Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวทุนรัฐบาลเกาหลี(GKS)ระดับปริญญาโท 2020

ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่ะ สำหรับกระทู้นี้เราจะมารีวิวทุนรัฐบาลเกาหลีหรือที่เรียกกันว่าGKS ประจำปี 2020ค่ะ ซึ่งทุนนี้เป็นทุนให้เปล่า ครอบคลุมค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายรายเดือนยันตั๋วเครื่องบิน เรียกได้ว่าคุ้มมาก ๆ ในแต่ละปีจึงมีคนสนใจค่อนข้างมากและมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ก่อนอื่นเราขอเริ่มต้นด้วยการแนะนำโปรไฟล์ตัวเองนะคะ เนื่องจากเป็นคำถามสุดฮิตของหลายๆคนที่มักจะถามว่าคนที่ผ่านนั้นมีโปรไฟล์ประมาณไหน
การศึกษา: ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(ABAC) คณะศิลปะศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษธุรกิจ (Arts-Business English) 
ประสบการณ์การทำงาน: ไม่มีค่ะ เนื่องจากเป็นเด็กจบใหม่มาต่อป.โทเลยหลังเรียนจบ ฉะนั้น ช่วงเวลาที่สมัครจึงเป็นนศ.ที่ยังเรียนปีสี่ เทอมสุดท้ายอยู่ค่ะ ประสบการณ์การฝึกงานก็ไม่มีเช่นกันค่ะ

เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับทุนนั้นเราจะขอข้ามไปนะคะ เนื่องจากมีหลายกระทู้แนะนำได้ละเอียดมากอยู่แล้ว และหากใครต้องการดูรายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถเข้าดูในเว็บไซต์นี้ได้เลยค่ะ(เป็นรายละเอียดGKS ป.โทปี2020)>> https://www.studyinkorea.go.kr/en/sub/gks/selectBoardArticle.do   ในกระทู้นี้ เราจะเน้นไปที่การเตรียมตัวและเน้นแชร์ประสบการณ์ของเราค่ะ

การขอทุนเกาหลีสามารถขอได้สองทางคือ Embassy track และ University Track ซึ่งเลือกได้แค่ช่องทางเดียวนะคะ Embassy track จะส่งเอกสารผ่านสถานทูตเกาหลีที่ประเทศไทย สามารถเลือกมหาวิทยาลัยได้ 3 ที่ ส่วน University Track จะเลือกได้ที่เดียวและเราต้องทำการส่งเอกสารไปยังมหาวิทยาลัยที่เกาหลีที่เราเลือกไว้ ซึ่งทั้งสองแทรคจะมีข้อดีข้อเสียต่างกันค่ะและก็จะมีจำนวนโควต้าต่างกันด้วย สำหรับเรา เราตัดสินใจเลือก University Track เพราะเราไม่ได้โปรไฟล์ดีเลิศ เป็นเด็กกิจกรรมจ๋า มีประสบการณ์ทำงาน หรือมีความรู้ภาษาเกาหลีอะไรมาก่อนเลย ประกอบกับเรามีมหาวิทยาลัยในใจอยู่แล้ว ท้ายที่สุดจึงเลือกผ่านมหาวิทยาลัยค่ะ

สมัคร University Track เตรียมตัวอย่างไรบ้าง??

     ค้นหาตัวเองก่อนว่าต้องการเรียนคณะอะไร ส่วนมากมักจะเลือกสายเดิมหรือคล้ายเดิมที่เรียนมาในป.ตรีกันค่ะ ส่วนตัวเราได้เลือกคณะMBA ไป ตอนป.ตรีเราเรียน Business English มาจึงคิดว่าน่าจะสามารถไปต่อได้ แม้ว่าจะไม่ได้ตรงสายเป๊ะๆเลยก็ตาม บางคนอาจจะถามว่าเบนสายได้มั้ย ขอตอบว่าได้ค่ะ เพียงแต่ว่าตอนเขียนessay เราต้องอธิบายให้ได้ว่าทำไมถึงจะเบนสาย ต้องมีเหตุผลมากพอที่จะจูงใจกรรมการให้ได้นะคะซึ่งมันก็จะยากหน่อย

     เลือกมหาวิทยาลัย หลังจากเลือกคณะได้แล้วเราก็ต้องเลือกมหาวิทยาลัยที่ต้องการจะสมัคร ในจุดนี้แนะนำให้ศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะได้รู้ว่าที่นั่นโอเคสำหรับเราจริงๆ สำหรับเรา เราตั้งเป้าหมายว่าจะเลือกมหาวิทยาลัยที่อยู่ในโซลและหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ มีแรงค์ที่โอเค จึงได้มาจบที่มหาวิทยาลัยฮันยางซึ่งตั้งอยู่ในโซล มีหลักสูตร MBA-Korea and Asia Business Studies เป็นหลักสูตรอินเตอร์ 100% นักเรียนมีมาจากทั่วโลก(ในเว็บว่ามางี้ค่ะ5555) วิชาที่เรียนน่าสนใจ ถูกใจเรามาก หลังจากเช็คอันดับก็อยู่ในท็อป10ของเกาหลี สภาพแวดล้อมของcampus หอพัก รอบๆมหาวิทยาลัยโอเคสำหรับเราหมด สุดท้ายจึงตัดสินใจเลือกที่นี่ค่ะ

