Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ความสามารถพิเศษทางพลังจิตที่เกิดจากการทำสมาธิ ของน้องริชชี่’

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

หากใครได้ติดตามคอลัมน์ VIPในฉบับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เรื่องราวการเลี้ยงลูกจากคุณแม่กรทอง อริยทรัพย์กมล นั้นน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งเป็นการปลูกฝังความคิดที่ดีงามส่งเสริมให้ลูกเป็นคนดีของสังคมให้เป็นคนเก่งที่มีครบทั้งไอคิว และอีคิว

     สำหรับ VIP ฉบับนี้เราจะมาต่อยอดเรื่องราวที่ยังคงค้างคาใจอยู่นั่นคือเรื่องราวของลูกชายคนเล็กของคุณแม่กรทอง ‘น้องริชชี่’ พีระวัฒน์ อริยทรัพย์กมล ซึ่งมีสัมผัสพิเศษที่ได้รับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการนั่งสมาธิ ทำให้มีพลังจิตในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นเรื่องราวที่ยากจะหาคำอธิบายได้สำหรับยุคปัจจุบันแต่ก็คงจะไม่เสียหายอะไรถ้าหากจะนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงนี้มาเล่าสู่กันฟัง

     ริชชี่ เด็กหนุ่มวัย 22 ปี ที่มีชีวิตเหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปแต่สิ่งพิเศษที่ทำให้เค้าแตกต่างกว่าใครหลายคนก็คือ ความสามารถพิเศษทางพลังจิตที่เกิดจากการทำสมาธิ และอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องราวความสามารถพิเศษของริชชี่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขามีอายุได้ 13 ปี สมัยนั้นน้องริชชี่ เรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่

     “ผมเคยไปฝึกสมาธิโดยการเดินจงกรมที่วัดตอนนั้นอายุประมาณ 13 ปี แต่รู้สึกว่าไม่ชอบจึงหันกลับมานั่งสมาธิที่บ้านซึ่งรู้สึกว่ามันสงบและสามารถทำสมาธิได้ง่ายกว่า หลังจากนั้นผมก็นั่งสมาธิมาเรื่อยๆ เพราะเป็นสิ่งที่ครอบครัวปฏิบัติมาตลอด”

การนั่งสมาธิเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่ชาวพุทธเราปฏิบัติ แต่มันเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นกับริชชี่

     “อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ผมนั่งสมาธิอยู่นั้นก็รู้สึกว่าตัวเอนไปข้างหลังแล้วก็นอนลงไปหลังจากนั้นมือก็เริ่มค้างและยกอยู่อย่างนั้นตลอด ซึ่งขณะที่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นผมรู้ตัวตลอดและจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ คนในบ้านก็ไม่ได้สนใจอะไรนึกว่าแกล้งทำเล่น จนกระทั่งผมถามตัวเองไปว่า….ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้?”

