เคยไหมครับ ที่เขียนนิยายมาแล้วก็ลบ
ตั้งกระทู้ใหม่
คุณต้องการจะลบกระทู้นี้หรือไม่ ?
9 ความคิดเห็น
เคยค่ะ แต่ไม่บ่อย
ล่าสุด...จากนิยายรักโรแมนติก+แฟนตาซีเล็กๆ ที่เขียนไป 2-3 บท เอามารื้อเรื่องใหม่ ปรับบททำออกมาแนวจีนเทพเซียนเขียนมาประมาณ 6 บท รู้สึกเบื่อๆ ก็หยุดพัก หันไปเขียนแนวศึกสงครามแทนได้มา 3 บท กำลังคิดว่าจะไปต่อ หรือกลับไปเขียนแนวเทพเซียน ออกแนวโลเล ซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ จิตใจต้องมั่นคงกว่านี้ถึงจะมีสมาธิเขียนแบบทำตัวเองให้จมลงไปในเรื่องนั้น
ขอบคุณมากครับ
ไม่เคยค่ะ อาจจะเพราะเราทำงานเป็น R&D (Research & Develope) เลยติดนิสัยว่า ของที่ตอนนี้เราอาจจะคิดว่ามันไม่ดี ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ในอนาคตที่เราได้สั่งสมประสบการณ์มากขึ้นเราอาจจะปรับปรุงให้มันดีขึ้นได้
หรือไม่ต้องรออนาคต เราคิดว่า เราสามารถทำของเสียให้เป็นของดีได้ค่ะ เราเคยเจอเซลล์นิสัยแย่ที่ชอบพูดว่า บริษัทเอาแต่ของห่วย ๆ หรือของหมดอายุมาให้ขายมันจะขายได้ไง
หน้าที่หนึ่งของเราคือการทำของเสียให้เป็นของดีค่ะ บางทีลูกค้าเอาของไปด้วยการเก็บการใช้งานทำให้สินค้าขึ้นรา เน่าบูด แล้วนางก็เนียนคืนมา หน้าที่เราคือทำให้มันใช้ได้ค่ะ อาจจะนำกลับไปขายเจ้าเดิมหรือขายเจ้าใหม่ ซึ่งฝ่ายผลิตชอบมีคำพูดที่เอาเรื่องจริงมาล้อเล่นประโยคหนึ่งคือ
ทีของดี ๆ ใหม่ ๆ ไม่ติดตลาด แต่อันที่เอาของเน่า ๆ มาทำใหม่ดันขายดี ถ้าสต็อกของเน่าหมด ควรผลิตมาทิ้งให้เน่าก่อนค่อยเอามาผลิตใช่ไหม (อันนี้ก็เกินไป!) ก็ผลิตสูตรปกติสิเธอว์
น่าจะเป็นกันหลายคนล่ะ อย่างน้อยก็เขียนโครงสร้างของเรื่องให้มั่นคงเถอะ ยึดพลอตเรื่องไว้เวลาแก้ก็ยังมีโครงเดิมให้ยึด ไม่แบบนั้นเวลาแก้มีไล่จากหัวไปหางไม่รู้จบแน่
ผมเคยลองเขียนเรื่องเล่าผีครับ แต่ผมไม่กลัวผี มันเลยทำให้อินยากมาก เขียนแล้วลบใหม่เป็นว่าเล่น เพราะอ่านจบแล้ว มันไม่น่ากลัวเลยว่ะ... ก็เลยเขียนใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จเลย เพราะมันกินเวลาเกินไป แต่สักวันก็จะเขียนจนตัวเองรู้สึกว่ากลัวให้ได้
ถ้าเขียนให้คนที่ไม่กลัวผีอย่างตัวเราเองกลัวได้ มันก็น่าจะเป็นเรื่องผีที่น่ากลัว
เก็บไว้ครับ ไม่ลบทิ้งเด็ดขาด เพราะนิยายไม่ใช่อาหารสด นิยายไม่บูดไม่เน่า หมักๆเก็บๆไว้ วันหนึ่งอาจได้ไวน์รสเลิศ
