ช่วยวิจารณ์การบรรยายของผมหน่อยครับ
ปล. ขอขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง บรรยากาศรอบตัวถูกปกคลุมไปด้วยความมืดสีดำอย่างปกติ บังเกิดเงาตะคุ่ม ๆ ของคนห้าคนกำลังฟันฝ่าต้นไม้ใบหญ้ารกทึบถอดยาวออกไป คนหน้าแถวเดินถือไฟฉายกระบอกหนึ่งเพื่อส่องเส้นทางในความมืดมิด คนคนนั้นคือ “เชต” หรือรองหัวหน้ากลุ่มวอนท์ที่เป็นหนึ่งในห้ากลุ่มอันทรงพลังของโรงเรียนนั่นเอง
คราวนี้พวกเขาเดินทางมาถึงลานทรายกว้างเดิมที่เคยต่อสู้กับกลุ่มวอนท์เมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนนั้นเป็นแผนของหัวหน้ากลุ่มวอนท์ที่ต้องการแนนนี่ผู้เป็นอดีตหัวหน้ากลุ่มให้กลับมารับตำแหน่งเดิมและบริหารกลุ่มหรือองค์กรนี้ให้แข็งแกร่งมั่งคงต่อไป แต่สุดท้ายแนนนี่เอาชนะนะนิติที่เป็นหัวหน้ากลุ่มไปได้ ทำให้เธอยังคงดูแลเหล่าลูกศิษย์ของตนเองเรื่อยมา ส่วนนะนิติที่เป็นผู้แพ้จะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เขายังคงดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าตามเดิมและไม่สามารถทวงคืนสมาชิกกลุ่มที่เหลือให้กลับมาได้
“ทำไมชั้นต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย?”
แนนนี่ผู้อยู่ท้ายแถวถามเชตขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจพร้อมกับคิ้วบางๆ ที่ขมวดเข้าหากัน ตามปรกติในช่วงเวลานี้เธอจะต้องทานข้าวพร้อมกับลูกศิษย์ของเธอ
“ลองถามลูกศิษย์เองสิแล้วจะรู้”
เชตผู้นำแถวกล่าวพาดพิงถึงธนานอต ผู้แสนซนและขี้สงสัยที่หยิบถุงไข่ต้มของเขาไป แถมน้ำฝนที่หิวจนน้ำลายไหลรีบซัดเข้าไปก่อนหนึ่งฟองด้วยอีกคน
น้ำฝนรีบชิงพูดแก้ตัวขึ้นมาก่อนด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
“ไม่ใช่ล่ะ จริงๆ แกจะเอาให้พวกหนูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แลกกับคำขอที่ให้ไปสำรวจอาคารร้างอีกต่างหาก”
“ชิ… รู้ทันอีก”
ระหว่างการเดินทางไปยังอาณาเขตของกลุ่มวอนท์ พวกเขาทั้งห้าคนได้พูดจิกกัดกันไปกันมาเพื่อเป็นการฆ่าเวลา แต่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของแนนนี่ที่มีนามว่าทรายได้เอ่ยถามเชตขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพราะเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออก
“แล้วทำไมต้องสำรวจอาคารร้างนั่นด้วยเหรอครับ? หรือเพื่อเช็คว่าเงาดำที่วิ่งอยู่บนอาคารหรือเสียงผู้หญิงร้องไห้นี่มีคนแกล้งเหรอครับ?”
“เรื่องนั้นมันก็ไม่แน่เหมือนกัน แต่เหตุการณ์ที่เรากล่าวมามันเป็นเรื่องจริง… สมัยที่ธนาธรกำลังจบจากโรงเรียนก็มีเหตุการณ์เหมือนกับที่ว่านั่นเป๊ะ ทุกๆ วันอาทิตย์จะมีการไหว้อาคารพร้อมกับเครื่องเซ่นมาตลอด เธอยังจำได้หรือเปล่าล่ะแนนนี่?”
