Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

หลุมสิวเกิดจากอะไร? มีกี่แบบ รักษาหลุมสิวอย่างไรให้ได้ผลที่สุด

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

หลุมสิว

หลุมสิวเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยจากการเกิดสิวอักเสบ หรือสิวต่าง ๆ เมื่อรักษาหายแล้วสิ่งที่มักตามมาและเป็นปัญหาหนักใจคือรอยหลุมสิว ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีรักษาหลุมสิวอยู่หลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นรักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง ใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิว เป็นต้น ซึ่งในบทความนี้จะพามาบอกหมดเปลือกว่า หลุมสิวคืออะไร สาเหตุหลุมสิวมาจากไหน มีกี่แบบ พร้อมวิธีรักษาหลุมสิวอย่างไรให้ได้ผลที่สุด

‘หลุมสิว’ ปัญหาใหญ่สำหรับคนเป็นสิว

หลุมสิว (Atrophic Scars) คือ รอยแผลเป็นจากการอักเสบของสิวหลังจากสิวหาย ทำให้ทิ้งร่องรอยกลายเป็นรอยหลุมสิว โดยหลุมสิวมักมาจากสิวอักเสบ เช่น สิวหัวช้างขนาดใหญ่ สิวหนอง เป็นต้น การอักเสบของสิวจะทำให้มีการสลายคอลลาเจนที่ผิวและเนื้อเยื่อบริเวณรอบข้าง และเมื่อสิวอักเสบเริ่มหาย จะมีการสร้างชั้นผิวใหม่ขึ้นมา ในกรณีที่การอักเสบรุนแรงเกิดการสลายเนื้อเยื่อมาก การสร้างชั้นผิวใหม่อาจไม่เพียงพอ และอาจมีการสร้างพังผืดดึงรั้ง ผิวหนังยุบลงไปตามกระบวนการรักษาแผลของร่างกาย จนเกิดเป็นหลุมสิวนั่นเอง

หากต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลุมสิว สามารถคลิกอ่านได้เลย โดยบทความนี้อ้างอิงข้อมูลจากแพทย์ผิวหนัง

หลุมสิวเกิดจากอะไร

หลุมสิวเกิดจากปัญหาสิวที่มีการอักเสบรวมไปถึงสิวอุดตัน ปกติแล้วเมื่อสิวหาย ร่างกายจะมีกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น และมีการสร้างคอลลาเจน รวมถึงสร้างเซลล์ผิวหนังล้อมรอบบริเวณที่มีการอักเสบ จึงทำให้ไม่มีรอยแผลจากการเกิดสิว แต่ถ้ากระบวนการมีการบกพร่องหรือผิวเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงจนทำให้ผิวยุบตัวลง เซลล์เนื้อเยื่อเกิดการหดตัว จะสามารถเกิดรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวได้

ลักษณะของสิวที่กลายเป็นหลุมสิวได้

ลักษณะของสิวที่สามารถพัฒนากลายเป็นหลุมสิวได้ มีดังนี้

  • สิวหัวหนอง (Pustule) เป็นหนึ่งในสิวอักเสบ เกิดจากการอักเสบของสิวอุดตันโดยการกระตุ้นจากแบคทีเรีย C.acnes  หากเป็นสิวชนิดนี้ไม่ควรบีบหรือกดสิวเอง เพราะอาจทำให้เป็นสิวอักเสบรุนแรงมากกว่าเดิม
  • สิวหัวช้างเม็ดใหญ่ (Nodule) หรือสิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ เป็นสิวอักเสบที่มีความรุนแรงค่อนข้างมาก สาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียลุกลามเข้าไปที่ผิวหนังชั้นลึก ไม่สามารถรักษาด้วยการกดสิวหรือบีบสิว หากปล่อยทิ้งไว้นานสามารถพัฒนากลายเป็นรอยหลุมสิวได้

