คุณค่าของหนังสืออยู่ที่ไหน?
ตั้งกระทู้ใหม่
เคยถามตัวเองไหมครับว่า คุณค่าหนังสืออยู่ที่ไหน จริงๆ แล้วตัวผมไม่เคยคิดถึงตรงนี้มาก่อนเลยครับ เมื่อก่อนการเลือกหนังสือสักเล่มขึ้นมากอ่านก็เพราะ "เขาว่ามันสนุก" ก็เลยอ่านบ้าง บางเรื่องซื้อมาก็สนุกจริงๆ ครับ แต่บางเรื่องอ่านแล้วก็ไม่ประทับใจนัก เคยคิดไปว่าหนังสือเล่มหนึ่งจะเกิดคุณค่าและความประทับใจกับคนอ่านนั่น อาจเป็นที่ตัวคนอ่านเองก็ได้
ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบซื้อหนังสือเท่าไหร่ครับ เพราะทรัพค่อนข้างน้อย หนังสือเล่มไหนก็ตามที่ผมซื้อมือหนึ่งไว้ก็คือมันเป็นสุดยอดหนังสือที่ผมอยากอ่านแล้วจริงๆ
ดังนั้นผมจึงหันไปซื้อหนังสือมือสองมาอ่านแทน
แต่ว่าครับใครบอกว่าหนังสือมือสองเป็นของเก่า เศษจากคนอื่น ผมขอเถียงว่าหนังสือมือสองเดี๋ยวนี้สภาพดีเท่าหนังสือมือใหม่เลยครับ คือบางทีผมเข้าไปร้านหนังสือมือสองนี่ เจอหนังสือออกใหม่ที่เพิ่งออกไปไม่นานมาวางแป้นแล้นลดราคา50% กับเขาแล้ว จนความคิดที่อยากจะซื้อหนังสือมือหนึ่งลดลงเรื่อยๆ (ไม่รู้ว่าเขาจะเรียกว่าอุดหนุนหนังสือผี นิยายเถื่อนหรือเปล่านะ แต่หนังสือมือสองมันก็ของถูกลิขสิทธิ์นี่หว่าไม่ใช่ก๊อบบี้สักหน่อย หย่วนๆ น่า)
ผมชอบอ่านนิยายไทยเก่าๆ มากๆ เลยครับ บางเล่มเลิกพิมพ์ไปแล้วหายากมาก พอได้มาแล้วจะเกิดความรู้สึกภูมิใจมากๆ เลย บางเล่มแม้จะพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ผมก็ยังไปหาเล่มที่พิมพ์ครั้งแรกมาเก็บไว้อยู่ดี เพราะว่าครั้งแรกที่เขาพิมพ์มันจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่เล่มล่าสุดไม่มีครับ
จนมีคนถามว่าซื้อไว้ทำไมเก่าก็ก็เก่า ขาดก็ขาด ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนอกจากบอกว่า นี่แหละคือคุณค่าของมัน ผมไม่เคยมีอคติกับหนังสือเสียเท่าไหร่ แต่ที่จะมีอคติบ้างก็คือผู้ผลิต
ส่วนที่ทำให้เกิดตัวอคติขึ้นมาก็อาจเพราะว่าเมื่อก่อนนั้นหนังสือที่ทำออกมาเต็มเปียมไปด้วยคุณค่าจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้ผมกลับรู้สึกว่าคุณค่าของมันลดลง อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนเขียน (ผมไม่นับรวมเรื่องส่วนตัวของเขานะครับ นับเฉพาะความคิดต่อเขาที่สื่อออกมาทางผลงานเท่านั้น) เดี๋ยวนี้พอไปเดินตามแผงหนังสือแล้วอดทำหน้านิ่ว คิ้วเหลือแค่นิ้วเดียวไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าผู้ผลิต ล่วงๆ ออกมาขายกันจริงๆ ผมข้อนข้างจะยึดถือเรื่องลิขสิทธิ์ทางปัญญามากพอสมควรครับเห็นอะไรถูกลอกจะทนไม่ค่อยได้ แต่หน้าปกหนังสือบางเล่มไปก๊อบผลงานต่างชาติมาแยะนะผมว่า (ไม่กล่าวถึงนะจ๊ะไปดูตามแผงกันเอง)
