Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[ชวนคุย] ในความคิดของทุกคน อะไรทำให้นิยายแฟนตาซีเป็นนิยาย "แฟนตาซียุคกลาง"

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

เมื่อวานเห็นกระทู้ประมาณนี้แต่เหมือนไม่ค่อยมีการดิสคัสในเรื่องของ "แฟนตาซียุคกลาง" กันเท่าไหร่ เพราะแลดูจะเน้นไปที่กระแส/นอกกระแสมากกว่า
เข้าเรื่องดีกว่า คือในปัจจุบันเราเห็นเซ็ตติ้งของความเป็น "ยุคกลาง" อยู่ในสื่อสมัยใหม่จำนวนมาก แถมหน้าตาเซ็ตติ้งก็ต่างกันไป   จากประเด็นเมื่อวานสมาชิกบอร์ดท่านหนึ่งได้ยกเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมา  ประมาณว่า "ถ้าดีไฟน์ว่าเป็นไฮแฟนตาซี   กังฟูแพนด้าก็เป็น"   พ้อยต์สำคัญที่เราได้คิดต่อมาก็คือถ้าจะใช้คำว่า "ไฮแฟนตาซี"   มาดีไฟน์ก็แลดูจะกว้างไปหน่อย เราเลยอยากสโคปคำถามลงมาที่คำว่า "แฟนตาซียุคกลาง" มากกว่า

เราเลยอยากถามเพื่อน  ๆ   ในบอร์ด   (ที่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นนักเขียน)   โดยเฉพาะนักเขียนแนวแฟนตาซี   ว่าอะไรทำให้นิยายแฟนตาซีถูกจัดเป็นแฟนตาซี "ยุคกลาง"? สภาพสังคม?  อิทธิพลของศาสนา? อัศวิน? มอนสเตอร์? ระบบการปกครอง? ทุกคนคิดว่ายังไงบ้างคะ

//นอกเรื่องแต่เรื่องของ "ยุคกลาง" ในสื่อแลดูจะเป็นเรื่องที่นักวิชาการสนใจกันมานานแล้ว สรุปสั้น ๆ จากวิกิพีเดีย >>> Medievalism - Wikipedia

แสดงความคิดเห็น

>

16 ความคิดเห็น

Your Comrade 27 ก.ย. 64 เวลา 21:37 น. 1

ส่วนตัวผมว่าน่าจะมาจากจักรวาล LOTR กับ GOT นะครับ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่มองโลกแฟนตาซีเป็นยุคกลาง

1
Waltharius 27 ก.ย. 64 เวลา 21:39 น. 1-1

ขอบคุณสำหรับคำตอบค่าา คุณเจ้าของเม้นต์มีความเห็นส่วนตัวมั้ยคะ หรือแบบพวกลักษณะสำคัญ เพราะทั้งสองเรื่องที่ยกมาก็แลดูจะต่างกันในระดับนึง

0
yurinohanakotoba 27 ก.ย. 64 เวลา 21:48 น. 2

เซ็ทติ้งเป็น Middle Ages สภาพสังคม การปกครอง เครื่องไม้เครื่องมือ บ้านเรื่อน เทคโนโลยี การใช้ชีวิต อาจจะเป็น Middle Ages ที่มีหลายเผ่าพันธุ์ Middle Ages ที่มีเวทมนตร์

2
Waltharius 27 ก.ย. 64 เวลา 21:51 น. 2-1

ขอบคุณสำหรับความเห็นค่าาา ถ้าจะสรุป ๆ คือประมาณว่าภาพรวมในแง่ของสิ่งที่เห็น/ "ภาพ"ที่ทำให้คนอ่่านเห็นตาม อะไรประมาณนี้ใช่ไหมคะ

0
yurinohanakotoba 27 ก.ย. 64 เวลา 23:04 น. 2-2

ครับ แต่พอใส่คำว่าแฟนตาซีเข้าไป มันก็เป็นเรื่องจินตนาการความเพ้อฝัน

อย่างแนววิทยาศาสตร์แบ่ง ฮาร์ดไซไฟ ซอฟต์ไซไฟ แฟนตาซีไซไฟ

ซึ่งอย่างสุดท้ายจะมโนอย่างไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นไฟฉายขายส่วนหรือประตูไปไหนก็ได้ ดังนั้นพอใส่คำว่าแฟนตาซีเข้าไป อย่าไปตีกรอบจะอิสระต่อการสร้างสรรค์กว่า

0
27 ก.ย. 64 เวลา 22:02 น. 3

ผมคิดว่า


มันไม่โบราณไป เดี๋ยวจะใช้ชีวิตยาก

อุปกรณ์เอย อาหารเอย การเดินทางเอย การจัดระเบียบชุมชนเอย ยาและการรักษา โน่น นี่ นั่น


มันไม่ทันสมัยไป เดี๋ยวมันจะใช้ชีวิตง่ายเกิน

อาวุธเอย เทคโนโลยีเอย การสอดส่องเอย ความรู้เอย ยาและการรักษาเอย กฏหมายเอย การเดินทางเอย และโน่น นี่ นั่น


ถ้าจะเอาเซ็ตติ้งที่มีความเหมาะสมต่อการสร้างเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นมันก็ต้องอยู่กึ่งกลางระหว่างสองอันนี้นี่แหละครับ ให้มันมีสัตว์ประหลาดที่รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง รับมือได้บ้าง รับมือไม่ได้บ้าง ปน ๆ กันไป

