Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

คำจำกัดความของ"เวทมนตร์" โลกเวทมนตร์เป็นอย่างไร หากเวทมนตร์มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน และมีสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์นอกจากมนุษย์

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
    คือเราคิดนะคะว่า เวทมนตร์ ในโลกแฟนตาซีตามนิยายต่างๆที่หาได้แหลกลานน่ะค่ะมันแปลว่าอะไร เราเลยคิดว่าลองช่างส่วนกันคิดและหาความหมายของเวทมนตร์กันดีกว่าค่ะ น่าสนุกดี
    ความหมายจริงตามพจนานุกรมนะคะ คือ
["ถ้อยคําศักดิ์สิทธิ์ที่บริกรรมเพื่อให้สําเร็จความประสงค์"]
   สำหรับเรา คิดว่ามันคือการแสดงอภินิหาร แฟนตาซี พลังชนิดหนึ่งที่มีตามทั่วไปในโลกเวทมนตร์ เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งสามารถเรียนรู้ได้ มีหลากหลายธาตุ หลายกฎเกณฑ์แตกต่างกันไปตามแต่ละโลก บางครั้งสามารถเข้าใจได้บางอย่างก็ไม่ นิยามของเราก็มีหลายแบบเลยค่ะ 
        1.คือคำกล่าวหรือคาถาเพื่อเรียกออกมาค่ะ หรือก็คือต้องมีคำกล่าว คำสรรเสริญ คำท่อง ที่ใช้ระยะเวลาในการสร้าง โดยผู้ที่จะทำได้ต้องมีความเชื่อมั่นในพระเจ้า ศึกษาทำความเข้าใจ จึงจะสามรถนำไปใช้ได้ โดยคนของในโลกนี้จะแบ่งเป็นคนธรรมดา กับผู้มีเวทมนตร์ =ซึ่งโลกนี้เวทมนตร์เกิดจากจิตใจค่ะจึงไม่มีความสามรถทางด้านการเสริมกายภาพ ไม่ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น ต้องมีคาถาอัญเชิญหรือบทสวดก่อนนำมาใช้ทุกครั้ง
         2.คือพลังชนิดหนึ่งซึ่งมีทั่วไปในโลก สามรถดึงพลังนั้นนำมาใช้ได้ โดยอาจเป็นพรสวรรค์หรือการฝึกฝน โดยมีเพียงมนุษย์ที่สามรถใช้ได้ซึ่งเราจะแบ่งเป็นหมวดย่อยๆก็คือ      
            2.1โลกนี้แบ่งเป็น 3จำพวกค่ะ คือ1.คนธรรมดาก็คือคนที่ไม่รู้ถึงเวทมนตร์ก็คือไม่เคยมีใครให้ใช้สอนไม่เข้าใจ ไม่สามารถสำผัสได้ ไม่สามรถใช้เวทมนตร์ได้ค่ะ โดยคนจำพวกนี้จะมีอยู่เป็นส่วนมากเพราะเวทมนตร์ยังเป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้จึงไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง 2.จำพวกที่สองคือจำพวกที่เวทมนตร์มีอยู่จริงค่ะอาจเป็นเพราะเคยเห็นคนใช้มาก่อจำพวกผู้ใช้เวทมนตร์ค่ะ ความเชื่อทางศาสนาหรือเชื่อใรสิ่งลี้ลับค่ะ จำพวกนี้คือเชื่อค่ะ บางคนก็ถึงขั้นสามรถสำผัสได้ แต่ไม่มีคนสอนค่ะเลยใช้ไม้ได้3.จำพวกที่สามคือผู้ใช้เวทมนตร์ค่ะอาจเกิดจากมนุษย์ผู้อยากรู้อยากลองและเชื่อว่าเวทมนตร์มีอยู่จริง และทดลองสารพัดวิธีที่จะดึงมันมาใช้จึงทำให้ใช้เวทมนตร์ได้ค่ะ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงมีเพียงบางจำพวกที่สามรถดึงนำมาใช้ได้ และทำไมสัตว์และพืชไม่สามรถใช้ได้ เพราะมันไม่มีความนึกคิด ไม่มีความอยากรู้ไม่มีการทดลองใช้จึงไม่สามารถใช้ได้ (อาจมีบางโลกบ่งกรณีที่มีสัตว์วิเศษที่สามรถใช้ได้ ซึ่งมีสติปัญญา) ซึ่งในโลกนี้เวทมนตร์เกิดขึ้นจากพลังจึงช่วยเสริมกายภาพเช่นทำให้ร่างกายแข็งแกร่งดังหินผา สามารถกระโดดได้ไกลกว่า สามารถรวบรวมพลังเพื่ออัญเชิญลูกไฟได้
           2.2โลกนี้สามรถดึงเวทมนตร์มาใช้ได้ค่ะ โดยสามารถใช้ได้ทั้งคน ทั้งสัตว์ทีี่มีความนึกคิดค่ะ จะคล้ายๆจำพวกที่3ใน2.1ค่ะ(///ขออนุญาตระบายนะคะ//จึงเป็นสาเหตุให้ไม้แมร่งเปาะ หินแม่งบาง ดินแม่งทรุดซัดกันทีต้นไม้พังเป็นแถบ ต่อยกันทีบ้านแม่งพังเพราะไม่มีความคงทนเพราะไม่มีเวทมนตร์//และนี่จึงเป็นสาเหตุให้มีข้อ2.3ค่ะ)
         2.3ก็คือคล้ายๆกับข้อ2.1 และ2.2แต่โลกนี้เวทมนตร์จะมีทั้งในสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต จึงทำให้อาจมีธาตุแปลกๆ(ตามตารางธาตุ)โผล่ขึ้นมาใหม่ แร่แปลกๆเอาไว้ใช้สร้างอาวุธสร้างบ้านซึ่งมีหลายเกรดหลายระดับตามพลังเวทมนตร์ที่สะสมในแต่ละสิ่ง ใช้ในการสร้างอาวุธเกรดA B C Dบลาๆๆๆและบ้านคนจนก็พังง่ายเพราะวัสดุเปราะ บ้านคนรวยก็อย่างกับป้อมปราการ(เพราะไปทำชั่วมาเยอะเลยกลัวคนมาบึ้มบ้าน//ขำๆนะคะ) และมีสิ่งมีชีวิตหลากหลายเผ่าพันธุ์แตกต่างกันไป เช่น มังกร อ๊อก ก็อบบลิน บลาๆๆๆๆ
     