ทางนี้คือเป็น ปัจจุบันก็ยังเป็นค่ะ แต่ก็มีหลายครั้งที่ก้าวผ่านมันมาได้ คือแทนที่เราจะคิดว่ามันไม่ได้ ก็ปั่นต่อไปทั้งอย่างนั้น ฝืนไปก่อน ทีแรกหัวอาจจะตื้อๆ อึดอัด แต่พอเราเขียนไป มันจะทำใจ และคิดว่ามันมาไกลเกินกว่าจะถอย สุดท้าย อา... เราก็ตายกลางทางซะงั้น
เราไม่เคย เราตัดสินชัดเจนว่าเรื่องนี้คือแนวนี้ เรื่องหน้าคืออีกแนว ก็คือตัดสินตั้งแต่ทีแรกไปเลยว่าแก่นเรื่องจะเอาแนวไหน อยากเพิ่มแนวสงครามหรือรักโรแมนติกเข้ามาก็ไม่มีปัญหา แต่...สิ่งสำคัญอย่างไรก็คือการวางพล็อตให้มีโครงสักแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ โครงที่เราหมายถึงคือการกำหนดทิศทางของนิยายให้ชัดเจนในทุกๆ ด้าน อยากเพิ่มแนวนั้นแนวนี้เข้ามาก็ย่อมได้แต่ก็ต้องคิดถึงความสมเหตุสมผลด้วย ไตร่ตรองให้ชัดเจนว่าหากเพิ่มเข้ามาก็จะสามารถเขียนให้กลมกลืนกันในหลายๆ แนวได้เช่นกันถึงแม้ว่าอย่างไรในนิยายเรื่องนั้นๆ ก็จำเป็นต้องมีแนวหลักอยู่ดีค่ะ
เป็นบ่อยมากค่ะ บางครั้งแต่งไป 40 กว่าบทแล้ว พอมาลงเว็บก็ไล่อ่านหาคำผิด สุดท้าย เฮ้ย สำนวนแบบนี้มันไม่ได้ ดำเนินเรื่องแบบนี้มันเปิดเผยปมเกินไปแล้วนะ! บลาๆๆ และสุดท้ายก็มีคนมาบอกว่าการที่ย้ำคิดย้ำทำมันอาจจะทำให้ผลงานเราแย่กว่าเดิม เราเลยรีไรท์ใหม่แล้วให้คติกับตัวเองว่าต่อไปนี้ไม่ย้ำคิดย้ำทำละ อาจจะมีบ้างที่เปลี่ยนนู่นนี่นั่น แต่จะพยายามไม่เปลี่ยนเยอะนัก
ปกติ
เขียนห้าหน้าลบห้่าหน้า เขียนสิบหน้าลบสิบหน้า หนักสุดคือเขียนยี่สิบหน้าลบยี่สิบหน้า วนลูปอย่างนี้สักปีสองปี อย่างดีก็สักครึ่งปีเดี๋ยวก็ชิน
การเขียนนิยายเนี้ย มันไม่มีใครเหมือนกันหรอก บางคนใช้เวลาแค่วันเดียวต่อตอน บางคนใช้สองวันต่อตอน บางคนอาจจะไม่เขียนอะไรเป็นปีๆลองผิดลองถูกจนเขียนมันออกมาได้สักตอนหรือสักเรื่อง
โดยส่วนตัวเราก็เป็น เป็นหนักมากๆด้วยแต่สุดท้ายก็เขียนมันออกมาจนได้ จากความเห็นของเราว่ามันเป็นเรื่องของการบ่มเพาะตัวเอง หาสิ่งที่เรารู้สึกว่า "-นี่ก็ไม่เลวนะ", "เจ้านี้น่าจะต่อยอดได้" หรือไม่ก็ "ฉันชอบโครงเรื่องนี้ เรามาพัฒนาหรือมองมันในมุมกลับบ้างดีกว่า" อะไรทำนองนั้น
ไม่ก็หยุดเขียน ช่างหัวแม่ง ไม่เขียนก็ไม่เขียน อย่าไปฝืนมันเด็ดขาด ฝืนมันก็เหมือนกับคนจมน้ำพยายามไม่เกาะห่วงยาง
เคล็ดลับในการเขียนนิยายออกมาสักเรื่องคือ อ่านเยอะๆกับออกไปใช้ชีวิต พอตกผลึกมันแล้วก็เอามาเขียนก็ได้
มั้ง! คิดว่านะ
ขอบคุณมากครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?