เชตกวาดสายตามองแนนนี่ที่เดินตามหลังเขาทุกฝีก้าว สีหน้าของเธอชวนให้นึกถึงเรื่องราวสมัยที่ยังเป็นหัวหน้ากลุ่มวอนท์อยู่
“ใช่… ตอนที่ฉันเป็นหัวหน้ากลุ่มก็มีการจัดพิธีมาตลอด เลยไม่มีผิดความปกติเกี่ยวกับอาคารนั้นเลยนะ”
“แต่หลังจากที่นะนิติขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มวอนท์ต่อจากแนนนี่ เขากลับยกเลิกการเซ่นไหว้อาคารดังกล่าว นั่นคงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เกิดเรื่องแปลกๆ แบบที่ว่ามาก็ได้”
หลังจากที่เชตเล่าเรื่องราวจบ แนนนี่ก็ทำเบื่อหน่ายขึ้นมาทันทีพร้อมกับคำถามมากมายที่อยู่ในหัวว่า นะนิติจะยกเลิกการเซ่นไหว้ไปทำไม? ชายผู้ลึกลับคนนี้ยากเกินกว่าจะเข้าใจเสียจริง
……..
หลังจากการพูดคุยกันระหว่างเชตกับแนนนี่ผ่านไปได้สามนาที เชตนำพาพรรคพวกรุดหน้าสู่ถนนเล็กๆ ทางซ้ายของโรงซ่อมบำรุง จากนั้นจึงเลี้ยวขึ้นไปทางซ้ายอีกครั้ง บังเกิดเห็นรั้วเหล็กยาวสี่วาที่ขวางกั้นพวกเขา
ด้วยอำนาจของรองหัวหน้ากลุ่มวอนท์เพียงแค่ดีดนิ้ว สมาชิกหน่วยตั้งรับที่ทำเวรยามเฝ้าประตูอยู่สองนายเลื่อนรั้วดังกล่าวออกมาด้วยความรวดเร็ว พวกเขาได้ก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนที่ไม่เคยเห็น ดินแดนที่เต็มไปด้วยแสงไฟนีออนสีขาว ดินแดนแห่งกลุ่มวอนท์
ประตูรั้วได้ถูกเลื่อนปิดลง ลูกศิษย์สามหน่อของแนนนี่ตะลึงกับสถานที่ที่พวกเขาเห็น ดินแดนหรืออาณาเขตนี้ตั้งอยู่ล่างสุดของอาณาเขตโรงเรียน มันอยู่ระหว่างหอพักและรั้วแสดงอาณาเขตของโรงเรียน พื้นที่ดังกล่าวมีขนาดเกือบห้าร้อยตารางเมตร มีบ้านพักที่คล้ายกับบังกะโล มีโรงนอนคล้ายกับโรงเลี้ยงสัตว์ และทีเด็ดคือพวกมันรายล้อมสิ่งปลูกสร้างด้วยไม้ที่อยู่ท่ามกลางบ่อน้ำจืด รูปทรงละม้ายคล้ายกับตำหนักของคนใหญ่คนโต และตำหนักนั่นคือที่ประทับของหัวหน้ากลุ่มวอนท์พร้อมกับหัวหน้าของแต่ละหน่วยรวมถึงสมาชิกหน่วยองครักษ์บางคนด้วย
“สถานที่ของห้ากลุ่มอันทรงพลังมันต้องยิ่งใหญ่แบบนี้เหรอ?”