นักเขียนใหม่ที่เกิดขึ้นมามักถูกผู้ใหญ่สอนให้รู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ตลอด พูดเลยว่าชีวิตนี้มีลิขสิทธิ์กันแล้ว แต่พอไปดูผลงานที่ผู้ผลิตทำออกไป เอ๊ะ ทำไมไปก๊อบเขามาละนั่น เห็นแล้วอายแทนครับ เกมบางเกมที่ผมเล่นมาตั้งแต่จำความได้ถูกเอาไปขึ้นหน้าปกเปลี่ยนชื่อเกมเป็นชื่อนิยายซะแล้ว เห็นแล้วถามว่าผมอยากอ่านไหม? ผมอาจจะเดินไปเปิดดูครับ แต่คงไม่ซื้อหรอก เพราะผมรู้สึกว่าคุณค่าของมันหายไปตั้งแต่ที่สายตามองเห็นแล้ว แม้จะยอมรับว่าในจำนวนนั้นมีหนังสือที่น่าอ่านที่มีคุณค่ารวมอยู่ก็ตาม ผมก็อธิบายไม่ถูกแฮะ แต่มันทำให้สงสัยว่าผู้ผลิตเขาใสใจตรงนี้หรือเปล่า เขามีความเป็นมืออาชีพจริงไหม? ทำไมแค่ทำให้เป็นตัวของตัวเองทำไม่ได้ต้องไปเอาของเขามา หรือคิดเพียงว่าประชากรในประเทศมีหกสิบล้านฉันพิมพ์ออกมาสามพันเล่มขายไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป
ผมเชื่อว่านักเขียนทุกคนอยากให้หนังสือของตัวเอง อยู่นานๆ นั่นคือมีคนอ่านตลอด มีจนจดจำได้ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพียงสามปีห้าปีแล้วหายไปกับสายลม กว่าจะเขียนหนังสือได้เล่มหนึ่งไม่ใช่แค่เดือนสองเดือนแต่อาจเป็นปี สิ่งที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากความคิดนั่นมีคุณค่า แต่การผลิตที่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจแบบนี้ผมเลยสงสัยว่า ผู้ผลิตมีความรู้สึกเช่นนั่นหรือไม? มีความรู้สึกอยากที่จะ "คง" หนังสือที่ท่านเชื่อมั่นว่าสนุก มีสาระ(ในวันนี้) ให้คงอยู่ได้นานที่สุด ด้วยการทำให้มันมีคุณค่าที่สุด และคงคุณค่าเช่นนั้นเรื่อยไปไหม ด้วยการใส่ใจกับขั้นตลอดการผลิตอีกนิด อย่างน้อยก็อย่าให้พี่หยุ่น พี่เกา หรือพี่กา เขามาหัวเราะส่ายหน้าเวลาหยิบหนังสือขึ้นมา "โอ ไอจำได้นี่เป็นผลงานของไอนี่ โอ้โนวทำไมไทยแลนด์ทามจั๊งซี่"