     เตรียมเอกสารและเขียนใบสมัคร ในข้อนี้แนะนำว่าให้เตรียมล่วงหน้าค่ะ อย่ารอจนทุนเปิดรับสมัครแล้วค่อยทำเพราะอาจจะไม่ทันเอาได้

1. บสมัครทุกหน้า อ่านให้ละเอียดก่อนกรอก อ่านไกด์ไลน์หลายๆรอบกันผิดพลาด

2. 
เอกสารที่ต้องนำไปแปลและนำไปประทับตราที่กรมกงสุล เช่น ใบcertificationที่มหาวิทยาลัยไม่ออกเป็นภาษาอังกฤษ ควรรีบเตรียมไว้เช่นกันค่ะเพราะอาจไม่เสร็จภายในวันเดียว
****** สำหรับใบรับรองสัญชาติ ตอนเรายื่นเราใช้ใบทะเบียนบ้านออกเป็นภาษาอังกฤษจากเขตและนำไปประทับตราที่กรมการกงศุล แต่ได้ยินมาว่าจริงๆแล้วไม่ต้องรับรองหากออกเป็นภาษาอังกฤษจากหน่วยงานราชการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นให้ยึดตามไกด์ไลน์ของมหาวิทยาลัยที่จะสมัครเพื่อความถูกต้องนะคะ


3. Recommendation letter ให้รีบติดต่ออาจารย์และขอล่วงหน้าค่ะเพราะอาจกินเวลานาน (แต่เราโชคดีที่อาจารย์ทำให้อย่างไว ไม่ต้องรอนาน)

4.   
ทรานสคริปต์ ใบจบ ใครที่กำลังเรียนปีสุดท้ายให้ขอทรานสคริปต์ล่าสุดและรับรองว่ากำลังจะเรียนจบส่งแทนไปก่อนได้ค่ะ ถ้าหากว่ามหาวิทยาลัยไหนที่ออกเอกสารเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้วก็ส่งไปได้เลยค่ะ ไม่ได้ต้องรับรองอีก(แต่ว่าแล้วแต่มหาวิทยาลัยนะคะ ถ้าบางที่กำหนดว่าแม้ว่าออกเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องไปรับรองก็ให้ยึดตามของมหาวิทยาลัยที่เราจะสมัครนะคะ)

5. 
คะแนนสอบต่างๆ จะยื่นหรือไม่ยื่นก็ได้ สามารถยื่นได้ทั้งคะแนนภาษาอังกฤษและคะแนนภาษาเกาหลี(Topik) ทั้งนี้ให้เช็คกับทางมหาวิทยาลัยอีกทีนะคะว่าเค้าต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เช่นต้องมีผลสอบTopik ไม่รับคะแนนTOEIC รับแต่IELTS เป็นต้น สำหรับเรา เรายื่นคะแนน TOEIC (855 คะแนน) ไปอย่างเดียวค่ะ เราไม่มีพื้นฐานภาษาเกาหลีมาก่อนแต่เนื่องจากป.โทเรียนเป็นอินเตอร์จึงไม่ได้กังวลตรงนี้มากค่ะ

6. 
ใบประกาศต่างๆ มีใส่ก็ดีค่ะ แต่เอาพอประมาณ ไม่ต้องเวิ่นเว้อนะคะ

7. 
Personal statement & Statement of Purpose (SOP) เป็นพาร์ทที่ทุกคนมักจะปวดหัวมากๆ เราก็เช่นกันค่ะ ต้องใช้เวลากับมันในการเขียนซักหน่อย เขียนเสร็จแล้วก็ควรให้อาจารย์ช่วยตรวจessayของเราอีกทีค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญในการพรีเซนต์ตัวเราต่อกรรมการเพื่อแสดงศักยภาพของเราให้เค้าเห็นค่ะ สำหรับทริคในการเขียนessay เราขอแนะนำเทคนิคที่เราใช้ดังนี้ค่ะ

 
Personal statement      ใช้รูปแบบessay structure ได้แก่ introduction> body> conclusion เพื่อให้อ่านง่าย เข้าใจมากยิ่งขึ้นค่ะ

-  เขียนเรียงตามหัวข้อที่เขาถามตามลำดับเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและง่ายต่อการอ่าน