ธนานอตพล่อยปากออกมาหลังจากเห็นสภาพของที่พักของกลุ่มวอนท์ที่ไม่ธรรมดาเลยสักนิด ตามปกติมีเพียงสมาชิกของกลุ่มวอนท์เท่านั้นที่จะต้องพักอาศัยที่นี่ แต่ครั้งนี้พวกเขาเป็นบุคคลพิเศษที่ถูกเชื้อเชิญโดยรองหัวหน้ากลุ่ม นับได้ว่าเป็นเกียรติมากที่บุคคลภายนอกจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้
“ที่นี่เคยเป็นสถานที่เรียนรู้วัฒนธรรมของต่างประเทศนะ แต่พวกเราก็ได้รับอนุญาตให้มาพักอาศัยและคอยทำนุบำรุงมันด้วย… จริงๆ มันยังมีสถานที่เรียนรู้วัฒนธรรมอีกสองแห่งในโรงเรียนอีกนะ แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นอาณาเขตของกลุ่มสเทรงและกลุ่มเลดี้แบทเทิล”
“อ่อ…”
หลังจากเชตหรือรองหัวหน้ากลุ่มวอนท์อธิบายจบ ธนานอตจึงพยักหน้าและรับรู้ได้ทันที ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มาศึกษาดูงานหรือมาเที่ยวอะไรหรอกนะ แต่เป้าหมายมันอยู่ด้านหลังที่ห่างออกไปจากบริเวณนี้ได้ห้าสิบเมตร
ทั้งห้าคนแหงนหน้ามองอาคารเก่าๆ ที่มืดมิดและวังเวง ไม่มีแม้แต่แสงไฟ ไม่มีแม้แต่คนอยู่
ไม่นานนักสมาชิกกลุ่มท่านหนึ่งเดินตรงเข้ามาถามเชตด้วยอาการกล้าๆ กลัวๆ เขาคงอยากจะถามรองหัวหน้าที่ต้องเข้าไปสำรวจอาคารหลังนั้นพร้อมกับพรรคพวกจากกลุ่มของแนนนี่
“ท่าน… ท่านรองหัวหน้าจะเข้าไปจริงเหรอ?”
“เพื่อทุกคนของกลุ่มวอนท์ เราจะพิสูจน์เรื่องราวทุกอย่างให้เอง!”
คำพูดของเชตดูเป็นฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ของสมาชิกจากกลุ่มวอนท์ทุกคน แต่ลึกๆ แล้วในใจคงกลัวอยู่ไม่น้อย ถึงได้ขอร้องพวกของแนนนี่ให้มาร่วมเดินทางเป็นเพื่อนด้วยยังไงล่ะ
………
ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มตรง ทั้งห้าคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานตรงทางเข้าอาคารเป็นที่เรียบร้อย สายลมอันเย็นเฉียบพัดใบไม้แก่ให้ปลิวว่อนผ่านสายตาของทั้งห้าคนนี้ พวกเขาทอดสายตามองไปที่บันไดไม้อันเก่าแก่ที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด
“ถ้างั้นจะสำรวจชั้นหนึ่งก่อนเลยนะ”
เชตเอ่ยปากบอกคนที่เหลืออีกสี่คนที่มาเข้าร่วมขบวนการสำรวจอาคารร้างในครั้งนี้ แต่หลังจากที่พูดจบ เขาสังเกตเห็นสีหน้าของทรายและแนนนี่ที่เปลี่ยนไป
ทั้งสองคนเริ่มมีอาการสั่นกลัว สีหน้าที่ดูร่าเริงสดใสถูกแปรเปลี่ยนเป็นหน้าซีดและมีเหงื่อซึมออกตลอดเวลา โดยเฉพาะแนนนี่ที่ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากมาดพี่สาวผู้แสนดี อ่อนโยน จิตใจเข้มแข็ง ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย กลับมาเป็นพี่สาวที่ขี้กลัวและขวัญอ่อน คงจะเป็นอาการของคนที่กลัวบางสิ่งบางอย่างเป็นธรรมดา
