Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

พระนางสุพรรณกัลยา.......ไม่ได้ถูกปลงพระชนม์ด้วยพระแสงดาบ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ไม่ได้เป็นการลบหลู่นะ แค่อยากรู้อะ
+
เมือวานอ่านหนังสือที่คาร์ฟูร์อะ สาขาสำโรงอะ ชื่อว่า "พุกามประเทศ" หน้าพระราชวังอะ มันมีตอนนึงกล่าวถึงว่า นางสุพรรณกัลยาถูกพระเจ้านองยานหรือพระเจ้านันทะบุเรงฆ่าด้วยพระแสงดาบ

ถ้านับศักราชจริงๆ เขาว่า

พระนางสุพรรณกัลยา เป็นมเหสีของบุเรงนองนะ รักมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ......ด้วย(ก็ยังดีอะ) อ่านแล้วลืมตรงอายุแหละ ไม่แน่ใจว่าเขียนว่า 17 พรรษา ทรงเป็นมเหสีของบุเรงนอง หรืออายุ 17 พรรษาทรงมีพระครรภ์

แล้วเขายังว่าอีกว่า ตอนที่พระนเรศวรทรงกับกับพม่า(ชื่ออะไรก็ไม่รู้) เขาว่าพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนยิงนะ ประวัติศาสตร์ไทยก็ไม่ได้กล่าวว่าท่านทรงใช้ปืน

แล้วตอนที่ทรงรบชนะอะ พระนางก็อายุประมาณ 40 พรรษา เขาก็ว่าทรงพระครรภ์อยู่ ยังมีอีกว่า ถูกปลงพระชนม์ตอนให้พระกษีรธาราแก่ลูกของนางอยู่(ให้นม) ถ้าให้จริง ลูกของนางน่าจะอายุประมาณเท่าไรไม่รู้อะ ไม่ถึง20อะ ยกเว้นลูกคนนั้นไม่ใช่ลูกของพระสุพรรณกัลยากับบุเรงนอง แต่เกิดกับนันทะบุเรง ถ้าเกิดกับพระเจ้านันทะบุเรงจริงอายุต้องราวๆ 8-9 พรรษา ซึ่งมันขัดกับประวัติศาสตร์ไทยกันอยู่ แล้วยังมีอีกว่า พระเจ้านันทะบุเรงไม่ได้ฆ่าพระนางฯ แต่ไปหลบอยู่ที่ตองอู หรือเมืองแปร(เราก็จำไม่ได้เหมือนกัน) แล้วสิ้นพระชนม์ที่นั่นด้วยโรคชรา
ปล.เราก็อยากให้เป็นแบบของพม่าเขานะ ที่ว่าพระนางสุพรรณกัลยาไม่ได้ถูกพระเจ้านันทะบุเรงฆ่าด้วยดาบ

ใครที่เคยอ่านมาแล้วหรือชำนาญประวัติศาสตร์ไทยก็ช่วยมาตอบด้วย

แสดงความคิดเห็น

>

34 ความคิดเห็น

เหงามากๆ 27 มิ.ย. 48 เวลา 20:03 น. 1

เปิด'ตำราเรียน'พม่า จวกไทย'คลั่งชาติ'

อยากให้เข้าไปอ่านกัน ตามที่มติชนนำมาลง
http://www.matichon.co.th/matichon/
....".'มติชน'เปิดตำราประวัติศาสตร์พม่าละเอียดยิบ เล่าปมทำสงครามรบพุ่งกันมาตั้งแต่สมัยกำเนิดอาณาจักรอยุธยา โต้กษัตริย์พม่าไม่ได้ฆ่า'พระสุพรรณกัลยา' ระบุพระมหาอุปราชสิ้นพระชนม์เพราะถูกยิง ไม่ใช่ทำยุทธหัตถี จวก'จอมพล ป.'ปลุกกระแสชาตินิยม ให้คนไทยเกลียดชังพม่า"

ขอลงรายละเอียดบางส่วนค่ะ

'มติชน'เปิดตำราพม่าโจมตีไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีกระแสปรากฏข่าวว่า ทางการพม่าได้ทำตำราเรียนใหม่ ตีพิมพ์ข้อความที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับประเทศไทยและประชาชนไทยในหลายประเด็น "มติชน" ได้ติดตามค้นหาตำราดังกล่าวจนพบ และมีผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษอีกทอดหนึ่ง จึงแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย

ตำราดังกล่าวมี 5 บท กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างพม่ากับไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน มีเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างมาก โดยในบทที่ 1 กล่าวถึงการกำเนิดของอาณาจักรอยุธยา ซึ่งไทยตั้งชื่อนี้มีความหมายว่า เมืองที่ไม่สามารถโจมตีได้ แต่พม่าเรียกว่า "ยุธยา"หรือ "โยธยา" เพื่อให้มีความหมายตรงกันข้าม

"คนโยธยา รักการใช้ชีวิตสะดวกสบาย ไม่ใส่ใจในการทุ่มเททำงานหนักมากนัก และขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง พวกเขาปฏิบัติต่อ นักล่าอาณานิคมตะวันตก อย่างผสมกลมกลืนแทนที่จะต่อสู้ขับไล่คนพวกนี้" ตำราระบุ และ ยังโจมตีพระมหากษัตริย์ไทยต่อนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษต่อชาวต่างชาติและมหาอำนาจ รวมทั้งโจมตีด้วยว่านโยบายของไทยเป็นนโยบายลู่ตามลม
......................ฯลฯ
+
ชูกษัตริย์หม่อง-อ้างเหตุเผากรุงศรีฯ

ขณะเดียวกันตำราพม่า ยังเชิดชูวีรกรรมของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ของพม่าว่า เป็นกษัตริย์ที่เปี่ยมพระราชอำนาจ ได้ขับไล่โยธยาที่มารุกรานเมืองทวายในดินแดนของพม่า และบุกโจมตีอาณาจักรอยุธยา มีการทำศึกยืดเยื้อ โดยฝ่ายไทยมีกองทัพโปรตุเกสหนุน สุดท้ายพม่าจับตัวราชวงศ์ไทยไปเป็นตัวประกัน จนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิต้องยอมมอบภาษีอากรในอาณาเขตตะนาวศรี,ช้างศึก 30 เชือก และ เงินหนัก 300 วิเศษ (มาตราชั่งของพม่า) เป็นเครื่องตอบแทนประจำทุกปีแลกกับตัวประกัน และจากนั้นมา "โยธยา" ก็เป็นอาณาจักรภายใต้อำนาจแห่งพม่าซึ่งต้องถวายเครื่องราชบรรณาการเป็นประจำทุกปี จนกระทั่งมาถึงสมัยพระเจ้าบุเรงนองก็สามารถยึดโยธยาเป็นเมืองขึ้น

ในบทต่อๆ มา ตำราพม่าก็กล่าวถึงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ที่ดำเนินไปภายใต้ภาวะสงครามที่มีการรบพุ่งต่อกัน แต่ตำราระบุว่าไม่ใช่เกิดจากการรุกรานของพม่า อย่างไรก็ตาม ตำราดังกล่าวได้ระบุถึงการเสียกรุงครั้งที่ 2 ของไทยว่า ตรงกับสมัยพระเจ้ามังระ กองทัพพม่าล้อมพระนครไว้นาน 14 เดือน ในที่สุดทหารพม่าขุดอุโมงค์ลอดเข้าไปเพื่อสุมไฟเผาป้อมค่ายของอยุธยา โครงไม้ของป้อมค่ายถูกเผาจนกำแพงป้อมค่ายทลายลง มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่ทหารพม่าบุกเข้าโจมตีอยุธยา ซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นเมื่อปี 1767

"ระหว่างการโจมตีอยุธยา กองทัพจีนยกกำลังเข้าสู่พม่า พม่าไม่ต้องการทำศึก 2 ด้านในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงทำลายพระนครอยุธยาเสียจนหมดสิ้น" ตำราระบุ
+
โต้'นันทะบุเรง'ไม่ได้ฆ่าสุพรรณฯ

ตำราระบุอีกตอนหนึ่งว่า สมัยที่พระมหาธรรมราชาเป็นกษัตริย์โยธยา มีพระราชธิดานาม สุพรรณกัลยา ฝ่ายโยธยา กล่าวหาว่า พระสุพรรณกัลยา พระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ถูกถวายตัวกับพระเจ้าบุเรงนอง ถูกปลงพระชนม์โดยพระเจ้านันทะ (นันทะบุเรง) โดยการใช้ดาบฟัน ในความเป็นจริง พระเจ้านันทะ ไม่ได้ปลงพระชนม์พระสุพรรณกัลยา แต่เป็นเรื่องที่โยธยาแต่งขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า พม่าเป็นคนใจอำมหิต โหดร้ายและชั่วร้าย

