Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ติดเชื้อ HIV อายุ18 เป็นเรื่องที่สังคมรับไม่ได้เลยหรอ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เราเป็นเกย์ฝ่ายรับตอนนี้อายุ18 ยอมรับว่ามีอะไรกับ ผช มาหลายคน ถวามถี่อยู่ประมาณ1อาทิตย์ต้องได้ซักคนหรือสองคน เวลาจะมีอะไรกันเราเป็นคนสวมถุงยางให้ฝ่ายรุกทุกครั้ง แต่พอไปตรวจเลือดผลออกมาเป็น positive งงมากๆว่าเราติดเชื้อจากไหนมาทั้งที่เราใส่ถุงยางให้ฝ่ายรุกทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ สาบานได้เลยว่านี่เป็นเรื่องจริงทุกอย่างไม่มีบิดเบือนและตอนนี้ผลออกมาคือเราติด HIV เสียใจมาก กลัวไปสมัครงานหรือสมัครเรียนที่ไหนเค้าจะไม่รับ ต้องทำยังไงดีครับ เคยคิดอยากฆ่าตัวตายหลายครั้งแล้ว อยากตั้งคำถาม3ข้อครับว่า
1. เวลามีเพศสัมพันธ์เราเป็นคนสวมถุงยางให้ฝ่ายรุกตลอด อยากทราบว่าทำไมเรายังติดเชื้อได้อยู่ มันรับเชื้อจากทางไหนได้อีก
2. มันจะดูไม่ดีมั้ยครับถ้าเกิดว่ามีคนรู้ว่าเราติดเชื้อ HIV ตั้งแต่อายุยังน้อย
3. เวลาไปเรียนหรือไปสมัครงานคนที่ติดเชื้อมีวิธีการวางตัวในสังคมยังไงให้เค้ายอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้มั้ยครับ
**สาบานได้เลยครับว่าทุกเรื่องที่พูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่มีบิดเบือน**
***อย่าคอมเม้นด่านะครับ***

แสดงความคิดเห็น

>

26 ความคิดเห็น

ส้มชมพู 10 พ.ค. 63 เวลา 21:56 น. 1

แวะมาให้กำลังใจน้าาา ^^

ขอตอบที่ละข้อนะ ความคิดเห็นส่วนตัวจ้าา

1. ถุงยางอาจจะรั่ว หรือ ติดทางสัมผัสอื่น ๆ 2. ผลาดแล้วก็ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่ได้ทำให้เดือดร้อน ไม่ต้องเก็บคำพูดคนอื่น ๆ มาใส่ใจ ให้กำลังใจตัวเองก็พอค่ะ สู้ ๆ 3. เรื่องสมัครงานอาจจะมีผล แต่งานหลายที่ ๆ เค้าก็สามารถทำจากที่บ้านได้ หรือ ลงทุนธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเองก็ได้น้าาา ยังไงลองศึกษาดูค่ะ ดูแลรักษาตัวเองดี ๆ ให้กำลังตัวเอง รักตัวเองให้มาก ๆ สู้ ๆ น้าาา

1
ลิงเมา 11 พ.ค. 63 เวลา 00:57 น. 2

1. HIV จริง ๆ แล้วก็ติดได้หลายทางครับ ไม่ใช่แค่การมีเพศสัมพันธ์

อาจบางที คุณเกิดมีแผลแล้วไปสัมผัสกับสารคัดหลั่งของอีกฝ่ายเข้า ก็อาจติดได้โดยไม่รู้ตัว

2. ปัจจุบัน สังคมเปิดกว้างมากกว่าแต่ก่อนครับ คนเริ่มมีความรู้เรื่อง HIV มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้กว้างแบบ 100% เพราะงั้นมันก็จะมีทั้งคนที่รับได้และคนที่รับไม่ได้ ต้องเข้าใจตรงจุด ๆ นี้ครับ

3. จริง ๆ ที่ทำงานส่วนใหญ่ไม่ได้บังคับตรวจร่างกายตอนเข้าทำงานครับ และปัจจุบันเริ่มมีการรณรงค์ให้บริษัทที่บังคับตรวจให้ยกเลิก เพราะการมีเชื้อ HIV ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับการทำงาน(ยกเว้นบางสายงาน)

.

