Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เรื่องเล่า ฉบับ นักเรียนทุน (เกาหลี)

ตั้งกระทู้ใหม่
ขอเริ่มเกริ่นเรื่องโดยการแนะนำตัวก่อนนะคะ เราเป็นนักเรียนทุนปริญญาโทเกาหลี GKS ปี 2018 ค่ะ วันนี้มีโอกาสดี อยากฝึกทักษะการเขียนที่หลงลืมไปแล้ว ให้กลับมาบ้างซักนิด เราเลยอยากจะมาเล่าประสบการณ์ของตัวเองผ่านตัวอักษรกันบ้าง ภาษาบางทีอาจจะแปลกๆไปบ้าง เพราะช่วงนี้งงๆมึนๆกับการเรียงลำดับคำอยู่ แก้ไม่หายซักกะที อย่างไรก็ตามขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

***ทุน KGSPหรือ GKS ?
ทุนนี้คือทุนของรัฐบาลเกาหลีค่ะ ซึ่งมี NIIED เป็นองกรณ์ดูแลกำกับทุนนี้อยู่ เป็นทุนที่ให้ฟรีทุกอย่างตั้งแต่ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่าประกัน ค่าทำวิจัย (สำหรับนักเรียนที่เรียนในระดับปริญญาเท่านั้น) ค่าตั้งรกราก โดยรวมคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีกค่ะ
ทุน GKS สมัครยังไง ช่วงไหน เตรียมตัวอย่างไร
สำหรับปริญญาโท คือประมาณกุมภาพันธ์ของทุกปีค่ะ สามารเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.studyinkorea.go.kr/ สำหรับการสมัครก็จะแบ่งออกเป็น University track คือสมัครผ่านมหาวิทยาลัยโดยตรง มหาวิทยาลัยจะส่งรายชื่อของเราไปให้ NIIED ทำการคัดเลือก และ Embassy track สามารถยื่นสมัครได้ 3 มหาวิทยาลัยค่ะ ส่วนเรื่องการเตรียมตัวแน่นอนค่ะว่าภาษามาเป็นอันดับแรก เพราะใบสมัครสามารเลือกเขียนได้ 2 ภาษา (อังกฤษ,เกาหลี) ส่วนรายละเอียดต่างๆนั้นมีรีวิวที่น่าสนใจค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เลยอยากจะขอผ่านไปก่อน แต่ถ้ามีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้

***ทุน GKS กับการเรียนภาษาเกาหลี
ทุนนี้จะเป็นทุนที่ให้เราเรียนภาษา 1 ปี และปริญญาโท 2 ปี ปริญญาเอก 3 ปี แน่นอนว่าทุนนี้เค้าต้องการขยายฐานวัฒธรรมและส่งเสริมทางด้านภาษาจึงได้มีการจัดให้เรียนภาษา 1 ปีก่อนเริ่มเรียนในระดับปริญญา โดยก็มีเงื่อนไข ณ ตอนนี้ว่าต้องผ่าน TOPIK ระดับ 3 ก่อน แต่ในกรณีนี้ก็แล้วแต่ทางมหาวิทยาลัยด้วย เคยมีกรณีที่อยู่มาซักระยะแล้วขอระดับ 4 หรือ 5 ก็มี ดังนั้นเมื่อได้ตัดสินใจมาแล้วก็ต้องติดตามข่าวให้ดี สำหรับคนที่ยื่นสมัครมาแล้วไม่ต้องการเรียนภาษาได้มั้ย คำตอบคือ ได้ แต่ต้องมี TOPIK ระดับ 5 ขึ้นไป แล้วนอกเหนือจากนี้ก็จะมีอีกกรณีคือ เรียนภาษาเพียง 6 เดือน แล้วได้ระดับ 5 ขึ้นไปก็ต้องย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยเลย ไม่มีสิทธิเรียนภาษาต่อ แต่ไม่ต้องกังวลไปว่าสำหรับเด็กเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรกอย่างเราจะผ่านง่ายๆ แค่ระดับ 3 ก็หืดขึ้นคอแล้ว