นอกจากนี้กรณีศึกยุทธหัตถี ระหว่างพระมหาอุปราชากับสมเด็จพระนเรศวรนั้น แท้จริงแล้ว ระหว่างการศึก พระมหาอุปราช ต้องพระแสงปืนจากพลปืนฝ่ายโยธยาสิ้นพระชนม์ชีพ แต่โยธยา ยึดถือพระนเรศวร เป็นวีรบุรุษ มีการประพันธ์แสดงออกในนวนิยาย เรื่องเล่า ภาพยนตร์ และภาพจิตกรรมต่างๆ และยังยึดถือให้วันที่ 25 มกราคมของทุกปี เป็นวันแห่งกองทัพโยธยา เพื่อเป็นการยกย่องศึกดังกล่าว
+
อ่านต่อได้ที่ http://www.vcharkarn.com/snippets/vcafe/show_message.php?Cid=18&Pid=5142&brange=1_10

1
ณธิญาณ์ 19 ต.ค. 59 เวลา 21:27 น. 1-1

ฉันก็อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงมันน่าเศร้ามาก
หากคนเราระลึกชาคิได้ก็ดี ฉันก็อยากตามเช็คบัญชีคนที่มันทำกับ..ท่านพระพี่นาง ในชาตินี้ และตัวนางสุนันทาด้วย ที่มันกลับชาคิมาเกิดพร้อมกันเศร้าจัง

0
เหงามากๆ 27 มิ.ย. 48 เวลา 20:10 น. 2

ตำนานพระสุพรรณกัลยา


หลังสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก เมื่อปี พุทธศักราช 2112 พระนาง และพระอนุชา ทั้งสองพระองค์ ไดัถูก พระเจ้าบุเรงนอง กวาดต้อนไปเป็นเชลย ยังเมืองหงสาวดี พร้อมด้วยพระมหินทราธิราชเจ้าเหนือหัว แต่พระมหินทราธิราช เสด็จสวรรคตที่เมือง อังวะเสียก่อน พม่าจึงแต่งตั้งให้พระมหาธรรมราชา ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่โอรส และธิดายัง เป็นเชลยอยู่ เพื่อเป็นองค์ประกัน ป้องกันการคิดทรยศของฝ่ายไทย ทั้งสามพี่น้องอยู่ที่หงสาวดีถึง 6 ปี จึงได้กลับมา กรุงศรีอยุธยาครั้งหนึ่ง เมื่อพระนาง มีพระชนมายุได้ 19 พรรษา ด้วยเหตุที่ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เกิดความพึงใจ ในพระสิริโฉม ของพระสุพรรณกัลยา จึงมาสู่ขอจากพระมหาธรรมราชา และนำกลับไปอภิเษก เป็นพระชายา ณ เมืองหงสาวดี ต่อมาพระนางได้ออกอุบาย ทูลขอให้พระอนุชาทั้งสองพระองค์กลับสู่กรุงศรีอยุธยา โดยอ้างว่า เพื่อไปช่วยพระบิดารับศึก พระยาละแวกแห่งเขมร พระสุพรรณกัลยา มีสถาพเหมือนถูกทอดทิ้ง ให้ผจญกรรมเพียงลำพัง กับไพร่พลเล็กน้อย ในท่ามกลาง หมู่อริราชศัตรู ทั้งสิ้น แต่กระนั้นพรtเจ้าหงสวดี บุเรงนอง ก็ทรงมีพระเมตตา รักใคร่สิเนหา แก่พระสุพรรณกัลยาอยู่ไม่น้อย และด้วยบารมีแห่งพระสุพรรณกัลยา ได้ปกแผ่คุ้มครองแก่คนไทย ที่ตกเป็นเชลยอยู่ในเมืองพม่า มิให้ได้รับความลำบาก