1
Waltharius 27 ก.ย. 64 เวลา 22:06 น. 3-1

อ่าฮะ ขอบคุณค่ะ คือแบบพอเหมาะ ๆ งี้

แต่อะไรที่ทำให้ไม่ชิลไป/ไม่ลำบากไป นี่ก็น่าเก็บมาคิดนะคะ

0
A.L. Lee 27 ก.ย. 64 เวลา 22:04 น. 4

แฟนตาซี อ้างอิงตามวิกิพีเดียนะ มันเริ่มมาตั้งแต่มหากาพย์กิลกาเมซโน่นเลย มันคือเรื่องเหนือจริง โดยอาจจะอ้างจากตำนานและความเชื่อ ดังนั้น แฟนตาซีมันครอบคลุมมาก เทพกรีกก็แฟนตาซี ป่าหิมพานต์ก็แฟนตาซี ไซไฟ-แฟนตาซี ยังมีเลย


แล้วแฟนตาซียุคกลางคืออะไร เราเดาว่ามันเกิดจากภาพจำของ LOTR กับ Game of throne แบบ คห.1 ค่ะ


ส่วนสิ่งที่ใช้จำแนก ก็คงประเภทว่า มีเวทมนตร์ มีปีศาจร้าย มีอัศวิน มีมังกร และไม่มีเทคโนโลยีไฮเทคใด ๆ เข้ามาเกี่ยว ละมั้งคะ


ส่วนเรื่องระบบการปกครอง และสภาพสังคม -ที่ดูเหมือนยุคกลาง ๆ กันน่ะ มั่วกันเยอะมาก อาวุธยังมั่วยุคกันเลยด้วยซ้ำมั้ง เดี๋ยวก็ล้าหลังไปบ้างละ ทันสมัยไปบ้างละ ปนกับยุควิคตอเรียนบ้างละ

3
Waltharius 27 ก.ย. 64 เวลา 22:10 น. 4-1

ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ หลาย ๆ เอเลเม้นต์ที่บอกมา ทั้งหมดคือเป็นของที่เห็นอยู่ทั่วไป แต่จะมีอันไหนที่จำเป็นมั้ยนะ อันนี้นี่น่าเก็บไปคิด (เจ้าของเม้นต์ไม่ต้องเก็บไปคิดก็ได้ค่ะ เราพูดกับตัวเอง 555)

ขอแย้งนิดนึงเรื่องที่บอกมีของที่ "เก่าไป" โผล่มา คือยุคกลางในประวัติศาสตร์มัันมีของตกทอดจากโรมันมาเยอะอยู่ (siege engine เป็นต้น) คงต้องพิจารณาเป็นกรณีไปว่าอะไรไม่สมควรมาอยู่ แต่อันนี้ก็น่าเก็บไปคิด (อีกแล้ว) ว่าเกณฑ์อะไรทำให้ของเก่า ๆ มาอยู่ในช่วงนี้ได้หรือไม่ได้

0
A.L. Lee 27 ก.ย. 64 เวลา 22:18 น. 4-2

อืมมม น่าคิดค่ะ

จริง ๆ เราก็ว่าคนอื่นไม่ได้หรอก เพราะเอาจริง ๆ ตอนเราเขียนแฟนตาซียุคกลางก็มโนเอาซะเยอะ สุดท้ายก็เป็นเรื่องของภาพจำแหละค่ะ (หาข้อมูลแล้ว รู้ว่าอะไรถูก แต่ภาพจำก็ยังคงทำให้รู้สึกว่า เขียนแบบภาพจำมันเจ๋งกว่า 555)

ยิ่งเป็นแฟนตาซีด้วย ถ้าไม่ได้บอกว่า อิงประวัติศาสตร์ยุคกลาง ก็คงไม่มีใครมานั่งจับผิด

0
Waltharius 27 ก.ย. 64 เวลา 22:27 น. 4-3

ค่ะ เก็ทอารมณ์

เรื่องที่เราอยากเก็บไปคิดเลยคือเปลี่ยนอะไร ขนาดไหน ที่ยังยอมให้ใส่คำว่า "ยุคกลาง" กำกับไว้ได้ เพราะแบบ ถ้าเขียนว่าแฟนตาซียุคกลาง แต่ตัวละครใส่ชุดกระโปรงสุ่มฟูฟ่องก็จะเอ๊ะนิด ๆ 555

0
SayWindy 27 ก.ย. 64 เวลา 22:13 น. 5

แฟนตาซียุคกลางเราก็ไม่เคยเขียน เอาแค่เกมที่ชอบหลายแนวก็เป็นแนวผู้กล้า ต่อสู้ แย่งชิง ตีมอน พวกเกมดราก้อนเควส แรคนาร๊อค ไฟนอลแฟนตาซีบางภาค กึ่งกลางระหว่างความโบราณและสมัยใหม่ แต่ที่คนจำได้ก็น่าจะเป็นยุคอัศวินช่วยเจ้าหญิงล่ะมั้งที่เป็นภาพจำของแฟนตาซียุคกลาง แต่พอคิดแบบนั้นแล้วนี่มันจำกัดแค่ฝั่งตะวันตกรึเปล่า แล้วฝั่งเอเชียไม่ได้มียุคกลางกับเขาบ้างเหรอ? ก็ว่ากันไป เรามองความยุคกลางในเรื่องของวิธีชีวิต แนวคิดกับความเชื่อล่ะนะ


เพราะกระทู้นั้นได้มีการยกนิยายแนวอื่นขึ้นมาก่อน เลยกลายเป็นหัวข้อเรื่องนอกกระแสในกระแสไปเลย ถามว่านอกเรื่องมั้ยเราว่าไม่นะ เพราะคำถามคือมันจะกลับมาแมสมั้ย? เราก็ตอบไปตามเนื้อผ้าว่าโอกาสน่ะมี แต่ต้องใช้เวลา ไม่ก็มีสักอย่างสร้างกระแสขึ้นมา

