Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ประสบการณ์การสอบติดแพทย์ที่นอร์เวย์ ประเทศที่เรียนฟรี

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่ะ เราชื่อน้ำฝนนะคะ ตอนนนี้กำลังอาศัยอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ เราเคยตั้งกระทู้ไว้ 2 ปีก่อน ชื่อว่า "กว่าจะติดเภสัชที่นอร์เวย์ กับความฝันที่อยากเป็นหมอ" ซึ่งผ่านมาจะ 2 ปีแล้ว เมื่อวันที่  17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัยได้ประกาศผลการสมัครเข้าศึกษาต่อ นักเรียนส่วนใหญ่จะได้รับผลการสมัครว่าตัวเองได้เข้าเรียนคณะไหน  เราได้รับผลว่า เราติดคณะแพทยศาสตร์ ที่  Universitet  i  Oslo  (6ปี) นั่นก็คือมหาวิทยาลัยของออสโล นั่นเอง  แทบเป็นลมเลยค่ะ :D

 
วันนี้เราเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ของเราเอง ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้มันเป็นยังไงบ้าง (เล่าต่อจากโพสที่แล้ว)  และอยากจะแชร์ข้อมูลการสมัครเข้าศึกษามหาวิทยาลัยที่นอร์เวย์ว่าเป็นยังไง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจอยากรู้เกี่ยวกับการศึกษาที่นี่ค่ะ ก่อนอื่นเราขออธิบายเกี่ยวกับการเข้าสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยในนอร์เวย์ก่อนเลยนะคะ จะได้เข้าใจเนื้อเรื่องง่ายขึ้น
หลังจากจบโรงเรียนมัธยมปลาย (videregående skole) เราจะสมัครเข้ามหาลัยโดยใช้เกรด โดยมี 2 รูปแบบ อย่างแรก เรียกว่า førstegangsvitnemål คือ เกรดเฉลี่ย + คะแนนวิชาและภาษาที่ 3 (สูงสุดรวมได้ 4 คะแนน) ความสามารถของภาษาที่ 3 (ระดับ 3) จะได้ 1 คะแนน และที่เหลือ 3 คะแนนเป็นคะแนนจากวิชาที่เราเลือก จาก 0,5 ไปถึง 1,5 คะแนนต่อวิชา ซึ่งรวมแล้วจะไม่เกิน  64 (อันนี้คือถ้าได้เต็มทุกวิชานะคะ) 
อย่างที่ 2 เรียกว่า ordinær kvote ซึ่งจะรวม เกรดเฉลี่ย + คะแนนวิชากับภาษา + คะแนนอายุเริ่มจาก 20ปี (สูงสุด 8 คะแนน) และ คะแนนเสริมจากการจบคอร์สต่างๆ (สูงสุด 2 คะแนน)  ซึ่งรวมแล้วไม่เกิน 74 คะแนน ที่นอร์เวย์จะไม่มีการสอบเข้านะคะ เขาใช้เกรดเทียบเอา และเรียนหมอที่นี่เรียนฟรีค่ะ จ่ายแค่มหาลัยประมาณ  840kr (2800-3000บาท) ต่อเทอม
คะแนนเกรดเฉลี่ยที่จะเข้าหมอของแต่มหาวิทยาลัยประมาณนี้ค่ะ

จะเห็นได้ว่า  Universitet  i  Oslo  ถือว่าเข้ายากสุด และสามารถสมัครเรียนได้  2 รอบ  คือ รอบ høst  ที่เริ่มเดือนสิงหาคม กับvår ที่เริ่มเดือนมกราคมปีถัดไป และการเข้าเรียนแพทย์ เราจะต้องมีวิชาบังคับ คือ คณิตศาสตร์ R1 หรือ (S1+S2), เคมี1+2 กับ ฟิสิกส์1 
 