ต่อมา มังไชยสิงหราช(นันทบุเรง) โอรสของพระเจ้า บุเรงนอง เป็นผู้มักมากในกามคุณ และต้องการเป็นใหญ่ จึงร่วมมือ กับชายาชาวไทยใหญ่ นามว่า "สุวนันทา" วางแผนชิงราชสมบัติ และแย่งอำนาจ ทำให้พระเจ้าบุเรงนองตรอม พระทัย และสวรรคตอย่างกระทันหัน เมื่อพระเจ้านันทบุเรงขึ้นครองราชย์ เกิดความวุ่นวาย เนื่องด้วยการไม่ยอมรับ ของ พระญาติวงศ์หลายฝ่าย ทำให้พระจ้านันทบุเรง เกิดความหวาดระแวง กอปรด้วยรู้ว่า มีการรวบรวมไพร่พล เตรียมการ กู้ชาติ ของพระนเรศวร และพระเอกาทศรถ ทางเมืองไทย จึงสั่งจับจองจำพระมารดาเลี้ยง (พระสุพรรณกัลยา) และ พระธิดา องค์แรกของพระนาง ให้อดอาหาร ลงโทษทัณฑ์ ทุบตี โบย อย่างทารุณ ในขณะที่พระนาง ทรงครรภ์แปดเดือน จนพระธิดา สิ้นพระชนม์ จากนั้น ก็ทำทารุณกรรมต่อพระนางอีก จนอ่อนเปลี้ยสิ้นเรี่ยวแรง แล้วใช้ดาบฟัน ฆ่าพระนาง พร้อมด้วย ทารก ในครรภ์ แม้ร่างกายของพระนางสิ้นสูญแล้ว ก็ยังไม่เป็นที่สาแก่ใจ ของพระเจ้านันทบุเรง แม้ดวงวิญญาณของพระองค์ ก็ถูก กระทำพิธีทางไสยศาสตร์ ตราสังรัดตรึง ไม่ให้วิญญาณกลับสู่เมืองไทย ให้วนเวียนอยู่ อย่างทุกข์ทรมานนานนับร้อยปี
ในปีพุทธศักราช 2490 หลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จ.พิจิตร ได้รับกิจนิมนต์ จากพระมหาปีตะโก ภิกขุ ให้ไปช่วยงานด้านประติมากรรม ซ่อมแซมรูปปลายฝาผนังที่เมืองพะโค(หงสาวดี) ประเทศพม่า ในขณะนั้น ประเทศพม่ามีเหตุการณ์ทางการเมืองภายใน เกี่ยวกับสมณศักดิ์พระภิกษุ หลวงปู่โง่น พลอยต้องอธิกรณ์โทษ การเมืองไปด้วย กลับเมืองไทยไม่ได้ ระหว่างถูกกักบริเวณ ท่านใช้เวลาในการฝึกจิต กำหนดตัวแฝง และพลังแฝงในกายได้ สามารถติดต่อกับโลกวิญญาณ และได้เจ้าถึงกระแสพระวิญญาณที่สื่อสารต่อกัน กล่าวว่า ท่านเคยเป็นนายทหารช่าง สร้างบ้าน เมือง ทั้งยังเคยถูกพม่ากวาดต้อนไป พร้อมกับพระนางในครั้งนั้น เคยเป็นข้ารับใช้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี ได้ ขอร้องให้ หลวงปู่โง่น ช่วยแก้พันธการทางไสยศาสตร์ เพื่อดวงวิญญาณของพระองค์ จะได้กลับไปเมืองไทย และให้นำ ภาพลักษณ์ ของพระองค์ อันเกิดจากกระแสพระวิญญาณ เผยแพร่ให้แก่ชาวไทย ผู้ลืมพระองค์ท่านไปแล้ว พระองค์จะกลับมา ทำคุณประโยชน์ ช่วยเหลือประเทศชาติ ทั้งยังปณิธาน จะกลับมาอุบัติเป็น เจ้าหญิงในปัจฉิมสมัยของวงศ์กษัตริย์ไทย จะสร้าง บารมี ประกอบคุณความดี เพื่อให้อยู่ในหัวใจ ของคนไทยทั้งประเทศ ด้วยเหตุเพราะคนไทย ลืมกู้ชาติของพระองค์ ที่ยอมสละ ความสุขในชีวิต เพื่อให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ มีโอกาสกู้ชาติบ้านเมืองได้สำเร็จ

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หวงปู่โง่น โสรโย และท่านพลโทถนอม วัชรพุทธ แม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 ได้ร่วมมือกัน สร้างพระอนุสาวรีย์ ของพระสุพรรณกัลยา มีขนาดเท่าของจริง และได้อันเชิญ มาประดิษฐานไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำน่าน ในบริเวณ "ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ใกล้กับพระบรมราชนุสาวรีย์ พระอนุชาทั้งสองพระองค์ โดยได้นำส่วนของสรีระ เช่น กระดูก ฟัน และเครื่องประดับของมีค่าบางอย่าง ที่ขุดค้นได้จกา แหล่งฝังพระศพของพระนาง นำมาบรรจุในพระอุระ ของพระรูปด้วย เพื่อให้ชาวไทยทุกคน ได้มีโอกาสเคารพสักการะ วีรสตรีผู้เสียสละยิ่งใหญ่กว่าผู้ใด เพียงให้สยามไทย ได้คงอยู่ชั่วฟ้าดิน


