนลงมาก หมออาจะเชื้อจะสงบ อาจมาจากการที่กินยาต้านตลอด
ที่พูดมานี่คือไม่อยากให้มองว่ามันเลวร้ายจนถึงต้องฆ่าตัวตายครับ เรื่องสมัครงานอันนี้ตั้งแต่ผมจบมาทำงาน3ที่ มีตรวจเลือดทุกที่แหละ แต่ไม่มีตรวจHIVเลย สบายใจเรื่องนี้ได้ครับ แต่บางอาชีพเช่นหมอ หรือทหารคงไม่ได้ (อ่านจากpantipมา)
ถ้า จขกท. ตรวจเจอไวก็รีบรับยานะครับ
ยังไงก็สู้ๆนะครับ ^ ^
มีออรัลก่อนมีเซ็กเกือบทุกครั้งครับ
ตั้งแต่ที่รู้ว่าติดเชื้อ ในหัวเราคิดอย่างเดียวคือไม่อยากอยู่ต่อแล้วอ่ะครับ อยู่ไปมันเหมือนกับว่าเราเอาภาระไปให้คนรอบข้างเรา ถ้าเค้ารู้เค้าคงไม่สบายใจแน่นอนครับ
อย่าคิดอย่างงั้นสิครับ เสียค่ายาอาจจะแพงบ้าง แต่ไม่ใช่ภาระขนาดนั้นหรอก แรกๆมันอาจจะยาก แค่พอมันผ่านไป เราจะแทบไม่คิดอะไรถึงเรื่องนั้นเลย ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติเลยครับ ขอแค่ทานยาต้านอย่างเคร่งครัด มันจะมียาตัวนืงทำเวียนหัวมาก แฟนผมต้องปรับตัวสักพักเลยกว่าจะชินก้บตัวยาจนไม่เวียนหัว
แต่ท้ายที่สุด "ทุกอย่างมันจะโอเค" คำนี้ผมบอกเค้าเสมอ
ถ้านัดยิ้มอยู่ก็อย่าลืมใส่ถุงนะครับ
แวะมาให้กำลังใจกันนะ ทำใจร่มๆมองโลกให้มันกว้างขึ้นเนอะ
1.การติดเชื้อHIVนี่มันติดได้หลายช่อง
ทางมากๆ ถุงยางเองมันก็ไม่ได้ป้องกันได้100%อยู่แล้วตัวเข้าใจตรงนี้นะ บางทีมันอาจจะขาดจะรั่วระหว่างมี sex ได้
2. มันจะดูไม่ดีมั้ย? สมัยนี้เปิดกว้างมากๆแต่เราก็ต้องทำใจอย่างนึงเหมือนกันว่าอาจจะมีคนไม่เข้าใจบ้าง แต่สิ่งนึงเลยที่สำคัญคือ เราต้องรักตัวเองด้วยนะใส่ใจสุขภาพมากขึ้น มันไม่ได้เป็นปัญหาถึงขนาดนั้นด้วย
3.ในส่วนเรื่องเรียนมีช่องทางมากมายที่จะเซฟความรู้สึกของเรา HIV มันเป็นโรคอย่างนึงไม่ได้น่ากลัวขนาดที่จะต้องมารังเกียจกันอยู่แล้้วสบายใจได้นะ เรื่องงานอย่างที่หลายๆคนบอก มันมีหลายที่นะที่เค้ามีนโยบายรับคนติดเชื้อเข้าทำงาน หรือเราอาจจะมองหางานในช่องทางอื่นๆ ที่เราสบายใจกว่าการออกไปทำข้างนอก WFH เอยหลายๆสายงานก็ใช้ช่องทางออนไลน์เยอะ ลองค้นข้อมูลต่างๆเพิ่มเติมจากนี้
เนอะมีเยอะมากๆ
// ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่สิ่งนึงที่ไม่ลืมคือผลที่ตามมา บางเรื่องมันก็ไม่ได้แย่เสมอไป เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันหมั่นดูแลสุขภาพนะ ทำจิตใจให้สดชื่น เชื่อว่ายังไงคุณต้องผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างแน่นอนเป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ
ผมก็เป็นคนติดเชื้อ HIV แต่ได้บอกครอบครัวให้รู้ จากที่ครอบครัวรับไม่ได้ที่เราชอบผู้ชาย ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย อีกทั้งยังไปหาหมอไปรับยากับแม่
1. ถุงยางอาจจะรั่ว ตามคห.อื่นๆบอก หรือไม่ตอนออรัลให้รุก น้องอาจมีแผลเป็น ร้อนในในปาก ทำให้เชื้ออาจสู่ร่างกายได้ หรือไม่ก็ น้องมั่นใจทุกครั้งหรือไม่ว่าตอนน้องใส่ให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายจะแอบถอดออกหรือเปล่า (พี่ติดมาจากเคสแบบนี้แหละ และเขาคือแฟนพี่เองที่จงใจให้คนอื่นๆเป็นเหมือนเขา) แต่ไม่ว่ายังไง น้องก็ต้องสู้ต่อไปนะ :)
2.จากที่พี่เจอมา เพื่อน ครอบครัว ญาติ เขาก็ไม่ได้อะไรมากนะครับ อย่างน้อย เชื้อ HIV ยังมีโอกาสติดต่อสู่กันยากกว่าบางโรค
3.เรื่องการเรียน มันมีบางสาขาที่เราไม่สามารถเรียนได้เลย ตำรวจ ทหาร ต่างๆ (จบป.ตรี จะไปสอบตำรวจประมวล มีระบุไว้เลยว่า ไม่เป็นโรคเอดส์/มีเชื้อHIV) นอกนั้น เราก็เรียนได้หมดครับ ถ้าเขาไม่ระบุว่าตรวจเชื้อ HIV การวางตัวการเรียน พี่มองว่า เราไม่จำเป็นว่า เราต้องไปบอกเพื่อนๆ คนอื่นๆ ว่าเรามีเชื้อ เพราะไม่ได้มีคนอื่นๆชอบเราไปหมดทุกคน ผลเสียอาจตกถึงเราได้ อีกอย่าง กินน้ำแก้วเดียวกันก็ไม่ติด นอกจากเราเกิดอุบัติเหตุคืออะไรอาจบอกให้เขารู้ว่า ระมัดระวังด้วยนะ เรามีเชื้อ ถ้าไม่จำเป็นอย่าบอกไปเลยดีกว่าครับ คนหวังดีก็มี คนหวังร้ายก็มีเหมือนกันครับ
สุดท้ายนี้ ให้น้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ ติดต่อรับยากับทางโรงพยาบาล (พี่ใช้สิทธิใกล้บ้าน30บาท) หากน้องซื้อยาจากคลินิกไม่เข้าร่วมกับโรงพยาบาลยาแพงครับ 2200 บาทแน่ะ พอไปโรงพยาบาบ เราเจอคนที่เป็นเหมือนเราเยอะเลย เขาก็มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงดี กินยาดูแลตัวเองให้ดี รักตัวเอง และครอบครัวให้มากๆครับ เป็นกำลังใจให้ :D
พี่กินยามา 1ปีครึ่งแล้ว เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วล่ะ 555 สู้ๆนะ
แวะมาเป็นกำลังใจให้ครับ :) อย่าเก็บคำพูดคนอื่นมาคิดให้เยอะเลยนะ (ถึงอาจจะทำได้ยากนิดหน่อย แต่ทำได้แน่นอน) อย่าคิดเยอะเรื่องตัวเองไม่ดีเพราะติดเชื้อ หรือว่าคิดว่าตัวเองด้อยไปกว่าคนอื่นเลยนะครับ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน เชื่อผมว่าบนโลกนี้มีคนจำนวนมากทุ่มเททั้งชีวิต กับเรื่องโรคร้ายประเภทนี้ เพื่อที่จะหาทางรักษาหรือแก้ไข (ตอนนี้ก็มียาที่รับจนสามารถกดเชื้อ HIV ได้แล้ว) ขอแค่รักษาร่างกายของตัวเองกับจิตใจตัวเองให้ดีต่อไปเรื่อยๆ เดียวอะไรๆก็ดีขึ้นครับ
