Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

กลัวการถูกด่า ถูกอคติ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีครับผมเป็นเด็กมัธยมคนหนึ่งที่อยากจะเขียนนิยายซักเรื่อง ผมเลยไปปรึกษาคนนู้นคนนี้บ้าง คุณครูแนะนำให้ผมลองยืมนิยายจากห้องสมุดมาอ่าน แต่มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เรียกว่าสะดุดตาผมเหลือเกิน(ขอไม่บอกชื่อหนังสือและผู้เขียนนะครับ) ลองเปิดอ่านคำนำก็พบสารพัดคำชมถึงตัวผู้เขียน น่าจะเป็นนิยายที่ดังพอสมควรสมัยก่อน บอกว่าเขาเริ่มเขียนตอนอายุประมาณ 14  หรือ 15 เนี่ยแหละแถมยังเป็นเด็กไทยเคยลงเว็บไซต์มาแล้วด้วย ความตื่นเต้นผมเลยยืมหนังสือเล่มนี้มาอ่านทันที เริ่มอ่านได้แค่ไม่กี่ตอนก็รู้สึกเบื่อคงจะเป็นเพราะมันมีหลายหน้าแล้วเราก็เพิ่งเริ่มอ่านนิยายด้วยกระมั้ง ผมจึงนึกสนุกลองหานิยายเรื่องนี้ในกูเกิลและนั่นคงจะเป็นการตัดสินใจที่พลาดที่สุดสำหรับตอนนั่น มีกระทู้ด่าถึงความไม่สมราคามากมาย ขยะทางวรรณกรรมตัวนักเขียนยังโง้นอย่างงี้ ข้อความดูถูกดูแคลนคำอคติและดราม่าต่างๆที่เคยมีไว้ว่านักเขียนคนนั้น ค่อยๆหันมากัดกินทำร้ายจิตใจผม ความมั่นใจที่มีอยู่ล้นมือตอนนี้แทบไม่เหลือ แค่เขียนนิยายไม่ถูกใจคนหมู่มากมันขนาดนี้เลยเหรอ มันทำให้ผมคิดว่าโลกงานเขียนมันชั่งโหดร้าย เขาไม่สนหรอกว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ประสบการณ์มากแค่ไหน สนแค่งานมีนดีหรือไม่ ถ้าดีก็ดีไปถ้าแย่ก็โดนด่ากลายเป็นตราบาปที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต ผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกพวกนี้ยังไง ช่วยแนะนำผมมาได้ไหมว่าจะทำยังไง

แสดงความคิดเห็น

19 ความคิดเห็น

varunyanee 28 เม.ย. 64 เวลา 11:21 น. 1

ถามเป้าหมายตัวเองก่อน....เข้ามาขายฝัน ////ต้องการอะไร

นักเขียนในอดีต คำสละสลวย ภาษาสวย มีกลอน มีคติ

>>> การตัดสินวรรณกรรม ทำโดยผู้ที่เรียนมาด้านนี้โดนตรง เป๊ะทฤษฎี

นักเขียนปัจจุบัน ...โลดิจิตอล มีบทความ มีนิยาย หลายรูปแบบ ...//นี่ก็เพิ่งเจอนิยายแชท

>>>การตัดสิน ....กระทำโดยผู้รับผลงานโดยตรง ชอบ ถูกจริต...ก็บอกดี ไม่ชอบ ก็ด่า

นักเขียนมีมาก เพราะการเขียนเข้าถึงง่าย

....น้องเลือกเลย ว่าตัวเองต้องการอะไร

1)แค่อยากเขียน >> ก็เขียน อย่าได้แคร์

2)อยากมีรายได้ >> ก็ต้องขยัน ต้องจับทางออกว่า กลุ่มเป้าหมายคือใคร หลายคนเขียนเรื่องเดียวปัง รายได้เป็นแสน เป็นล้านก็มี แต่นั่นคือ 1 % ของนักเขียนที่มี

3)อยากดัง >>>> เริ่มจากตั้งใจล่ะถูกต้อง เขียนให้สนุก เขียนให้จบ อัพทุกวัน หาความรู้เพิ่มเติมและต้องหนักแน่น ....เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ //เพราะเส้นทางนี้ บางคนว่ายาว บางคนว่าสั่น

/////แต่ถ้ามากลัวก่อนก้าว......เรื่องนี้...ช่วยไม่ได้จริงๆ คิดจะเดินออกทางแยก ต้องมั่นใจ..