การแก้เกรด
หลังจากจบมัธยมปลายเราสามารถแก้เกรดที่เราต้องการได้ ซึ่งจะมีการจัดสอบ 2 (høst og vår) ครั้งต่อปี และเราต้องจ่ายค่าสอบเอง บางคนก็อ่านเองและไปสอบ แต่บางคนก็ไปเรียนที่ private school และไปสอบ การสอบแก้เกรดที่นี่ จะสอบโดยพูดหรือเขียน สอบพูดมันโหดตรงที่ว่า วันสอบเราต้องจับฉลากว่าเราจะได้เรื่องอะไรในวิชานั่นๆ แล้วมีเวลาเตรียมตัว 30 นาที และเราก็จะต้องตอบคำถามจากครูที่สอบเราอีก 1 คำถาม โดยเราจะไม่รู้คำถามนั้นก่อน
**หลังจากจบมัธยมปลายมา เราไม่ได้มีวิชาฟิสิกส์1 เพราะคาบดันไปตรงกันกับ เคมี2 ตอนปีสุดท้าย เราเลยต้องมาสอบวิชาฟิสิกส์1 พร้อมกับต้องแก้เกรด 5 วิชา คือ คณิต S2, 1T (1P), สังคม, ศาสนา และภาษาอังกฤษพูดกับเขียน
 
พอรู้ข้อมูลคร่าวๆแล้วเรามาเริ่มกันเลยนะคะ

เนื้อหาต่อจากปีที่แล้ว ช่วงนั้นเราตั้งใจจะสมัครเข้าแพทย์ที่  UiO  ช่วง vår 2019  ซึ่งเราต้องมีเกรดทั้งหมด  67,5 แผนที่เราวางไว้คือ คะแนนเสริม 1 คะแนน เกรด 6  3 วิชา  ที่เหลือต้องเป็นเกรด 5 
 
เราได้เข้าเรียนคอร์ส  Anatomy  and  physiology  ที่  Atlantis  medisinske  høgskole  ซึ่งเราจะได้คะแนนเสริม 1 คะแนน คอร์สนี้เราไม่จำเป็นต้องเข้าห้องเรียนแต่เราต้องมาสอบ เราถึงจะผ่าน  ช่วงนั้นเราทำงานหนักมาก แทบจะ 4-5 วันทำงานเป็นแคชเชียร์, พนักงานเสริฟและครูสอนพิเศษ เพื่อเงินจะได้พอใช้ในแต่ละเดือน  จำได้ว่าเราไปเรียน แค่ 3 วัน นอกนั้นเราอ่านเองหมด คอร์สนี้ถือว่าโหดมาก เพราะต้องอ่านและจำเยอะมากกก เราสอบผ่านคะแนนแบบอีกนิดเดียวก็ตก 55  ช่วงที่เราเรียนคอร์ส  anatomy  เราก็ได้ไปสอบ แก้เกรดคณิต S2  ด้วย ผลก็ออกมาถือว่าโอเค หลังจากเราจบคอร์สนี้(ช่วงมกราคม 2019) เราก็มาอ่านหนังสือต่อเพื่อเปลี่ยนเกรด
 
วิชาที่เหลือเราได้เลือกเข้าไปเรียนที่  Sonans  (private school)  แต่ผลคือ เรียนเร็วมาก แบบ 3 ชั่วโมง จบ 1บทเลย  แล้วเพราะเรามัวแต่ทำงานเลยไม่ได้เตรียมตัวดีมาก เพราะไม่ได้คิดว่าเขาจะเรียนเร็วขนาดนี้  รรเปิดเทอมช่วงสิ้นเดือนมกราคม แล้วการสอบมีช่วงต้นเดือนพฤษภาคม  เรามีเวลาอ่านหนังสือ 5 วิชา รวมๆแล้ว 3 เดือน  แล้วเพราะทำงานไปด้วยช่วงนั้นเลยเป็นอะไรที่กดดันมากเพราะอ่านหนังสือไม่ทัน  พอช่วงเดือนเมษา เพราะความกดดันมันเยอะ เราเลยเป็นโรคซึมเศร้า  หมอเลยตัดสินใจให้เราพัก โดยการที่ดรอปการสอบไว้ เพราะร่างการเราไม่ไหวเลยช่วงนั้น  มันเป็นช่วงเวลาที่แย่มากๆ เราก็ไม่ได้ไปสอบเลย และความหวังที่จะสมัครหมอปีนี้ก็จบลง เราใช้เวลา 2-3 เดือนในการพัก และทำอะไรที่ทำให้เราสบายใจ ปกติอ่านหนังสือทุกวัน ช่วง 2-3 เดือนนั้นแทบไม่ได้แตะเลย มันสอนให้เรารู้ว่าคนเราอย่างหักโหมและกดดันตัวเองมากเกินไป เกรดเราตอนนี้จะสามารถเรียนทันตะได้ แต่เราก็เลือกที่จะสู้อีก 1 ปีเพื่อจะเข้าหมอให้ได้
 