1. ข้างบนตอบไปหมดแล้ว ถุงยางรั่ว ปากมีแผล เป็นแผลแล้วเผลอไปจับเค้า
2. ส่วนตัวเราไม่ตั้งแง่หรอก สมัยนี้ความรู้เรื่องHIVดีขึ้นมาก แต่เลือกบอกคนที่เค้าจะไม่ดูถูกเรานะ เพราะคนที่อคติยังเยอะอยู่
3. บางอาชีพควรหลีกเลี่ยง แต่ส่วนมากตอนสมัครงานเค้าไม่ถามหรอกว่าเป็นรึเปล่า เรารับผิดชอบของเราก็พอเนอะ
ตรวจเจอเร็ว กินยาสม่ำเสมอ ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ ใจเย็นๆ ไว้นะ มีคนคอยสนับสนุนเราอยู่ อย่างน้อยก็ในกระทู้นี้
ตอบข้อ1 นะคะ
ช่องทางการติดต่อเชื้อไวรัส ได้แก่ การสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นเลือด อสุจิ น้ำหล่อหลื่นผ่านทางบาดแผล หรือเยื่อเมือกบุผิวภายในช่องปาก ช่องคลอด ทวารหนัก และอวัยวะเพศชาย
การกอด จับมือ การจูบแบบปิดปาก การสัมผัสกับน้ำตา เหงื่อ หรือน้ำลาย รวมไปถึงการหายใจร่วมกัน หรือการใช้ของร่วมกัน ไม่สามารถทำให้เราติดเชื้อไวรัส HIV จากผู้ป่วยได้
การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV สามารถกดการแพร่กระจายไวรัสในร่างกาย และใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนทั่วไป
#ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ เชื้อนี้มันจะทำให้ภูมิต้านทานเราลดลง ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ
สูู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
มาเป็นกำลังใจให้นะคะ
คำถามข้อ1 ตามที่ด้านบนๆ ตอบไปตามนั้นเลยคะ
สังคมสมัยนี้เปิดกว้างมากขึ้น hiv ไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนเมื่อก่อนถ้าเรารู้จักดูแลตัวเองให้ดี เราจะต้องเจอกับคนที่ยอมรับได้และไม่ได้ ให้เลือกมีความสุขกับคนที่ยอมรับและอย่าไปสนใจพวกใจแคบ อย่าเอาใจไปไว้ที่สังคมให้ไว้กับตัวเอง
การทำงานอาจมีปัญหาบ้างให้เข้มแข็งไว้ แต่ปัจจุบันมีบริษัทหลายแห่งยอมรับผู้ติดเชื้อได้แล้ว กว่าน้องจะเรียนจบและออกมาทำงานโลกจะยังเปลี่ยนแปลงไปอีกเยอะ สู้ๆ นะ ดูแลตัวเองดีๆ ทำจิตใจให้มีความสุข อาจจะอยู่ได้นานกว่าอีกหลายๆ คนเลยค่ะ
สมัยนี้มันมียาที่รักษาได้ทำให้คนที่ติดเชื่อดูเหมือนคนปกติครับ นั่นก็คือทฤษฎีU=Uครับ เเต่ไม่ใช่ว่าถ้ามีเพศสัมพันธ์จะไม่ใส่ถุงยางนะครับ เพราะโรคอื่นๆที่ติดทางเพศสัมพันธ์ก็มีเยอะครับเช่นโรคไวรสตับอักเสบบีครับ สู้ๆนะครับ กินยารักษาตัวดีดีครับ