     มีเสียงหนึ่งตอบกลับมาเป็นเสียงก้องอยู่ในหู เป็นเสียงที่มีแต่ริชชี่คนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน “เราคือองค์นารายณ์” คำถามและข้อสงสัยมากมายก็ถาโถมเข้ามาในห้วงความคิดนั้นทันที แต่เสียงที่ก้องเข้ามาในหูเสียงนั้น ก็ได้ตอบคำถามทุกๆ ข้อจนหนุ่มน้อยหายสงสัย น้องริชชี่อธิบายว่าเป็นเพราะความที่ที่บ้านของริชชี่เองไม่เคยได้รู้จักกับองค์นารายณ์มาก่อน ทั้งบ้านนับถือศาสนาพุทธ มีแต่เข้าวัดทำบุญและปฏิบัติธรรมเป็นปกติ ไม่เคยศึกษาความเชื่อทางพราหมณ์มาก่อนรวมทั้งไม่เคยรู้จักกับเทพทางฮินดูเลย จึงไม่รู้ว่าองค์นารายณ์เป็นใคร แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นน้องริชชี่จึงได้มีโอกาสไปยังวัดซึ่งมีองค์ประทับอยู่และได้ทราบเรื่องราวขององค์เทพที่ยิ่งใหญ่ผู้นี้
มาถึงตอนนี้หลายท่านคงเกิดความคิดขึ้นมาแล้วว่าน้องริชชี่คงจะต้องเป็นร่างทรงแน่นอน ซึ่งน้องริชชี่ก็ได้ให้คำตอบมาแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นร่างทรง ไม่ได้เข้าทรงใดๆทั้งสิ้นเพราะตัวริชชี่เองมีความสามารถทางพลังจิตเป็นของตัวเอง กล่าวคือ ร่างทรงนั้นต้องให้องค์มาประทับจึงจะมีพลัง การทำสมาธิของร่างทรงจะมาจากการทำสมาธิที่ปราศจากสติ คือถูกครอบคลุมไม่สามารถมีสติเหนือจิตวิญญาณที่มาประทับร่างได้ต้องปล่อยให้จิตวิญาณนั้นๆดำเนินการทุกอย่างเอง แต่สำหรับริชชี่แล้วการทำสมาธิต้องให้จิตมีสติและที่สำคัญสามารถใช้พลังจิตได้เองโดยไม่จำกัดสถานที่ และเวลาแต่ต้องเป็นสถานที่สงบ และไม่ต้องมีการทำพิธีใดๆ

     “คนที่เป็นร่างทรงนั้นเค้าจะไม่รู้ว่าทำอะไรลงไประหว่างที่ถูกเข้าทรงไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะได้เพราะถูกสิ่งอื่นเข้ามาครอบงำจิตใจ แต่ว่าผมรู้เรื่องทุกอย่างในสิ่งที่ผมได้ทำลงไปผมสามารถสื่อสารกับองค์นารายณ์ได้หากมีข้อสงสัยซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากร่างทรง”

     เนื่องจากความสามารถของริชชี่ไม่ได้เกิดจากการศึกษา แต่เป็นได้ด้วยตัวเองอันเนื่องมาจากอดีตชาติ
และความผูกพันธ์ที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ ดังนั้นริชชี่เองจะไม่ทราบความหมายที่เป็นภาษาบาลีเพียงแต่จะรู้ว่าเขาทำอะไรได้บ้างแต่ไม่ทราบว่าภาษาบาลีนั้นเรียกว่าอะไร เรื่องราวที่ริชชี่ได้ใช้พลังจิตช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้นมีหลายเรื่อง

น่าเสียดายที่ไม่สามารถนำมาเขียนได้หมดคงเป็นเพียงบางเรื่องที่ได้เลือกมาเท่านั้น

 

มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ได้เกิดขึ้นเหมือนให้รู้ว่าปาฏิหารย์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง

 

     "วันหนึ่งขณะนั่งเรียนหนังสืออยู่ ตอนนั้นริชชี่อยู่ประมาณชั้น ม.5 ไม่นานนักก็มีเพื่อนนักเรียนเข้ามาที่ห้องเรียน และได้ขออนุญาตคุณครูขอให้ริชชี่ไปช่วยพี่ชายของเขาที่ประสบอุบัติเหตุ อยู่ที่โรงพยาบาลบังเอิญว่าที่โรงเรียนตอนนั้นทุกคนทั้งเพื่อนนักเรียน และครูบาอาจารย์จะทราบดีว่าริชชี่มีความสามารถทางพลังจิตที่จะสามารถช่วยเหลือได้ จึงอนุญาตให้ริชชี่ไป ปรากฎว่าเมื่อไปถึงทางโรงพยาบาลแจ้งว่าคนไข้น่าจะเสียชีวิตไปแล้วเพราะไม่หายใจ หัวใจไม่เต้น แต่แปลกที่ร่างกายยังอุ่น เมื่อริชชี่ไปถึงก็เห็นว่าจิตวิญญาณของพี่ชายเพื่อนยังพยายามที่จะเข้าร่างอยู่ ซึ่งสามารถเข้าได้เพียงท่อนล่างแต่ท่อนบนจากอกขึ้นมาไม่สามารถเข้าได้

     หลังจากออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว 10 วัน คุณพ่อของคนไข้ก็ยังสามารถอาบน้ำให้โดยร่างกายนั้นไม่ได้ฉีดฟอร์มา

ลีน ไม่มีกลิ่นเน่าใดๆ มีแต่ตัวอุ่นๆ ที่อ่อนนุ่มสามารถนั่ง งอ และยกแขนขาได้ ผิวพรรณผุดผ่องเป็นปกติ ผมและเล็บก็ยังงอกอยู่ดูแล้วเหมือนคนที่นอนหลับไปมากกว่า เป็นอย่างนี้จนกระทั่งถึงเวลาที่กำลังจะต้องเผาศพ

     ริชชี่มองเห็นแล้วว่าถึงจะช่วยให้เขาเข้าร่างได้แต่พี่ชายเพื่อนคงไม่สามารถกลับมาเป็นอย่างเดิมได้เพราะสมองถูกกระทบกระเทือนอย่างมากจนไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ ในที่สุดจึงบอกให้ดวงวิญญาณเขาทำใจเพราะถึงเข้าร่างได้ก็ไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม

     ในช่วงที่ทางบ้านได้จัดงานศพให้เขาแต่ใช้โลงเปล่า ส่วนร่างจริงอยู่ในบ้าน น้องริชชี่ก็ไปอยู่ด้วยตลอดเวลาเพราะต้องช่วยสื่อสารระหว่างพี่ชายเพื่อนที่เป็นจิตวิญญาณกับพ่อแม่ ในที่สุดดวงวิญญาณของเขาก็ปลงและยอมที่จะทิ้งร่างไป โดยก่อนจะไปดวงวิญญาณได้เปิดประตูห้องให้ทุกคนเห็น เพื่อเป็นสัญญาณบอกลาและให้ทราบว่าเขาอยู่ที่นี่จริงๆ และเรื่องทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นแล้วนั้นล้วนเป็นอนุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้เกิดขึ้นจริงกับเขา" บางครั้งเรื่องราวเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นจริงและไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะอะไร การที่คนเราตายไปแล้วถึง 10 วัน แต่ร่างกายไม่เน่าสลายกลับยังคงอ่อนนุ่ม อบอุ่นเหมือนมีชีวิตไม่มีผิดนั้นขัดแย้งกับหลายๆ ทฤษฎี แม้ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ คงมีก็แต่ความเชื่อที่ทำให้ทุกคนได้รู้ว่าปาฏิหารย์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง"

นอกจากเหตุการณ์นี้แล้วยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากเจ้ากรรมนายเวร

     “ตอนนั้นน้าผมมาเยี่ยมที่บ้าน และบังเอิญพาเพื่อนที่กำลังไม่สบายหนักมาด้วย ปรากฏว่าทันทีที่เค้าทั้งสองเดินเข้ามาในบ้านผมก็เห็นว่ามีวิญญาณตามคนที่ไม่สบายมาผมจึงพาขึ้นไปบนห้องพระแล้วนั่งสมาธิคุยกับองค์นารายณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะได้คำตอบว่า จริงๆ แล้วร่างกายของเพื่อนน้าคนนี้ก็ปกติดีแต่ที่ไม่สบายหนักก็เพราะกำลังโดนเจ้ากรรมนายเวรตามอยู่หลังจากนั้นองค์นารายณ์ก็อธิบายวิธีการที่จะจัดการกับเจ้ากรรมนายเวรซึ่งผมได้ทำตามจนเพื่อนน้าคนนั้นหายดี”

จากเรื่องราวทั้งสองนี้ริชชี่ได้อธิบายให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องเจ้ากรรมนายเวรว่า