พอเราดีขึ้นแล้วช่วงมิถุนา 2019 เราก็ลุกขึ้นสู้ใหม่  เพราะเราไม่ได้สมัครปีนี้ ปีหน้าเราเลยตั้งใจว่าเราจะต้องเข้ารอบhøst 20 ให้ได้ ช่วงนั้นเราอยู่ที่ไทย เราก็เริ่มอ่านหนังสืออีกรอบ เราเป็นคนอ่าน น้องเป็นคนช่วยเขียน 55
พอกลับมานอร์เวย์เราไปสมัครเรียน  English  A  Year  Study  (Engelsk  årsenhet)  ที่ มหาวิทยาลัยของออสโล (UiO)  เพื่อจะเก็บคะแนนเสริมอีก 1 คะแนน  และครั้งนี้ก็ตั้งใจไปแก้เกรดด้วยการอ่านหนังสือเองทั้งหมด เพราะคิดว่าเราก็รู้อยู่พอประมาณจากปีที่แล้วและพยายามเตรียมตัวให้ดีขึ้นไปอีก แล้ว พอเริ่มเปิดเรียน ช่วงนี้ไม่ค่อยกดดันมาก เพราะความอยากเรียนหมอมันสูงมาก เพราะเราไม่สามารถเลื่อนได้อีกแล้ว แต่เราก็ยังทำงานอยู่แต่ลดลงเหลือ 1-2 วัน

ช่วงนี้พลังมาเต็มมาก เพราะกลัวไม่ติด 55  แต่พอจะสอบอีกครั้ง เงิบอีกแล้วจ้า ช่วงปลายปี 2019
เราดันดวงไม่ดีตรงที่ว่าวิชาสังคม คำถามหลักมันควรจะเป็นเกี่ยวกับการปกครอง แต่ครูที่มาสอบเราดันออกคำถามเกี่ยวกับพรรคการเมืองที่นอร์เวย์  เราก็พอรู้อยู่บ้าง แต่ไม่ได้รู้ลึกมากที่จะตอบได้หมดทุกอย่าง เพราะมันไม่ใช่หัวข้อหลักในวิชานั้น  แต่เราก็พยายามโยงไปเรื่อง EU  haha มึนสุดๆ วิชานี้ก็จบไปโดยได้เกรด 4 มา  ส่วนวิชาศาสนา  เคราะห์ซ้ำดำซ้อน ดันมาเป็นไข้จ้าาา  อยากร้องไห้หนักๆ รู้เลยว่าต้องได้สอบใหม่รอบหน้า ถึงอย่างไรก็แบกตัวเองไปสอบอยู่ดีเพราะอยากรู้ว่าครูจะถามเชิงไหน และ ได้ 4 กลับมา แต่ยังโชคดีที่สอบฟิสิกส์กับคณิต 1P ได้ 6 คณิตนี่ไปสอบอ่าน 3 วัน
 