3
Waltharius 27 ก.ย. 64 เวลา 22:20 น. 5-1

พอดีกระทู้เก่าเน้นไปที่เรื่องความแมสน่ะค่ะ (บวกกับที่กระทู้นั้นโฟกัสที่ความไฮแฟนตาซี) เราเลยอยากสโคปให้แคบลงเผื่อจะพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น

ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ ถ้าถามส่วนตัวเราเราค่อนข้างจะเห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ คุณเจ้าของเม้นต์พอมีคำตอบที่แคบกว่านั้นไหมคะว่าเป็นแนวคิด/ความเชื่อประมาณไหน

ถ้าแบ่งเป็นยุคสมัยตามประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์จะนิยามว่ายุคที่ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลค่ะ ดังนั้นคำนี้จะใช้ค่อนข้างเฉพาะกับยุโรป+ตะวันออกกลาง+เมดิเตอร์เรเนี่ยนเหนือ ทางเอเชียบางทีมีการใช้คำว่า medieval พูดถึงยุคเหมือนกันค่ะ เคยเห็นบทความว่า medieval Thailand แต่เขามองในแง่ของการปกครอง แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าเพราะคำว่า "ยุคกลาง" เฉพาะกับยุโรป+แถบนั้น เลยไม่มีความหมายที่ยอมรับเป็นสากลสำหรับเอาไปใช้กับแถบอื่น ๆ

(ขออภัยที่นอกเรื่องค่ะ)

0
SayWindy 28 ก.ย. 64 เวลา 07:11 น. 5-2

อื้ม หมายความว่าจขกท.หมายถึงความคิดแบบยุคกลางที่ไม่ผสมแฟนตาซีเลยสินะที่อยากจะคุยกัน เราคงตอบไม่ได้เยอะขนาดนั้น ถ้าพูดถึงแนวคิดอย่างนี้เราไม่ได้ศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์มา เราศึกษาในเชิงงานศิลปะที่ปรากฏขึ้นในยุคสมัยนั้นเลยมากกว่า รู้แค่เรื่องประติมากรรม แนวคิดของศิลปินอะไรพวกนี้ แต่ต้องยอมรับเลยว่าอิทธิพลทางศาสนามีผลต่อคนในยุคนี้แบบลึกซึ้งจริงๆ แค่ยุคเริ่มต้นก็แทบจะมีแต่งานที่เกี่ยวข้องกับศาสนากับความเชื่อแล้ว

0
Waltharius 28 ก.ย. 64 เวลา 19:44 น. 5-3

ไม่ค่าาา เราตั้งใจจะคุยแบบแฟนตาซีเนี่ยแหละ แต่พอดีคุณเจ้าของเม้นต์ถามมาว่าฝั่งเอเชียมียุคกลางบ้างมั้ย

เมื่อวานมีคนทักมาหลังไมค์ให้คิดว่าแบบ มันน่าจะมีทั้งความเชื่อ สภาพสังคม แล้วก็บรรยากาศ (พวกตึก บ้านช่อง โบสถ์ ประติมากรรม) ทีนี้เราเลยกลับไปนั่งคิดว่าถ้ามันไปอยู่ในนิยาย จะเอาภาพพวกนี้ลงไปยังไงดี แต่คิดไม่ออกจริง ๆ ต้องกลับไปนั่งคิดละค่ะ

ส่วนเรื่องความเชื่อ ในโลกจริงของเรามันออกมาผ่านงานศิลปะอย่างที่คุณบอก น่ากลับไปคิดเหมือนกันว่าจะเอาลงไปในนิยายยังไงแบบไม่ info dump

ขอบคุณสำหรับพ้อยต์ดี ๆ ค่ะ

0
WHITEROST 27 ก.ย. 64 เวลา 22:14 น. 6

มุมมองของเรานะ เราคิดว่าเพราะยุคกลางหรือยุคมืดของยุโรปนั้น มันเป็นยุคที่ศาสนา ความเชื่อและเรื่องเหนือธรรมชาติมีอิทธิพลค่อนข้างสูงต่อการใช้ชีวิตของคน ทำให้มีเรื่องราว เรื่องเล่าที่ดูจะเหนื่อธรรมชาติออกมามากมายในยุคนั้นค่ะ เขาก็เลยเขียนยุคกลางเป็นแบล็กกราวกันเพราะมันขลังแล้วก็ดูมีอารมณ์ร่วมค่ะ




1
Waltharius 27 ก.ย. 64 เวลา 22:29 น. 6-1

ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ เรามานั่งคิด ๆ บางทีบทบาทของเวทมนตร์สำหรับคนสมัยนั้นอาจจะไม่เหมือนเวลาเรามองจากสมัยนี้เลยก็ได้นะคะ แบบสมัยนั้นเวทมนตร์อาจจะ "จริง" กว่าที่เรามองในสมัยนี้

อืม ๆ น่าเก็บไปคิดจริง ๆ

0
H'я[Æ]inne 27 ก.ย. 64 เวลา 23:11 น. 7

สิ่งแรกที่นึกถึงคืออัศวิน plate amour ตามด้วยวิถีชีวิต-อาหารการกิน ลักษณะของบ้านเรือนชนบทและปราสาทท่ามกลางภูมิทัศน์ของป่าไพศาลและทิวเขา