ปล.มันชัดเจนและละเอียดเกินกว่าที่จะเป็นประวัติศาสตร์

0
เหงามากๆ 27 มิ.ย. 48 เวลา 20:34 น. 6

แก้คำ

ไม่ได้เป็นการลบหลู่นะ แค่อยากรู้อะ
+
เมือวานอ่านหนังสือที่คาร์ฟูร์อะ สาขาสำโรงอะ ชื่อว่า "พุกามประเทศ" หน้าเรื่องพระราชวังอะ มันมีตอนนึงกล่าวถึงว่า นางสุพรรณกัลยาไม่ได้ถูกพระเจ้านองยานหรือพระเจ้านันทะบุเรงฆ่าด้วยพระแสงดาบ

0
+*~*+Do_rA_a_mEe+*~*+ 27 มิ.ย. 48 เวลา 21:07 น. 7

ก็สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ (( ชอบ )) แต่อ่านแล้วมันงง ๆ อ่ะ
*
*
*
ป.ล. ส่วนมากจะชอบประวัติศาสตร์ไทยอ่า อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเป็นนิทานเยย

0
แOริโซNa>>> 29 มิ.ย. 48 เวลา 19:06 น. 10

ที่รู้ๆก็คือ
ประมาณว่า พระนางมีพี่น้องสามคน
ก็คือ องค์ดำ พระนเรศวร องค์ขาว(ใครไม่รู้ถ้าจำไม่ผิดน่าจะพระเอกาทศรถนะ ) ส่วนพระนางเป็นองค์โต ทั้งหมดเกิดมาตอนที่ถูกเสียกรุงไปครั้งแรกอ่า
แล้วพระนเรศวรก็ถูกจับไปเป็นเชลยอยู่ที่พม่า
ต่อมาตัวนางสุพรรณกัลยาสงสารน้องก็เลยอ้อนวอนให้เอาตัวเองไปเป็นเชลยแทน..ทาวพระมหาอุปราชาก็ยอมอ่ะนะ เพราะอยากได้พระนางเป็นมเสี
...จากนั้นก็ปล่อยตัวพระนเรศวรมา
แต่โดยไม่คาดคิด...พระนเรศวรทราถูกปล่อยตัวกลับกรุงศรี...ต่อมาได้กลายเป็นกษัตริย์...และยกทัพมาตีพม่าแตกพ่ายในที่สุด
พระมหาอุปราชาทรงกริ้งและพิโรธมากจึงได้ฆ่าพระสุพรรณกัลยาสิ้นพระชนม์...ในขณะตั้งครรภ์ลูกของตน
ที่เคยได้ยินมาก็ประมาณนี้แหละ
ปล...เอามาจากลิลิตยวนพ่ายน่ะ

1
hkgr7657 17 ธ.ค. 59 เวลา 23:30 น. 10-1

องค์ดำกะพระนเรศวร คือคนเดียวกันค่ะ พระนามเต็มกับพระนามเล่น

0
>>o(>w<)~๑~St.BeLLe~๑~(>w<)o< 29 มิ.ย. 48 เวลา 19:37 น. 13

คือว่าเวลาเราเรียนประวัติศาสตร์เราต้องชั่งน้ามหนักทั้ง2 ข้าง
คงมั่ยมีประเทศไหนที่จะกล่าวร้าใส่ตัวเองหรอก
เราต้องเปนกลาง
แต่ปัจจุบันยังเถียงเลยอันไหนของจิงเอาเหอะ ดีชั่วอยุ่แก่จัยเนอะ
มันก้ผ่านมาเเล้วมาทำวันนี้หั้ยดีจะดีกว่า

0
รัตนาดิศร 29 มิ.ย. 48 เวลา 19:45 น. 14

"ประวัติศาสตร์ เขียนขึ้นโดยผู้ชนะ" นี่คือสิ่งที่ต้องรู้ ก่อนที่จะลงมือศึกษาประวัติศาสตร์

ไม่มีประวัติศาสตร์ใดที่ถูกต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หากผู้ศึกษาไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง !!!