ตรงนี้ ผมเข้าใจครับ ว่าคุณเองก็ไม่ได้อยากจะให้ตัวเองมีเชื้อ แต่ทีนี้มันมีขึ้นมาแล้ว

สิ่งที่คุณควรต้องทำคือการเข้าสู่กระบวนการรักษา ไปหาหมอ รับยาต้านไวรัสให้ตรงเวลา ดูแลตัวเองให้มากกว่าคนปกติ เท่านี้คุณก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติครับ และถ้าเมื่อไรที่คุณรับยาจนผลการตวจปริมาณไวรัสเป็น Undetectable ก็จะไม่ส่งต่อเชื้อให้คนอื่นครับ (Undetectable = Untransmissable)


ทำความเข้าใจและอยู่ร่วมกับมันให้ได้ครับ

การที่คุณมีเชื้อไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวของคุณลดลง

ด้วยเช่นนั้น ก็อย่าได้คิดบัั่นทอนคุณค่าของตัวเองด้วยตัวเองนะครับ

เป็นกำลังใจให้


1
Shalnark T Diabolus 11 พ.ค. 63 เวลา 07:24 น. 3

1. สารคัดหลั่งทุกชนิดของผู้ติดเชื้อ ติดมาตอนออรัลรึป่าว

2. แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน อยู่ที่ดวงของคุณว่าคนรอบตัวเป็นยังไง

3. ถ้ากินยาต้านอยู่ตลอดก็ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ การติดเชื้อHIVมันเป็นโรคภายใน ดูภายนอกไม่รู้อยู่แล้ว จนกว่าจะเข้าสู่ระยะสุดท้ายที่เรียกได้ว่าเป็นเอดส์และพวกโรคแทรกซ้อนเริ่มฉวยโอกาส

4
Minnie83221 11 พ.ค. 63 เวลา 09:32 น. 3-1

ติดทางออรัลได้ด้วยหรือครับ เคยคิดแค่ว่าต้องเกิดจากการสอดใส่

0
Shalnark T Diabolus 11 พ.ค. 63 เวลา 19:24 น. 3-2

น้ำลายก็เป็นสารคัดหลั่งนะครับ นอกจากนั้นออรัลก็คือเอาของอีกฝ่ายเข้าปาก หมายความว่าน้ำกามก็เข้าไปในปากได้ และถ้าหากในปากมีแผล ก็...ตามนั้นแหละ

0
ส้มหยุด 17 พ.ค. 63 เวลา 05:54 น. 3-3

Hiv ไม่ติดทางน้ำลายนะครับ น้ำลายถ้าติดต้องมีปริมาณมากเป็นลิตรๆนะครับถึงจะติด

ทางการออรัลถ้าไม่มีการหลั่งในปากก็ไม่ติด สอบถาม 1663 ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ได้


อย่าให้ข้อมูลผิดๆเดี๋ยวคนอื่นเค้าจะวิตกนะครับคุณ

0
Shalnark T Diabolus 8 มิ.ย. 63 เวลา 15:13 น. 3-4

แล้วรู้ได้ยังไงว่าเค้าไม่ได้มีการแตกในปากกัน อีกอย่างเค้าเขียนไว้อยู่แล้วว่าใช้ถุงตลอด คิดว่าเค้าติดจากทางไหนได้อีกล่ะครับ ถ้าถุงแตกเค้าก็รู้ตัวว่าเสี่ยงตั้งแต่แรกแล้ว ถุงรั่วไม่ต้องพูดถึงมันเป็นเรื่องทฤษฎีในทางปฏิบัติแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงแรกเริ่มมันอาจแค่รั่วแต่เอาๆไปซักพักขยายเป็นแตกแทบจะแน่นอน ยกเว้นแค่มันรั่วในจุดที่ไม่ค่อยมีการเสียดสี ที่เหลือก็คือติดทางเลือดซึ่งจขกท.ไม่ได้ให้ข้อมูลไว้จึงพิจารณาไม่ได้ ที่เหลืออีกอย่างก็ออรัล ถึงไม่ได้บอกว่าทำก็ตามแต่ส่วนมากเค้าก็ทำกันดังนั้นสันนิษฐานไว้ก่อนได้ว่าจขกท.ก็อาจจะทำ และคุณเองก็บอกว่า "เป็นไปได้ยาก" มันต่างจาก "เป็นไปไม่ได้" นะครับ ตราบที่ความเป็นไปได้ยังไม่ใช่0 มันมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว

0
Misstar 15 พ.ค. 63 เวลา 04:06 น. 4

คำถามข้อแรก ควรถามหมอค่ะ ส่วนที่ว่าไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม เพราะคนเราแยกแยะ ระหว่างเชื้อ HIV กับ เอดส์ ไม่ได้ เหมารวมไปหมดว่าเป็นโรคร้าย ซึ่งเรื่องนี้ถ้าคนเข้าใจ ก็ไม่เป็นปัญหาในสังคมค่ะ เวลาไปสมัครเรียนหรืองาน มันพอจะปกปิดได้ไหม แบบเก็บเป็นความลับไปเลย แล้วตัวเราก็มีหน้าที่ระวังไม่เราไปติดผู้อื่นก็พอ