1
Waltharius 27 ก.ย. 64 เวลา 23:33 น. 7-1

ขอบคุณค่ะ ก็คือเป็นบรรยากาศ/ภาพที่นิยายบรรยายให้เห็นอะไรประมาณนี้

0
ThePongpol 28 ก.ย. 64 เวลา 01:20 น. 8

ถ้าเอาตาม Stereotype ที่ตัวเองมองเลยก็คือ ...ระบอบกษัตริย์จ๋า + อัศวินเกราะเงินสะพายดาบ + ชาวบ้านใส่ชุดเดรสทำงานเกษตรกรรมทั้ง ๆ ที่มันโคตรร้อน + เวทมนตร์แบบพอใช้ป้องกันตัวเอง ไม่หวือหวา + ขนมปังที่กินคู่ชีสร้อน ๆ ครับ

3
Waltharius 28 ก.ย. 64 เวลา 01:39 น. 8-1

เอาใหม่นะคะ

"ชีสร้อน ๆ"

ชีสไหนเขากินกันร้อน ๆ คะนอกจากฟองดูว

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-05.png

0
ThePongpol 28 ก.ย. 64 เวลา 01:56 น. 8-2

มันคือ-ซุป ๆ ที่เขาเอาขนมปังจุ่มกินอ่ะครับ อารมร์เดียวกับหนมปังสังขยา ผมก็ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร 555 แต่เห็นว่ามันเอาชีสใส่ไปด้วยตอนต้ม ผมก็เลย... เรียกมันแบบนั้นน่ะครับ

สรุปมันคืออะไรครับเนี่ย 5555

0
Waltharius 28 ก.ย. 64 เวลา 02:12 น. 8-3

Porridge aka. ข้าวต้ม (หรืออย่างอื่นต้ม) ไหมคะ 555 ยุคกลางอาจจะเป็นถั่วงี้

0
Iris...Just Iris 28 ก.ย. 64 เวลา 01:51 น. 9

ถ้ามองจากเพียง 'แฟนตาซี'+'ยุคกลาง(ยุโรป)'ผมคิดว่าน่าจะเป็นการที่นำเอาสภาพของยุคกลางเช่น ค่านิยม ความเชื่อ สภาพสังคม ระบบการปกครอง อิทธิพลศาสนา อะไรพวกนี้มาใช้เป็นพื้นหลังหรือหัวใจของเรื่องราวที่มีความเหนือธรรมชาติประกอบ แล้วจะไปเล่นเนื้อหาสงคราม(ที่อัศวินมักจะมาปน) มีสัตว์ในเทพนิยาย(โดยเฉพาะพี่มังกรที่เป็นของนิยม(นิยมฆ่าTwT)) การเมืองหรืออะไรก็สุดแล้วแต่ที่จะนำมามิกซ์ได้อะไรทำนองนี้มั้งครับ


ประเด็นก็คือต้องมีความ 'ยุคกลาง' มากแค่ไหนถึงจะนับเป็นยุคกลาง

เพราะบางเรื่องก็เอาเซ็ทบางอย่างจากยุคอดีตก่อนยุคกลางมาใส่ หรือบางทีก็เอาของจากยุคใกล้เคียงกันที่เป็นอนาคตมาใช้ผสม

ไม่ก็ไม่ได้หยิบยืมบริบทยุคกลางไปใช้เท่าไหร่และเน้นเล่าเรื่องส่วนอื่นจนถูกนับเป็นแนวอื่นแทน

หรือที่เห็นกันจนชินตาก็เช่นแอนิเมชั่นแฟนตาซีฝั่งญี่ปุ่นที่หลาย ๆ เรื่องมีพื้นหลังเป็นยุคกลาง ทั้งยังมีส่วนผสมหลาย ๆ อย่างที่ได้อิทธิพลมาจาก TLOTR อย่างชัดเจน(โดยที่อาจจะไม่รู้ตัว เช่นหลากเผ่าพันธุ์ หรือการได้ค่านิยมต่าง ๆ ที่เป็นมายาคติหรือเวิลด์เซ็ทของ TLOTR) แต่สุดท้ายก็จะถูกนับไปเป็นแนวอื่นทันทีเพียงเพราะเปิดเรื่องด้วยเนื้อหานั้น ๆ(เช่นต่างโลก / เกิดใหม่ หรือแนวถูกไล่ออกจากปาร์ตี้/กลุ่ม ที่กำลังเริ่มเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อย ๆ อะไรประมาณนี้ฮะ)


สุดท้ายถ้ามองจากมุมมองภาพจำของผม สภาพสังคมการปกครองแบบฟิวดัลหรืออย่างน้อยก็มีราชา-มีเมืองหลาย ๆ เมือง มีสิ่งเหนือจินตนาการตามแต่ละเซ็ทติ้งของเรื่องนั้น ๆ อัศวิน(ต้องยอมรับว่าภาพจำจะเป็นเกราะแผ่นโลหะมากกว่าโซ่ถัก) เทคโนโลยีที่ยังไม่ทันสมัย ประมาณนี้ครับ(และถ้าเป็นไปได้โปรดมีมังกร)

ขอแสดงความคิดเห็นเท่านี้ละกันฮะ เพราะไม่งั้นจะเริ่มพิมพ์วนไม่รู้เรื่อง


//เผ่นฟิ้ว

0
กระต่ายปากเเดง 28 ก.ย. 64 เวลา 15:00 น. 10

นิยายแฟนตาซีเป็นได้ทั้งยุคปัจจุบันและยุคกลางนั่นแหละ เพียงแต่ในไทยเราติดภาพจำมากไปหน่อยเลยมีนิยายแฟนตาซียุคกลางออกมาเยอะ ส่วนหนึ่งเพราะมันมีข้อจำกัดน้อยกว่ายุคปัจจุบันด้วย แต่นิยายแฟนตาซียุคปัจจุบัน ก็มีนะ ไม่รู้จักนิยายที่เป็นของไทย แต่ของเกาหลีมีเต็มเลย ตั้งนิยาย "อ่านชะตาวันสิ้นโลก" หรือ solo leving ที่เป็นเว็บตูนของเกาหลี(ไม่แน่ใจว่ามีนิยายมั้ย)