แต่มีสามคนที่ยังกล้าเข้าไปสำรวจอาคารนี้อยู่คือ ธนานอต น้ำฝน และเชต พวกเขาคิดว่าแค่เดินดูสภาพของห้องแต่ละห้องพร้อมกับไฟฉายที่ส่องแสงจ้าราวกับพระอาทิตย์ทอดแสงขนาดนี้ คงไม่มีอะไรที่ต้องน่ากลัวเป็นแน่ แต่ความคิดของทั้งสามล้วนผิดกลับบรรยากาศที่เงียบเชียบพร้อมสายลมที่เย็นเฉียบพัดผ่านอยู่เสมอ
อาคารนี้เป็นอาคารเก่าของเหล่าสภานักเรียน เคยเป็นที่ประทับและร่วมกันบริหารของเหล่าสภานักเรียนระดับสูง ถูกใช้มันมาตั้งแต่ประธานนักเรียนรุ่นที่หนึ่งยาวไปถึงรุ่นที่แปดเป็นเวลากว่าสิบห้าปี แต่ในยุคสมัยของรุ่นที่เก้ากลับย้ายไปใช้อาคารใหม่ที่ตั้งอยู่ใจกลางโรงเรียนแทนและใช้มายาวนานจวบจนปันจุบัน ทิ้งอาคารนี้ไว้เป็นเพียงซากอันเก่าแก่ไว้ดูต่างหน้าเพียงแค่นั้น
อาคารนี้สูงราวสิบห้าเมตร มีทั้งหมดสี่ชั้น โดยแต่ละชั้นมีห้องย่อยๆ สามถึงสี่ห้อง มีบันไดเชื่อมระหว่างชั้นอยู่หนึ่งแห่ง ด้วยความที่ว่าอาคารนี้เป็นอาคารเก่าและไม่ได้บำรุงซ่อมแซมมันมานาน จนทำให้ประตูแต่และห้องล้วนเป็นรูเล็กๆ บานพับประตูมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด และบันไดที่แทบจะพังลงได้ทุกเมื่อ
……..
ตอนนี้พวกเขาทั้งห้าคนตามสำรวจห้องทุกห้องบริเวณชั้นหนึ่งโดยมีเชตส่องไฟฉายตามซอกมุมต่างๆ ของห้อง แต่ละห้องที่สำรวจนั้นกลับว่างเปล่ามีเพียงแค่ขี้ฝุ่นและหยากไย่ต่างๆ เกาะอยู่ตามมุมอับและเพดาน ซึ่งมันเป็นแบบนั้นเหมือนกันแทบทุกห้อง ทั้งห้าคนเดินกลับมารวมตัวใหม่อีกครั้งที่หน้าบันได
"ไม่เห็นมีอะไรเลย"
ธนานอตทบทวนผลสำรวจออกมาทั้งหมด ซึ่งคำพูดดังกล่าวมันพอทำให้ทรายกับแนนนี่โล่งใจไปบ้าง แต่นี่มันเป็นเพียงแค่เริ่มต้น เพราะยังมีห้องอื่นๆ ที่อยู่บนชั้นสองและชั้นอื่นๆ อีก
น้ำฝนและเชตหันหน้ามองไปยังบันไดไม้เก่าๆ ที่อยู่ซ้ายมือ จากนั้นจึงหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาอีกครั้ง
"คงน่าจะยังไม่ถึงเวลาด้วยแหละมั้ง แต่ชั้นอื่นๆ ก็ไม่แน่เหมือนกัน"
เชตพล่อยปากออกมาเพราะความจริงแล้ว เขาได้รับแจ้งมาจากสมาชิกเกือบสิบคนว่า เห็นเงาคนปริศนาวิ่งไปมาที่ระเบียง บางครั้งก็มีเสียงผู้หญิงร้องไห้ออกมาจากอาคารดังกล่าวด้วย แต่ช่วงเวลาที่พบคือประมาณเที่ยงคืนจนถึงตีสอง ซึ่งเวลาตอนนี้คือเกือบสามทุ่มแล้ว
“งั้นพวกเรากลับก่อนไหม?”
เสียงความท้อถอยของทรายดังขึ้นมากลางวง คงเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กขี้กลัวอย่างทรายที่ต้องหนีออกจากสถานที่พิลึกๆ แห่งนี้ แต่ด้วยทัศนคติของเชตที่ต้องลงมือทำอะไรแล้ว ย่อมต้องทำให้สำเร็จ
“เอาหน่า… ขอขึ้นไปอีกชั้นหน่อย ถ้าชั้นสองไม่มีอะไร เราจะหยุดสำรวจทันที”
ข้อเสนอของเชตทำเอาหนุ่มน้อยขี้กลัวและพี่สาวขี้ขลาดยอมรับได้ จากนั้นเขาได้นำสี่คนที่เหลือพาขึ้นบันไดเก่าๆ เพื่อไปยังชั้นสองทันที
เอี๊ยด! เอี๊ยด!