HIV ตอนนี้ โอกาสเสียชีวิต น้อย กว่า มะเร็ง กับเบาหวาน ครับ เพื่อนรักผม เป็น HIV มา 3 ปีแล้ว เบื้องต้นให้น้อง รีบตรวจหาเชื้อยืนยันผล และรับยา ต้าน HIV คุณหมอ จะมีคำแนะนำ พร้อม วิธี ปฏิบัติ ตัว ยืนยันว่า เป็นกำลังใจให้ นะ หรือ ถ้าจะคุย กะผมโดยตรง email: pokylemon@gmail.com ช่วงแรก อาจจะเครียด แต่อย่าทำร้ายตัวเอง นะ ผมพอช่วย เป็นที่รับฟัง และระบาย ความอัดอั้น ภายในใจได้
ให้กำลังใจนะครับ หลายคำถามมีคอมเมนท์อื่นๆตอบไปบ้างแล้ว แต่จะช่วยเสริมเรื่องอื่นๆให้ละกัน
อย่างแรก โรคนี้ปัจจุบัน ไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัวแล้ว เพราะมียาที่ดี ประสิทธิภาพสูง ใช้ง่าย ดังนั้นไม่ต้องกลัว ทำใจให้สงบ เปิดใจให้กว้างๆ โรคนี้เป็นโรคระบาดระดับโลก หรือระดับ pandemic และเป็นรุ่นพี่ของ covid - 19 ระบาดมานาน และมีเรื่อยๆ ทั้งจากแม่สู่ลูก ติดในคู่สามีภรรยา จากแฟน ฯ การจะบอกว่าเพราะทำตัวงั้นงี้ จึงติด ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก และไม่ได้เกี่ยวกับอายุด้วย เด็กเล็กๆที่ต้องรับยาโดยที่ยังไม่ถึงวัยที่จะเข้าใจด้วยซ้ำว่าตัวเองกินยาเพราะอะไรก็มีอยู่ แต่มันติดไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วก็ต้องอยู่กับมันให้ได้นะ ปัจจุบันเรามีแนวทางในการอยู่กับมันอย่างไรมาค่อยๆดูกัน
ขั้นแรก ตรวจเจอให้เร็ว เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างรวดเร็ว อันนี้น้องผ่านมันมาได้แล้วนะ คือรู้แล้วล่ะมีเรามีเจ้าไวรัสเล็กๆนี้อยู่
ขั้นที่ 2 ทำความเข้าใจกระบวนการรักษา คือ เชื้อมันเป็นไวรัสชนิดหนึ่ง ตัวมันเองไม่ก่อโรค คือไม่ได้ทำให้เกิดอาการป่วย แต่เชื้อไวรัสชนิดนี้โจมตีเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นระบบภูมิคุ้มกัน และแฝงตัวอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิด ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้ เมื่อไวรัสแบ่งตัวจะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวไปด้วย ผลคือภูมิคุ้มกันเราลดลง ทำให้เชื้อโรคในธรรมชาติที่มีมากมาย สามารถโจมตีเราได้ และเราจะสู้ไม่ไหว เพราะภูมิคุ้มกันเราไม่พอ เรียกว่าเกิดโรคฉวยโอกาส ระยะที่เกิดโรคฉวยโอกาสจะเรียกว่า ระยะเอดส์ (AIDs) เป็นคนละอย่างกับ HIV ซึ่งเป็นชื่อโรคนะ
วิธีที่จะหยุดเชื้อไม่ให้ทำลายพูมิคุ้มกันของเราคือการกินยาต้านไวรัส ยาจะไปหยุดไม่ให้ไวรัสแบ่งตัวได้ ทำให้ร่างกายมีเวลาเก็บกวาดจนไวรัสลดต่ำลง จนไวรัสในเลือดเหลือน้อยมากๆจนไม่เหลือเลยและตรวจเลือดก็ไม่เจอไวรัสด้วย เมื่อเลือดเราไม่มีไวรัส เราก็แพร่เชื้อไม่ได้ เก็ทไหม undetectable = untransmittable หรือ U = U ที่เคยได้ยินกัน