บางคนอาจแย้งว่าแกไปยุงอะไรกับเขาละนั่น อันนี้ผมว่าหันมายุ่งหน่อยก็ดีนะครับ เพราะผู้ใหญ่สอนให้เราไม่เลียนแบบไม่ลอก ไม่ขโมย แต่ทำไมทำเองเสียละ แล้วแบบนี้จะมาหวังอะไรกับเด็กที่กำลังนั่งมองอยู่จริงไหม? หนังสือหนึ่งเล่มเนื้อในของหนังสือคือการแสดงปัญญาของคนเขียนซึ่งบางครั้งก็ถูกต่อว่าบ้าง ถูกเปลี่ยนแปลงบ้างกว่าจะออกมาเป็นตัวหนังสือได้ ส่วนภายนอกทั้งหมดคือปัญญาของผู้ผลิต ตั้งแต่การทำ การขายและความซื่อสัตย์ ถ้าแสดงปัญญาด้วยการไปลอกเขามา บางทีอาจมีสักวันที่เจอคนถามว่า "มีปัญญาแค่นี่เองหรือ?" การสร้างหนังสือเล่มหนึ่งให้งดงามและมีคุณค่าได้คงต้องอาศัยทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแน่นอนครับ
คุณค่าของหนังสือสำหรับผมคือ การที่หยิบหนังสือเล่มนั่นขึ้นมาอ่านได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าวันนี้ ปีหน้า หรืออีกสิบปีข้างหน้า มันก็ยังให้อะไรเราได้เสมอ ผมไม่ใช่คนที่จะเลือกอ่านหนังสือเพราะหน้าปกนะครับ แน่นอนอยู่แล้วว่าอันดับหนึ่งก็คืออ่านเพราะสนุก แต่การผลิตที่ เอาใจใส ก็เพิ่มโอกาสในการหยิบหนังสือนั่นๆ ขึ้นมาอ่านได้ง่ายขึ้นด้วยครับ
มีน้องคนหนึ่งบอกว่าผมว่าเธอเลือกอ่านหนังสือเพราะสำนักพิมพ์ ถ้าเป็นสนพ นี้จะไม่อ่านจะอ่านแต่สนพ.นี้ สำหรับผมผมคิดว่า เสียดายครับ ผมมักจะกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ขอแค่กอบแล้วมันเป็นประโยชน์กับชีวิตผมก็จะกอบมาให้หมด แต่ถ้ามันไม่ได้อะไรผมก็ค่อยโกยหนี ผมเชื่อเสมอว่าหนังสือทุกเล่มมีคุณค่า แต่ปริมาณของคุณค่าอาจต่างกันและขึ้นอยู่กับว่าคนอ่านมองเห็นและเข้าใจมันไหม
ผมคิดว่าการอ่านหนังสือไม่ได้ต่างกับการร้องเพลงชาติไทย
ถามตัวเองไหมครับเวลาร้องเพลงชาติไทยรู้สึกอย่างไร ถ้าร้องโดยไม่รู้สึกอะไรเลยก็เหมือนการอ่านหนังสือที่ไม่ได้ซึมซับเอาประโยชน์จากมันนั่นแหละครับ แต่ถ้าร้องแล้วคิดตาม
ประเทศไทย...รวมเลือด เนื้อ...ชาติเชื้อไทย...เป็นประชา...รัฐ
ลองคิดตามสิครับว่าในข้อความนั้นมีอะไรอยู่บ้าง มันไม่ใช่แค่คำที่จับมารวมๆ กันให้มีความหมาย แต่มีทั้งประเทศ มีทั้งความเป็นไทย มีทั้งเลือดเนื้อและประชาชนอยู่ในนั้น
อ่านหนังสือแล้วก็ลองกอบและโกยคุณค่าของมันดูนะครับแล้วจะรู้ว่าบางทีแล้ว คีย์ ของชีวิตอาจอยู่ใกล้แค่สายตาเราเองก็ได้
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 28 มิถุนายน 2550 / 11:16
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 28 มิถุนายน 2550 / 11:18
PS. It might be the destiny But I hope this dream for eternity.
73 ความคิดเห็น
แจ่มมาก ให้หนึ่งโวต
PS. You may call me a freak, Or someone like me for that matter, But in our eyes, You are a freak too.