-   เน้นfacts ไม่เล่าเรื่องยาวที่ไม่จำเป็น เขียนเฉพาะในสิ่งที่กรรมการจำเป็นต้องรู้ ยิ่งเรื่องดราม่าเคล้าน้ำตา ปัญหาชีวิตล้านแปด เลี่ยงได้เลี่ยงค่ะ มันอาจจะทำให้เค้ามองว่าเราจะไปไม่รอดเมื่อไปเรียนที่เกาหลี เค้าอยากรู้ศักยภาพของเรามากกว่าเรื่องปัญหาชีวิตค่ะ

-  โยงทุกสิ่งทุกอย่างไปยังเกาหลี ไม่ว่าจะเคยเรียนภาษา เคยไปแลกเปลี่ยน เคยเที่ยว ชอบวัฒนธรรม มีเพื่อนเกาหลี อะไรก็ได้ค่ะ โยงให้หมด ประสบการณ์ที่ผ่านมาถ้าสามารถโยงได้โยงให้หมดค่ะ

-  เขียนโยง อดีต ปัจจุบัน อนาคต สิ่งที่เคยประสบหรือเคยทำทำให้เราเป็นตัวเราในปัจจุบันได้อย่างไร และจะมีประโยชน์ในอนาคตได้อย่างไรเมื่อได้ทุนเกาหลี อย่างเราแทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเกาหลีเลย นอกจากชอบดูซีรีย์ ชอบกินอาหารเกาหลี และเคยไปเที่ยวมา แต่เราก็หามาโยงจนได้ค่ะ เช่น เราบอกว่าการที่เราเรียนหลักสูตรอินเตอร์ทำให้เราเจอกับต่างชาติหลากหลายและทำให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับต่างชาติได้ ดังนั้นเมื่อมาเรียนที่นี่ก็จะสามารถปรับตัวได้ไวเพราะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่มีต่างชาติเยอะๆ เรามีเพื่อนคนเกาหลีที่มหาวิทยาลัยคนนึงก็ได้คุยกันเรื่องวัฒนธรรม น่าสนใจมากจึงอยากมาศึกษา เรียนรู้วัฒนธรรมมากขึ้น และถึงจะไม่ได้เรียนสายbusinessมาโดยตรงแต่หลักสูตรที่เรียนก็มีแทรกวิชาbusiness จึงมีพื้นฐาน ถ้าได้มาเรียนก็จะสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก

-  อย่าเผยความเป็นติ่งออกมา เราไปเรียนค่ะไม่ได้ไปติ่ง แม้กรรมการเค้าจะรู้แหละว่าเหตุผลลึกๆที่เราเลือกเกาหลีเพราะอะไร55555 พยายามเลี่ยงเอาไว้ค่ะ เขียนอย่างอื่นแทนที่ทำให้เราสนใจมาเรียนที่เกาหลีเช่น วัฒนธรรม บ้านเมือง การศึกษา เทคโนโลยีค่ะ

- ไม่เขียนวกไปวนมา อะไรที่เคยเขียนแล้วไม่ต้องเขียนซ้ำ

-   แสดงให้เค้าเห็นถึงศักยภาพขอเราว่าเราเหมาะสมที่จะได้ทุน

- แสดงให้เห็นว่าเราจะสามารถทำประโยชน์อะไรเพื่อเกาหลีและประเทศไทยได้บ้าง
 

Statement of Purpose (SOP) มันคือstudy planของเราค่ะ ยังคงรูปแบบessay structure เหมือนเดิมค่ะ

-  ตอบให้ตรงคำถามเรียงลำดับตามที่เค้าถามเช่นเดียวกับ Personal Statement

 -  เขียนแผนการเรียน การใช้ชีวิตรวมถึงแผนในอนาคตหลังเรียนจบให้ดี เขียนเป็นลำดับและไม่เขียนในสิ่งที่ดูเพ้อฝันเกินไปหรือเป็นไปไม่ได้

-  หลีกเลี่ยงประเด็นที่อ่อนไหว การเมืองและอะไรต่างๆนาๆ สังเกตว่าข้อนี้ ไม่ว่าจะกระทู้แนะนำทุนของใครๆ ก็มักจะแนะนำข้อนี้ เช่นกันค่ะเราก็แนะนำแบบนี้เช่นกัน อย่าเขียนลงไปนะคะ

               เช็คเอกสารทุกอย่างอีกรอบ หรือหลายๆรอบก็ได้เพื่อความมั่นใจ หลังจากนั้นจึงนำไปส่ง เราเลือกส่งกับไปรษณีย์ไทยค่ะ เนื่องจากราคาค่อนข้างถูกกว่าขนส่งเจ้าอื่น แต่ถึงถูกกว่าก็ไม่ได้แปลว่าแย่นะคะ เราเช็คพัสดุได้ตลอดจนกระทั่งส่งถึงมหาวิทยาลัยอย่างปลอดภัย แถมใช้เวลาไม่นานด้วยค่ะ หรือถ้าใครจะส่งพวกDHLก็ได้เช่นกันค่ะ