0
white cane 28 เม.ย. 64 เวลา 11:31 น. 2

ยังไม่ได้เริ่มเขียนก็กลัวถูกวิจารณ์แล้วหรือครับ ?????


วิธีกำจัดความรู้สึกนี้ง่ายมาก เราก็แค่อย่าไปอ่านเนื้อหาที่มันทำร้ายใจเรา เพราะถ้าเราไม่อ่านเราก็ไม่รู้สึก และถ้าเริ่มแต่งนิยายเมื่อไหร่ ก็กดปิดคอมเม้นต์ไปเลยครับ จะได้ไม่มีบทวิจารณ์ของใครมาทำร้ายใจเรา อย่างไรก็ตามนิยายของเราก็อาจถูกเอาไปวิจารณ์นอกเว็บไซต์แต่งนิยายได้อยู่


เหตุผลที่แนะนำอย่างนั้น เราไม่อาจสั่งใครไม่ให้วิจารณ์นิยายเราได้หรอกครับ ตัวผมนี่ก็โดนมาเหมือนกัน แต่ผมไม่สนใจ โดยเฉพาะเนื้อหาที่มันไม่ได้ช่วยทำให้การแต่งนิยายของผมพัฒนาขึ้น ผมจะไม่สนใจแล้วมองข้ามมันไป

0
Miraclemoon 28 เม.ย. 64 เวลา 11:36 น. 3

อย่ากลัวไปเลย คำด่าที่น้องเจอในเน็ทไม่ใช่เพราะแค่เขียนนิยายไม่ถูกใจคนหมู่มากค่ะ

คำด่าพวกนั้นมาจากคนเหล่านั้น มันคือการแสดงออกถึงสันดานของสันดานในด้านชั่วช้าของคนเขียนค่ะ


อิจฉา ไม่ชอบใจ หมั่นไส้ ก็ด่า ด่าพ่นวาจาชั่วร้ายใส่ทั้งๆ ที่คนเขียนนิยายหรือใครก็แล้วแต่คนนั้นที่ตกเป็นเหยื่อของการด่าทอไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้เลย พูดง่ายๆ ก็คือแค่ไม่ถูกใจ หมั่นไส้ อิจฉา ก็ด่าแล้ว

ด่าคนในอินเตอร์เน็ทมันง่ายค่ะ เพราะไม่มีการเปิดเผยใบหน้าไงคะ พวกที่พิมพ์ด่าชาวบ้านหลังคีย์บอร์ด ลองเจอหน้ากันตัวเป็นๆ กล้าไหม หงอเป็นสุนัขละไม่ว่า


เพราะคนพวกนั้นไม่สามารถแสดงความต่ำช้าในจิตใจตัวเองในโลกความจริงได้ค่ะ แต่หลังคีย์บอร์ดทำได้ ด่าซะใหญ่โต บางคนก็ไปสรรหาเรื่องมาใส่ร้ายคนอื่น เพราะแค่หมั่นไส้ คือชีวิตจริงมีปมไงคะ ทำไม่ได้เหมือนเขา ก็ด่ามันซะเลยเพื่อความสะใจ ทั้งที่นิยายของนักเขียนคนนั้นเขาก็ไม่ได้ไปเขียนบนหัวพ่อแม่คนด่านะ เค้าเขียนที่บ้านเขา แต่คนด่าน่ะ เสรือกเองค่ะ เสรือกไปหมั่นไส้เขาเอง


คิดซะว่าทำทานนะคะ ให้สัมพเวสีพวกนั้นมีที่ระบายได้สำเร็จความใคร่ทางวาจาอยู่ข้างหลังคีย์บอร์ด


ที่เขียนแรงๆ ข้างบนอยากบอกให้น้องอย่าไปกลัวค่ะ เขียนเถอะนิยายของเราเผยแพร่ไปไม่ต้องไปกลัวคำด่า ของสัมพเวสีหลังคีย์บอร์ด อย่าให้ความคิดเห็นจากด้านชั่วๆ ของคนพวกนั้นมาบั่นทอนความมั่นใจของเราค่ะ


ต้องเข้าใจว่าพวกที่ด่าคนอื่นตามอินเตอร์เน็ท ชีวิตจริงเขาทำแบบนั้นกับคนอื่นไม่ได้ค่ะ ถ้าถูกด่าก็เฉยค่ะ ถือว่าอุทิศผลบุญให้เขา แข้มแข็งเข้าไว้นะคะ