1
Minnie83221 16 พ.ค. 63 เวลา 13:22 น. 4-1

กลัวว่าจะเป็นแบบ รร มหาลัยหรือที่ทำงานให้ตรวจสุขภาพ แล้วต้องเจาะเลือดมาพบเชื้ออ่าครับ กลัวมีเคสแบบนี้

0
ChainClaw 16 พ.ค. 63 เวลา 07:26 น. 5

1.สารคัดหลั่งทุกชนิดของผู้ติดเชื้อ ติดได้หมดครับ ทั้งจูบ ทั้งออรัล

2.อย่าบอกใครนะครับว่าติด แม้แต่เพื่อนที่ไว้ใจ ห้ามเลยยกเส้นครอบครัว

3.เหมือนข้อ 2ครับ หลักๆคือห้ามบอกใคร ทานยาต้านตามที่หมอกำหนดทุกอย่าง ทำอย่างเคร่งครัดแค่นั้น


ปกติผ่านแค่อ่าน Dek-D นะ แค่เจอกระทู้นี้ไปแล้วต้องรีบมาคอมเม้นท์เลย

ผมเป็นเกย์รุกตอนนี้แฟนผมเป็น HIV ตอนแรกที่คบกันยังไม่รู้ผลเลือกทั้งคู่ พอผลออกมาหลังจากครบกัน3เดือน แฟนผมติด ผมไม่ติด ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ผมรังเกียจรึรักเค้าน้อยลงเลย แถมอยากดูแลเค้ามากขึ้นอีก ตอนนั้นเค้า อายุ18 19นี่ละครับผมก็อายุไล่ๆกับเค้า เค้าก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมเพิ่มเติมแค่กินยาต้านตามเวลาแค่นั้นเอง ปัจจุบันครบกันมาแล้ว 3ปี เชื้อเค้าก็อ่อนลงมาก หมออาจะเชื้อจะสงบ อาจมาจากการที่กินยาต้านตลอด

ที่พูดมานี่คือไม่อยากให้มองว่ามันเลวร้ายจนถึงต้องฆ่าตัวตายครับ เรื่องสมัครงานอันนี้ตั้งแต่ผมจบมาทำงาน3ที่ มีตรวจเลือดทุกที่แหละ แต่ไม่มีตรวจHIVเลย สบายใจเรื่องนี้ได้ครับ แต่บางอาชีพเช่นหมอ หรือทหารคงไม่ได้ (อ่านจากpantipมา)

ถ้า จขกท. ตรวจเจอไวก็รีบรับยานะครับ

ยังไงก็สู้ๆนะครับ ^ ^



3
Minnie83221 16 พ.ค. 63 เวลา 13:27 น. 5-2

ตั้งแต่ที่รู้ว่าติดเชื้อ ในหัวเราคิดอย่างเดียวคือไม่อยากอยู่ต่อแล้วอ่ะครับ อยู่ไปมันเหมือนกับว่าเราเอาภาระไปให้คนรอบข้างเรา ถ้าเค้ารู้เค้าคงไม่สบายใจแน่นอนครับ

0
ChainClaw 17 พ.ค. 63 เวลา 15:44 น. 5-3

อย่าคิดอย่างงั้นสิครับ เสียค่ายาอาจจะแพงบ้าง แต่ไม่ใช่ภาระขนาดนั้นหรอก แรกๆมันอาจจะยาก แค่พอมันผ่านไป เราจะแทบไม่คิดอะไรถึงเรื่องนั้นเลย ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติเลยครับ ขอแค่ทานยาต้านอย่างเคร่งครัด มันจะมียาตัวนืงทำเวียนหัวมาก แฟนผมต้องปรับตัวสักพักเลยกว่าจะชินก้บตัวยาจนไม่เวียนหัว

แต่ท้ายที่สุด "ทุกอย่างมันจะโอเค" คำนี้ผมบอกเค้าเสมอ


ถ้านัดยิ้มอยู่ก็อย่าลืมใส่ถุงนะครับ

0
theepp 16 พ.ค. 63 เวลา 08:37 น. 6

แวะมาให้กำลังใจกันนะ ทำใจร่มๆมองโลกให้มันกว้างขึ้นเนอะ

1.การติดเชื้อHIVนี่มันติดได้หลายช่อง

ทางมากๆ ถุงยางเองมันก็ไม่ได้ป้องกันได้100%อยู่แล้วตัวเข้าใจตรงนี้นะ บางทีมันอาจจะขาดจะรั่วระหว่างมี sex ได้