โหวตให้เลยค่ะพี่จิ้ง
พูดได้โดนใจสุดๆ
บางทีเราก็ซื้อนะหนังสือมือสอง สภาพดีมากๆแถมลดตั้งครึ่งจะเสียเต็มราคาไปทำไม
ส่วนคุณค่าหนังสือ เราคิดว่ามันอยู่ที่ใจ เราอ่านแล้วพอใจสุขใจก็โอเค แล้วหนังสือที่จะทำให้คนอ่านประทับใจ
หนึ่ง มันต้องมาจากความตั้งใจของคนเขียนด้วยนะ สังเกตมั้ย เวลาอ่านหนังสือจะรู้ได้เลยว่าใครใส่ใจลงไปแค่ไหน ไม่ใช่สักแต่ว่าจะเขียนให้จบๆกันไป บางเรื่องซื้อมาอ่านแล้วผิดหวังนะ เหมือนจะสนุก แต่ก็แค่ชั่วครู่ อ่านรอบเดียวจบแล้วจบเลย
PS. ถ้อยคำ-สายตา เพียงเท่านี้เธอก็ฆ่าฉันได้ ที่ยังคงเหลืออยู่คือลมหายใจ แต่เธอรู้จักคำนี้ไหม..ตายทั้งเป็น
คุณค่าของหนังสือ มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับตัวผู้อ่าน
ว่าได้อะไรหลังจากอ่าน
PS. ปากกับใจไปตามสถานการณ์
เราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบซื้อหนังสือมือหนึ่ง เพราะกลัวว่า บทแรกที่เรายืนอ่านที่ร้านกับบทต่อๆไป อาจจะไม่สนุกเท่า
ส่วนใหญ่ชอบยืมจากมหาวิทยาลัยหรือไม่ก็ที่โรงเรียนมากกว่า
เล่มไหนที่เราซื้อ เล่มนั้นคือสนุกจริงๆ (คล้ายๆ คุณนั่นแหละ)
หนังสือมือสองที่เราซื้อคือ เรื่องสั้นรวมของคุณศุภักษร (นานมาก)
เล่มละ 8 บาทเอง อ่านเสร็จแล้วก็เก็บรวมกับหนังสือมือหนึ่ง
คิดถึงเมื่อไหร่ก็เอามาอ่านอีกรอบ *-*
PS. ฉันเป็นคนขี้เหนียว รักเดียวใจเดียวไม่แบ่งใคร เธอเป็นชายใจกว้าง ใครขอรักบ้างเธอก็แบ่งให้ ให้หมดไม่เหลือสักอัน แล้วของฉันจะเอาที่ไหน ไม่รู้แหละเอามาอันนึง ไม่ให้นะมึง..จำไว้...
เห็นด้วยเลยค่ะ
พูดได้ตรงมากๆ
PS. >> เมื่อใดที่เรารู้ว่าเรารักเค้าเพราะอะไร เมื่อนั้น..." เราใช้สมองรัก " ...แต่เมื่อใดที่เราไม่รู้ว่าเรารักเค้าเพราะอะไร เมื่อนั้น.." .เราใช้หัวใจ... รัก "
หัวข้อยากจัง จะลองไปคิดๆดูค่ะ
PS. Angels we have heard on high Sweetly singing oer the plains,And the mountains in reply Echoing their joyous strains.
บทความนี้เยี่ยม
จึ้กนึง
บิ๊มก็ชอบซื้อหนังสือมือ2นะ
ถูก สนุก
PS. ตบด้วยปาก กระชากด้วยลิ้น
เห็นด้วย แต่เจอหลายคนจริงๆนะ(ในเด็กดีก็เยอะ)ที่อ่านหนังสือจาก สมพ. มันน่าเสียดายจริงๆที่ทำให้รู้สึกว่า ถ้าอ่านอยู่แค่นั้นคงไม่เจออะไรที่สนุกกว่านั้นหรอก
PS. คุณคงจะกล่าวคำว่าเสียใจด้วย กับใครสักคนที่เสียคนที่รักไป คุณคงปลอบใจใครสักคนนั้นราวกับรับรู้ ความเจ็บปวดเสียเอง แต่คุณไม่รู้จริงๆหรอกว่าความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร นอกเสียจากคุณจะต้องสัมผัสกับมันเอง
ดีมากมายๆๆๆ
PS. มาเยี่ยมกันบางนะค่ะ รักนารุโตะค่ะ
เป็นคนนึงนะ ที่อ่านโดยยึด สนพ. เป็นหลัก ชื่อนักเขียนเป็นรอง (นัยว่า ถ้าเขามีนามปากกาอื่น แล้วไม่รู้ก็ไม่ซื้อ) เพราะเคยซื้อ สนพ. อื่น นักเขียนที่ชื่อไม่คุ้นแล้วเสียดายตังค์อย่างแรง เป็นคนไม่มีเวลาไปห้องสมุด หรือร้านเช่า อาศัยว่านานๆ จะไปร้านหนังสือ แต่พอซื้อแล้วไม่ถูกใจ มันก็เสียอารมณ์ เลยคิดว่า... ถ้าเป็นนักเขียนที่เราคุ้น สนพ.ที่เคยซื้อ มันจะเชื่อถือได้ว่า 'คุ้ม' กว่า
ป.ล. เห็นด้วยกับความคิดนะ แต่มันก็สำหรับบางคน (ที่ขี้เกียจหาอะไรใหม่ๆ) อย่างเรามันก็ไม่ค่อยเหมาะ<!--PS-->
<hr width=80% size=1 align=left color=#9E9E9E>
<font color=#6F6F6F>PS. =[]=\ ผมขอสัญญา.. จะรักเจ๊วิ่วตลอดไป.. AvriL เมษาที่รัก...</font>
Great! I agree krub!