***การตรวจสุขภาพ ประกาศผล final การทำวีซ่า ประกาศที่เรียนภาษา และตั๋วเครื่องบิน
พูดตามตรงเลยว่าหลายอย่างลืมไปแล้ว 5555 จำได้แค่ว่า เมื่อประกาศผลรอบสองแล้ว โอกาสที่เราจะได้นั้นคือร้อยละ 99.999 หลังจากประกาศผลแล้วต้องไปตรวจสุขภาพ สำหรับเราไปตรวจที่รพ.ฬ ซึ่งแพงมาก ประมาณ 4500 บาทได้กระมัง รอผลอีกประมาณ 7 วัน พอเราไปถึงก็บอกว่ามาตรวจสุขภาพไปต่างประเทศค่ะ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็หยิบแฟ้มขึ้นมาเปิดดูเลยว่าทุนอะไร รับรองผลครบตามที่กำหนดแน่นอน หลังจากส่งผลตรวจสุขภาพไปเรียบร้อยแล้วเราก็รอประกาศผลรอบสุดท้าย ยื่นเรื่องทำวีซ่า รอประกาศผลที่เรียนภาษา ซึ่งบอกไว้ก่อนเลยว่าจะอยู่คนละเมืองกับที่เราสมัครไปเลยค่ะ ใครเจอคนไทยหรือคนลาวก็โชคดี ไม่เหงาเท่าไหร่ ส่วนตั๋วเครื่องบินเค้าก็จะส่งมาให้เราทางอีเมลล์ก่อนการเดินทางประมาณ 2-3 สัปดาห์ เป็นอันจบ

***มาเกาหลีแรกๆต้องทำอะไรบ้าง
ตอนนี้จะขอเล่าเริ่มต้นตั้งแต่มาใหม่ๆ นะคะ บอกตามตรงว่าเรามาช้ากว่าชาวบ้านเค้า เนื่องจากป่วยกระทันหันทำให้การเดินทางล่าช้าไป ไม่รู้เรื่องชาวบ้านเค้าเล๊ย เท่าที่รู้จากบรรดาเพื่อนฝูงก็ประมาณว่าพอถึงแล้ว เราก็จะได้เจอกับบัดดี้ซึ่งเป็นนักเรียนเกาหลี ซึ่งบัดดี้เนี่ยก่อนเรามาเกาหลีเค้าก็จะส่งเมลล์มาบอกเราก่อนว่าเราเนี่ยเป็นบัดดี้เธอนะ เลยพอได้ทำความรู้จักนิดหน่อย บอกก่อนเลยว่าใครโชคดีเจอคนเทคแคร์ดีคือดี แต่สำหรับเคสดิชั้นคือโดนเทก่อนไปสนามบินเลยค่ะ บอกว่าจะมารับและพาเดินทางไปที่มอ แต่ก่อนวันเดินทางก็มาบอกว่าขอโทษไปไม่ได้แล้วนะ และก็ไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย (ช่างน่าเศร้าไรขนาดนี้) หลายๆคนคือได้บัดดี้ช่วยในการเซอไวเวิลมากๆ เราเองก็ต้องขอบคุณบัดดี้คนอื่นที่ช่วยเหลือเราเช่นกัน รู้สึกจะนอกเรื่องไปเยอะละค่ะ กลับมาต่อกันที่-เกาหลีแล้วต้องทำอะไรบ้าง สิ่งแรกคือลงทะเบียนเข้าหอพักนั่นเอง คนอื่นเป็นไงไม่รู้แต่นี่เป็นเคสเก็บตกคนมาช้าคือต้องไปหารายชื่อตัวเองหน้าป้อมรักษาความปลอดภัยเลยค่ะ ว่าอยู่ตึกไหนแล้วก็จะได้กุญแจห้องมา เราเองก็งงเหมือนกันว่าทำไมมอเคมยองต้องฝากกุญแจไว้ที่นั่น ทั้งๆที่ออฟฟิศที่หอก็มี เรื่องนี้อยากเล่าตรงความบันเทิงที่ว่านี่ก็พูดเกาไม่ได้เลย ลุงเจ้าหน้าที่เองก็พูดอิ้งไม่ได้เลย กว่าจะเข้าใจต้องรอคนเดินผ่านมาช่วย วันต่อมาเค้าก็เรียกรวมตรวจสุขภาพ และทำข้อสอบวัดระดับว่าเราควรอยู่ห้องไหน แต่สำหรับ Beginner อย่างเราคือไม่จำเป็นต้องสอบ เพราะอ่านไม่ออกนั่นเอง 5555 นอกจากนี้ก็มีการพาชมมหาลัย แล้วก็รอประกาศผลห้องเรียน ทามไลน์ของเราอาจจะไม่ตรงกับของคนอื่นเพราะเป็นรอบเก็บตก ของคนอื่นก็จะประมาณว่า มีการพาไปเปิดธนาคารก่อนเป็นอันดับแรกๆ พาไปปั้มลายนิ้วมือที่ immigration office และก็เดินทางไปที่ NIIED เพื่อเข้าปฐมนิเทศ

