Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เกย์

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

       แรงกระเพื่อมของบรรดา 'นักรักร่วมเพศ' ในเวลานี้คงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาตลอด หลังจากทางการของประเทศสิงคโปร์มีคำสั่งห้ามจัดเทศกาลเกย์-เลสเบี้ยนนานาชาติ เหตุผลเนื่องมาจากการจัดงานดังกล่าวเป็นตัวต้นเหตุของการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรที่ติดเชื้อเอดส์ แม้ว่าบรรดาเกย์ทั้งหลายจะออกมาตอบโต้ว่าการจัดงานไม่ใช่สาเหตุการแพร่กระจายของผู้ติดเชื้อร้ายก็ตาม  
            
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เทศกาลยอดนิยมของชาวเกย์และเลสเบี้ยนในปีนี้ ต้องเปลี่ยนมาจัดที่ จ.ภูเก็ต ในวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2548 โดยหวังเพียงว่าต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวเกย์เข้ามาประเทศมากขึ้น และเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้มีการจัดประชุมวิชาการเกย์โลกที่ประเทศไทยผ่านไปหมาดๆ

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันประเทศไทยให้การยอมรับในเรื่อง 'ความหลากหลายทางเพศ' มากขึ้น ดังนั้นหนังสือเกี่ยวกับกลุ่มรักร่วมเพศก็เกทัพออกมาเช่นกัน บางเล่มถึงกับขายดิบขายดี เพราะคนทั่วไปต้องการเรียนรู้พฤติกรรมและธรรมชาติของเกย์มากขึ้น พูดง่ายๆ ว่าต้องการรู้วิธีจับผิดชายที่มีรสนิยมไม้ป่าเดียวกันได้ง่ายขึ้นนั่นเอง เพราะน้อยคนที่จะหาญกล้าออกมาประกาศปาวๆ ว่าตัวเองเป็นเกย์ต่อสาธารณชน

คำถามสำหรับผู้หญิงที่ว่า 'คุณเคยหลงรักเกย์ไหม?' และถ้าคุณตอบว่า 'ฉันเคย' คำพูดของเกย์แถวหน้าที่ออกมาประกาศตัวผ่านหนังสือ 'แม่ครับ ผมเป็นเกย์' เล่มนี้ น่าจะทำให้คุณผู้หญิง (ชะนี) ทั้งหลายได้เข้าใจ และเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างผ่านคำบอกเล่าของพวกเขา

นที ธีระโรจนพงษ์ หัวหน้ากลุ่มเส้นสีขาว ที่มีสโลแกนประจำตัวว่า 'ชายฟันชายคือยอดชาย' และถือเป็นเกย์การเมืองที่ประกาศตัวชัดเจนว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในปีหน้า เขามองสถานภาพของเกย์ในประเทศไทยว่า

"ภาพเกย์ที่ออกมายังเป็นเกย์บ้าๆ บอๆ เกย์เพี้ยนๆ พวกเกย์ที่ทำละครและเขียนบทละครแทนที่จะเขียนภาพเกย์หรือบทละครดีๆ ที่มันทำให้เกิดการสร้างสรรค์และยุติธรรม กลับเอาบทบาทบ้าๆ บอๆ บทบาทที่เป็นเหมือนคนเป็นโรคจิต ทำให้สังคมเกิดความไม่เข้าใจ ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมชุ่ยๆ วัฒนธรรมที่เลวร้าย คนรังเกียจเกย์มากขึ้น เพราะฉะนั้นคิดว่าวัฒนธรรมมันเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพวกเราต้องช่วยกัน เราอยากได้วัฒนธรรมดีๆ มันก็ส่งผลงานดีๆ ออกมา ถ้าเราอยากได้วัฒนธรรมชั่วๆ เราก็ส่งผลงานเลวๆ ออกมาให้คนได้เอาแบบ เหมือนกับเรายอมรับว่าผู้หญิงจูบกับผู้ชายบนถนน ถ้าเรายอมรับอันนั้นลองดูสิว่าเด็กผู้หญิงผู้ชายวัยรุ่นเขาจะเอาเป็นแบบอย่างไหม"