PS. รณรงค์...เด็กไทยรุ่นใหม่ เลิกใช้ภาษาวิบัติ ภาษาไทยแท้แสนงดงาม ใช้ให้ถูก เขียนให้เป็น เดินตามรอยพระบาทเจ้าฟ้านักอักษรศาสตร์ของเรา "รักสมเด็จพระเทพฯ เลิกใช้ภาษาวิบัติ"
หนังสือแต่ละเล่มนักเขียนทุกคนตั้งใจที่จะรังสรรค์ออกมาให้ผู้คนนั้นได้อ่านกัน อยากให้ทุกคนช่วยเป็นหูเป็นตาแก่นักเขียนเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธฺด้วยนะคะ เพราะแต่ละเล่มนั้นกว่าจะได้มาใช้เวลานานเป็นปี ๆ ค่ะ
PS. ทอใยรัก สองแผ่นดิน อยากบอกรักเธอทุก ๆ วันที่คิดถึง รักทุกคนนะคะ
อืมแต่จริงๆนะ ยุคนี้ คนจะซื้อจากสนพ. เยอะ ดูเป็นหลักไว้ก่อน
ก็คิดดูสิ ง่ายๆ คงมีหลายคนที่ แบบ แจ่มใสออกมากี่เล่มซื้อแทบหมด หรือ ว่าคนชอบนิยายญี่ปุ่น เจ บุคส์ของ บลิส ออกอะไรมา บางทีอาจจะห่วยก็ได้ แต่หน้าปกมันก็เหมือนๆกัน ก็ซื้อหมด เพราะนักเขียนมันดีไม่ดี เราก็ไม่รู้จัก สำนักพิมพ์ก็ว่าดีหมดอยู่แล้ว
บางทีต้องอาศัยการทดลองอ่านค้นคุณค่าดู
เราก็ยึดสำนักพิมพ์เป็นหลักเหมือนกันนะ คือตอนแรกอ่านหนังสือของสำนักพิมพ์นึง มันจะทยอยออกมาจนครบชุด
ทีนี้เล่มแรกมานก็พออ่านได้น่ะนะ (สนุกแต่ภาษาไม่ค่อยดี) พออ่านไปถึงเล่ม 4
มันก็รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ทนอ่านไม่ได้แล้ว ภาษาไม่พัฒนาเลย แย่ลงอีกแน่ะ
จากนั้นมาเราเข็ดมากๆ เสียดายตังค์ด้วย พอเจอหนังสือสำนักพิมพ์นี้ก็เมินเลย
อีกสำนักพิมพ์นึงจะอ่านทุกเล่มที่เขาออก แต่หลังๆเซ็งชะมัด ผิดหวังๆ ออกมาได้ไงพล็อตคล้ายๆกันตั้ง 3-4 เรื่อง
คุณภาพก็น้อยลงๆ เฮ้อออออ
ผมซื้อหนังสือเกือบทุกเล่มที่ลองอ่านดูแล้วคิดว่ามันสนุก..ถึงแม้ว่าพล็อตมันจะซ้ำๆกันก็เถอะ แต่เมื่อเราได้อ่านหนังสือหลายๆเล่มและซึมซับจินตนาการของคนเขียนเข้าไป ผมว่ามันก็คุ้มค่านะ...