***เรื่องที่หลายคนสงสัยที่สุด ถามมากที่สุด
สำหรับคำถามยอดฮิตคือเรื่องเงินนั่นเอง เงินที่เราได้จากทุนนั้นมีค่าเทอมเต็มจำนวน ค่าตั้งรกรากหรือเงินก้อนแรกที่เราจะได้รับประมาณ 200000 วอนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในสัปดาห์แรก หลังจากนั้นเราจะได้อีก 1000000 วอนซึ่งจะถูกหักค่าหอออกไปแล้ว สำหรับในกรณีของเราค่าหอต่อ 1 เทอมจะถูกหาร 4 แล้วหักจ่ายเป็นรายเดือนไป เพราะฉะนั้นก็จะเหลือเงินใช้อยู่พอสมควร นอกจากนี้เมื่อเราเข้ามาเรียนป.โทแล้วเราจะได้เงินค่าวิจัยเป็นรายเทอมอีกเทอมละประมาณ 240000 วอน
เรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ค่าครองชีพ เกาหลือเป็นประเทศที่ข้าวยากหมากแพงเสียจริง ราคาน้ำเริ่มต้นแบบถูกสุดที่หาซื้อได้ยากก็ตก 500-600 วอนไปแล้ว (ประมาณ 15 บาท) แต่ไม่ต้องกลัวไปเพราะตู้กดน้ำฟรีมีทุกที่ ข้าวในโรงอาหารซึ่งถือว่าถูกที่สุดก็เริ่มต้นที่ 3000 วอน (แล้วแต่มหาลัย มหาลัยที่อยู่ตอนนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ จานหลุม ประมาณ 4800 วอน) ดังนั้นราคาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆก็จะประมาณ 2-3 เท่าของราคาที่ไทย ดั้งนั้นเงินเดือนที่ได้มานั้นพอใช้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับบุคคล แต่ภาพรวมแล้วคือพอแน่นอน