0
doubleFish 28 เม.ย. 64 เวลา 11:36 น. 4

อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน

อ่านกระทู้คุณแล้วก็พอจะเดาได้เลยว่าหมายถึงนักเขียนคนไหน ในความเห็นส่วนตัวของผม นิยายของเขาไม่สนุกจริง ๆ ครับ บางทีคุณอาจจะต้องเลือกหนังสือเรื่องอื่นเป็นตัวอย่าง เป็นแรงบันดาลใจ ยังมีนิยายดี ๆ อีกมากมายให้เราได้เลือกเสพครับ ถ้าอ่านแล้วไม่สนุกก็แสดงว่ามันไม่ใช่แนวของเรา หานิยายหลาย ๆ เรื่องมาอ่านครับ เปิดช่องทางให้กว้างเข้าไว้ เลือกแนวที่เราเห็นว่าสนุก ถ้าเราอ่านสนุก เราก็จะเขียนสนุกไปด้วยครับ อย่างน้อยที่สุดมันก็มีแรงมีพลังใจที่จะเขียน


นักเขียนที่ถูกด่าเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะในโลกที่ข้อมูลมันเข้าถึงง่ายอย่างในยุคปัจจุบัน แต่คนชมเองก็มีไม่น้อย คุณก็ต้องเลือกเอาว่าคุณจะให้ความสำคัญกับคนกลุ่มไหน แล้วคำว่า "ตราบาป" นี่มันเวอร์ไปครับ แค่ถูกด่าไม่ได้ไปฆ่าใคร ถึงกับติดตัวไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว -*-

0
เนตรสัจธรรม 28 เม.ย. 64 เวลา 11:40 น. 5

นิยายที่เขียน มันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ดีที่สุด หรือเป็นวรรณกรรมของชาติหรือเปล่า ถ้าไม่ ดังนั้นก็อย่าไปยึดติด ปล่อยวาง แล้วสร้างผลงานชิ้นใหม่ ถ้าไม่ทิ้งบางสิ่งก็คงก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้ นิยายแค่เรื่องสองเรื่องไม่ใช่จุดสิ้นสุดของนักเขียน แต่ถ้าเขียนห่วยไม่พัฒนาก็อย่าฝืน ยอมรับความจริงดีกว่า เราไม่เหมาะกับสายนี้

0
น่ารักรมณ์เสีย 28 เม.ย. 64 เวลา 12:10 น. 6

ตามที่คห.บนได้บอกไป+แนะนำไปแล้ว 

โลกเป็นงี้แหละ โตขึ้นอีกหน่อยแล้วจะเข้าใจ ไม่ก็เคยเห็นไหม เวลาที่คนอยากด่าก็ด่า ไม่ต้องใช้เหตุผลหรืออะไรทั้งนั้น ก็มีถมไป หรือแค่ความชอบกับไม่ชอบ ก็นำมาซึ่งข้อขัดแย้งมากมายแล้ว 

ยิ่งเป็นผลงานออกสู่สาธารณะ กี่คนเห็นผลงานล่ะคะ ไม่ใช่การบ้านที่แค่ พ่อแม่ เพื่อน ครู เห็นกันแค่นี้ มันเรื่องธรรมดานะคุณน้อง อย่าคิดมาก คิดซะว่ามันเป็นเรื่อง “ธรรมดา”


เรื่องถูกด่า บางคนเขาก็ชอบนะ แบบว่า การที่ได้รับความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นด่าหรือชม เอาหมด ขอแค่ได้รับความสนใจ คือไม่ได้ว่าใครนะ หมายถึงแบบ ก็มีคนแบบนี้จริง ๆ และเขาก็ไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องพวกนี้ ดีใจด้วยซ้ำไป ไม่ได้คิดด้วยว่าเป็นตราบาป


สรุปที่จะบอกคือ ถ้าเป็นเรื่องจัดการความรู้สึกนะ มันอยู่ที่ใจและความคิดของคุณน้องเองคนเดียวแหละค่ะ คนชอบมี คนชังก็มี ถามใจตัวองดีกว่า ว่าจะเอายังไง ถ้ามีแนวที่ชอบ/หลงใหลจริง ๆ นะ ต่อให้คนทั้งโลกด่าว่ามันแย่ มันไม่ดี เราก็อาจจะไม่แคร์ หาแนวที่ชอบมาให้ได้มาก่อนเถอะนะ อย่างแรกเลย เรื่องที่คุณน้องหยิบ อาจไม่ใช่แนวทาง