หลุมสิวมีลักษณะอย่างไร

ลักษณะหลุมสิว

ลักษณะหลุมสิวจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่ส่วนมากมักมองเห็นเป็นหลุมลงไปชัดเจน หลุมสิวนี้มักทำให้ใบหน้าดูไม่สดใส ขาดความมั่นใจ โดยลักษณะของหลุมสิวที่มักพบบ่อย ๆ มีดังนี้

  • ลักษณะเป็นหลุมเล็ก ๆ บนผิว
  • ผิวไม่เรียบเนียน มีรอยบุ๋มชัดเจน หรือหลุมลึกลงไปเมื่อเทียบกับผิวหนังข้างเคียง
  • ในบางคนอาจมีรอยหลุมสิวกระจายทั่วใบหน้า หรือรอยจุด ๆ คล้ายหลุมแผลเป็น

หลุมสิวมีกี่แบบ

หลุมสิวมีกี่แบบ? หลุมสิวสามารถแบ่งได้หลัก ๆ เป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้

1. หลุมสิวแบบรูเจาะ (Ice pick atrophic scars)

หลุมสิวแบบรูเจาะ (Ice pick scars) มีลักษณะเป็นรูแคบ ๆ ก้นหลุมลึก จัดว่าเป็นกลุ่มที่ลึกที่สุด มีระดับความรุนแรงมากที่สุดและรักษาได้ยาก สาเหตุมาจากการกดสิวหรือบีบสิวที่อักเสบ มักพบหลุมสิวชนิดนี้บริเวณแก้ม หรือหลุมสิวที่จมูก

2. หลุมสิวแบบบล็อก (Boxcar atrophic scars)

หลุมสิวแบบบล็อก (Boxcar scars) เป็นหลุมสิวที่พบได้ค่อนข้างบ่อย มีขนาดกว้างกว่าหลุมสิวประเภท Ice pick scar หลุมสิวมีลักษณะเป็นบ่อ เห็นขอบหลุมสิวชัดเจน ความรุนแรงอยู่ในระดับปานกลาง

3. หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling atrophic scars)

หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling scars) เป็นหลุมสิวระดับทั่วไป รักษาง่าย เกิดจากมีพังผืดเกิดขึ้นใต้ผิวชั้นลึก มีลักษณะเป็นหลุมกว้าง ขอบไม่ค่อยชัด ฐานตื้นโค้งคล้ายกระทะและไม่แข็ง เมื่อดึงผิวให้ตึง ๆ หลุมสิวจะดูเรียบขึ้นได้

อยากรักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง หลุมสิวหายเองได้ไหม? 

หลุมสิวหายเองได้ไหม? หลุมสิวรักษาเองได้หรือไม่? หลุมสิวไม่สามารถหายเองได้เนื่องจากเนื้อเยื่อและคอลลาเจนบนผิวหนังถูกทำลายไปแล้ว และร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามก็มีวิธีการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของ กรดวิตามินเอ (Retinoic acid) ที่มีปริมาณเหมาะสมช่วยในการผลัดเซลล์ผิว สามารถช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลานานในการรักษา และควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

วิธีรักษาหลุมสิวที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ

รักษาหลุมสิว

หลุมสิวรักษาอย่างไร? ปัจจุบันวิธีรักษาหลุมสิวมีหลากหลายประเภท ตามระดับความรุนแรงของอาการ และมีวิธีการรักษาในแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันออกไปเช่นกัน ซึ่งวิธีรักษาหลุมสิวแต่ละวิธีนั้นจะต้องอาศัยความสม่ำเสมอและความต่อเนื่องในการรักษาเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด โดยวิธีรักษาหลุมสิวที่แพทย์ผิวหนังแนะนำ มีดังนี้