  เอาล่ะค่ะตอนนี้นิสชินก็อธิบายโลกเวทมนตร์ของตัวเองไปแล้วเราอยากมาฟังของคนอื่นบ้างมาร่วมแชร์ความคิดกันเถอะค่ะ คอมเม้นท์กันเยอะๆนะค้าาาาา บายคร่าาา
          

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

Watarmelon 10 ก.ย. 63 เวลา 22:21 น. 1

ของเรานะ ประมาณว่ามีไอเธอร์ (Aither/Aether) คือสสารที่ตาม Medieval science เชื่อว่าอยู่รอบเอกภพ แถมทำให้ดาวลอยบนฟ้าได้ ส่วนนักฟิสิกส์เมื่อนานมาแล้วเคยพยายามจะเอามาใช้อธิบายว่าทำไมแสงถึงมีอัตราเร็วคงที่

คนมีเวทมนตร์คือมีความสามารถในการควบคุม/ใช้ไอเธอร์ได้

ยังไงก็ตามมันเป็นแค่ world building ที่ไม่อยากจะต้องพูดถึง 55555

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-big-10.png

6
สงใสเฉยๆ 10 ก.ย. 63 เวลา 22:45 น. 1-1

ไม่ใช่ว่าแนวคิดเรื่องaetherโดนไอสไตน์โละทิ้งไปราวๆร้อยปีก่อนหรอครับ

0
Watarmelon 10 ก.ย. 63 เวลา 22:50 น. 1-2

ไม่แน่ใจว่าใครโละทิ้ง แต่โดนโละทิ้งไปแล้วค่ะ

เราเขียนนิยายเซ็ตติ้งยุคกลาง เลยมองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนึกถึงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กว่านั้นค่ะ หรือจะให้พูดอีกอย่างคือมีในขั้นตอนความสมเหตุสมผลของฟิสิกส์ แต่การ "มองโลก" ของคาแร็คเตอร์ไม่จำเป็นต้องให้คาแร็คเตอร์คิดถึงตัวฟิสิกส์ที่อยู่เบื้องหลัง จะได้ให้ฟีลลิ่งเหมือนคนสมัยก่อนมองสิ่งรอบตัวมากกว่าการเอามุมมองของคนสมัยนี้ไปตัดสินเรื่องเก่า ๆ