ขั้นตอนที่ 3 คือเริ่มยา ซึ่งยาปัจจุบันจะใช้ยา 3 ชนิด ซึ่งมัดรวมในเม็ดเดียวไว้แล้ว กินก่อนนอน วันละ 1 ครั้ง สะดวกมาก กินไปเรื่อยๆ อย่าหยุด กินตรงเวลา สำคัญมาก กินตรงเวลา เน้นอีกครั้ง กินตรงเวลา เพราะเชื้อดื้อยาได้ ถ้ากินยาไม่ตรงเวลา กินๆหยุดๆ เมื่อใดที่เชื้อมีโอกาสได้แบ่งตัว เชื้อจะมีโอกาสกลายพันธุ์และมีโอกาสดื้อยา คือ ยาเดิมใช้ไม่ได้ผล จากยาเม็ดเดียวจะเป็นหลายเม็ดทันที ดังนั้นถ้าหมอให้เริ่มยาแล้ว สมมติกิน 3 ทุ่ม ต้องกิน 3 ทุ่ม บวกลบได้ไม่เกิน 5 นาที เพื่อไม่ให้เชื้อดื้อยา เพื่อความง่ายในการรักษาและเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง เมื่อตรวจเลือดไม่เจอเชื้อแล้วจะถือว่า การรักษาได้ผล ให้กินยานี้ต่อไป กินยาตลอดชีวิตเป็นความจริงที่ต้องยอมรับนะครับ เพราะถ้าหยุดยาเชื้อที่แฝงตัวก็จะแบ่งตัวออกมาอีก ดังนั้นต้องกินยากดมันไว้
สุดท้ายก็ดูแลตัวเอง ทุกๆอย่างก็จะกลับมาปรกติในไม่ช้า ทั้งสุขภาพ ระดับภูมิคุ้มกัน ในเลือดก็ไม่มีไวรัสแล้ว เทียบเท่าปรกติเดิมทุกประการ และถ้ารู้สึกว่าเราไม่ไหว เราเหนื่อย ไม่อยากกินยา จใจเราไม่ไหว อย่าลังเลที่จะบอกคนรอบข้างที่เราไว้ใจ หรือขอคุณหมอปรึกษาจิตแพทย์ เค้าจะมีวธีคุยกับเรา มีมุมมองใหม่ๆ และสามารถช่วยให้ผ่านเหตุการณ์ที่ทำร้ายจิตใจเราไปได้
เป็นกำลังใจให้นะงับ น้องไม่ได้อยู่คนเดียวนะ มีคนอีกมากมายที่พร้อมช่วยเหลือน้อง รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน เช่นพี่
สู้ๆนะครับ พี่ก็เลือดบวกเหมือนกัน เพิ่งรับยาต้านมาเกือบ 2 เดือนล่ะ ผลข้างเคียงคือ มึนหัว ตัวร้อน ถ้าช่วงสอบเครียดๆก็จะมีอาการอยากอ้วก แต่พี่บอกแค่เพื่อนสนิทนะครับ คนเดียวจริง ที่สนิทมากๆอยู่ด้วยกันมาเกือบ 10 กว่า ปี มันก็เข้าใจ แต่ต้องเลือกคนที่เชื่อถือได้นะครับ พี่ว่ารีบเริ่มยาต้านเลยจะดีที่สุด บางคนเริ่มยาต้านช้า ค่า CD4 ต่ำ บอกเลยว่า 2 อาทิตย์แรกเหมือนนรกเลย เพราะมันหนักมากกับผลข้างเคียงของยา แต่ถ้าเราผ่านไปได้ก็สบายครับ HIV ต้องบอกเลยว่าไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน หากเราดูแลสุขภาพ ทานยาให้ตรงตามเวลา เราก็คือคนปกติทั่วไปเลยครับ ตอนพี่รู้พี่ไม่มีเวลามาเศร้า พยาบาลที่ฝ่ายงานสุขภาพจิต ถามว่าจะร้องไห้ก่อนมั้ย พี่บอกเค้าว่า พี่ไม่ร้องครับ พี่รับได้ พี่ขอเริ่มรับการรักษาให้เร็วที่สุด สู้ๆนะครับ
แวะมาให้กำลังใจค่ะ