PS. Ich wusche euch,[Alle gute im Zukuft!!!]
เห็นด้วย และโดนกับคำพูดนี้อย่างแรง
PS. love is war. Easy to sTart ,but HarD To StOp
แจ่งจังงงง....
PS. ชั้นจะไม่ทำให้นายเสียใจคาโล นับแต่นี้และตลอดไป..... ......I LovE U Kalo WanEblI ThE PrinCE oF KaNovaL
อ่า~ คุณคิดเหมือนหนูไม่มากก็น้อยเจ้าค่ะ
หนูก็ชอบเหมือนกันหนังสือเก่าๆ ทั้งคนไทยเขียนแล้วก็แปลด้วย
สนุกๆเจ้าค่ะ...
แล้วก็หนูโรคจิตมังเจ้าคะ...
หนูชอบจับหนังสือที่มันเก่าๆขาดๆ เน่าๆ น่ะ....หนูว่ามันอ่านสนุกมากกก...ที่สุด
เอ้อ ไปเห็นแวววันตีพิมพ์ใหม่มา สวยๆดีเจ้าค่ะๆ (นอกเรื่องและ) แต่ยังไงก็ชอบปกเดิมมากกว่า
ถึงมีหลายเล่มที่ไม่ขาดน่ะก็ไม่อ่านนะเจ้าคะ คือยิ่งเละแค่ไหน มันให้ความรู้สึกว่า ยิ่งสนุกมากเท่านั้น
ห้องสมุดนี้ใคร จอง อ่า~ ก็ต้องสุดสายป่านนี่แหละเจ้าค่ะ หมายถึงแผงหนังสือเก่าๆข้างล่างอ่ะนะเจ้าคะ
คือเหมือนหนังสือเก่าๆเนี่ย มันแทรกข้อคิด มันให้"อะไรๆ" ที่หนูก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
อาจเป็นเพราะ...ได้รู้ชีวิตของคนสมัยก่อน ...ไม่อ่ะ..ไม่ใช่เจ้าค่ะ
แต่เวลาอ่านนี่เพื่อนว่านะเจ้าคะ เชย แก่ คุณป้า คุณยาย
แต่หนูก็บอกแล้ว...ว่า มันให้อะไรๆ ที่บอกไม่ถูก...
คือบางทีก็มีคำที่พูดออกไปแล้วคนอื่นทึ่งเหมือนกันนะเจ้าคะ
ประมาณว่า "นี่มันคิดได้ยังไง" ก็ต้องรีบตอบเจ้าค่ะ "เอามาจากหนังสือเว้ย"
หนูว่าหนูอ่านหนังสือแล้วได้อะไรเยอะนะเจ้าคะ (แอบภูมิใจ)
อย่างตอนนี้หนูอ่านเรื่อง ทุติยะวิเศษ อยู่ ...
ยิ่งอ่านก็ยิ่งคุ้นๆเจ้าค่ะ....คล้ายๆกับบ้านเมืองเราที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้
มีหลบ มีไล่...โอ๊ย พัลวัน
ก็...ศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อเอาไปใช้ในอนาคต....ไงเจ้าคะ
เพราะว่า...เผื่อวันนึง ประวัติศาสตร์จำซ้ำรอย ย้อนรอยอะไรประมาณนี้...
(อันนี้ก็อีกน่ะแหละ อ่านมาจากเรื่องความลับบนแหลมไซไน)
อ่า...ส่วนมากมาบ่นเรื่องหนังสือเก่ามากกว่าเนาะ ... ไม่ค่อยเกี่ยว กับกระทู้สักเท่าไหร่
(เฮ้!..ก็เกี่ยวนิดนึงน่า) .... ๕๕๕๕๕๕๕
PS. แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์ อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี!
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?