2. มันจะดูไม่ดีมั้ย? สมัยนี้เปิดกว้างมากๆแต่เราก็ต้องทำใจอย่างนึงเหมือนกันว่าอาจจะมีคนไม่เข้าใจบ้าง แต่สิ่งนึงเลยที่สำคัญคือ เราต้องรักตัวเองด้วยนะใส่ใจสุขภาพมากขึ้น มันไม่ได้เป็นปัญหาถึงขนาดนั้นด้วย

3.ในส่วนเรื่องเรียนมีช่องทางมากมายที่จะเซฟความรู้สึกของเรา HIV มันเป็นโรคอย่างนึงไม่ได้น่ากลัวขนาดที่จะต้องมารังเกียจกันอยู่แล้้วสบายใจได้นะ เรื่องงานอย่างที่หลายๆคนบอก มันมีหลายที่นะที่เค้ามีนโยบายรับคนติดเชื้อเข้าทำงาน หรือเราอาจจะมองหางานในช่องทางอื่นๆ ที่เราสบายใจกว่าการออกไปทำข้างนอก WFH เอยหลายๆสายงานก็ใช้ช่องทางออนไลน์เยอะ ลองค้นข้อมูลต่างๆเพิ่มเติมจากนี้

เนอะมีเยอะมากๆ

// ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่สิ่งนึงที่ไม่ลืมคือผลที่ตามมา บางเรื่องมันก็ไม่ได้แย่เสมอไป เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันหมั่นดูแลสุขภาพนะ ทำจิตใจให้สดชื่น เชื่อว่ายังไงคุณต้องผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างแน่นอนเป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ


0
สู้ๆนะ 16 พ.ค. 63 เวลา 08:40 น. 7

ผมก็เป็นคนติดเชื้อ HIV แต่ได้บอกครอบครัวให้รู้ จากที่ครอบครัวรับไม่ได้ที่เราชอบผู้ชาย ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย อีกทั้งยังไปหาหมอไปรับยากับแม่

1. ถุงยางอาจจะรั่ว ตามคห.อื่นๆบอก หรือไม่ตอนออรัลให้รุก น้องอาจมีแผลเป็น ร้อนในในปาก ทำให้เชื้ออาจสู่ร่างกายได้ หรือไม่ก็ น้องมั่นใจทุกครั้งหรือไม่ว่าตอนน้องใส่ให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายจะแอบถอดออกหรือเปล่า (พี่ติดมาจากเคสแบบนี้แหละ และเขาคือแฟนพี่เองที่จงใจให้คนอื่นๆเป็นเหมือนเขา) แต่ไม่ว่ายังไง น้องก็ต้องสู้ต่อไปนะ :)

2.จากที่พี่เจอมา เพื่อน ครอบครัว ญาติ เขาก็ไม่ได้อะไรมากนะครับ อย่างน้อย เชื้อ HIV ยังมีโอกาสติดต่อสู่กันยากกว่าบางโรค

3.เรื่องการเรียน มันมีบางสาขาที่เราไม่สามารถเรียนได้เลย ตำรวจ ทหาร ต่างๆ (จบป.ตรี จะไปสอบตำรวจประมวล มีระบุไว้เลยว่า ไม่เป็นโรคเอดส์/มีเชื้อHIV) นอกนั้น เราก็เรียนได้หมดครับ ถ้าเขาไม่ระบุว่าตรวจเชื้อ HIV การวางตัวการเรียน พี่มองว่า เราไม่จำเป็นว่า เราต้องไปบอกเพื่อนๆ คนอื่นๆ ว่าเรามีเชื้อ เพราะไม่ได้มีคนอื่นๆชอบเราไปหมดทุกคน ผลเสียอาจตกถึงเราได้ อีกอย่าง กินน้ำแก้วเดียวกันก็ไม่ติด นอกจากเราเกิดอุบัติเหตุคืออะไรอาจบอกให้เขารู้ว่า ระมัดระวังด้วยนะ เรามีเชื้อ ถ้าไม่จำเป็นอย่าบอกไปเลยดีกว่าครับ คนหวังดีก็มี คนหวังร้ายก็มีเหมือนกันครับ