0
nisshin135789 11 ก.ย. 63 เวลา 06:15 น. 1-3

อันนี้ความรู้ใหม่เลยนะคะเนี่ยนึกว่าไม่เคยมีความเชื่อแบบนี้สะอีกค่ะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

Watarmelon 11 ก.ย. 63 เวลา 06:22 น. 1-5

น่าจะต้องเรียนพวกสัมพัทธภาพ เขาถึงจะเกริ่น ๆ ถึงในตอนประวัติความเป็นมาของสัมพัทธภาพน่ะค่ะ 555

0
Red Draconis 10 ก.ย. 63 เวลา 23:09 น. 2

ของผมมองว่าทุกอย่างในจักรวาล มันจะมีพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่และไม่อาจมองเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสเพียงทั่วไป ซึ่งไอคำนั้นอะมันจะเรียกแบบไหนหรืออะไรก็ตามแต่ก็ได้ เพราะมันเปลี่ยนไปตามหลักวิทยาศาสตร์หรือความรู้แขนงใหม่ตามแต่ละยุคสมัยแน่ๆ


ซึ่งในโลกผม ผมให้คำนิยามง่ายๆไปกับมันคือ อีเธอร์(พลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุด) มานา(พลังงานที่ไหลเวียนและปะปนไปกับธรรมชาติ) จักระ(พลังงานธรรมชาติที่ถูกจัดเรียงให้เป็นระเบียบ(ในแบบของชาวตะวันออก เน้นการไหลเวียนในร่าง/จิต)) เวทมนตร์(พลังงานธรรมชาติที่ถูกจัดเรียงให้เป็นระเบียบ(เป็นดั่งโปรแกรม เป็นขั้นเป็นตอน)) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความยุ่งเหยิงที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ(เอนโทรปี้)//ห้ามถามเอนโทรปี้ซ้ำ เพราะหลังดู TENET มามันเป่าความรู้เก่าซะกระจุย555


ซึ่งมองตามหลักของชาวตะวันตกในนิยายผม คนแถบนั้นมักจะยึดและมีมุมมองตามหลักความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพิสูจน์ได้(พิสูจน์ว่าเวทมนตร์สามารถทำได้จริงๆ) สั่งสมได้(นำเอาไปต่อยอดให้เหนือล้ำกว่าเดิม) อธิบายและสั่งสอนได้(ไม่ใช่ศาสตร์ที่จะกั๊กไว้ และเมื่อเผยออกมาต้องวิพากษ์กันจนเป้นที่ยอมรับ) ทำให้เข้าใจได้โดยง่าย (เรียบเรียงแก่นสารให้เป็นสูตร/คำ ที่จดจำได้ง่าย คิดซะว่าเหมือนเราป้อนคำสั่งบางอย่างลงคอมแล้วโค้ดมันก็รันให้อัตโนมัติ)


ตัวโค้ดนั้นก็จะมีหลากหลายมากมายแบ่งกันไป ซึ่งมนุษย์มองสิ่งต่างๆและชอบแบ่งแยกให้มันเป็นธาตุต่างๆ ดิน น้ำ ลม ไฟ แสง ความมืดอะไรต่อมิอะไรเอยก็แล้วแต่ แต่ละอย่างมีรูปแบบที่แตกต่างกัน มีจุดเด่น จุดด้อย จุดพลิกแพลงมากมายที่ถึงทุ่มทั้งชีวิตก็ไม่อาจเข้าใจได้ในทุกแขนง