***การเรียนภาษาเกาหลี
ช่วงชีวิตที่สนุกที่สุดตอนได้มาเรียนที่เกาหลีของเราก็คือ 1 ปีกับการเรียนภาษานั่นเอง บอกได้เลยว่าไม่เคยรู้สึกใช้ชีวิตคุ้มขนาดนี้มาก่อน เป็นช่วงที่ว่างมากพอสมควรนะ ได้ติ่งได้เที่ยวแบบเต็มอิ่มมาก ได้ออกไปหาโอป้าบ่อยมาก โอป้าก็ช่างมีงานให้ตามเยอะเหลือเกิน 5555 เพราะฉะนั้นปีแรกมาแล้วต้องรีบตักตวงความสุขไว้เยอะๆนะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ สำหรับการเรียนภาษาที่เกาหลีถูกแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับต้น (초급) ระดับกลาง(중급) และระดับสูง(고급) แต่ละระดับก็จะแยกย่อยออกเป็น 2 เลเวล ก็คือเราจะเริ่มต้นเรียนภาษาระดับต้นที่เลเวล 1-2, ระดับกลางที่เลเวล 3-4, ระดับสูงที่เลเวล 5-6 นั่นเอง สำหรับการเรียนในระดับต้นจะเป็นการปูพื้นฐานตั้งแต่การสะกดคำถึงการใช้คำง่ายๆในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน และเบสิคแกรมม่า เป็นการเรียนที่ง่ายที่สุดแล้ว ส่วนระดับกลางจะลงลึกแกรมม่าในช่วงเลเวลสามเป็นการเรียนแกรมม่าที่เยอะและงงพอสมควร ในส่วนของเลเวลสี่มีแกรมม่าที่ไม่ยากมากนักเน้นไปทางด้านการสื่อสารเสียมากกว่า การเรียนในระดับสูงนั้นส่วนตัวเลยคือไม่ค่อยรู้รายละเอียด มีโอกาสเรียนถึงแค่เลเวลสี่เพียงเท่านั้นในเวลา 1 ปี แต่โดยรวมคือมีระดับการใช้แกรมม่าที่ยากขึ้น มีเรียนเขียนบรรยายมากขึ้น รายละเอียดในเรื่องของการเรียนคร่าวๆ ก็มีเพียงเท่านี้ค่ะ
ส่วนตัวคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่จะมีความสับสนในภาษานิดหน่อยตอนเรียนภาษาเกาหลีเพราะแกรมม่ากลับกันกับภาษาไทย จากประโยค ฉันกินข้าว ในภาษาเกาหลีจะเป็น ฉันข้าวกิน 저는 밥을 먹어요. {저(는) ชอ(นึน) แปลว่า ฉัน ส่วน는 (นึน) เหมือนคำชี้หัวเรื่องว่าเราจะเน้นตัวนี้นะ, 밥을 พับ(อึล) แปลว่า ข้าว มีการลิ้งเสียงเป็น พาบึล โดย을 เป็นตัวชี้กรรมของประโยค, 먹어요มอกอโย แปลงรูปมาจาก 먹다 ที่แปลว่า กิน นั่นเอง} เริ่มเห็นถึงความยากของภาษาเกาหลีรึยังคะ เป็นภาษาที่ยิ่งเรียนยิ่งยากค่ะ แล้วถ้าไม่ได้ใช้ก็จะลืม นอกจากนี้ก็จะมีคำที่ใช้กับผู้ใหญ่ กับเพื่อนแยกต่างหากอีกค่ะ


***เรียนภาษาปิดเทอมเมื่อไหร่
สำหรับการเรียนภาษาใน 1 ปีนั้นแบ่งออกเป็น 4 เทอม เทอมละสองเดือนครึ่ง มีปิดเทอมเล็กประมาณ 1 สัปดาห์ และจะมีปิดเทอมยาว ในเดือนกุมภาพันธ์ และ สิงหาคมค่ะ แน่นอนค่ะว่าสามารเดินทางกลับบ้านได้ช่วงนี้ (ถ้าเดินทางกลับในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เราจะโดนตัดเงินนะคะ)

***เทคนิคการเรียนภาษาเกาหลี(รึป่าว)
หลายๆคนก็อาจจะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับเราคือใจรักค่ะ มีความอยากสื่อสารกับโอป้ารู้เรื่องเพราะฉะนั้นก็จะดูทุกรายการที่มีโอป้า พอเจอคำศัพท์ไหนที่ไม่เคยได้ยินก็จะจดไว้เลยค่ะ เราเป็นคนที่จำคำศัพท์ผ่านทางละคร เพลง แล้วก็วาไรตี้ต่างๆ (ศัพท์ในหนังสือเรียนจำไม่ค่อยได้ TT) สำหรับเรามีความรู้สึกว่าการดูซีรีย์เกาหลีไม่ได้ช่วยในการฟังมากเท่ากับการดูรายการวาไรตี้ มีรายการที่เราอยากแนะนำให้ฟังเลยก็คือ The return of superman 슈퍼맨이 돌아왔다 เราจะฟังเด็กพูดรู้เรื่องค่ะ แนะนำเลยจริงๆ อีกรายการก็คือ SJ Return นั่นเอง ถ้าดูรายการนี้แล้วฟังรู้เรื่องแสดงว่าเก่งมาก เพราะเป็นรายการที่โอป้าของเราพูดเยอะมาก (อันหลังนี่ขอขายของหน่อยค่ะ)