              รอ บางมหาลัยจะติดต่อมาเพื่อสัมภาษณ์ บางมหาลัยจะพิจารณาจากเอกสารอย่างเดียว สำหรับเรา ฮันยางไม่สัมภาษณ์ค่ะ พิจารณาจากเอกสารอย่างเดียว ถ้าใครมีสัมภาษณ์แนะนำให้เตรียมตัวให้พร้อม เช็คอีเมลบ่อยๆกันพลาดค่ะ

             ถ้าเราผ่านรอบแรก มหาวิทยาลัยจะส่งอีเมลมาบอก บางมหาวิทยาลัยก็ไม่บอก ให้รอลุ้นรอบสองทีเดียว ถ้าใครไม่ผ่านรอบแรกก็จบ แยกย้าย ถ้าใครผ่านก็รอลุ้นต่อไปค่ะ คนที่ผ่านรอบแรก ทางมหาวิทยาลัยจะส่งเอกสารของเราไปให้niiedคัดเลือกอีกที ซึ่งตอนนี้ได้แต่สวดมนต์แล้วค่ะว่าโค้วต้าที่มีนั้น เราจะได้ไปหรือเปล่า

             รอบสองจะเป็นรอบที่ niied คัดเลือกค่ะ อย่างที่บอก เราไม่รู้ว่าคนที่ผ่านมีกี่คน เราจะมีโอกาสเท่าไหร่ ทำอะไรไม่ได้นอกจากลุ้นค่ะ ถ้าใครผ่านรอบสองก็แปลว่าแทบจะผ่าน100%แล้ว เหลือแค่ไปตรวจสุขภาพ ถ้าไม่ได้อยู่ๆเกิดเป็นโรคภัยร้ายแรง ยังไงก็ผ่านค่ะ ในรอบนี้ถ้าใครผ่านให้ไปตรวจสุขภาพตามรพ.ที่สถานทูตเกาหลีกำหนดแล้วก็ส่งผลตรวจให้ NIIED ค่ะ

              รอบที่สาม เป็นรอบfinal roundอย่างเป็นทางการ ซึ่งในรอบนี้เราจะรู้ด้วยว่าเราจะถูกส่งไปเรียนภาษาที่ไหน แต่ถ้าใครมีผลสอบTopikระดับ5 ขึ้นไป จะเข้าไปเรียนป.โทได้เลยโดยไม่ต้องเรียนภาษาก่อน ซึ่งที่เรียนภาษาจะสุ่มเอานะคะว่าเราจะได้ไปเรียนที่ไหน ที่เรียนภาษาจะไม่ใช่ที่เดียวกับที่เราเรียนป.โทนะคะ อย่างเราเรียนที่โซล เราก็ถูกส่งมาเรียนที่Sunmoon University ซึ่งอยู่ในเมืองอาซานค่า

หลังจากนี้ก็ได้เวลาไปทำวีซ่า เตรียมแพ็คกระเป๋าบินไปเกาหลีได้เลยค่า แต่เนื่องจากปีนี้เป็นปีแห่งCOVID-19 ไทม์ไลน์ปีนี้จึงดีเลย์ไปซักหน่อย เราก็รอแบบลงแดงมากเลยค่ะกว่าจะประกาศผล แต่จนแล้วจนเล่าก็ผ่านพ้นมาได้จนได้มาอยู่ที่เกาหลีเรียบร้อยค่ะ ตอนนี้กำลังเรียนภาษาเกาหลีอยู่ เดือนสิงหาคม2021จะย้ายไปที่โซลเพื่อเรียนป.โทค่ะ ไว้คราวหน้าถ้ามีเวลาว่างจะมารีวิวการใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลีนะคะ

สำหรับกระทู้นี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือตกหล่นอะไรไปก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ ถ้าการจัดหน้างงๆไปบ้างก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ ไม่ได้ตั้งกระทู้มานานมากแล้วเลยไม่ค่อยเชี่ยวชาญเท่าไหร่ ถ้าหาก
ใครที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือมีคำถามอยากถามเพิ่มเติมสามารถ DMมาถามได้ค่ะ IG: tonkaoo_tk หรืออีเมล tonkaoo@hotmail.com นะคะ แต่ขอให้อ่านอย่างละเอียดก่อนและถ้าหากสงสัยอะไรลองหาในกระทู้อื่นก็ได้ค่ะ เพราะคำถามส่วนใหญ่มักจะมีบอกไว้แล้วค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น