กลุ่มคนที่เรียนเวทมนตร์ได้หรือไม่ได้ก็มี ซึ่งมักจะไปเกี่ยวพันกับเรื่องของวงจรเวทในร่างที่ไม่เสถียรเสียมากกว่า หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะโลกของคนกลุ่มนั้นถูกกำหนดให้เดินไปตาม ความเป้นจริงอันจับต้องได้ มากกว่าพลังงานที่ไร้รูปธรรม อะไรแบบนี้อะนะ(พอดีมีโลกสองใบทับซ้อนกัน อันนึงถูกตัวตนที่ไม่อาจะเข้าใจได้กำหนดให้พัฒนาไปในรูปแบบที่เราเรียกกันว่า วิทยาศาสตร์อีกโลกเป็นเวทมนตร์ ผลจากการพัฒนาที่ต่างกันสุดขั้วนี้ย่อมส่งผลให้วิถีชีวิตและขุมพลังจากโลกทั้งสองมีความแตกต่างกัน ระบบวิธีคิด ตรรกะพื้นฐานจะต่างกันไม่มากก็น้อยตามความรู้พื้นฐานที่ถูกกำหนดให้อยู่ในกรอบจำกัดแห่งสิ่งมีชีวิต)


ทั้งหมดทั้งมวลนี้ผมแต่ทำเอาสนุกๆ ฆ่าเวลาและปูเรื่องส่งไปนิยายปิดท้ายที่ออกไปทางปรัชญา ไซไฟ อวกาศ เฉยๆ555 กว่าจะไปถึงตอนนั้นผมคงโตกว่านี้และมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปตามอายุ(แก่!!!!)นั่นเอง มุมมองที่เอามาใช้ตีความเรื่องราวก็อาจจะเปลี่ยนไปอีกก็ได้(แต่พลังขี้เกียจสูงกว่า ดังนั้นคงไม่แก้555)


//รอบนี้น่าจะไม่พิมพ์วน

//มั้ง

9
Red Draconis 10 ก.ย. 63 เวลา 23:12 น. 2-1

คงไม่มีใครอยากให้ต่อเรื่องความหลากหลายของเผ่าพันธุ์เนอะ555 ไม่งั้นได้เขียนเป็นหนังสือกันแน่


//แต่งนิยายต่อหลังลุยสอบมานาน

//ไม่ใช่กระทู้เรา เอาแค่นี้พอ

0
Red Draconis 10 ก.ย. 63 เวลา 23:21 น. 2-3

บางทีก็เริ่มคิดแล้วว่าเราตอบตรงหัวข้อกระทู้รึเปล่า555

0
Watarmelon 10 ก.ย. 63 เวลา 23:23 น. 2-4

คำถามปลายเปิด (มั้ง?) ตอบอะไรก็น่าจะตรงหมด 555

//ตอนนี้ตอบสาระไม่ได้ สมองกำลังตาย ช่วยด้วยยยย

0
Red Draconis 10 ก.ย. 63 เวลา 23:26 น. 2-5

ส่งรถพยาบาลไป!!! เริ่มผ่าตัดสมอง!!!

อ้าว ไม่เห็นมี...(เล่นมุกแบบนี้จะโดนด่าไหมเนี่ยครับ555)

แต่เผื่อไม่รอด ผมส่งทีมเต้นนักแบกโลงไปแล้ว สบายใจได้ฮะ

//หายใจปลอดโปร่งในรอบเดือนเพราะสอบเสร็จ

//อ๊ะ อาจารย์สั่งงานอีกแล้ว

0
Watarmelon 10 ก.ย. 63 เวลา 23:27 น. 2-6

ปกติจะด่าแต่วันนีไม่ด่าก็ได้ เพราะสมองตายไปหมดแล้ว 555

0
nisshin135789 11 ก.ย. 63 เวลา 06:12 น. 2-8

เแ็นคำถามเปิดจ้าาา ยังไงซะเราก็ไปเชิงถามเล่นๆซะมากกว่ามีความคิดที่จะเอาส่วนนี้ไปแต่งนิยายของตัวเองน่ะค่ะ(แต่งหรือไม่นั่นเอาไว้คิดทีหลัง)เพราะโลกแฟนตาซีตามนิยายต่างๆมักไม่แน่นอนไร้ซึ่งกฎเกณฑ์บางเรื่องมีกฎเกณฑ์แต่พอแต่งไปแต่งมามักจะแหกทางเสมอเราก็เลยมาถามความคิดเห็นดูค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ

0
llkawaiill 10 ก.ย. 63 เวลา 23:16 น. 3

ถ้าเป็นของเราก็คงไม่ได้จัดเซตติ้งให้วุ่นวายขนาดนี้เพราะไม่ได้เน้นมาก เวทมนตร์ในเรื่องจะคล้ายกับคอนเซปต์ข้อ2 ของคุณคือมีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว โดยคนที่ใช้เวทมนตร์ได้จะเป็นคนที่มีลักษณะทางสมองต่างจากคนที่ใช้ไม่ได้ การบริกรรมคาถาเป็นเพียงรูปแบบการใช้งาน ซึ่งหลักๆ ในเรื่องจะไม่เคยต้องท่องบทเพื่อใช้เวทมนตร์เลย(เพราะเราคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล ในเมื่อคนดังกล่าวใช้เวทมนตร์เป็นอาชีพอยู่แล้ว มันก็ควรจะใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีตัวช่วย) เช่นสมมติว่าจะเรียกน้ำ น้ำเกิดจากธาตุไฮโดรเจนสองโมเลกุลและออกซิเจน ก็คิดเสียว่า ผู้ใช้พลังจิต อาจจะแผ่กระแสไฟฟ้าจำเพาะออกมาจากสมองเพื่อแยกออกซิเจน(O2)ในอากาศเป็นโมเลกุลเดี่ยว(O)แล้วนำไปรวมกับไฮโดรเจน(H2)ให้เกิดเป็นน้ำ(H2O)ตามความต้องการได้


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรายละเอียดในเรืื่องของแต่ละคนก็คงต่างกันไป ซึ่งเรื่องของเราไม่ได้เน้นวิธีการใช้เวทมนตร์แต่แรก เป็นเรื่องแฟนตาซีที่หนักไปทางไซไฟมากกว่า ในเรื่องก็จะพบทั้งการใช้ปืนแก้ปัญหาผู้ใช้เวทมนตร์ เอาถุงมือสนับอัดผู้ใช้เวทมนตร์บ้าง เอาปืนพลาสม่ายิงมังกรบ้าง ฉะนั้นเซตติ้งเวทมนตร์จึงแค่อธิบายว่าใครใช้ได้บ้างและใช้ได้ถึงประมาณไหนเท่านั้นค่ะ

2
nisshin135789 11 ก.ย. 63 เวลา 06:14 น. 3-1

ว้าวอธิบายได้เจ๋งมากเลยล่ะค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ

0
IhKhaRain 11 ก.ย. 63 เวลา 11:46 น. 3-2

ฮาช่วงท้าย ภาพนี่ลอยมาเลย ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับ

0
MGS. 11 ก.ย. 63 เวลา 14:41 น. 4

ในโลกของนิยายปัจจุบันผมเนี่ย เวทย์แบ่งได้สองแบบตามที่มาคือ Divine กับ Arcane


Divine คือ เวทย์*มนต์* ที่ได้มาจากความศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (เทพเจ้า ปีศาจ จักรกลทรงภูมิปัญญา สิ่งมีชีวิตที่เขมือบไม่เลือกหน้า ฯลฯ) ความศรัทธาจะเพิ่มพลังแก่ผู้ถูกนับถือ และสิ่งเหล่านั้นจะตอบแทนผู้นับถือด้วยการมอบเสี้ยวของพลังในรูปปาฏิหาริย์ (เช่น ฮีล น้ำท่วม สายฟ้าฟาด โรคระบาด เป็นต้น) ทั้งนี้ ผู้ที่จะใช้ Divine ได้ต้องมีศรัทธาและปฎิบัติตนให้้หมาะสมด้วย โดยเฉพาะ Paladin ที่จะต้องทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ไม่งั้นจะสูญเสียพลังและถูกขับไล่จากพื้นที่นั้น ๆ ด้วย


Arcane คือ เวทย์*มนตร์* ที่เกิดจากการที่สิ่งมีชีวิตได้รับความสามารถจากสิ่งต่าง ๆ เช่น สืบสายเลือดจากสิ่งมีชีวิตที่สามารถใช้เวทย์มนตร์ได้ (มังกร แฟรี่ ปีศาจ เทพ ฯลฯ) หรือ เรียนเอาจากสถาบันการศึกษา หรือลอกเลียนตามสิ่งมีชีวิตเวทย์มนตร์ และอื่น ๆ พูดง่าย ๆ คือที่มาของมนตร์นั้นมาจากผู้ใช้โดยตรง