และประกาศดังๆ ต่อว่า "ถ้าเราเปิดโอกาสให้สังคมเสนอแต่เรื่องภาพลบ วัฒนธรรมเกย์ก็จะออกมาเป็นภาพลบ ซึ่งสังคมก็คงไม่ชอบ แต่ถ้าเรามานั่งคุยกันแล้วให้ภาพมันออกมาเป็นภาพบวก ผลมันออกมาก็คือคนที่เป็นเกย์ก็จะออกมาเป็นภาพบวก คนรุ่นใหม่ๆ ก็เอาตามอย่างรุ่นเก่าๆ ปัจจุบันเราลุกขึ้นมา เพื่ออยากจะชี้แจงว่าอยากจะให้สังคมมองเห็นพวกเกย์เป็นลักษณะที่มีสาระ อย่างน้อยเราได้ทำงานให้สังคม ได้มองอีกมุมหนึ่งว่าเกย์ไม่ได้เพียงแค่ทำอะไรหวือหวา วี้ดว้าย กระตู้หู้เท่านั้น แต่ยังมีเกย์จำนวนหนึ่งซึ่งมีความคิดถึงขั้นจะเอาเรื่องราวของบ้านเมืองมาเป็นสาระ ถึงขนาดลงทุนด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่พื้นฐานมันก็ต่ำกว่าคนอื่นมากอยู่แล้ว เหนื่อยก็ต้องทำ เราไม่ยอมจำนนว่าจะต้องถูกตีกรอบ"

ก่อนหน้านั้นเขาเคยเขียนหนังสือเล่าเรื่องราวชีวิตเกย์ของเขาลงใน 'แกะกล่องเกย์' และ 'กว่าจะก้าวข้ามเส้นสีขาว' หนังสือที่ผู้หญิงไทยต้องเรียนรู้ และเกย์ไทยต้องเลิกลวงผู้หญิง (เหมือนประกาศกลายๆ ว่าให้หันมาบริโภคพวกเดียวกันเถอะ) และมีแนวคิดอยากให้เกย์เป็น 'กุลเกย์' เหมือนเป็นกุลบุตร กุลธิดา อะไรทำนองนั้น

ถ้ามองหนังสือเกย์ตอนนี้จะเห็นว่ามีคนให้ความสนใจมากขึ้น เขามองว่า "กลายเป็นกระแสมาก เนื่องจากว่าปัญหาคือมีผู้หญิงจำนวนหนึ่งถูกเกย์หลอก กรณีคุณอิ๋งอิ๋ง (หรือดาราคนหนึ่งถูกหลอก) เขาบอกว่าสามีเขาไม่ได้นอนด้วยกันมา 6 ปีแล้ว อย่างนี้ผมคิดว่าผู้หญิงกำลังถึงจุดที่เรียกว่าชักสับสนมาก และมีความรู้สึกว่าต้องถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เราจะต้องลุกขึ้นมาเรียนรู้ เพราะฉะนั้นหนังสือ 'แกะกล่องเกย์' ตั้งใจเขียนเพื่อให้ผู้หญิงได้มีแนวความคิดที่จะดูผู้ชายที่เป็นเกย์ให้ออก และหลีกเลี่ยงมหันตภัยนี้ และพยายามทำให้ผู้ชายที่เป็นเกย์ได้รู้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องหลอก คุณเป็นเกย์คุณสามารถจะมีชีวิตที่มีความสุขได้โดยไม่ต้องไปหลอกผู้หญิง"