สุดท้ายนี้ ให้น้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ ติดต่อรับยากับทางโรงพยาบาล (พี่ใช้สิทธิใกล้บ้าน30บาท) หากน้องซื้อยาจากคลินิกไม่เข้าร่วมกับโรงพยาบาลยาแพงครับ 2200 บาทแน่ะ พอไปโรงพยาบาบ เราเจอคนที่เป็นเหมือนเราเยอะเลย เขาก็มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงดี กินยาดูแลตัวเองให้ดี รักตัวเอง และครอบครัวให้มากๆครับ เป็นกำลังใจให้ :D

พี่กินยามา 1ปีครึ่งแล้ว เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วล่ะ 555 สู้ๆนะ


0
ต้นไม้ 16 พ.ค. 63 เวลา 09:03 น. 8

แวะมาเป็นกำลังใจให้ครับ :) อย่าเก็บคำพูดคนอื่นมาคิดให้เยอะเลยนะ (ถึงอาจจะทำได้ยากนิดหน่อย แต่ทำได้แน่นอน) อย่าคิดเยอะเรื่องตัวเองไม่ดีเพราะติดเชื้อ หรือว่าคิดว่าตัวเองด้อยไปกว่าคนอื่นเลยนะครับ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน เชื่อผมว่าบนโลกนี้มีคนจำนวนมากทุ่มเททั้งชีวิต กับเรื่องโรคร้ายประเภทนี้ เพื่อที่จะหาทางรักษาหรือแก้ไข (ตอนนี้ก็มียาที่รับจนสามารถกดเชื้อ HIV ได้แล้ว) ขอแค่รักษาร่างกายของตัวเองกับจิตใจตัวเองให้ดีต่อไปเรื่อยๆ เดียวอะไรๆก็ดีขึ้นครับ

0
เข้ามาให้กำลังใจ 16 พ.ค. 63 เวลา 09:31 น. 9

1. ข้างบนตอบไปหมดแล้ว ถุงยางรั่ว ปากมีแผล เป็นแผลแล้วเผลอไปจับเค้า

2. ส่วนตัวเราไม่ตั้งแง่หรอก สมัยนี้ความรู้เรื่องHIVดีขึ้นมาก แต่เลือกบอกคนที่เค้าจะไม่ดูถูกเรานะ เพราะคนที่อคติยังเยอะอยู่

3. บางอาชีพควรหลีกเลี่ยง แต่ส่วนมากตอนสมัครงานเค้าไม่ถามหรอกว่าเป็นรึเปล่า เรารับผิดชอบของเราก็พอเนอะ

ตรวจเจอเร็ว กินยาสม่ำเสมอ ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ ใจเย็นๆ ไว้นะ มีคนคอยสนับสนุนเราอยู่ อย่างน้อยก็ในกระทู้นี้

0
ปาปาย่า 16 พ.ค. 63 เวลา 09:38 น. 10

ตอบข้อ1 นะคะ

ช่องทางการติดต่อเชื้อไวรัส ได้แก่ การสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นเลือด อสุจิ น้ำหล่อหลื่นผ่านทางบาดแผล หรือเยื่อเมือกบุผิวภายในช่องปาก ช่องคลอด ทวารหนัก และอวัยวะเพศชาย

การกอด จับมือ การจูบแบบปิดปาก การสัมผัสกับน้ำตา เหงื่อ หรือน้ำลาย รวมไปถึงการหายใจร่วมกัน หรือการใช้ของร่วมกัน ไม่สามารถทำให้เราติดเชื้อไวรัส HIV จากผู้ป่วยได้

การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV สามารถกดการแพร่กระจายไวรัสในร่างกาย และใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนทั่วไป

#ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ เชื้อนี้มันจะทำให้ภูมิต้านทานเราลดลง ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ

0
badberry 16 พ.ค. 63 เวลา 11:50 น. 12

มาเป็นกำลังใจให้นะคะ


คำถามข้อ1 ตามที่ด้านบนๆ ตอบไปตามนั้นเลยคะ


สังคมสมัยนี้เปิดกว้างมากขึ้น hiv ไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนเมื่อก่อนถ้าเรารู้จักดูแลตัวเองให้ดี เราจะต้องเจอกับคนที่ยอมรับได้และไม่ได้ ให้เลือกมีความสุขกับคนที่ยอมรับและอย่าไปสนใจพวกใจแคบ อย่าเอาใจไปไว้ที่สังคมให้ไว้กับตัวเอง


การทำงานอาจมีปัญหาบ้างให้เข้มแข็งไว้ แต่ปัจจุบันมีบริษัทหลายแห่งยอมรับผู้ติดเชื้อได้แล้ว กว่าน้องจะเรียนจบและออกมาทำงานโลกจะยังเปลี่ยนแปลงไปอีกเยอะ สู้ๆ นะ ดูแลตัวเองดีๆ ทำจิตใจให้มีความสุข อาจจะอยู่ได้นานกว่าอีกหลายๆ คนเลยค่ะ