1. รักษาหลุมสิวด้วยการใช้กรดลอกผิว 

การรักษาหลุมสิวที่ได้ผลดีอีกวิธีซึ่งควรทำโดยแพทย์ คือ การรักษาหลุมสิวด้วยการใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling) ในระดับปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้เซลล์ผิวหนังลอกออก และกระตุ้นการสร้างชั้นผิวใหม่ ช่วยให้รอบหลุมสิวตื้นขึ้น โดยเฉพาะหลุมสิวประเภท Ice pick scars แบบตื้น ๆ และ Rolling scars ดีขึ้น 

2. รักษาหลุมสิวด้วยการใช้ยากลุ่มวิตามินเอ

ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ หรือยากลุ่มวิตามินเอ เช่น Retin A, Retinoid, Retinol มีคุณสมบัติช่วยปรับโครงสร้างผิวชั้นบนให้เรียบเนียน ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น ลดการอักเสบของสิวและลดอุดตันของเคราตินในรูขุมขน เหมาะสำหรับใช้กับหลุมสิวประเภท Rolling scar เพราะเป็นหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก แต่ทั้งนี้การใช้ยาควรอยู่ในการดูแลตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

3. รักษาหลุมสิวด้วยคลื่นวิทยุ

คลื่นวิทยุ RF สามารถใช้รักษาหลุมสิวได้ โดยมีวิธีการคล้ายกับการเลเซอร์หลุมสิวคือ การปล่อยพลังงานให้เกิดความร้อนที่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน แต่อาจมีผลข้างเคียงคือ หน้าแดง บวม รวมถึงอาศัยระยะเวลาในการพักฟื้น

4. การเลเซอร์หลุมสิว

รักษาหลุมสิวโดยการเลเซอร์หลุมสิว (Laser) เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ข้อดีของการเลเซอร์หลุมสิวคือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวชั้นบนเรียบเนียน ส่งผลให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น ซึ่งชนิดการเลเซอร์หลุมสิวจะมีลักษณะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของหลุมสิว เช่น Fraxel, Fine Scan, Pico Laser, Fractional Co2 Laser เป็นต้น

5. การผ่าตัดรักษาหลุมสิว

การผ่าตัดหลุมสิวก็เป็นหนึ่งในวิธีรักษาหลุมสิว เหมาะสำหรับรักษาสิวชนิด Ice pick scars และ หลุมสิวชนิด Boxcar scars ที่มีขนาดหลุมสิวไม่กว้างมาก แต่มีข้อควรระวังคือหลังผ่าตัดคนไข้จะต้องดูแลรักษาตัวเองอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบขึ้นมาได้

6. การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว

ฟิลเลอร์หลุมสิวเป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะหลังทำสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที ผิวดูตื้นขึ้น เต็มอิ่มขึ้น โดยฟิลเลอร์หลุมสิวจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ฉีดเข้าไปบริเวณหลุมสิวเพื่อให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น ถือเป็นวิธีการรักษาหลุมสิวแบบเร่งด่วน

นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาหลุมสิว

สำหรับนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ใช้รักษาหลุมสิว มีดังนี้

1. Fractional RF

Fractional RF (Fractional Radio Frequency) คือนวัตกรรมใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงเปลี่ยนเป็นพลังงานเลเซอร์ เพื่อรักษาปัญหาผิวหน้า เช่น หลุมสิว จุดด่างดำ รอยแผลเป็น ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผ่านการกระตุ้นคอลลาเจนและผลัดเซลล์ผิวใหม่

2. Fractional Er:YAG and CO² laser

Fractional Er:YAG and CO² laser ทั้งคู่เป็นเลเซอร์ที่จัดอยู่ในกลุ่มปรับสภาพผิวชนิดมีแผล โดยมีการกรอผิวเป็นส่วน ๆ เลเซอร์ทั้งสองนี้แตกต่างกันด้วยแหล่งกำเนิดพลังงานทำให้พลังงานมีความยาวคลื่นที่ต่างกัน โดย Er:YAG ให้แสงที่มีความยาวคลื่น 2940 nm สามารถกรอผิวชั้นตื้นได้ดี ส่วน CO² ให้แสงความยาว 10600 nm ซึ่งความยาวสูงจึงทำให้กรอผิวได้ลึกกว่า Er:YAG