***ก่อนมาเรียนที่เกาหลีควรเริ่มเรียนภาษาเกาหลีก่อนมั้ย
ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนะคะ แต่รู้ไว้ก่อนย่อมดีกว่ามันจะช่วยลดความเครียดหรือกังวลลงได้นิดนึง ส่วนตัวเราไม่ได้เรียนมาก่อน เลยเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น สำหรับเร้าเราย้อนเวลาไปได้จะไปเรียนมาก่อนเพราะว่าอยากเรียนึงระดับสูงจริงๆ แล้วก็จะลดความเครียดในการสอบ TOPIK ไปได้ เพราะเรามีโอกาสผ่านระดับสามในการสอบเพียง 4 ครั้งเท่านั้น ซึ่งความเครียดก็จะมารุมมาสุมอยู่ช่วงเดือนพฤษภาถึงกรกฎา ทั้งนี้ทั้งนั่นขึ้นอยู่กับบุคคลนะคะ แต่แน่นอนค่ะว่าทุกคนแม้จะเริ่มเรียนมาบ้างแล้วหรือยังไม่ได้เริ่มก็จะผ่านมันไปได้แน่นอนค่ะ

***ระบบประกันสุขภาพของเกาหลี
ท่านอาจจะเคยได้ยินมาว่าค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของเกาหลีค่อนข้างสูง นั่นก็คือเรื่องจริง แต่ประชาชนในประเทศสามารถเข้าถึงการรักษาได้ด้วย ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งก็จะคล้ายๆกับประกันสังคมของบ้านเรา ซึ่งแต่ละคนจะจ่ายยอดประกันตามฐานเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนหรือตามทรัพย์สินที่ถือครองอยู่ ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ถูกลงนั่นเอง

***นักศึกษาต่างชาติล่ะมีประกันมั้ย?
มีค่ะ ทางโรงเรียนจะเป็นคนดำเนินเรื่องให้เราทั้งหมด โดยแต่ละโรงเรียนก็อาจจะมีระบบการจัดการที่แตกต่างกันออกไป สำหรับในกรณีที่เราพบเจอตอนที่เรียนภาษาคือเราต้องติดต่อกับตัวแทนประกันโดยตรง ซึ่งเค้าก็จะบอกให้เราเตรียมเอกสารต่างๆมากมายเอง แต่พอเราย้ายเข้ามาเรียนป.โท ผู้ดูแลเราเป็นคนติดต่อให้เราหมดเลย สบายมากไม่ต้องคอยเตรียมเอกสารเอง สำหรับประกันของทุน GKS นั้นเราจะต้องออกเอง 30% ของค่ารักษา(รวมค่ายาด้วย) แต่เราจะต้องทำการสำรองจ่ายก่อนแล้วหลังจากนั้นจึงดำเนินเรื่องขอคืนเงินได้โดยมีเอกสารหลักๆอยู่สามอย่างด้วยกัน 1. ใบรับรองแพทย์ (진단서) ซึ่งต้องขอมาจากหมอค่าใช้จ่ายราวๆหมื่นวอน 2. ใบเสร็จรับเงิน (영수증) ที่แจกแจงรายละเอียดต่าง ส่วนมากจะมาในรูปแบบกระดาษเอสี่ พร้อมตราประทับ 3. บัญชีของเราเอง เท่านั้นเป็นอันจบเห็นมั้ยหล่ะคะว่ายุ่งยากมาก