ถามว่ากังวลมั้ย  กังวลค่ะ  เพราะต้องได้ 6 อีก 1 วิชา ที่เหลือเป็น 5  เราสามารถสอบแก้เกรดได้อีก 1 ครั้งคือช่วง พฤษภา2020  และมันจะเป็นครั้งที่ตัดสินแล้วว่าเราจะได้สมัครหมอปีนี้มั้ย  แล้วเกรด 5 กับ  6  นิมันใกล้เคียงกันมาก แต่ 6 นี่คือต้อง perfect เลย เราก็คิดหนักพอตัว แต่เราลุยอีกรอบค่ะ ไปสมัครสอบแก้เกรดอีก  เสียเงินรอบที่3  555  ช่วงนี้ยิ่งหนักเลย เราไปเรียนมหาวิทยาลัยช่วงเช้า จันทร์-พุธ  ช่วงบ่ายบางวันถึง 3 ทุ่ม ไปเรียนที่  Sonans เราตัดสินใจมาเรียนที่  Sonans  อีกครั้ง เพราะเราสามารถใช้ครูที่สอนเราเป็นครูที่จะสอบเราได้ นั่นหมายถึงครูคนนี้จะเป็นคนออกข้อสอบ (แต่ไม่แน่เสมอไปนะคะที่เราจะได้ครูเราเป็นครูที่มาสอบเรา) เราคิดว่าเพราะเนื้อหามันเยอะมากมันอาจจะง่ายขึ้นสำหรับเราได้ถ้าเราได้เรียนกับครู จะได้รู้ว่าครูเขาให้ความสำคัญในเรื่องไหนบ้าง  และเราสมัครสอบเพิ่มวิชามา 1 วิชา คือวิทยาศาสตร์ เพื่อจะเปลี่ยนจาก  5 เป็น 6  (เราเป็นคนเอาชัวร์ไว้ก่อนค่ะ เผื่อวิชาอื่นไม่ได้ 6 haha)  และช่วง พฤหัสบดี-ศุกร์ เราก็ทำงาน ช่วงนี้ถือว่าหนักมากเลยนะคะ เรียน 2 ที่ พร้อมกัน  (UiO กับ Sonans)  และทำงานไปด้วยหลังเลิกเรียนถึงเที่ยงคืนที่ร้านอาหาร เหนื่อยมาก เพราะไม่ได้พักเลยที่ที่ทำงาน แต่ความอยากเป็นหมอนี่ก็สูงมากพอกัน ขยันอ่านหนังสือมาก haha

พอถึงเดือนสอบ เอาอีกแล้วจ้า โคโรน่ามานอร์เวย์ ตอนแรกเขาประกาศว่าไม่รู้ว่าจะได้จัดการสอบมั้ย หรือต้องเลื่อน เรานี่สวดมนต์ทุกวัน 55 อย่าเลื่อนเถอะ จะต้องสมัครหมอแล้ว สรุปวันสอบเราก็ไม่ได้เลื่อน แต่โหดมาก สอบติดกัน ปกติเขาจะสอบวันสอบแบบ 2-3 วันห่างกัน เพื่อนักเรียนจะได้เตรียมตัวดีขึ้น เรานี่ได้สอบวันที่ 6-7 พฤษภาคม สอบสังคมกับศาสนา วันที่ 25 สอบ อังกฤษเขียน และวิทยาศาสตร์วันที่ 10 มิถุนา บอกเลยว่าอ่านหนักมาก เราใช้เวลาในการเตรียมตัว 3 เดือน วางไว้เลยไว้ต้องอ่านล่วงหน้าก่อนห้องเรียน 2 เดือนแรกต้องอ่านและทบทวนให้ครบ 1 เดือนหลังคือฝึกทำความเข้าใจกับจำ

12 กับ 15 พฤษภาคม มาสอบของมหาวิทยาลัย ซึ่งอันนี้ก็โหดมาก Engelsk årsenhet (อังกฤษ1ปี) เรียนอังกฤษ 1 ปี ฟังดูเหมือนไม่โหดนะคะ แต่โหดมาก มันจะแบ่งเป็น 6 หัวข้อ คือ American literature, American civilisation, Phonetics, English grammar, British civilisation and British literature หัวข้อละ 10p (30p = 1คะแนนเสริม) เพราะเรามี 30p อยู่แล้ว ขาดอีก 30p เรามีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเทศอังกฤษอยู่บ้าง เราเลยเลือก British civilisation กับ grammar (+10p ที่เราได้มาจากคอร์สอื่น) ตอนแรกคิดว่าง่ายเลยที่นี่ เอาเข้าจริงๆยากมากเรียน Grammar นึกว่าเรียนแกรมม่า ที่ไหนได้ เรียนอธิบายแกรมม่า 55 คือมันเรียนลึกอ่ะค่ะ แบบเราต้องเข้าใจแกรมม่าเป็นต้นทุนอยู่แล้ว เราถึงจะเรียนคอร์สนี้ได้ เพราะมันเกี่ยวกับการบรรยายกับอธิบายว่า “ทำไม” เช่น He runs into the forest กับ He rund into the problem ต่างกันยังไง และทำไม แล้ว British civilisation นี้ เรียนเร็วและเนื้อหาเยอะมาก เรียนประวัติศาสตร์ประเทศอังกฤษตั้งแต่สมัยก่อน แบบโคตรก่อน ยันปัจจุบัน วันสอบนี่โชคดีตรงเป็น Home exam and open books สอบ 4 ชั่วโมง อ่านอยู่ 5 วันรวมๆ เกือบไม่รอด แม่นี่นั่งดูเป็นกำลังใจ 55 คิดเลยว่าสอบเสร็จนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เจอกันกับวิชานี้