0
มาให้กำลังใจ 16 พ.ค. 63 เวลา 15:01 น. 13

สมัยนี้มันมียาที่รักษาได้ทำให้คนที่ติดเชื่อดูเหมือนคนปกติครับ นั่นก็คือทฤษฎีU=Uครับ เเต่ไม่ใช่ว่าถ้ามีเพศสัมพันธ์จะไม่ใส่ถุงยางนะครับ เพราะโรคอื่นๆที่ติดทางเพศสัมพันธ์ก็มีเยอะครับเช่นโรคไวรสตับอักเสบบีครับ สู้ๆนะครับ กินยารักษาตัวดีดีครับ

0
Jack 16 พ.ค. 63 เวลา 16:22 น. 14

HIV ตอนนี้ โอกาสเสียชีวิต น้อย กว่า มะเร็ง กับเบาหวาน ครับ เพื่อนรักผม เป็น HIV มา 3 ปีแล้ว เบื้องต้นให้น้อง รีบตรวจหาเชื้อยืนยันผล และรับยา ต้าน HIV คุณหมอ จะมีคำแนะนำ พร้อม วิธี ปฏิบัติ ตัว ยืนยันว่า เป็นกำลังใจให้ นะ หรือ ถ้าจะคุย กะผมโดยตรง email: pokylemon@gmail.com ช่วงแรก อาจจะเครียด แต่อย่าทำร้ายตัวเอง นะ ผมพอช่วย เป็นที่รับฟัง และระบาย ความอัดอั้น ภายในใจได้

0
Draffyduck 16 พ.ค. 63 เวลา 16:50 น. 15

ให้กำลังใจนะครับ หลายคำถามมีคอมเมนท์อื่นๆตอบไปบ้างแล้ว แต่จะช่วยเสริมเรื่องอื่นๆให้ละกัน

อย่างแรก โรคนี้ปัจจุบัน ไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัวแล้ว เพราะมียาที่ดี ประสิทธิภาพสูง ใช้ง่าย ดังนั้นไม่ต้องกลัว ทำใจให้สงบ เปิดใจให้กว้างๆ โรคนี้เป็นโรคระบาดระดับโลก หรือระดับ pandemic และเป็นรุ่นพี่ของ covid - 19 ระบาดมานาน และมีเรื่อยๆ ทั้งจากแม่สู่ลูก ติดในคู่สามีภรรยา จากแฟน ฯ การจะบอกว่าเพราะทำตัวงั้นงี้ จึงติด ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก และไม่ได้เกี่ยวกับอายุด้วย เด็กเล็กๆที่ต้องรับยาโดยที่ยังไม่ถึงวัยที่จะเข้าใจด้วยซ้ำว่าตัวเองกินยาเพราะอะไรก็มีอยู่ แต่มันติดไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วก็ต้องอยู่กับมันให้ได้นะ ปัจจุบันเรามีแนวทางในการอยู่กับมันอย่างไรมาค่อยๆดูกัน


ขั้นแรก ตรวจเจอให้เร็ว เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างรวดเร็ว อันนี้น้องผ่านมันมาได้แล้วนะ คือรู้แล้วล่ะมีเรามีเจ้าไวรัสเล็กๆนี้อยู่


ขั้นที่ 2 ทำความเข้าใจกระบวนการรักษา คือ เชื้อมันเป็นไวรัสชนิดหนึ่ง ตัวมันเองไม่ก่อโรค คือไม่ได้ทำให้เกิดอาการป่วย แต่เชื้อไวรัสชนิดนี้โจมตีเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นระบบภูมิคุ้มกัน และแฝงตัวอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิด ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้ เมื่อไวรัสแบ่งตัวจะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวไปด้วย ผลคือภูมิคุ้มกันเราลดลง ทำให้เชื้อโรคในธรรมชาติที่มีมากมาย สามารถโจมตีเราได้ และเราจะสู้ไม่ไหว เพราะภูมิคุ้มกันเราไม่พอ เรียกว่าเกิดโรคฉวยโอกาส ระยะที่เกิดโรคฉวยโอกาสจะเรียกว่า ระยะเอดส์ (AIDs) เป็นคนละอย่างกับ HIV ซึ่งเป็นชื่อโรคนะ