0
king peema 28 ก.ย. 64 เวลา 22:41 น. 11

เรื่องภาพจำความเห็นอื่นตอบกันไปแล้ว ถ้างั้นขอตอบแค่เรื่องความเห็นส่วนตัวกับสิ่งที่คิดถึงเป็นอนดับแรกก่อนก็แล้วกันครับ ถ้าพูดถึงMedievalแล้วเนี่ยส่วนตัวจะนึกถึงเรื่องของศาสนา และการควบคุมชีวิตคนก่อน ไม่ว่าจะยุคไหน ๆ คนเราย่อมเห็นคุณค่าในชีวิตตัวเองเป็นอันดับแรกจริงไหมครับ แต่มีอญุ่ช่วงเวลาหนึ่งที่คนดันให้ความสำคัญกับการได้ไปอยู่กับพระเจ้ามากกว่าถึงขั้นว่ายอมตายดีกว่าโดนขับออกจากศาสนา นั่นคงจะเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในทัศนะของผม เรื่องของชีวิตที่เป็นของถูก ๆ ได้มาง่ายเสียไปง่ายหลายคนอาจจะมองว่าแปลก หรือฟังดูบ้าแต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าไม่ใช่เรื่องจริง แม้แต่นักบินคามิคาเซะของจักรวรรดิญาปันสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ถูกเรียกว่า"ระเบิดของพวกบ้า"ยังถูกบังคับกันมาเกือบทุกคนเลย แล้วอะไรทำให้คนในสมัยก่อนนั้นกล้าเอาชีวิตไปทิ้งกับอะไรไม่แน่นอนได้ขนาดนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่างด้วย เพราะสมัยก่อนชีวิตก็ไม่มีอะไรมากกว่าหาอาหารซ่อมของใช้ไปวัน ๆ สงครามคือโอกาสเดียวที่จะทำให้คนหนุ่มได้ออกไปผจญภัย และเปิดหูเปิดตาดูโลกกว้าง หรือจะมองว่าเป็นการไปเที่ยวแบบโหด ๆ ก็ได้ (อ้างอิงจากเรื่องของครูเสด) . . . เพราะฉะนั้นแล้วอาจจะพูดได้อีกอย่างว่าการต่อสู้มีความเป็นการผจญกับภัยผสมอยู่ด้วยก็คงได้ เป็นความหน้ากลัวของสงครามที่มีแต่ความสูญเสียก็คงใช่ แล้วก็เป็นเวลาสถานที่ ๆ เอื้อต่อการเขียนเรื่องที่ทำได้ยากในปัจจุบันยุคนี้ก็ได้ครับ ตรงนี้ผมมองว่าการต่อสู้ที่คนสมัยก่อนดูชื่นชอบทั้ง ๆ ที่อีกใจก็ไม่ชอบกันเนี่ย มันเหมือนกับการพยายามรักษาสติของตัวเองไม่ให้เพี้ยนอย่างหนึ่งเหมือนหนังแอคชั่น4DXนะครับ มันทำให้รู้ว่าทุกที่คือสนามรบแม้แต่ในใจของคนก็ตาม ถ้าเราจะยัดสัตว์ประหลาดหรือเรื่องลึกลับดำมืดเอาไว้ในโลกสมัยใหม่ที่มีแต่แสงสีแบบนี้มันก็ยากจริงไหมครับ ปล่อยพลังกันตูมตาม ฟันกันเลือดนองท้องช้าง คนทั่วไปตามท้องถนนจะไม่เห็นกันเลยเหรอ? จะให้ไปผจญภัยแล้วจะเอาภัยที่ไหนมาผจญในเมื่อจะทางไหนก็มีแต่กล่องคอนกรีตสูงเกิน4เมตร กับหลอดนีออนติดสว่างทั่ว ป่าในประเทศส่วนมากก็เป็นที่สาธารณประโยชน์มีคนไปกางเต้นชมนกชมไม้ มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล(แต่ถ้าไปประเทศไกลปืนเที่ยง หรือเกาะร้างก็คงได้นะ แต่ก็ไม่เหมือนยุคที่คนทั่วไปไม่มีการติดต่อสื่อสารที่ดีมีหูตา มีแผนที่ที่แม่นยำ มีภาพถ่ายทางอากาศ มีดาวเทียมผ่านมาเก็บข้อมูลจุดเดิมทุกวันอยู่ดี) ที่เดียวที่ดูจะใกล้เคียงสุดผมว่าคงต้องเป็นนครบาดาล หรือเมืองลับแลแล้ว นอกจากนั้นพอข้อมูลมาเร็วคนมีตัวเลือกตัดสินใจเยอะ อายุคาดเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้น คนไร้ศาสนาก็เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หลาย ๆ อย่างมันทำให้เกิดจังหวะนรก และการเล่นกับความไม่รู้ได้จำกัดขึ้นด้วยมั้งครับ ถ้านอกจากภาพจำผมพอจะนึกออกเท่านี้ครับ