****การไปหาหมอที่เกาหลี ไปยังไง จำเป็นต้องไปแค่ที่โรงพยาบาลเท่านั้นหรือ?
ถ้าไม่มีอาการเจ็บป่วยร้ายแรงแนะนำว่าสามารถไปตรวจที่คลินิกใกล้ๆบริเวณที่อยู่ได้ แน่นอนว่ามีทุกคลินิก ทั้งทันตกรรมคลินิก คลินิกผิวหนัง คลินิกตา คลินิคขนาดเล็กที่มีหมอประจำหนึ่งคน คลินิกขนาดกลางมีหมอประจำสามคนขึ้นไป โรงพยาบาลขนาดเล็ก ซึ่งจะมีขั้นตอนที่เร็วกว่า และค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าบางกรณี สามารถเบิกประกันได้เช่นกันค่ะ การหาหมอที่นี่คือหมอจะให้แค่ใบสั่งยามาเราต้องไปหาซื้อยาตามร้านขายยาด้วยตัวเองค่ะ การจ่ายยาของที่นี่ต่างจากบ้านเราตรงที่ว่าเค้าจะแพ็กยาที่เราจำเป็นต้องกินในหนึ่งมื้อมาให้เราฉีกซองกินได้เลย สะดวกมากๆเวลาออกไปไหนก็ไม่จำเป็นต้องพกยาเยอะ

***มาเกาหลีแล้วมาเรียนอะไร
ต้องขอเกริ่นตั้งแต่เริ่มแรกเลยนะคะว่าเราจบ BME SWU มาแล้วก็มาเรียนต่อ BME ที่ Konyang university เป็นมหาลัยแพทย์เล็กๆที่ตั้งอยู่ในเขต Daejeon ย้ำค่ะว่าเล็กมากจริงๆ มีโอกาส(ไม่ขี้เกียจ)อาจจะลองทำคลิปรีวิวบ้าง สำหรับมอนี้มีความน่าสนใจตรงที่ว่า BME ของที่นี่คือเป็นคณะ ไม่ใช่ภาควิชานะคะทุกคน แล้วในขณะก็จะถูกแบ่งย่อยออกเป็นภาควิชาต่างๆ เช่น ภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ ก็จะอารมณ์เป็นภาคจับฉ่าย คือรวมทุกแขนงวิชาแบบ มศว ซึ่งเราเองก็เรียนอยู่ในภาควิชานี้เช่นกัน ต่อไปก็เป็นภาควิชา Medical Information Technology Engineering ก็อารมณ์คล้ายๆระบบ healthcare , Department of Medical Space Design & Management สำหรับอันนี้ง่ายๆก็คือสถาปนิกโรงพยาบาล , Department of Biomedical Materials อันนี้เป็นพวกวัสดุทางการแพทย์, Department of Pharmaceutics & Biotechnology จะเป็นแนวๆไบโอไปเลย ประมาณนี้ เราไม่สามารถชี้แจงในรายละเอียดของภาควิชาอื่นๆได้ดีเท่าไหร่นักต้องขออภัยด้วย

***ข้อแตกต่างของการเรียนวิศวกรรมชีวการแพทย์ที่เกาหลีกับที่ไทย
จากการเก็บข้อมูลมาจากเด็กป.ตรีก็ถือว่าไม่แตกต่างจากที่ไทยเท่าไหร่นักในวิชาพื้นฐาน แต่ที่เพิ่มเติมคือที่เกาหลีมีวิชาปฏิบัติเยอะมาก ซึ่งตอนเรียนปฏิบัติก็ต้องทำบันทึกใน lab notebook ด้วย เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ ปิดเทอมก็มีคอร์สเสริมให้เด็กตลอด อันนี้เป็นข้อดีที่เราค่อนข้างเห็นด้วยเลย ตัวอย่างเช่น คอร์สเสริมในปิดเทอมนี้คือ Solid works เรียนทั้งวันตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6โมงเย็น คือตอนแรกก็งงๆว่าทำไมเรียนเยอะจัง ตอนนี้เข้าใจละว่าถ้าเรียนจบจะต้องมีการสอบใบ certificate ด้วย เราก็พึ่งรู้ว่ามันมีใบนี้ด้วย เปิดโลกมากจริงๆ ใช้มาตั้งหลายปีก็ไม่เคยรู้เลย นอกเหนือจากนั้นก็มีการเรียนการสอนในเรื่องของระบบมาตรฐานในโรงพยาบาลที่ค่อนข้างยาก และมีสอบใบประกอบวิชาชีพอีกเช่นกัน ที่เกาหลีนี้สายงานเกี่ยวกับมาตรฐานโรงพยาบาลค่อนข้างเป็นที่นิยมอยู่พอสมควร เพราะผลตอบแทนสูงมาก ส่วนบ้านเราก็กำลังทำการผลักดันกันอยู่หวังว่าในอนาคตจะสดใส ส่วนข้อดีของมศว คือเริ่มทำวิจัยเร็วทุกคน ต่างจากที่เกาหลีคือต้องเป็นคนที่สนใจในแล็ปนั้นๆจริงๆถึงจะได้เริ่มเร็ว บางคนไฟแรงก็เริ่มตั้งแต่ปีหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับเราต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านที่ปูพื้นฐานหลักสูตรมาดีมากๆ เราทำให้สามารถเรียนเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น

