Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

แชร์ประสบการณ์การสร้างนิยายอย่างไรไม่ให้ตัน

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
หมายเหตุ*** ตกผลึกจากการฟัง และ อ่านหนังสือรวมกับประสบการณ์ของเรานะคะ

มารู้จัก Big idea กันก่อน คำว่าบิกไอเดีย เนี่ยมันคืออะไร?
เคยได้ยินคนพูดว่าตาบอดคลำช้างไหมคะ?   Big idea  คือตัวช้าง ส่วน  นิยาย 1 เรื่อง คือคนตาบอดที่กำลังคลำช้าง 

Big idea  ก็เหมือนโลกเสมือนใบหนึ่ง ที่มีเหตุการณ์ดำเนินไปข้างหน้าเรื่อย   ๆ  ในกรณีโลกแฟนตาซีจะมีบทบาทมากกว่านิยายรัก  หรือบางครั้งเราจะเรียกว่า ไทม์ไลน์หลัก เช่นในหนังฟอร์มยักษ์ ทานอสต้องการล้างจักรวาลไปครึ่งหนึ่ง คือ Big idea และเขาจะมีจุด Climax ได้เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่สำคัญของ Big idea คือหลังไคลแม็กซ์แล้วยังสามารถดำเนินต่อไปได้ สร้างจิตนาการไปได้อย่างไม่สิ้นสุด 
หน้าที่ Big idea
- กำหนดกฎเกณฑ์ของโลกเสมือนจริง  เช่น เรากำหนดว่าโลกนี้จะใช้เวชมนต์ได้เฉพาะผู้ถูกเลือกเท่านั้น
- กำหนดทิศทางของเรื่องราว เหตุการณ์ ปฏิสัมพันธ์ และความเป็นเหตุและผลของเนื้อหาทั้งหมด เราสามารถเขียนให้พระเอกเรื่อง A ไปโผล่เรื่อง B เป็นพระรองได้ หรือตัวประกอบ และขยายจักรวาลไปได้อย่างไม่สิ้นสุด 
- ใช้สร้าง เหตุการณ์ร่วมกันของเรื่องราว (การรวมตัว การพบเจอ) นักแต่งลองเอาพระเอกนิยายแต่ละเรื่องมาชนกันในไทม์ไลน์หลักได้อย่างลงตัว เป็นพระเอกเท่ากัน มาร่วมมือกัน และไม่ลดคุณค่าของเขาลง
- จำไว้เสมอว่า Big idea เป็นเพียงเหตุการณ์ วัตถุ จึงไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง...ทำไมนะเหรอ จะอธิบายต่อเลยนะคะ

คนคลำช้าง หรือ นิยาย 1 เรื่อง คือคนที่แปลความ Big idea นั้น เราเรียกว่ามุมมองการมองโลกของคน (World view) ในนิยายเรื่องนั้น เราสามารถเขียนนิยายรักในประเทศที่กำลังถูกรุกราน ในbig idea เดียวกันเราก็สามารถเขียนนิยายรักในประเทศที่รุกรานคนอื่น  เพราะมุมมองของสองตัวละครที่ต้องเผชิญเหตุการณ์นั้นก็ไม่เหมือนกัน 
หรือเราเห็นดาวที่ตกลงมาจากฟ้า คนยุโรปถือว่าเป็นสิ่งดีให้อธิฐาน ขณะที่คนจีนอาจมองว่าเป็นลางร้ายของการที่เทพบนสวรรค์ตายตกลงมาเป็นต้น 

ความแตกต่างของนิยาย กับ Big idea เป็นดังนี้
1. นิยายคือเรื่องราวของคนหนึ่งคน / สองคน  ที่แสดงความคิด ความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
2. นิยายมีพลอตที่เปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ แต่ Big idea มีไทม์ไลน์ที่แน่นอนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นักแต่งจะสวมบทเป็นนอสตราดามุสทำนายแม่นเรื่องราวอนานคต ขณะที่นิยายจะพยายามร่วมหรือหนีจากเหตุการณ์นั้น
3. นิยายมีอารมณ์และความรู้สึก แต่ Big idea ไม่มี เพราะเราไม่สามารถสรุปความรู้สึกของคนทั้งโลกได้ มันคือธรรมชาติของมนุษย์ว่า เรายินดียินร้ายไม่เท่ากัน 
4. นิยายมี Climax เดียว ขณะที่ Big idea จะยังดำเนินไปต่อ...นี่ละคะมันเลยทำให้นิยายของเราไม่มีวันสิ้นสุด เราสามารถหยิบเอาตัวละครที่มีบทบาทน้อยมากในนิยายเรื่องหนึ่งมาดำเนินเรื่องคู่ขนานหรือพานิยายไปต่อจนถึง Big idea climax (ยิ่งน้อยยิ่งดีเพราะคนอ่านไม่รู้จัก มันจะเพิ่มความอยากรู้ว่า-นายคนนี้/แม่สาวคนนี้ มาเป็นตัวเอกได้อย่างไร)  คำถามที่อาจจะโพล่ในใจของคุณตอนนี้ "ทำไมนิยายต้องมี climax เดียว?" ตอบเลยว่า Climax คือสิ่งที่เราสัญญากับผู้อ่านว่าเมื่ออ่านจบเรื่องนี้ ผู้อ่านจะได้อะไร (คำพูดของครูวัลภ์ปั้นนักเขียนพลังบวก อธิบายทฤษฏีการแต่งเรื่อง) ถ้าเรามีหลาย Climax คนเราจะงงได้ค่ะ การเทข้อมูลและอารมณ์มากจนเกินไป สุดท้ายไม่เหลืออะไร 

ข้อผิดพลาดที่เราอาจจะทำคือการเอา Big idea ออกมาเขียนเป็นนิยายจะมีคำบรรยายมาก ตัวละครมาก เหตุการณ์วุ่นวายและยุ่งเยิงไปหมด หากไม่ปูทางให้ดีมีมึนได้ (ดูมาร์แวล เป็นตัวอย่างของการใช้ Big Idea ที่ดี)

ดังนั้น  หลังเรากำหนด Big idea เสร็จแลวลองหยิบเรื่องราวของใครบางคนมาเขียนพล๊อตแล้ววางว่าเรื่องราวของเขาจะสิ้นสุดที่ไหนตามหลักการแต่งนิยายพื้นฐาน แต่ครอบด้วย Big idea เพื่อทำให้เรามีเรื่องเขียนต่อไม่สิ้นสุดเลยค่ะ 
ชื่นชอบ หรือ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างไร คอมเม้นต์มาได้เลย และ ฝากติดตามนิยายด้วยนะคะ
https://web.facebook.com/RexPheonixTH
 
เทพนางฟ้าแอนนี่  

แสดงความคิดเห็น

>