0
king peema 28 ก.ย. 64 เวลา 23:06 น. 12

แต่พอคุณวาตะ กับคุณSayWindyพูดถึงยุคกลางที่ไม่จำกัดแค่ยุโรปแล้วก็นึกขึ้นได้อีกอย่าง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด โลกเราแบ่งยุคประวัติศาสตร์เป็น ยุคโบราณ ยุคกลาง(รวมยุคฟื้นฟูฯ) ยุคใหม่ ยุคปัจจุบัน เพราะงั้นเหตุการที่เกิดนอกยุโรปในเวลาเดียวกับยุคกลางจะเรียกเป็นยุคกลางได้ไหมผมก็ไม่ทราบนะครับ แต่ว่าส่วนตัวเห็นด้วยกับการเทียบลักษณะทางแนวคิด สังคม การเมืองซะมากกว่าการจับเวลามาเทียบกันตรง ๆ เพราะยังไงซะแต่ละถิ่นก็เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ไม่พร้อมกันอยู่แล้ว จีน อินเดียกับยุโรปอาจจะพอได้ แต่จนถึงยุคที่คนมีดินปืนใช้กันแล้วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(รวมถึงไทย) กับอเมริกาใต้ยังเป็นวานรไร้ขนกันอยู่เลย ถ้าจะเทียบจริง ๆ ผมว่าไทยตอนนี้จะเรียกว่าช่วงท้าย ๆ ยุคกลางของไทยก็ไม่เกินจริงนักนะ ช่วงรอยต่อยุคกลางกับยุคใหม่ที่คนเริ่มเดินเรืออ้อมโลกกันเลย ซึ่งจะขอยกเรื่องของหนัง/การ์ตูน/นิยายดังที่แก่นเป็นแฟนตาซียุคกลาง แต่ไม่ได้อยู่ในยุคกลางอย่าง Starwars ก็แล้วกันครับ

ใช่ Starwars สงครามดวงดาว มียานอวกาศ มียิงลำแสง มีวาร์ปข้ามโลก แต่มันก็ไม่ใช่ไซไฟ และเป็นฮาร์ดเมจิก100% แถมยังเป็นแนว ๆ ผจญภัยผสมโรแมนซ์ลูกผู้ชายด้วยนะ(อิงจากเรื่องค่านิยมเกี่ยวกับความรักของชายต่อชายในสมัยโบราณ และตกทอดมาถึงยุคกลางในบางพื้นที่ด้วยที่ว่าทหารที่ดีต้องรักพวกพ้องเหมือนรักภรรยา สามารถกอดจูบกันได้เป็นเรื่องปกติ+ตัวอย่างกษัตริย์ หรือวีระบุรุษหลายคนที่มีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันแบบชัดแจ้งในหลาย ๆ สื่อ บันทึก หรือเรื่องเล่า)


ในด้านสังคมก็มาแนว ๆ สังคมนิยม สู้กับจักรวรรดินิยม หรืออาจจะมีประชาธิปไตยเบ็ดเสร็จ(เผด็จการสวมหนังประชาธิปไตย) มีลัทธิสุดโต่งที่บอกว่าตัวเองดีมีอิสระแต่ถ้าใครไม่เข้าร่วมจะถูกมองในทางเสียหาย แถมบังคับให้เด็กมาเป็นพวกโดยการอุ้มจากอกแม่มาเข้าวิหารด้วย แถมลัทธิที่ว่ายังมีอัศวินศาสนจักร มีกำลังทหารของตัวเองที่แกร่งกว่าดาวหลาย ๆ ดวง สามารถเข้าไปแทรกแซงการเมือง หรือปกครองมอบอำนาจให้ใครได้ตามใจอีกด้วย ในทางกลับกันก็มีคนอีกกลุ่มความเชื่อที่คล้าย ๆ กัน สุดโต่งเหมือนกันแทบจะมาจากตำนานเดียวกันได้เลยมาทำสงครามชิงพื้นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับลัทธิที่ว่า เนื้อเรื่องก็มีตั้งแต่ปราบคนเถื่อน ขุดสุสาน ปลุกผี เล่นมนต์ดำ สูบพลังเทพ ผู้นำหื่นพาฉิบหาย พ่อฆ่าแม่ลูกฆ่าพ่อ พี่น้องตีกันแย่งบัลลังก์ เข้าวิหารโบราณเพื่ออะไรก็ไม่รู้ที่แต่ละฝ่ายเชื่อว่ามันทำให้ตัวเองชนะสงครามทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังหาอะไรกันอยู่แต่ก็ฆ่ากันหาของวิเศษ(หอกลองกีนุซที่ใช้ประหารพระจีซัส หอกที่ไม่รู้พิเศษจริงไหมแต่ทั้งชาร์เลอมาญทั้งฮิตเลอร์ตามหากันแทบตายเพื่อเสียเวลาเปล่า) การแบ่งแยกประเทศ สงครามกลางเมืองอวกาศ รัฐประหารอวกาศ กบฎอวกาศ ผู้เผด็จการอวกาศ การมาถึงของสิ่งที่จะเป็นสังคมนิยมในวันข้างหน้าที่เกิดขึ้นอีกครั้งในยุคอวกาศ


มันช่างคุ้นเหลือเกินใช่ไหมล่ะครับ ถ้ามันคุ้นไม่พอก็ให้ดูตอนหนังเริ่ม"Long time ago in galaxy far far away..." โอละพ่อ มันพูดงี้ทั้ง ๆ ที่ในเรื่องโลกมนุษย์แตกไปเป็นพันปีแล้ว(ทฤษฎีจากแฟน ๆ) แต่มันกลับบอกว่าหนังที่ดูคือใครสักคนเล่าเรื่องตำนานให้คนรุ่นใหม่กว่าฟัง? งี้แปลว่าเหตุการอาจจะถูกปรุงแต่ง หรือไม่มีอภินิหารจริงแค่เติมเข้ามาเพื่อผลด้านความเชื่อก็ได้? ทำให้ในเรื่องมีเนื้อเรื่องจริง(Canon) กับเนื้อเรื่องไม่จริง/ตำนาน(legend) ที่หลาย ๆ ครั้งเกิดในเวลาเดียวกันแต่หลาย ๆ อย่างต่างกันอีก...มันคุ้นจริง ๆ ว่าไหมครับ