สรุปพอสอบเสร็จทุกวิชา เราได้เกรดที่เราได้ทั้งหมดคือ
- ศาสนา 6
- สังคม 6
- วิทยาศาสตร์ 6
- ฟิสิกส์ 6
- คณิต S2 5 กับ 1P 6
- อังกฤษเขียน 5
- British civilisation C
- English Grammar B

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 2 ปี
เกรดตอนจบใหม่

เกรดล่าสุด


คือแบบ ดีใจมากกกก เกรดเฉลี่ยรวมทั้งหมดเราได้  69,5 มันเป็นอะไรที่เราไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะทำได้ขนาดนี้ ช่วงที่เราจบมันธยมปลายมาใหม่ๆ เกรดเราอยู่ที่ 60,4 วันนี้ได้ 69,5 มันเป็นอะไรที่บรรยายไม่ได้จริงๆ ที่เราสอบคะแนนเสริมเพิ่มอีก 1 คะแนน เพราะไม่คิดเลยว่าจะสอบได้ 6 ตั้ง 5 วิชา   ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจำทำได้ ตอนแรกหวังไว้แค่ติดหมอรอบ  vår  ซึ่งจะต้องมี  67,5 ตอนนี้มันเกินฝันเรามากๆ แต่ใช้ว่าเราจะสบายใจนะคะ  เพราะโคโรน่าทำให้คนสมัครเรียนเยอะขึ้นมาก โดยเฉพาะสายเกี่ยวกับสาธารณสุขกับสุขภาพกำลังเป็นที่น่าสนใจมาก คนสมัครหมอปีนี้ที่  UiO  เกือบ 3 พันคน ทั้งรอบแรกและรอบ 2 รวมก็ 6 พันคน  นี่ก็เคลียดเหมือนกันว่าเราจะติดมั้ย เพราะคนอื่นเขาก็ต้องเก่งเหมือนกัน  แล้วเกรดที่จะเข้าก็คือเกรดเฉลี่ยของคนที่มาสมัคร ทางมหาวิทยาลัยUiO  รับนักศึกษาที่จะเรียนแพทย์แค่ høst 110 คน (ปีนี้เพิ่ม 20คน เป็น  130)  vår 110คน
 
วันที่  17  กรกฎาคม ทุกปีนักเรียนจะได้คำตอบว่าติดอะไร  วันนั้นนี่ตื่น 6 โมงเช้า 55 ลุ้นสุดตัว ช่วงเที่ยงวันนั้น (17 Jul 20)  มีนักเรียนคนนึงโพสว่าได้คำตอบแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่เลยพยายามเข้าไปดูผล  สรุปเวปล่มจ้าา เรานี่ประสาทจะแตก เพราะอยากรู้ผลมาก  แล้วมีนักเรียนอีกคนนึงโพสว่าเกรดเฉลี่ยปีนี้สูงมาก นางไม่ติด  โหหห เรานี่ยิ่งประสาทจะกินไปใหญ่จ้า  เราพยายามจะเข้าไปดูเป็น 10 รอบ แต่เวปพอจะโชว์ผล ดันเด้งออก  โอ้ย มันเป็นอารมณ์ที่แบบ ผลมันอยู่ในนั้นอ่ะ แต่เราดูไม่ได้  อีกสักพักลองเข้าไปอีก เข้าไปได้ถึงหน้าแรกที่เห็นว่าเราได้ผลแล้ว  ให้กดเข้าไปดูผล  พอเรากด มันหมุนๆๆๆ แล้วเด้งออกจ้า  โอ้ยย อยากจะกรี๊ดดังๆ  รอ 5 นาที เข้าไปใหม่  รอบนี้มันก็ค่อยๆหมุนอีก นี่สวดมนต์แล้วสวดอีก สักพักมันโชว์ผลขึ้นมาว่า