ส่วนหนังสือ 'แม่ครับ ผมเป็นเกย์' ก็พยายามจะบอกเหมือนๆ กันว่า "ต้องการสะท้อนให้กับผู้หญิงที่เป็นแม่และพ่อได้เข้าใจว่าการที่ลูกเป็นเกย์มันคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติของตัวเขา และยากมากที่จะทำให้เขาไปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ถ้าคุณแม่รักลูกและอยากให้ลูกมีความสุข คุณแม่จะต้องมีใจกว้างว่าเมื่อลูกเกิดและเติบโตมาแล้วเป็นอย่างนี้ ไม่น่าที่จะไปฝืนลูกให้ไปเป็นอย่างอื่น เพราะถ้าฝืนลูกให้ไปแต่งงานกับผู้หญิง ก็เท่ากับว่าไปดึงลูกผู้หญิงคนอื่นมาตกระกำลำเค็ญด้วย เพราะบั้นปลายเกย์ที่ไปแต่งงานกับผู้หญิง จำนวนน้อยมากที่รอดหายนะ ส่วนใหญ่จะเป็น 'ปลาผิดน้ำ' ทุรนทุรายทรมาน และในที่สุดต้องมาเลิกกับเมีย แต่มีลูกมา 2-3 คน เพิ่งมารู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็ต้องไปมีผัว ซึ่งกลายเป็นว่าเมียตัวเองจะทำอย่างไรในเมื่อผัวตัวเองกำลังจะไปมีผัวใหม่ นี่คือประเด็นที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับพ่อแม่หรือคนที่กำลังเตรียมตัวเป็นพ่อแม่จะได้รู้ว่าควรจะเตรียมตัวอย่างไร"

เขายังบอกอีกว่า "ฉะนั้นการที่พ่อแม่พยายามจะผลักลูกตัวเองให้เลิกเป็นเกย์ เท่ากับการทำให้ลูกของตัวเองเกิดความผิดปกติ คือไปชอบผู้หญิง ซึ่งมันไม่ใช่ธรรมชาติของเขา ในที่สุดเขาก็ไปอยู่กับผู้หญิงไม่ได้ ผู้หญิงเองก็ถูกผู้ชายหลอก แต่บางทีผู้หญิงก็หลอกตัวเอง เพราะหลายคนเห็นเกย์รูปร่างหน้าตาดี สุขภาพดี แข็งแรง พูดจาดี สุภาพ ก็มาชอบเกย์ กลายเป็นผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่ยอมจะมีผัวเป็นเกย์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเป็นเกย์ยังมาจีบ ยังมาชอบอีก ดารานักร้องชื่อดังหลายคนหนีผู้หญิงจะเป็นจะตาย เพราะผู้หญิงจะเอาเสียให้ได้ รู้ว่าเป็นเกย์ก็จะเอา เพราะผู้หญิงมีความรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบเซ็กซ์ แต่ผู้ชายจะชอบเซ็กซ์ เพราะฉะนั้นมันก็เกิดความไม่สมดุล ทีนี้เกย์ชอบเซ็กซ์ พอเกย์มาเจอกับผู้หญิงก็มีความรู้สึกทางเพศลดน้อยลง จริงๆ เขาก็ไม่อยากจะยุ่งกับผู้หญิง แต่ว่าเขาฝืนก็ทนทำได้ เลยเหมือนเซ็กซ์ของเกย์กับเซ็กซ์ของผู้หญิงมันมาสอดคล้องต้องกัน กลายเป็นปัญหาว่าผู้หญิงมาชอบเกย์" นที ธีระโรจนพงษ์ แจงละเอียดยิบ ด้าน วิทยา แสงอรุณ เจ้าของคอลัมนิสต์จิตวิทยาเกย์ 'เลิกแอบเสียที' หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ มองว่า "ต้องบอกว่าตอนนี้หนังสือเกย์ยังออกมาน้อย ถ้าเทียบกับความไม่เข้าใจในสังคม ซึ่งถือว่ามีเยอะมาก แสดงว่ายังออกมาน้อยเกินไป แต่ช่วงนี้ที่เขาสนใจเกย์ขึ้นมา เพราะว่าเขารู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนทั่วไปที่ทำงานให้กับสังคมด้วย เป็นคนส่วนหนึ่งของสังคม เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาอยากจะสนใจเรื่องใหม่ๆ แต่ต่อไปเรื่องเหล่านี้จะไม่เป็นเรื่องใหม่อีกแล้ว เพราะฉะนั้นการที่มีคนออกมาพูด จะทำให้เกิดความเข้าใจกันดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ลูก คุณครูที่โรงเรียน หรือแฟนที่คบกันอยู่