เห็นไหมว่ามันไม่มีอะไรอยู่ในยุโรปเลยแต่ก็แฟนตาซียุคกลางได้


ปล.ว่าไปก็ตลกร้ายนะครับ บางครั้งยุคที่คนไม่ได้มีอิสระขนาดนั้นอย่างยุคกลางกับมีอิสระในบางเรื่อง ในขณะที่ยุคนี้ที่อิสระคือทุกอย่างแต่บางเรื่องที่เคยมีอิสระเปิดกว้างอยู่แล้วในยุคกลางดันหายไปซะงั้น "เหมือนถามว่าโลกที่คนทำอะไรก็ได้แต่ฆ่ากันไม่ขาด" กับ"โลกที่ทุกคนทำอะไรตามใจไม่ได้เลยแต่ก็ไม่มีใครออกมาฆ่ากัน" โลกแบบไหนมันดีกว่าอย่างนั้นแหละ


ปล.2 พูดถึงStarwarsแล้วยังเคืองsjw/wokeจากดิสนีย์ไม่หาย งานเจ๋ง ๆ เอามาย้ำยีด้วยความคิดมักง่ายที่มันไม่เข้ากับเวลา/สถานที่ในโลก คนอื่นทำด้วยมือตัวเองก็ไปซื้อมาพังด้วยเท้าซะได้

2
Waltharius 13 ต.ค. 64 เวลา 19:25 น. 12-1

อยู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้เกี่ยวกับสตาร์วอร์ พอดีคิดไปคิดมาเราว่าตัวเอมไพร์มันดูเป็นอำนาจใหญ่ ๆ แบบเดียวในเดอะกาแล็คซี่ฟาร์ฟาร์อะเวย์ แต่พูดถึงยุคกลาง (และนิยายแฟนตาซียุคกลาง) เรานึกถึงภาพของหลาย ๆ อาณาจักรตบตีแย่งชิงอำนาจกัน (รึเปล่า?)

หรืออาจจะตอบว่าเอาเอมไพร์ไปเทียบกับศาสนา แต่เรามองว่าศาสนจักรไม่ได้มั่นคง+มีทุกอย่างพร้อมแบบเอมไพร์ เราเลยมองว่าใกล้เคียงกับอิมพีเรี่ยลโรมมากกว่า รึเปล่า 555 จะว่าไปหนังเซ็ตติ้งอวกาศหลายเรื่องก็เป็นคล้าย ๆ แบบนี้ อืม ๆ

0
king peema 13 ต.ค. 64 เวลา 21:37 น. 12-2

โอเคครับผมอาจจะพิมพ์ไม่เคลียร์ไปนิดหนึ่ง ในเรื่องของสตาร์วอร์ผู้คนจะนึกถึงหนังไตรภาคแรก(ตอนที่4-6)เป็นหลัก แต่ในเรื่องสตาร์วอส์จริง ๆ หนงที่เห็นเป็นเพียงแค่เรื่องส่วนเดียวในช่วงเวลาเดียวของการ์ตูนชุดหนึ่งที่มีความยาว15000ปีครับ ซึ่งที่ผมหมายถึงคือช่วงของสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่6000ปีก่อนเหตุการในหนังจนไปถึงเนื้อเรื่องหลังหนังภาค3(ตอนที่6)นั่นเอง โอเคจักรวรรดิดูยิ่งใหญ่จริงอันนี้เห็นด้วย แต่ในยุคก่อนจะมีสาธารณรัฐใหม่ กับจักรวรรดิ ดาวหลาย ๆ ดวงก็ไม่ได้เป็นดาวที่เจริญหรือมีการรวมตัวกันใหญ่ขนาดนั้น และจะมีกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยเยอะมาก หรือในองค์กรใหญ่ ๆ เองก็ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขนาดนั้น โดยเฉพาะหลังจบตอนที่6(หนังภาค3) ถ้าตามเนื้อเรื่องเดิม(ที่ตอนนี้โดนดิสนีย์ปัดตกไปแล้วเอาภาค7มาแทนที่) จะเห็นได้ว่าอวกาศหลังยุคจักรวรรดิเป็นอะไรที่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย บางฝ่ายบอกจะช่วยฝ่ายพระเอกพอถึงหน้างานจริงแค่หลอกมาฆ่าก็มี พวกกากเดนจักรวรรดิที่เหลือรอดอยู่พยายามจะฟื้นอำนาจก็มี ลัทธิใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นตัวปัญหาก็มี คนจากฝ่ายนั้นทรยศมาฝ่ายนี้ คนจากฝ่ายนี้แยกตัวไปตั้งกลุ่มใหม่ โน่นนั่นนี่ ส่วนเรื่องศาสนาที่พูดถึงคือกลุ่มผู้ใช้ดาบแสงทั้งหลายครับ ในหนังมีออกมาแค่สองฝ่ายแต่เอาเข้าจริงค่อนข้างจะเยอะเลยทีเดียว ทั้งกลุ่มที่ฝึกพลังเพื่อพัฒนาตนเอง กลุ่มที่ฝึกพลังเพื่อเป็นนักการเมือง กลุ่มที่ฝึกพลังเพราะความเชื่อ กลุ่มที่ฝึกเพราะความโลภ ฯลฯ หรือแม้แต่คนที่ไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อแต่ฝึกพลังฝึกดาบแสงกันเองก็มีนะ ถึงแม้จะถูกเรียกรวม ๆ ด้วยชื่อเดียวกันแต่พวกเขาหลาย ๆ กลุ่มก็ไม่ถูกกันเองกับคนในศาสนาเดียวกันต่างนิกายครับ อารมณ์มันจะเหมือนกับคริสต์กับอิสรามไม่ถูกกันรบกันอยู่แล้วเวลามีศึก แต่เวลาสงบคนในศาสนาทั้งสองก็ก่อหวอดตีกันเองบ้าง แบบทางคริสต์มาตินลูเธอร์ไม่พอใจศาสนจักรเลยประท้วงแล้วแยกตัวไปตั้งนิกายใหม่ ส่วนทางอิสรามก็มีอิสรามหัวเก่า กับหัวใหม่ พวกหัวเก่าใช้ความรุนแรงฆ่าคนนับถือศาสนาต่างจากตน หัวใหม่พยายามจะอยู่ด้วยกันให้ได้แบบZERO Some game เลยต้องมาสู้กัน เสร็จแล้วก็มีอิสรามอีกกลุ่มที่ไม่พอใจกับทั้งคู่เลยพยายามจะหนีไปที่ ๆ ไม่มีสงคราม กับคนที่ไม่ได้นับถือแต่แค่เกิดในถิ่นของอิสรามเลยต้องเป็นอิสรามไปด้วย ก็พยายามจะหนีออกจากตรงนั้นอีก แล้วก็จะมีบุคคลที่3ที่เอาชื่อศาสนาไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของตน กับบุคคลที่4ที่ไม่ได้เข้าถึงแก่นเลยแล้วเอาทุกอย่างจากทุกศาสนามาผสมกันอีก...พวกเจไดในสตาร์วอร์จะเป็นแบบนั้นแหละครับ นอกจาก เจไดกับซิธ ก็จะมี ไลท์เจได ดาร์คเจได เกรย์เจได ดาร์คซิธ ไลท์ซิธ เกรย์ซิธ คนไร้ศาสนา แล้วก็ลัทธิแปลกอื่น ๆ กับนิกายที่แตกออมาจากซิธ กับเจไดอีกมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนอื่น ๆ ก็อาจจะมองต่างกันได้ ถ้ามีความเห็นเพิ่มเติมก็สามารถเสริมหรือโต้แย้งได้นะครับ