เราติดแพทย์ที่  UiO  høst  เราจะยอมรับ หรือตัดสิทธิ์!!  พอเห็นอันนี้เราแบบกรี๊ดของจริงในห้องน้ำเลยจ้า รีบโทรหาแม่หายาย ว่าเราติดแล้วนะ หลายปีที่ยายรอคอยมา เราทำได้แล้วนะ มันเป็นช่วงเวลาที่เราจะไม่ลืมเลย
 
ถามว่าปีนี้โหดแค่ไหน เกรดเข้าแพทย์ UiO høst 2-3 ปีที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 68,5 และ vår อยู่ที่ 67,2-67,5 เพราะปีนี้คนสมัครเกือบ 6 พันคน เกรดเลื่อนขึ้นมาเป็น 69 høst และ รอบ vår เป็น 68,1 เป็นอะไรที่น่าตกใจมาก

สุดท้ายแล้วเราอยากบอกกับทุกคนนะคะว่า ถ้าเราฝันแล้ว อย่าหยุดเลย มันอาจจะเหนื่อยอาจจะหนัก แต่ถ้าเราไม่หยุดสู้ วันนั้นจะมาถึงแน่นอนค่ะ  ทุกอย่างที่เราผ่านมาไม่ว่าจะหนักแค่ไหนก็ตาม จะไม่มีวันไหนเลยที่เราจะล้มเลิกความคิดที่จะเป็นหมอ ตอนที่เราป่วย  เราสอบไม่ได้ มีหลายเหตุที่พยายามทำให้เราหยุดแค่นี้  แล้วเลือกทันตะ แต่เราไม่ได้อยากเป็นทันตะ เราอยากเป็นหมอ เราก็เลือกที่จะสู้ต่อ เลือกที่จะลองอีกครั้ง เพราะเราคิดว่าเราสามารถทำได้ดีกว่านี้ เราก็พยายามเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง เคยมีคนถามเราว่าทำไงถึงไม่ขี้เกียจอ่านหนังสือ จากประสบการณ์ของเรา เราคิดว่าการที่เราขี้เกียจจะทำสิ่งไหน แสดงว่าความอยากได้ของเราในสิ่งนั้นยังไม่มากพอ มันไม่ได้สำคัญกับเรามากพอ เราอยากเป็นหมอมาก เราเลยไม่เคยขึ้เกียจที่จะอ่านหนังสือเลย และยิ่งเราอยากเป็นหมอที่เก่ง เราก็ยิ่งต้องพยายามเพิ่มขึ้นไปอีก เราอาจจะอ่านหนังสือเยอะ แต่เราก็พยายามแบ่งเวลานะคะ มีพักบ้าง ไปยิมบ้าง ทานข้าวยิ่งต้องตรงเวลา เราจะไม่กดดันตัวเอง
เราอยู่นอร์เวย์มาเกือบจะ 8ปี มาจากจังหวัดร้อยเอ็ด จบม.3 จากยโสธรพิทยาคม ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ สอบไม่ได้หลายครั้งมาก ร้องไห้มาเยอะ แต่ก็ยังพยายามที่จะทำให้ดีที่สุด เพราะคิดเสมอว่า ถ้าเราตั้งใจจะทำอะไร เราต้องทำให้มันดีที่สุด ไม่ว่าใครจะมองยังไงก็ตาม เราจะทำจนเราคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว
แม่และครอบครัวถือว่าเป็นแรงผลักดันของเราเลย เราอยากให้ครอบครัวเราทีชีวิตที่ดีขึ้น  แม่พยายามช่วยเราทุกอย่างเพื่อให้เราเรียนจบ ถ้าไม่มีแม่เราก็คงไม่มีวันนี้
เคยมีคนพูดกับเราว่า จะรอดูว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน วันนี้เราก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วนะคะ 5 ปีที่แล้วเราหวังแค่จะเรียนหมอที่โปแลนด์ 3 ปีที่ผ่านมาหวังขอแค่สอบติด มหาวิทยาลัยไหนก็ได้ที่นอร์เวย์ มาวันนี้เราติดมหาวิทยาลัยที่ถือว่าเป็น 1 ในมหาวิทยาลัยที่เข้ายากที่สุดก็ว่าได้
หลังจากนี้เราก็พยายามตั้งใจเรียนเพื่อจะเป็นหมอที่ดีให้ได้  เพราะยิ่งเราเรียนที่นี่ เราไม่ใช่เจ้าของภาษา เรายิ่งต้องพยายามให้มากขึ้นเพื่อให้คนไข้เชื่อใจเราว่าเราสามารถรักษาเขาได้ ว่าติดก็ยากแล้ว จะเรียนให้จบนี่ยากกว่า
เราหวังว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นประโยชน์และกำลังใจสำหรับใครหลายๆคนนะคะ