เพราะฉะนั้นให้เขารู้สึกว่าไม่เห็นต้องแอบต้องซ่อนอีกต่อไปเลย เพราะผมสนับสนุนเรื่องการเปิดเผยตัวเอง ถ้าเขาพร้อม แต่ถ้าคนไม่พร้อมก็ไม่ควรจะเปิดเผย เพราะอาจจะมีผลกระทบเรื่องงาน เรื่องครอบครัวตามมา เพราะฉะนั้นคิดว่าเรื่องนี้ต่อไปจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา คนจะเปิดเผยมากขึ้น โดยที่มีความรู้สึกว่าเราไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร เพราะว่าเราพูดความจริง ความจริงมันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าผิด แต่ว่าการที่เราปกปิดอยู่คือการที่เราไม่ยอมพูดความจริง ความรู้สึกดีกับคนรอบข้างจะดีขึ้น เมื่อเราพูดความจริง"

แนวโน้มของหนังสือเกย์ขณะนี้ "คงจะไม่ถึงกับออกมาทุกเดือน หรือเดือนละเล่มหรอก ถ้าเทียบกับหนังสือแนวทั่วไปที่ผู้ชายผู้หญิงอ่าน ซึ่งจะมีเยอะกว่าอยู่แล้ว แต่นี่ปริมาณน้อยมาก ผมคิดว่าไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำของจำนวนหนังสือใหม่ที่ออกแต่ละเดือน เพราะฉะนั้นคิดว่ามันยังน้อยเกินไป ควรจะมีหนังสือในแง่มุมต่างๆ ที่มากกว่านี้ เพราะว่าเรื่อง 'เพศวิถี' เป็นเรื่องที่น่าศึกษา และประเทศไทยเป็นเมืองที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเพศหลายๆ อย่างที่น่าศึกษา ต่างประเทศเขารู้สึกตื่นเต้นและอยากจะเรียนรู้ เพราะว่าเรามีความแตกต่างหลากหลายทางเพศ"

หนังสือเกย์อาจจะกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้เด็กวัยรุ่นที่อ่านแล้วมีแนวคิดอยากเป็นเกย์ เขายืนยันว่า "เป็นไปไม่ได้ เพราะเราส่งเสริมให้ใครเป็นเกย์จากการอ่านหนังสือและดูทีวีไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราที่ดูทีวีหรืออ่านหนังสือทั่วไป ก็ไม่ควรจะเป็นเกย์กันสิ เพราะว่ามันมีหนังสือและทีวีทั่วไปเยอะกว่าจำนวนหนังสือที่เกี่ยวกับเกย์หรือว่าอธิบายเรื่องจิตวิทยาของเกย์ แต่คนที่เป็นเกย์มีอยู่แล้ว และมีจำนวนประมาณเท่านี้ เพราะว่าจำนวนประชากรเกย์ทุกประเทศมีเยอะ แต่เขาไม่เปิดเผยตัวเท่านั้นเอง แล้วหนังสือที่ออกมาไม่สามารถจะไปสนับสนุนให้ใครเป็นเกย์ได้ เพราะมันไม่มีทางเปลี่ยนคนที่เป็นผู้ชายอยู่แล้วให้มาเป็นเกย์ มันไม่มีทางเปลี่ยนได้

เพราะสังคมเข้าใจว่าโลกนี้มีแค่ผู้ชายกับผู้หญิง เราถึงไม่เข้าใจคนอื่น แต่ถ้าเราปรับความเข้าใจใหม่ว่าในโลกนี้มีความหลากหลายทางเพศอยู่ เรียกว่า 'ความหลายหลายทางเพศ' จะทันสมัยกว่าเมื่อก่อนที่เรียกว่า 'เบี่ยงเบนทางเพศ' เพราะว่าผมไม่ได้เบี่ยงเบนทางเพศ ผมเกิดมาก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่ได้เบี่ยงเบนเลย ไม่ว่าจะเป็นเกย์ควีน เกย์คิง เกย์ควีน กะเทยแปลงเพศกับกะเทยไม่แปลงเพศ ทอมกับดี้ เลสเบี้ยน เหล่านี้คือความหลากหลายทางเพศ"

กมลเศรษฐ์ เก่งการเรือ เลขาธิการสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ซึ่งทำงานด้านวิชาการและเรื่องคุณภาพชีวิตของเกย์ และสำหรับคนทั่วไป ที่จะทำให้เข้าใจเกย์มากขึ้น