     “คนเราทุกคนมีกรรมตั้งแต่ชาติปางก่อนซึ่งมาในชาตินี้เราก็ไม่สามารถจำได้เลยว่าเราเคยไปทำอะไรไว้กับใครให้เกิดความอาฆาตแค้นจนเป็นผลกรรมมาถึงในชาตินี้ ซึ่งเค้าคนนั้นก็จะตามหาเราแล้วก็กระทำกับเราจนถึงตายหรือทรมานจนกว่าเค้าจะพอใจ พอเราตายไปแล้วเจ้ากรรมนายเวรก็จะเข้ามาคุยกับเราว่าชาติก่อนเราเคยทำกับเค้าไว้ชาตินี้จึงต้องมาเอาคืน ถ้ายอมความกันได้ก็จบกันไปแต่ถ้าไม่ยอมเราก็จะกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรเค้าไปในชาติภพหน้า”

 

     เรื่องของริชชี่กลายเป็นการบอกต่อแบบปากต่อปากและรู้จักกันอย่างกว้างขวาง จึงมีผู้ที่มีปัญหามาพบริชชี่เพิ่มมากขึ้นซึ่งถ้าวันไหนว่างจากการเรียนก็จะมีนัดที่จะช่วยเหลือยาวเป็นหางว่าว ขณะนั้นแม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดแต่ก็มีคุณแม่คอยให้กำลังใจตลอดเรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงกรณีน้องน้องชิว นักศึกษามหาวิทยาลัยปี 3


     “กรณีน้องน้องชิวนี้เค้าขี่รถมอเตอร์ไซค์แล้วถูกรถชนหัวไปฟาดกับพื้น เพื่อนเค้าซึ่งรู้จักผมก็ขอให้ไปช่วย พอไปถึงที่โรงพยาบาลเพื่อไปดูอาการน้องเค้าก็เห็นว่ามันเป็นกรรมที่ทำไว้เมื่อชาติก่อนคือน้องชิวกำลังแย่งของกับผู้หญิงคนนึงที่ราวบันได แต่เกิดพลาดผู้หญิงคนนั้นตกลงบันไดไปซึ่งภาพก็หยุดอยู่แค่นั้นผมจึงเดาว่าหัวอาจไปฟาดกับอะไรสักอย่างพอมาถึงชาตินี้เจ้ากรรมนายเวรต้องการเอาคืนและถ้าแก้กรรมไม่ทันอาจถึงขั้นตายก็ได้”

 

     หลังจากนั้นริชชี่จึงให้เพื่อนไปบอกกับพ่อแม่ของน้องชิวถึงวิธีการแก้กรรมดั่งกล่าวโดยใช้วิธีนั่งสมาธิ เป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะทำได้ในตอนนั้น ซึ่งถือเป็นโชคดีที่พ่อแม่ของน้องชิวมีพื้นฐานการนั่งสมาธิอยู่แล้วจึงนั่งแก้กรรมแทนลูกสาวจนหายเป็นปกติ ซึ่งอันที่จริงอาการขนาดนี้หมอบอกว่าต้องใช้เวลาพักฟื้นค่อนข้างนานแต่ น้องชิวใช้เวลาไม่ถึง 3 เดือน ก็กลับมาเป็นปกติ แม้จะหายเป็นปกติทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือสิ่งที่น้องชิวพูดขึ้นหลังจากที่เค้าหายเป็นปกติ โดยผมฟังทั้งคำบอกเล่าของริชชี่และพ่อของน้องชิวว่า “คืนวันนั้นเป็นคืนก่อนวันสอบซึ่งน้องชิวก็เข้านอนที่หอพักตามปกติ แล้วฝันว่าขี่รถออกไปซึ่งตัวเองก็ไม่ได้สนใจอะไรพอเช้าก็แต่งตัวไปสอบซึ่งขณะที่สอบนั้นไม่มีใครสนใจน้องชิวเลยพูดกับใครก็ไม่มีใครตอบกลับ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรพอสอบเสร็จก็กลับพอน้องชิวกลับไปที่หอก็เจอพ่อมาเก็บของที่ห้องจึงถามพ่อไปว่า “พ่อมาเก็บของทำไม” แต่พ่อก็ไม่ได้ตอบกลับ น้องชิวจึงเริ่มสงสัยและเดินตามพ่อลงมาเรื่อยๆ ประจวบเหมาะพอดีกับเจอแม่บ้านที่ชั้นล่าง พ่อจึงบอกกับแม่บ้านว่า “ผมมาเก็บของลูกผมนะ ลูกผมไม่สบายนอนอยู่โรงพยาบาล” สิ้นประโยคนี้น้องชิวกระวนกระวายใจมากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะตัวเองก็ยังยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ จึงตามพ่อมาจนถึงโรงพยาบาลแล้วก็พบร่างตัวเองนอนอยู่บนเตียงผมถูกโกนติดหนังหัวพร้อมที่จะผ่าตัดหลังจากนั้นก็หมดสติไป มารู้เรื่องอีกทีตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว”