ประวัติศาสตร์ระหว่างชาติมีข้อพิพาษกันมานานหลายร้อยปี เพราะการบันทึกของแต่ละชาติพยายามจะยกตนให้เป็นผู้ชนะอยู่เสมอ เช่นไทยกับพม่า หากศึกษารายละเอียดให้ดีแล้วจะพบว่า ข้อมูลของทั้งสองฝ่ายจะแตกต่างกันในรายละเอียดเสมอ เวลาอ่านของใครก็ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ถูกต้อง ไม่ผิดสักที

เรื่องนี้ไม่ขอฟันธงว่าใครถูกใครผิด เพราะไม่ได้เห็นด้วยตา !!!

ส่วนเรื่องกระแสคลั่งชาติ มีมาในช่วงของจอมพล แปลก ขีตะสังขะ (พิบูลย์สงคราม) เพราะช่วงนั้นไทยต้องเผชิญสงคราม การสร้างกระแสคลั่งชาติเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่จะช่วยผนึกกำลังของคนไทยเข้าเป็นปึกแผ่น ถึงกับลงทุนแก้ไขและครอบงำการศึกษาประวัติศาสตร์มาตลอดช่วงที่ผ่านมา แนวคิดคลั่งชาตินี้ มาจากผู้อยู่เบื้องหลังคือ หลวงวิจิตรวาทการ ที่วางนโยบายหลังม่าน ขับคนชาติพันธ์อื่นออกจากประเทศ ด้วยวิธีการสำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม เป็น ไทย

ทั้งๆที่ ตัวหลวงวิจิตรวาทการ ก็เป็นคนเชื้อชาติจีน (พ่อเป็นคนจีนแท้ๆ)

เรื่องประวัติศาสตร์ก็เหมือนการเล่นเกม วุ่นวายอย่างนี้แหละ

0
เหงามากๆ 29 มิ.ย. 48 เวลา 19:48 น. 15

เราว่าตำราพม่า น่าจะถูกกว่านะ

เขาว่าบุเรงนองรักนางจริงๆอะ เป็นนักรักเลยแหละ

เป็นศัตรูที่น่ารักเลย

เขาจะตีเราแตก แต่เขารบแบบกษัตริย์ พอรบชนะ ก็สั่งห้ามทำลายศาสนาสถาน หรือเข่นฆ่าชาวบ้าน อย่างมากแค่ เอาลูกสาวของเมืองนั้นๆมาเพื่อมิให้แข็งเมือง

เขาว่าพระเจ้าบุเรงนองทรงรักนางมาก และพระนางก็รักบุเรงนองด้วย จนมีโอรสอะ

นี่คือตำหนักน้ำผึ้ง เขาว่าเป็นที่บรรทมของบุเรงนองและพระสุพรรณกัลยานะ

0
//**ThE SaDonG**// 29 มิ.ย. 48 เวลา 19:52 น. 16

พงศาวดารแต่ละประเทศไม่ค่อยตรงกันหรอก

มีประเทศไหนที่เขียนพงศาวดารลบหลู่กษัตริย์ของตัวเองมั่ง?
ประวัติศาสตร์ไม่มีความชัดเจนหรอก
ถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ทำได้แค่เอาพงศาวดาร+ตำราทั้งไทยและพม่ามาอ่าน...แล้ววิเคาระห์เอาเอง ว่าอันไหนจริงไม่จริง

คนที่เขียนตำราส่วนใหญ่เค้าก็ใช้การวิเคราะห์....และความเชื่อส่วนบุคคลมาเขียนทั้งนั้นแหละ
แล้วจะเอาแน่เอานอนอะไรกับประวัติศาสตร์??

ใช้วิจารณญาณส่วนตัวในการเชื่อดีกว่านะ

เถียงกันไป....ไก่ก้อคงไม่เกิดก่อนไข่หรอก

0
เหงามากๆ 29 มิ.ย. 48 เวลา 19:52 น. 17

เขายังว่าอีกว่า

พระนางสุพรรณกัลยาไม่ได้ถูกนันทบุเรงประหาร

แต่ไปอยู่ที่เมืองตองอู หรือเมืองแปรไม่แน่ใจอะ แล้วสิ้นพระชนม์ด้วยโรคชรา
ข้างหลังภาพไม่ใช่ชเวดากองนะ

มันอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์ อดีตเมืองหลวงพม่า และเป็นราชธานีสุดท้ายของพม่า

0