IG: Katie_nf
ติดตามเพจได้ที่นี่นะคะ https://www.facebook.com/medicalstudentlifeinnorway/?modal=admin_todo_tour

แสดงความคิดเห็น

>

3 ความคิดเห็น

แวะมาถาม 19 ก.ค. 63 เวลา 11:15 น. 2

ถามเพื่อเป็นความรู้นะครับ จบแล้วะป็นแพทย์ที่นู้น 1. จะต้องสอบ NL มั้ยครับ 2. จบมาเค้ายอมรับให้เป็นแพทย์ ได้เลย หรือ ต้องไปใช้ทุนเหมือนที่ไทยมั้ย 3. เค้ายอมรับให้เราเป็นแพทย์รัฐที่ประเทศเค้าได้มั้ย 4. ถ้ามาเป็นแพทย์ที่ไทย ต้องมี ทำอย่างไรบ้างครับ 5. การศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทาง ถ้าเรียนต่อที่นู้น ได้เลยมั้ยครับ และถ้ามาต่อที่ไทยจะยากมั้ย

1
Katie31271 19 ก.ค. 63 เวลา 16:07 น. 2-1

พี่ถือ 2 สัญชาติิน่ะค่ะ (ไทยกับนอร์เวย์) พอเรียนจบ นักเรียนแพทย์ก็ต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสุขภาพแห่งนอร์เวย์เพื่อขออนุญาตเป็นแพทย์ เรื่องทุน ทางรัฐบาลที่นี่เขาก็จะสามารถให้นักเรียนที่นี่กู้ได้ (ค่าที่อยู่, ค่ากิน) หลังจากเริ่มทำงาน มีเวลา 20-40 ปีในการจ่ายคืนจ้า

ุถามว่าถ้าไปเป็นเป็นแพทย์ที่ไทยทำไง

-พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ

การศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทาง ถ้าเรียนต่อที่นู้น ได้เลยมั้ยครับ และถ้ามาต่อที่ไทยจะยากมั้ย

- ก็ต้องทำเรื่องต่อเฉพาะทางจ้า แต่ที่ไทยนี่พี่ไม่รู้

0
Raindrop001 31 ก.ค. 63 เวลา 23:38 น. 3

อยากทราบว่า ถ้าถือสัญชาติ อเมริกัน นี่สามารถ เรียนฟรีด้วยหรือเปล่าคะ (ทันตะ) แล้วต้อง มีสอบอะไรบ้าง คะ ขอบคุณคะ

2
Katie1506 4 ส.ค. 63 เวลา 03:47 น. 3-1

https://www.udi.no/en/want-to-apply/studies/studietillatelse/?c=usa#link-58 สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่นี่นะคะ

ที่ฝนรู้คร่าวๆ

- เราต้องมีเงินที่พอใช้ต่อปี

- มีที่เรียน

- มีทีพัก

- ไม่มีสอบนะคะ น่าจะเอาเกรดเทียบเลย

- เรียนฟรีค่ะ "The majority of Norwegian universities and state university colleges are publicly funded and the Norwegian government considers access to higher education for all to be an important part of the Norwegian society. Thus, as a rule, Norwegian public institutions do not charge tuition fees. This also applies to international students, no matter which country you come from." (Info: https://www.studyinnorway.no/study-in-norway/tuition-fees)


0
จุ๋ม 11 ม.ค. 65 เวลา 19:58 น. 3-2

ขอบคุณมากที่ให้ความรู้นะคะ จะขอถามว่า ถ้าไปเรียนที่มหาลัยที่นั่นแล้วจะต้องเรียนเป็นภาษาอะไรคะ ตอนสอบเป็นภาษาอังกฤษไหมคะ

0