     ไม่น่าเชื่อว่าการกระทำของเจ้ากรรมนายเวรจะส่งผลได้รุนแรงและน่ากลัวขนาดนี้แล้ว ถ้านึกถึงคนทั่วไปที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าปัญหาที่เขาได้พบอยู่นั้นแท้จริงแล้วเกิดจากเวรกรรมที่ได้เคยทำไปจะน่าสงสารเพียงใด เป็นอย่างนี้แล้วจึงเกิดข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับวิธีการนั่งสมาธิเพื่อช่วยแก้กรรมของตนเองว่ามีวิธีการอย่างไร ริชชี่จึงอธิบายให้ฟังว่า

     “การที่คนเราจะมีสมาธิได้นั้นต้องมีพื้นฐานของความดีเป็นทุนเดิมก่อนก็คือการให้ทานและรักษาศีล 5 ตรงจุดนี้จะทำให้การนั่งสมาธิของเราง่ายยิ่งขึ้น โดยวิธีการนั่งสมาธินั้นให้เราทำจิตใจให้สงบเหมือนตอนใกล้จะนอนหลับเพราะว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่จิตใจสงบไม่ค่อยคิดอะไรมากแต่ต้องมีสติรู้ว่าตอนนี้เรากำลังนั่งสมาธิอยู่มีสติรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้างหลังจากนั้นจิตเราก็จะนิ่งพอที่จะสื่อถึงเจ้ากรรมนายเวรได้”

คนเราหากมีสมาธิเราก็จะมีปัญญาสามารถหาทางออกให้กับปัญหาที่มืดแปดด้านได้อย่างน่าอัศจรรย์

     เพราะขณะที่เรามีปัญหาสุมอยู่เต็มอกจะทำให้จิตใจของเราว้าวุ่นจับต้นชนปลายไม่ถูกและไม่สามารถหาทางออกได้
แต่หากเราสามารถสงบใจไม่ให้ว้าวุ่นไปตามปัญหาที่มันเป็นอยู่ ปัญญาก็จะเกิดและในเมื่อมีปัญญาแล้วเราก็จะได้พบกับทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งตรงนี้เป็นประโยชน์ของสมาธิที่ใครก็สามารถนำไปยึดถือและปฏิบัติได้ นอกจากปัญญาจะเกิดแล้วคุณสามารถที่จะแก้กรรมที่ตนได้ก่อขึ้นมาทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวซึ่งริชชี่ได้อธิบายถึงขั้นตอนการนั่งสมาธิเพื่อแก้กรรมไว้ว่า

     “การนั่งสมาธิแก้กรรมนั้นเราสามารถทำกันได้ทุกคนแต่มีข้อแม้ว่าต้องทำเฉพาะช่วงกลางวันระหว่าง 6 โมงเช้าไปจนถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น เพราะหากทำนอกเหนือเวลาดังกล่าวโอกาสที่เราจะสื่อถึงเจ้ากรรมนายเวรนั้นก็มีแต่โอกาสที่จะถึงสิ่งอื่นก็มีด้วย สิ่งที่ว่านี้ก็คือ “สัมภเวสี” หรือพวกวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีพลังเป็นของตัวเองเนื่องจากตอนที่มีชีวิตไม่เคยปฏิบัติสมาธิ พอตายไปก็ไม่สามารถรวบรวมจิตที่แตกไปให้กลับมารวมกันได้ พอเค้าเห็นว่าใครกำลังทำสมาธิก็จะมาขอผลบุญ ถ้าเค้ามาถึงก่อนเจ้ากรรมนายเวรของเราก็เท่ากับว่าการนั่งสมาธิครั้งนั้นไม่มีค่าอะไรเลยอีกทั้งยังอาจส่งผลเสียอีกด้วย เนื่องจากวิญญาณเร่ร่อนที่จ้องมาเอาผลบุญจากเรานั้นไม่สามารถเอาไปได้เพราะการทำสมาธิผู้ที่ทำจะได้รับผลบุญเองไม่สามารถแบ่งให้ใครได้ พอเค้ามาเอาผลบุญจากเราไปไม่ได้ก็อาจจะเกิดความแค้นและตามเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราต่อไปก็ได้กลับกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี”

     เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่าใครทำกรรมใดไว้คนนั้นก็ต้องชดใช้เอง ซึ่งถ้าหากใครสนใจแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรผมก็มีคำอธิฏฐานให้กับเจ้ากรรมนายเวรจากริชชี่มาฝากกัน ก่อนเริ่มอธิฏฐานต้องทำจิตใจให้นิ่งเพื่อที่จะสามารถส่งจิตไปยังเจ้ากรรมนายเวรได้ง่ายขึ้น เพราะเจ้ากรรมนายเวรจะมีทั้งที่เป็นวิญญาณและคนที่ยังมีชิวิตอยู่โดยในคำอธิฏฐานนั้นเราสามารถใส่ชื่อของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ลงไปได้เพื่อที่พลังจิตของเราจะส่งถึงจิตลึกๆ ของเค้าไม่ให้จองเวรเราต่อไป


ถ้าเป็นกรณีของวิญญาณก็ให้กล่าวคำอธิฏฐานตามนี้ไปเลย


     “ถึงเจ้ากรรมนายเวรของลูก ขณะนี้ลูกชื่อ นาย,นาง,นางสาว............ .......นามสกุล............ ...กำลังทำสมาธิถึงเจ้ากรรมนายเวรของลูกอยู่ ซึ่งไม่ว่าเจ้ากรรมนายเวรของลูกจะเป็นคนใกล้ตัว สัตว์ใกล้ตัว เทวดาใกล้ตัว ทั้งที่มีชีวิตอยู่และดับสูญกลายเป็นจิตวิญญาณเป็นเทพแล้วก็ตามชาตินี้ ภพนี้กับชาติที่แล้ว ก็เหมือนกับเป็นคนละคนกันแล้ว แต่ผลกรรมยังตามมาตอบสนองอยู่ตอนนี้ลูกได้รับรู้แล้วว่าผลกรรมมีจริงจากการที่ลูกประสบปัญหาต่างๆ (บอกปัญหาหรือโรคที่เกิดขึ้นกับตัวให้ละเอียด) ซึ่งลูกรู้แล้วว่ามันเจ็บปวดเพียงใด มาบัดนี้ได้รับรู้ผลกรรมที่ลูกได้กระทำไว้กับท่านในอดีตชาติแล้ว ลูกสำนึกบาปแล้ว ลูกจึงขอทำสมาธิเพื่อแสดงให้เจ้ากรรมนายเวรเห็นว่าลูกได้สำนึกผิดแล้ว โดยการทำสมาธินี้ไม่ใช่การทำเพื่อเอาผลบุญให้ท่านแต่เป็นการทำเพื่อให้รู้ว่าลูกสำนึกบาป บุญ คุณ โทษ กรรมเวรต่างๆ ที่ลูกได้ทำแล้ว เพราะผลบุญถ้าใครอยากได้ท่านต้องปฏิบัติเอง โดยการทำความดี ทำสมาธิ ถือศีล 5 โดยถ้าท่านพอใจการทำสมาธิขอให้ท่านนำเอาสิ่งที่ทำทิ้งไว้กับลูกกลับคืนไปด้วย โดยให้อาการและปัญหาต่างๆ ของลูกได้หายเป็นปลิดทิ้งโดยลูกจะขอนั่งสมาธิ ณ บัดนี้”