วิธีที่จะหยุดเชื้อไม่ให้ทำลายพูมิคุ้มกันของเราคือการกินยาต้านไวรัส ยาจะไปหยุดไม่ให้ไวรัสแบ่งตัวได้ ทำให้ร่างกายมีเวลาเก็บกวาดจนไวรัสลดต่ำลง จนไวรัสในเลือดเหลือน้อยมากๆจนไม่เหลือเลยและตรวจเลือดก็ไม่เจอไวรัสด้วย เมื่อเลือดเราไม่มีไวรัส เราก็แพร่เชื้อไม่ได้ เก็ทไหม undetectable = untransmittable หรือ U = U ที่เคยได้ยินกัน


ขั้นตอนที่ 3 คือเริ่มยา ซึ่งยาปัจจุบันจะใช้ยา 3 ชนิด ซึ่งมัดรวมในเม็ดเดียวไว้แล้ว กินก่อนนอน วันละ 1 ครั้ง สะดวกมาก กินไปเรื่อยๆ อย่าหยุด กินตรงเวลา สำคัญมาก กินตรงเวลา เน้นอีกครั้ง กินตรงเวลา เพราะเชื้อดื้อยาได้ ถ้ากินยาไม่ตรงเวลา กินๆหยุดๆ เมื่อใดที่เชื้อมีโอกาสได้แบ่งตัว เชื้อจะมีโอกาสกลายพันธุ์และมีโอกาสดื้อยา คือ ยาเดิมใช้ไม่ได้ผล จากยาเม็ดเดียวจะเป็นหลายเม็ดทันที ดังนั้นถ้าหมอให้เริ่มยาแล้ว สมมติกิน 3 ทุ่ม ต้องกิน 3 ทุ่ม บวกลบได้ไม่เกิน 5 นาที เพื่อไม่ให้เชื้อดื้อยา เพื่อความง่ายในการรักษาและเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง เมื่อตรวจเลือดไม่เจอเชื้อแล้วจะถือว่า การรักษาได้ผล ให้กินยานี้ต่อไป กินยาตลอดชีวิตเป็นความจริงที่ต้องยอมรับนะครับ เพราะถ้าหยุดยาเชื้อที่แฝงตัวก็จะแบ่งตัวออกมาอีก ดังนั้นต้องกินยากดมันไว้


สุดท้ายก็ดูแลตัวเอง ทุกๆอย่างก็จะกลับมาปรกติในไม่ช้า ทั้งสุขภาพ ระดับภูมิคุ้มกัน ในเลือดก็ไม่มีไวรัสแล้ว เทียบเท่าปรกติเดิมทุกประการ และถ้ารู้สึกว่าเราไม่ไหว เราเหนื่อย ไม่อยากกินยา จใจเราไม่ไหว อย่าลังเลที่จะบอกคนรอบข้างที่เราไว้ใจ หรือขอคุณหมอปรึกษาจิตแพทย์ เค้าจะมีวธีคุยกับเรา มีมุมมองใหม่ๆ และสามารถช่วยให้ผ่านเหตุการณ์ที่ทำร้ายจิตใจเราไปได้


เป็นกำลังใจให้นะงับ น้องไม่ได้อยู่คนเดียวนะ มีคนอีกมากมายที่พร้อมช่วยเหลือน้อง รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน เช่นพี่

0
เป็นกำลังใจให้นะครับ 16 พ.ค. 63 เวลา 17:05 น. 16

สู้ๆนะครับ พี่ก็เลือดบวกเหมือนกัน เพิ่งรับยาต้านมาเกือบ 2 เดือนล่ะ ผลข้างเคียงคือ มึนหัว ตัวร้อน ถ้าช่วงสอบเครียดๆก็จะมีอาการอยากอ้วก แต่พี่บอกแค่เพื่อนสนิทนะครับ คนเดียวจริง ที่สนิทมากๆอยู่ด้วยกันมาเกือบ 10 กว่า ปี มันก็เข้าใจ แต่ต้องเลือกคนที่เชื่อถือได้นะครับ พี่ว่ารีบเริ่มยาต้านเลยจะดีที่สุด บางคนเริ่มยาต้านช้า ค่า CD4 ต่ำ บอกเลยว่า 2 อาทิตย์แรกเหมือนนรกเลย เพราะมันหนักมากกับผลข้างเคียงของยา แต่ถ้าเราผ่านไปได้ก็สบายครับ HIV ต้องบอกเลยว่าไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน หากเราดูแลสุขภาพ ทานยาให้ตรงตามเวลา เราก็คือคนปกติทั่วไปเลยครับ ตอนพี่รู้พี่ไม่มีเวลามาเศร้า พยาบาลที่ฝ่ายงานสุขภาพจิต ถามว่าจะร้องไห้ก่อนมั้ย พี่บอกเค้าว่า พี่ไม่ร้องครับ พี่รับได้ พี่ขอเริ่มรับการรักษาให้เร็วที่สุด สู้ๆนะครับ