3. Fractional Er:glass laser

Fractional Er:glass laser เลเซอร์ตัวนี้จัดเป็นเลเซอร์ปรับสภาพผิวชนิดไม่มีแผล ซึ่งไม่มีการกรอผิวแต่สามารถรักษาหลุมสิวได้ ข้อดีคือไม่มีสะเก็ดแผล เลเซอร์ในกลุ่มนี้ได้แก่ Fraxel, Sellas เป็นต้น

4. Picosecond laser

Picosecond laser จัดเป็นเลเซอร์ปรับสภาพผิวชนิดไม่มีแผล ไม่มีสะเก็ด เหมาะกับหลุมสิวที่ไม่ได้ลึกมากและต้องทำหลายครั้ง โดยเลเซอร์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Pivoway, Picosure เป็นต้น

วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีรอยหลุมสิว

รักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง

หากพบว่าตนเองมีปัญหาหลุมสิวเกิดขึ้น นอกจากจะอาศัยวิธีทางการแพทย์แล้ว เรายังต้องปฏิบัติตัวดูแลตัวเองด้วย เพื่อให้การรักษาหลุมสิวมีประสิทธิภาพมากที่สุด

  • งดสัมผัส แกะ เกา บีบ บริเวณหลุมสิว หรือรอยแผล 
  • รักษาความสะอาดบริเวณใบหน้าอยู่เสมอ ด้วยการล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง
  • งดสกินแคร์ หรือโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม เพื่อลดการเกิดอาการอักเสบหรือการแพ้
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางปกปิดหลุมสิว 
  • หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละออง มลภาวะ ควัน สิ่งสกปรก 

แนวทางการป้องกันการเกิดหลุมสิว

แนวทางป้องกันการเกิดหลุมสิวที่ดีสุดคือ การระวังไม่ให้เกิดสิว หรือหากมีสิวแล้วจะต้องรีบรักษาเพื่อลดการอักเสบเรื้อรัง หรือลดการพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบ เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานก็จะยิ่งมีโอกาสเกิดหลุมสิวได้มากขึ้นเท่านั้น 

  • หากเกิดสิวขึ้น ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัส เกา แกะ บีบ หรือขัดถูบริเวณที่สิวแรง ๆ เพราะอาจทำให้เสี่ยงติดเชื้อมากขึ้นและใช้ระยะเวลาหายนาน 
  • ห้ามแกะหัวสิวหรือสะเก็ดแผล เพราะอาจทำให้สิวหายช้าลง
  • ในกรณีที่พบว่าตนเองมีสิวอักเสบ หรือมีสิวเม็ดใหญ่กระจายเป็นวงกว้าง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาสิวให้เร็วที่สุด ไม่ควรรักษาเอง เพราะสิวในลักษณะนี้อาจทิ้งรอยหลุมสิวเอาไว้

รักษาหลุมสิว ราคาเท่าไหร่

รักษาหลุมสิวราคาจะขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา และจำนวนครั้งในการรักษาหลุมสิวด้วย เพราะการรักษาหลุมสิวเป็นวิธีที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน นอกจากนี้การรักษาหลุมสิวราคาจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคลินิกอีกด้วย โดยราคาคร่าว ๆ สำหรับวิธีการรักษาหลุมสิวมีดังนี้

  • การเลเซอร์หลุมสิว ราคาประมาณ 4,500 บาทต่อครั้ง
  • การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว 1 cc ราคาประมาณ 10,000 บาทต่อครั้ง

ทั้งนี้ราคารักษาหลุมสิวขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาด้วย เช่น ประเภทเลเซอร์ที่ใช้รักษาหลุมสิว ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้รักษาหลุมสิว เป็นต้น ราคาอาจจะถูกหรือแพงแตกต่างกันไปตามแต่ละคลินิก 