1.น่าจะติดจากทางอื่นเช่นออรัล หรือ จูบ
2.ต่างคนต่างความคิดค่ะ ถ้าเราไม่บอกก็ไม่มีใครรู้แต่ต้องบอกครอบครัวนะ
3.ทานยาต้านค่ะ ระวังเรื่องการใช้ชีวิตกับคนหมู่มาก
ปล.เราเคยทำงานกับคนที่เค้าเป็นค่ะ
ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าเป็นแต่พอเรารู้เราก็เข้าใจเค้านะ เค้าป้องกันตัวเองดีมากทั้งตัวเค้าเองและคนรอบข้างที่อยู่ใกล้เค้า ไม่ว่าจะตอนทำงาน ออกไปข้างนอก หรือแม้แต่ตอนกินข้าวด้วยกัน
สู้ๆนะคะ เดียวก็ผ่านไปได้เนอะ^^
ขอข้ามคำตอบข้อที่1นะคะ
ข้อที่2. ส่วนตัวคิดว่าสมัยนี้เริ่มมีคนยอมรับได้บ้างแล้วแต่ยังเป็นแค่ส่วนน้อย เพราะคนมักเข้าใจ แยกแยะไม่ออกระหว่าง hiv กับ เอดส์ คุณแค่ต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่าคนอื่น ทานยาต้านไวรัส ออกกำลัง และใช้ชีวิตปกติได้เลยค่ะ อย่าไปเครียดกับมันให้มากเลยค่ะ เราต้องรู้จักปรับตัวและยอมรับสิ่งที่เราเป็นดีกว่าค่ะ มีอะไรปรึกษาได้นะคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
3.เวลาไปเรียน/สมัครงาน ถ้ามีตรวจพวกเจาะเลือด เราสามารถไม่บอกได้นะคะ *ถ้าสายงานนั้นไม่เคร่งเรื่องhiv*ส่วนเรื่องเรียน เรามีสิทธิ์ที่จะไม่บอกได้นะคะ อยู่ที่ตัวเราเอง เราแค่ต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่าคนอื่นแค่นั้นเองค่ะ คุณสามารถใช้ชีวิตปกติของคุณต่อไปได้เลย อย่าไปกังวลเรื่องนี้มาก คุณแค่ต้องระมัดระวังตัวมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยเอง รู้จักป้องกันตัวเองในหลายๆเรื่อง เช่นสุขภาพ การออกกำลังกาย อย่าไปเครียดเลยนะ เป็นกำลังใจให้นะคะ คุณเกิดมาครั้งเดียวใช้ให้มันคุ้ม ปัญหานี้มีทางออกนะคะ คุณสามารถทำงานตามความฝันของคุณได้เลย ปัญหานี้คุณสามารถทำให้เป็นเรื่องปกติได้ ลองปรึกษาคุณหมอดูนะคะ คุณหมอช่วยได้ แค่คุณทานยาต้านไวรัสให้สม่ำเสมอ และดูและดูแลตัวเองให้ดีคุณก็มีชีวิตได้นานเหมือนปกติได้ สู้ๆนะคะ
โอกาสติดต่อมีหลายทางครับ
การสัมผัสสารคัดหลั่งอาจจะติดทางมือที่จับถุงยางตอนร่วมเพศเสร็จ แล้วมีแผล
หรือ ร่วมเพศรุนแรงจนมีแผลทางทวารแล้วถุงยางรั่วก็ได้ครับ
แต่ที่แน่ ๆ น้องต้องบอกคู่ขาน้องทุกคนให้ไปตรวจนะครับ อย่าลืม อย่าอายด้วย
สู้ๆนะคะ เราก็อายุ 18 เหมือนกัน เราเชื่อว่าทุกคนและคนรอบข้างจะเป็นกำลังใจให้นะคะ อย่างน้อยๆก็มีเราและทุกคนในกระทู้นี้เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ต่อไปนะคะ ️
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?