0
ใครวะ 29 ก.ย. 64 เวลา 18:47 น. 13

สำหรับผม ยุคกลางคือความมืด ผู้คนไม่มีความรู้ ติดต่อสื่อสารกันไม่ได้ ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด จะมีอะไรในทะเล เกาะที่จะไปจะมีอะไร อะไรซ่อนอยู่ในปราสาทร้าง ถ้าคุณเป็นคนยุค 90 หรืออายุมากกว่า คุณก็จะสัมพัสได้ถึงความค่อยเป็นค่อยไป การที่จะมีความรู้อะไรซักเรื่องได้ จะต้องไปเดินทางไปหาหนังสือ อ่านหนังสือ มันคือความช้า ความยาก ความที่ทุกอยากมันน่าค้นหา ไม่ใช้สมัยนี้ที่อะไรก็เร็วไปหมด เกาะมุมหนึ่งของโลกมีอะไร เปิด gg ดูก็รู้ข้อมูลแล้ว แมวหายากหน้าตาเป็นยังไง เปิด wiki ดู หรือถ้าเวทย์มีจริง เราก็คงเรียนรู้ง่ายๆ

ผมพูดในคนยุคผม แต่ถ้าย้อนกลับไปไกลกว่าอีกคือยุคพ่อแม่ผม

พวกเขาจะเจอกับอะไรที่มันลำบากกว่านี้อีก ทั้งการเหยียดเพศ ผู้ชายมีอภิสิทมากกว่าหญิง ทั้งความรุนแรง ถ้าไม่มีใครเห็นว่าคุณทำอะไร ไม่มีตำรวจหรือกฏหมายเข้ามาในที่ๆคุณอยู่ คุณอาจถูกคุกคามรุนแรง หรือบ้านสองบ้านอาจฆ่ากันตาย เรื่องพวกนี้กลายเป็นเรื่องปกติ

แล้วถ้าย้อนกลับไปถึงยุคกลางจริงๆ ทุกอย่างยิ่งโหดร้ายกว่านี้อีก โรคระบาดก็ไม่รู้วิธีแก้ ตายเป็นพันๆ สงครามที่คนสองฝั่งเกลียดกันโดยที่ไม่ใช้เรื่องสวนตัวเลย เป็นเหมือนความเกลียดชังที่ถูกปลูกฝังว่า ฉันต้องเกลียดฝั่งตรงข้าม หรือการเข้าไม่ถึงของความรู้

ผมรู้สึกว่า จะอินจริงยากมาก ยิ่งเป็นคนยุคใหม่เท่าไหร ยิ่งอินยากมากเท่านั้น พวกเขาไม่เคยสัมผัสการถูกกดขี่จริงๆ ไม่เคยสัมผัสการถูกแบ่งเพศหรือชนชั้น ไม่เคยถูกกีดกันการศึกษา

ยุคกลางจึงเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งเลยที่คนสมัยก่อนมองโลกต่างจากคนสมัยนี้มาก บางทีมากจนเราไม่สามารถเข้าใจพวกเขาจริงๆได้

0
Petitey 30 ก.ย. 64 เวลา 09:40 น. 14

คิดว่ามันเป็นยุคที่มีอะไรลึกลับค่อนข้างมากนะคะ เป็นช่วงที่มีการล่าแม่มด ช่วงที่มีปริศนาเยอะ เรื่องที่อธิบายไม่ได้งี้ อย่างอัศวินฆ่ามังกรช่วยเจ้าหญิง ก็เป็นเรื่องที่เราได้ยินบ่อยๆ แถมยุคกลางยังเป็นยุคที่ไม่ลำบากเกินไปหรือสะวกเกินไปด้วยค่ะ

0