รักษาหลุมสิวที่ไหนดี 

รักษาหลุมสิวที่ไหนดี? อันดับแรกก่อนการรักษาหลุมสิวเราต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดยอาจจะเริ่มจากการศึกษาหาข้อมูลคลินิกที่น่าเชื่อถือ ได้มาตรฐาน เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง มีป้ายชื่อสถานพยาบาลและเลขที่ใบอนุญาตตามกฎหมาย มีเครื่องมือการรักษาที่ได้มาตรฐาน รวมถึงมีแพทย์คอยประเมินและให้คำปรึกษา เป็นต้น ทั้งนี้สามารถดูรีวิวจากช่องทางอื่น ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกรักษาหลุมสิวที่ไหนดี เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีหลังการรักษาหลุมสิว

รักษาหลุมสิวที่เอ็มวีต้าคลินิก

รักษาหลุมสิวที่ไหนดี

รักษาหลุมสิวที่เอ็มวีต้าคลินิกดีอย่างไร? ที่เอ็มวีต้าคลินิกมีวิธีรักษาหลุมสิวด้วยเทคนิคพิเศษ มีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียง เพราะเครื่องเลเซอร์ของทางคลินิกผ่านการรับรองจากอย.แล้วว่า สามารถใช้ในการรักษาหลุมสิวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้คนไข้สามารถเห็นผลหลังรักษาหลุมสิวครั้งแรกได้ทันที โดยหลุมสิวจะตื้นขึ้นประมาณ 10-30% และเมื่อทำอย่างต่อเนื่องก็จะค่อย ๆ เห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากกว่า 10 ปีคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

แนวทางการรักษาหลุมสิวของ Mvita Clinic

วิธีการรักษาหลุมสิวของ Mvita Clinic แพทย์จะเลือกใช้เครื่องมือ 2 ตัวหลักที่ใช้ในการรักษาหลุมสิวคือ เครื่อง Fractional RF ซึ่งเป็นการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงช่วยปรับสภาพผิวแบบมีแผล เหมาะสำหรับรักษาหลุมสิวค่อนข้างลึก พังผืดแน่น และเครื่อง Fractional Er:YAG เป็นการเลเซอร์ปรับสภาพผิวเป็นส่วน ๆ สามารถกรอผิวชั้นตื้นได้เป็นอย่างดี เหมาะที่จะใช้เสริมการรักษาหลุมสิว

ราคาคอร์สรักษาหลุมสิวกับทาง Mvita Clinic จะอยู่ที่คอร์สรักษาหลุมสิว ราคาครั้งละ 4,500 บาท หากเลือกเป็นคอร์ส 5 ครั้ง แถมฟรีอีก 5 ครั้ง จะอยู่ที่ราคา 20,000 บาท เฉลี่ยต่อ 1 ครั้งเพียง 2,000 บาทเท่านั้น

ข้อสรุป

ปัญหาหลุมสิวมักมีสาเหตุมาจากสิวอักเสบ รวมถึงการปล่อยให้สิวอักเสบพัฒนาจนกลายมาเป็นหลุมสิวโดยที่ไม่ได้รักษา สำหรับใครที่มีปัญหาหลุมสิวหรือมีสิวอักเสบหนักมากควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ประเมินความรุนแรง รวมถึงช่วยวางแผนรักษาหลุมสิวให้เหมาะสมกับตนเอง หากใครที่มีปัญหาหลุมสิวหรือต้องการรักษาหลุมสิวสามารถปรึกษาแพทย์และนัดเข้ารับการรักษากับทาง Mvita Clinic ได้ที่ 

โทร. 081-492-2626/ 02-640-8097

Facebook : mvitaclinic

Line : @mvitaclinic

Website : www.mvitaclinic.com

แสดงความคิดเห็น

>