ทั้งนี้ทั้งนั้น กฎของผู้ใช้เวทย์ในโลกนี้นั้นเป็นแบบแวนเชี่ยน (Vancian magic) ที่คาถาต่าง ๆ เปรียบเหมือนกระสุน ปืน และผู้ใช้เวทย์ก็คือปืน ผู้ใช้ต้องเตรียมกระสุนและปืนให้พร้อมสำหรับการยิง หากสภาพกายและใจไม่พร้อม กระสุนที่ยิงได้ก็จะลดลงถึงหายไปเลย และคาถาแต่ละบทไม่สามารถถูกเปลี่ยนได้ เช่น ไม่สามารถลดขนาดไฟร์บอลเพื่อใช้แค่ให้พอจุดบุหรี่ได้ เป็นต้น หากอยากใช้เวทย์ให้ดีขึ้น/มากขึ้น ตัวปืน หรือผู้ใช้ก็ต้องฝึกฝนตัวเองให้เก่งพอที่จะใช้กระสุนได้ดี/เยอะขึ้น แต่กว่าจะฝึกขั้นพื้นฐานเสร็จก็กินเวลาไปเยอะอยู่ เช่น จอมเวทย์จากสถาบันที่กว่าจะเรียนจบและใช้เวทย์ขั้นแรกได้ก็อายุ 22+ แล้ว ตอนที่ใช้เวทย์ขั้น 5-6 ได้ (สูงสุดขั้น 9) ก็มักจะแก่ตายกันเสียก่อน


แน่นอนว่าสิ่งไม่มีชีวิตก็สามารถมีคุณสมบัติเวทย์ด้วย เช่น มิธทิล แต่ราคาสูงและหายาก หากพื้นที่ไหนมีมากก็แทบจะเป็นมหาอำนาจทางเศรฐกิจได้เลย


ว่ามาขนาดนี้แต่สรุปย่อ ๆ ก็แค่ 1 กับ 2.3 รวมกับแหละครับ 555+


ความจริงยังมีสิ่งแทนเวทย์ด้วย เช่น พลังจิต พรจากเทพ ความบ้าคลั่งขั้นสูง การสาบาน และการทำพันธะเหนือมิติ ฯลฯ แต่เกรงว่าจะยาวไป 555+ แต่ถ้าสนใจเดี๋ยวค่อยมาพิมพ์ต่อ //บัยยย

1
nisshin135789 11 ก.ย. 63 เวลา 19:25 น. 4-1

มีความคิดคล้ายๆเราเลยนะคะเนี่ย ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะคะ

0
ผู้ใช้ดาบผ่าแตงโม 11 ก.ย. 63 เวลา 21:16 น. 5

ในโลกเวทมนตร์ของผมก็จะมีผู้ใช้เวทมนตร์มากมายเห็นได้ทั่วไปส่วนจอมเวทย์นั้นกลุ่มหนึ่งจะเป็นปตุชนคนธรรมดาบางกลุ่มก็จะไปแนวอัศวินอะไรทำนองนี้ ซึ่งบางคนจะมีความพิเศษที่ดวงตาข้างซ้ายเวลาใช้เวทมนตร์อะไรพวกนี้ดวงตาข้างซ้ายจะเปลี่ยนสีและมีสัญลักษณ์อย่างพวก ดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรก็ว่าไปตามพลังธาตุเวทมนตร์ของตัวเองปรากฎขึ้นมา


ซึ่งเวลาใช้เวทมนตร์จะไม่มีคำร่ายจะมีก็แต่พวกเวทมนตร์ระดับสูงๆเท่านั้นที่ต้องร่ายสำหรับโลกนี้ที่ผมคิดไว้ก็จะประมาณก่อนจะใช้เวทมนตร์ที่แข็งแกร่งจต้องสรรเสริญเวทมนตร์บทนั้นเพื่อเป็นเกียรติสำหรับผู้คิดค้นมันขึ้นมาก่อน...สำหรับผมเอาตรงๆเลยคือแบ่งเส้นเอาไว้ว่าเวทมนตร์อันไหนเก่งโกงเทพอะไรประมาณนั้น(ฮ่า)


0