0
Motyl 17 พ.ค. 63 เวลา 01:28 น. 17

แวะมาให้กำลังใจค่ะ

1.น่าจะติดจากทางอื่นเช่นออรัล หรือ จูบ

2.ต่างคนต่างความคิดค่ะ ถ้าเราไม่บอกก็ไม่มีใครรู้แต่ต้องบอกครอบครัวนะ

3.ทานยาต้านค่ะ ระวังเรื่องการใช้ชีวิตกับคนหมู่มาก

ปล.เราเคยทำงานกับคนที่เค้าเป็นค่ะ

ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าเป็นแต่พอเรารู้เราก็เข้าใจเค้านะ เค้าป้องกันตัวเองดีมากทั้งตัวเค้าเองและคนรอบข้างที่อยู่ใกล้เค้า ไม่ว่าจะตอนทำงาน ออกไปข้างนอก หรือแม้แต่ตอนกินข้าวด้วยกัน

สู้ๆนะคะ เดียวก็ผ่านไปได้เนอะ^^

0
สู้ๆ 17 พ.ค. 63 เวลา 03:37 น. 18

ขอข้ามคำตอบข้อที่1นะคะ

ข้อที่2. ส่วนตัวคิดว่าสมัยนี้เริ่มมีคนยอมรับได้บ้างแล้วแต่ยังเป็นแค่ส่วนน้อย เพราะคนมักเข้าใจ แยกแยะไม่ออกระหว่าง hiv กับ เอดส์ คุณแค่ต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่าคนอื่น ทานยาต้านไวรัส ออกกำลัง และใช้ชีวิตปกติได้เลยค่ะ อย่าไปเครียดกับมันให้มากเลยค่ะ เราต้องรู้จักปรับตัวและยอมรับสิ่งที่เราเป็นดีกว่าค่ะ มีอะไรปรึกษาได้นะคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

3.เวลาไปเรียน/สมัครงาน ถ้ามีตรวจพวกเจาะเลือด เราสามารถไม่บอกได้นะคะ *ถ้าสายงานนั้นไม่เคร่งเรื่องhiv*ส่วนเรื่องเรียน เรามีสิทธิ์ที่จะไม่บอกได้นะคะ อยู่ที่ตัวเราเอง เราแค่ต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่าคนอื่นแค่นั้นเองค่ะ คุณสามารถใช้ชีวิตปกติของคุณต่อไปได้เลย อย่าไปกังวลเรื่องนี้มาก คุณแค่ต้องระมัดระวังตัวมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยเอง รู้จักป้องกันตัวเองในหลายๆเรื่อง เช่นสุขภาพ การออกกำลังกาย อย่าไปเครียดเลยนะ เป็นกำลังใจให้นะคะ คุณเกิดมาครั้งเดียวใช้ให้มันคุ้ม ปัญหานี้มีทางออกนะคะ คุณสามารถทำงานตามความฝันของคุณได้เลย ปัญหานี้คุณสามารถทำให้เป็นเรื่องปกติได้ ลองปรึกษาคุณหมอดูนะคะ คุณหมอช่วยได้ แค่คุณทานยาต้านไวรัสให้สม่ำเสมอ และดูและดูแลตัวเองให้ดีคุณก็มีชีวิตได้นานเหมือนปกติได้ สู้ๆนะคะ

0
Kayazuda 17 พ.ค. 63 เวลา 06:57 น. 19

โอกาสติดต่อมีหลายทางครับ

การสัมผัสสารคัดหลั่งอาจจะติดทางมือที่จับถุงยางตอนร่วมเพศเสร็จ แล้วมีแผล


หรือ ร่วมเพศรุนแรงจนมีแผลทางทวารแล้วถุงยางรั่วก็ได้ครับ


แต่ที่แน่ ๆ น้องต้องบอกคู่ขาน้องทุกคนให้ไปตรวจนะครับ อย่าลืม อย่าอายด้วย

0
Kalsu 17 พ.ค. 63 เวลา 20:06 น. 20

สู้ๆนะคะ เราก็อายุ 18 เหมือนกัน​ เราเชื่อว่าทุกคนและคนรอบข้าง​จะเป็นกำลังใจให้นะคะ อย่างน้อยๆก็มีเราและทุกคนในกระทู้​นี้เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ต่อไปนะคะ ️

0