 

     การนั่งสมาธินั้นจะใช้เวลานั่งกี่นาทีก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ขึ้นอยู่ที่ความสมัครใจและความตั้งใจด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งสำคัญที่ริชชี่ฝากบอกให้กับทุกคนคือ อยากให้ทุกคนหันมาแก้กรรมกัน เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น มันอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่ที่เจ้ากรรมนายเวรมาเจอเราหรือตอนนี้เค้าเจอเราแล้วแต่รอโอกาสเอาคืนอยู่ผู้ที่ได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวของน้องริชชี่ตอนนี้หากมีความเครียดและปัญหามากมายเต็มอกลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดู...ถือเป็นที่พึ่งทางใจที่ก็ไม่เสียหายอะไรไม่ต้องเฉพาะคนที่มีปัญหาคนที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรก็ทำได้ครับ กันไว้ดีกว่าแก้ เพราะสิ่งสำคัญนั่นคือ

 

“ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั่นแล คือสิ่งที่ดีที่สุด ” 



From : http://www.fwdder.com/topic/11104

แสดงความคิดเห็น

>

7 ความคิดเห็น

karin<f>e Community Master 16 ต.ค. 50 เวลา 21:05 น. 1

เราก็ได้ดูวีไอพี เราไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้นะ 
แต่พอดูวีไอพีแล้ว รู้สึกว่าเราควรต้องทำดี แล้วคิดถึงคนอื่(สัตว์อื่น)มากขึ้นจริงๆนั้นแหละ
คือ อย่างน้อยไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องเจ้ากรรมนายเวรจริงๆหรือไม่ก็ตามอะนะ แต่การที่เราทำเรื่องต่างๆเบียดเบียนคนอื่น โดยที่รู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนจริงๆนั้นแหละ ซึ่งถ้าสมมติว่าใครที่เราไปทำเค้า ไม่ต้องรอเรื่องเจ้ากรรมนายเวรเลย เกิดเค้าแค้น แล้วมาแก้แค้นเรา วางระเบิดใส่เรา ราดน้ำกรดใส่เรา เราก็เดือดร้อน สังคมก็เดือนร้อน ถูกไหมล่ะ เรื่องธรรมดาสามัญทั้งนั้น


PS.  เยาวชนก้าวไกล อนาคตสดใส ประเทศไทยรุ่งเรือง
0
เจ้าวายร้าย นัสคุง 16 ต.ค. 50 เวลา 21:50 น. 2
เมื่อวานเราดูด้วยแหละ
นั่งดูจนจบเลย
เราว่ามันก็จริงนะ 
เหมือนเราจะมีเซ่นนะ
คิดไปเองอ่ะป่าวเนี้ย???
คิดไม่ออกว๊ะ

PS.  ใครคิดว่ามีรูปน่าร๊าก น่ารัก มาดูกันเลย:[
0
ป๊อบอาย 11 ก.ค. 51 เวลา 10:09 น. 7

ดี จัง เนาะ แต่ ถ้า เราปฏิบัติ แบบ นั้น มา ตลอด ตั้ง แต่ เด็ก เรา ก็ คงทำ ได้ เหมือนกัน อาจ มากกว่า ด้วย ซ้ำ แต่ว่า ตอน อยู่ ป.6

เรา ดัน ไปเล่น อวิชา เข้า ทำให้ไม่ สนใจ ในเรื่อง จิต สมาธิ ก็ เลย ศูนย์ เสีย ความสามารถ ทาง จิต ไป โดย ที่ ไม่ รู้ ว่า ตัว เอง มี

กลับ มาคิด ได้ ก็ ตอน อยุ่ ม.3 ก็ สาย ไป สะ แล้ว จาก นี่ ไป จะ ขอ ฝึก ใหม่ เพื่อ จะ ดึงความสามารถ กลับ มา ทั้งเรื่องที่เรามาเกิด

เพราะ อะไร เรา ต้องทำอะไร บ้าง เพื่อช่วย คน ต่างๆเล่า นั้น ^^

0