เสียงไม้เก่าดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อทั้งห้าคนพยายามเหยียบขั้นบันไดเพื่อขึ้นไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้นพวกเขาเดินทางขึ้นมาถึงชั้นสองแล้ว ชั้นสองมีทางแยกอยู่สองทางระหว่างซ้ายกับขวา ทางขวาเป็นห้องโถงใหญ่ที่เหมือนกับห้องประชุมทั่วๆ ไป ส่วนทางซ้ายเป็นทางเดินและมีห้องต่างๆ ทางซ้ายมือ
เชตหันกระบอกไฟฉายไปทางขวามือ ด้วยความที่ว่าห้องนั้นเป็นห้องโถงห้องเดียว การสำรวจห้องนั้นก็คงจะไม่นานเท่าไหร่นัก เขาเดินนำหน้าพรรคพวกอีกสี่คนที่เหลือเข้าไปในห้องดังกล่าวที่ประตูไม้เปิดอ้าซ่าอยู่
การเดินเข้าไปในห้องนั้นมีเสียงของไม้เก่าๆ ดังอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อหมุนไฟฉายไปรอบๆ ห้องกลับไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ห้องนี้เหมือนกับห้องอื่นๆ ที่พวกเขาเคยสำรวจมานั่นเอง
หลังจากนั้นพวกเขาทยอยกันออกจากห้องดังกล่าว ซึ่งมีเชตที่นำหน้าไปนั้นได้ออกจากห้องนี้เป็นคนสุดท้าย แต่กลับมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น…
โครม!
เสียงไม้ทรุดดังขึ้นมาจากห้องดังกล่าว จู่ๆ บรรยากาศทุกอย่างกลับมืดสนิท คนก่อนหน้าหันขวับไปดูทันที เขากลับไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
“ทรายเกิดอะไรขึ้น?”
น้ำฝนที่อยู่ด้านหน้าทรายหันหลังกลับมา เห็นทรายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอลองมองเข้าไปในห้องที่ยังพอมีแสงจันทร์ส่องผ่านจึงเห็นพื้นไม้ทรุดลงไปจนเป็นรูขนาดใหญ่ และมองไม่เห็นร่างของเชตในห้องนั้น แถมไฟฉายของเชตดันมาดับอีก
“เชตตกลงไปพร้อมกับไม้ที่ทรุด”
ทรายตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะรู้สึกช็อก หลังจากมองลอดเข้าไปในรูดังกล่าว แต่มันมืดจนมองไม่เห็นร่างของเชตเสียแล้ว
โครม!
เสียงไม้ทรุดดังขึ้นอีกครั้ง สี่คนที่เหลือพากันสะดุ้งจนแทบหัวใจจะวาย เสียงไม้ที่ว่าไม่ได้มาจากห้องนี้ แต่เป็นบันไดไม้ที่พวกเขาก้าวขึ้นมา...
1 ความคิดเห็น
ส่วนนะนิติที่เป็นผู้แพ้จะต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้
พิมพ์ผิดหรือเปล่าค่ะ โครงเรื่องดีค่ะ แต่อ่านไปตอนแรกๆไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร เหมือนโดนโยนข้อมูลมาทับในทีเดียว แต่พออ่านต่อมาเรื่อยๆก็เริ่มเข้าใจค่ะ เกี่ยวกับผี สางสิ่งเหนือธรรมชาติ และก็การเซ่นไหว้ น่าจะประมาณนี้
เหมือนตอนแรกผมคงจะท้าวความถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า เลยยัดข้อมูลให้มากไปหน่อย แต่ก็ขอขอบคุณครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?