***BioMEMS & cell culture คืออะไร
มันก็คือสิ่งที่เรากำลังเรียนและรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้าอยู่ตอนนี้ 555 เราเองก็ต้องบอกตามตรงเลยว่าพึ่งเคยได้ยินตอนมาสัมภาษณ์ที่มอนี้แหละ ด้วยความจับพลัดจับผลูเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษาใหม่ เลยต้องมาเริ่มศึกษากันตั้งแต่ระบบการเพาะเลี้ยงเซลล์กันเลยทีเดียว เราจะขอเริ่มเกริ่นจากเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเซลล์ หรือ cell culture เลยก็แล้วกัน เป้าหมายของการเพาะเลี้ยงเซลล์ก็คือเพื่อลดการทดลองในสัตว์ และในเรื่องของอวัยวะเทียม สเต็มเซลล์ต่างๆ นานา ซึ่งระบบการเพาะเลี้ยงเซลล์ในปัจจุบันนี้ก็มีแบบการเพาะเลี้ยงเซลล์แบบสองมิติ และสามมิติ ซึ่งเจ้าสามมิติเนี่ยก็จะรวมไปถึง spheroids และ organoids เราเลี้ยงเจ้าเซลล์พวกนี้ไว้สำหรับการทดลองซึ่งมันจะได้ผลดีมากที่สุดหากสามรถพัฒนาให้ใกล้เคียงกับมนุษย์ได้ ในปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ในขั้น organoids สำหรับเราตอนนี้ก็ศึกษาในเรื่อง single spheroid อยู่ นั้นก็จะเกี่ยวข้องกับ BioMEMS (Biomedical Micro Electro Mechanical System) ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ organ in a chip, microfluidics, micro arrays, glucose sensing, genetic sensor, protein sensor เป็นต้น พูดแบบเห็นภาพง่ายๆเลยก็ ที่ตรวจครรภ์ ตรวจน้ำตาลนั่นเอง งานหลักของเราจะเป็นพวกการเพาะเลี้ยงเซลล์ใน pillar หรือ chip เสียมากกว่าและอนาคตกำลังคิดอยู่ว่าจะทำ microfluidics ดีมั้ย






แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น

้ีhuniie 8 ก.ย. 63 เวลา 13:24 น. 1

ขอบคุณมากเลยค่า อยากรู้ว่าตอนสอบยื่นทุน ใช้คะแนนอะไรยื่นหรอคะ เพราะคิดว่าไม่น่าจะใช้ Topik เลยอยากทราบว่าใช้อะไร แล้วผลสอบประมาณเท่าไหร่หรอคะ ขอบคุณมากค่ะ


ขอให้สนุกกับการเรียนนะคะ

1
กี้ 28 ก.ย. 63 เวลา 17:36 น. 1-1

ตอนเราสมัครเราไม่ได้ยื่นคะแนนอะไรไปเลยค่ะ แต่ควรจะมีคะแนนโทอิคอย่างน้อย 700-800 คะแนนค่ะ

0