เขามองเนื้อหาของหนังสือเกย์ว่า "ส่วนใหญ่จะพูดถึงเกี่ยวกับการเปิดเผยตัวเอง พูดถึงประสบการณ์ชีวิต บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเกย์ หรือหนังสือบางเล่ม เช่น 'สามีฉันเป็นเกย์' (แครอล เกรเวอร์-เขียน) หรือ 'บันทึกสีม่วง ของ อิ๋งอิ๋ง' (สิทธิณี กิตติสิทโธ) หรือเป็นเรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิต ความรัก แล้วนำเอามาแต่งใหม่ กลุ่มเป้าหมายคือให้ผู้หญิงได้อ่านได้เรียนรู้ และให้บรรดาเกย์ได้อ่านชีวิตของคนอื่น อีกอย่างหนึ่งคือกลุ่มเกย์เป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างจะมีกำลังซื้อ จะเห็นว่ามีผลิตภัณฑ์หลายๆ ชนิดที่ทำขึ้นมาสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ และมีเยอะขึ้นด้วย ถือเป็นทาร์เกตที่น่าสนใจ เพราะเกย์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีภาระ และมีการจับจ่ายสูงพอสมควร"

ขณะที่ สมคิด นิ่มแสง องค์กรบางกอกเรนโบว์ที่ทำงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ผลงานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกัน มองตลาดหนังสือเกย์ว่า "คนเริ่มหันมาให้ความสนใจหนังสือแนวนี้เยอะขึ้นนะ เรียกว่ามาแรงเลยทีเดียว คนสนใจและอยากเรียนรู้การใช้ชีวิตของเกย์ อยากทราบว่าวิธีการดู การสังเกตว่าคนที่เราคบอยู่เป็นเกย์หรือไม่ และมีบริษัทที่ผลิตสินค้ามาสำหรับผู้ชาย เป็นทาร์เกตกลุ่มผู้ชาย ส่วนใหญ่คนที่ใช้จะเป็นเกย์ 60% และอีก 40% ที่เหลือเป็นผู้ชายทั่วไป"

ถ้าดูจากเนื้อหาส่วนที่ยังขาดหายของหนังสือแนวรักร่วมเพศ เขามองว่า "หนังสือเกย์ส่วนใหญ่จะนำเสนอเรื่องเพศ พฤติกรรมชู้สาว เรื่องบันเทิงเริงรมย์มากกว่า จะไม่ค่อยเขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว ว่าครอบครัวมีความรู้สึกอย่างไร การใช้ชีวิตของเขาเป็นอย่างไร ไม่เคยไปสัมภาษณ์คุณพ่อคุณแม่ว่ามีความรู้สึกอย่างไรที่มีลูกเป็นเกย์ เขาเลี้ยงลูกอย่างไรเมื่อรู้ว่าลูกเป็นเกย์ คือไม่ได้ลงลึกในเรื่องของครอบครัว ดังนั้นส่วนใหญ่จะนำเสนอแต่เรื่องตลกโปกฮา เพราะคนจะชอบ ยิ่งทำให้สังคมสับสนเข้าไปอีก

จริงๆ เราไม่ได้ต้องการเจาะจงว่าให้เขาออกมาเปิดเผยตัวเองว่าเป็นเกย์ เพียงแต่ว่าอยากให้เขามีหลักการในการใช้ชีวิต และให้พ่อแม่ได้เข้าใจธรรมชาติของลูกที่เป็นเกย์ รวมถึงได้ชี้แนะแนวทางในการใช้ชีวิต เพราะคนกลุ่มนี้มีน้อยที่เขาจะยอมเปิดเผยตัวเองว่าเป็นเกย์ในสังคม ให้เขาได้เห็นว่ากลุ่มรักร่วมเพศที่คิดเรื่องดีๆ และทำงานเพื่อสังคมก็มีเหมือนกัน และถือเป็นแบบอย่างที่ดีของเกย์ด้วย"

และนี่เป็น 'ความหลากหลายทางเพศ' ซึ่งคนเหล่านี้อาจจะอยู่รอบๆ ข้างคุณ หรือเกี่ยวพันกับคุณ ดังนั้นคุณต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจก่อนที่จะปฏิเสธโดยสิ้นเชิง 0

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น