0
28 เม.ย. 64 เวลา 12:16 น. 7

สังคมโซเซียลจะเป็นแบบนี้แหละค่ะ ร้อยพ่อพันแม่ ใครจะเขียนด่ายังไงก็ได้ โดยไม่นึกถึงความรู้สึกของคนที่โดน เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งไปใส่ใจเรื่องราวพวกนั้นมาก ขอแค่เป็นมีใจรักจริง กล้าที่จะคิดกล้าจะทำ แล้วมันจะได้เองแหละค่ะ ต้องถามถึงเป้าหมายหรือสาเหตุที่อยากเขียน ของคุณก่อนนะคะ หันมาเข้าเส้นทางนี้เพื่ออะไร? อะไรเป็นแรงบันดาลใจสำหรับตัวคุณ

0
zhuquehua 28 เม.ย. 64 เวลา 12:18 น. 8

คุณจขกทยังเด็กอันนี้เข้าใจว่าพอไปเจอในอีกมุมหนึ่งทำให้กลัวที่จะลงมือทำ เพราะทางนี้ก็ลงมือตอนมัธยมเหมือนกัน แต่บังเอิญเราไม่ได้แคร์ถึงจุดวิพากษ์วิจารณ์จากหนังสือนิยายที่เราเคยอ่าน ว่านักเขียนลงมือตั้งแต่เมื่อไหร่ กระแสเป็นยังไง ต้องยอมรับว่าการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลมันบั่นทอนจิตใจคนสร้างผลงานทุกวงการ แต่ว่า...มันไม่มีแค่เพียงเราคนเดียว มีคนมากมายที่ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ ฉะนั้นอย่าเพิ่งกลัวไปค่ะ ลงมือทำก่อน ประสบการณ์หรืออายุของแต่ละคนไม่เท่ากัน การสร้างสรรค์ผลงานในแต่ละความคิดก็ต้องไม่เหมือนกัน เราอยากให้คุณโฟกัสที่ตัวเองก่อนว่าอยากเขียนเพราะตัวเองชอบหรืออะไร ถ้าเป็นเพื่อตัวเองที่ชอบเขียนก็เป็นกรณีเดียวกับเราคือ ให้ความสำคัญที่ตัวเอง โฟกัสที่ตัวเอง อย่าได้แคร์ ถ้าเจอคอมเมนต์แย่ๆก็อย่าได้สน เพราะเราไม่สามารถไปบังคับความคิดหรือการวิพากษ์วิจารณ์ของใครได้ ฉันมีความสุขที่จะเขียนแบบนี้ ฉันไม่ได้ทำร้ายใครหรือบั่นทอนจิตใจใคร ทำตัวเองให้มีควาสุขดีกว่าค่ะ อย่าเอาสิ่งที่เพิ่งเจอบั่นทอนจิตใจเลยค่ะ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงมือ แต่ถ้ายังกลัวอยู่ ก็อ่านนิยายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคุณจะรู้เองว่ากระแสมันมีหลากหลาย การวิพากษ์วิจารณ์มีหลากหลาย อาจจะเข้าใจถึงการเขียนนิยายและการเป็นคนสร้างผลงาน ซึ่งเดี๋ยวนี้นักอ่านและนักเขียนเข้าถึงกันง่ายด้วย

0
แม่นางทองกวาว 28 เม.ย. 64 เวลา 12:41 น. 9

คนที่ไม่ทำอะไรคือคนที่ไม่โดนด่าค่ะ เรื่องการถูกวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์ อย่าไปกลัวคำคนค่ะ ยึดมั่นถือมั่นในความคิดและความตั้งใจเอาไว้ อยากเขียนเขียนเลย เรื่องแรกออกมาไม่ดีก็ลองเรื่องที่สองพัฒนาปรับปรุงไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะบอนทูบีเกิดมาก็เขียนนิยายได้สนุกมีคนติดตามเยอะได้เลย แต่ละคนมีเรื่องราวของตัวเองก่อนจะไปถึงความสำเร็จ อย่าไปกลัวก่อนเรื่องมันจะเกิด ดับเครื่องชนดูสักครั้ง ต้องลองให้มันรู้ด้วยตัวเอง จริงๆอยู่เฉยๆคนก็ด่าได้นะคะถ้าเขาอยากจะด่า เรื่องแบบนี้ไปห้ามเขาไม่ได้


อีกอย่างนั่นไม่ใช่คอมเม้นต์เกี่ยวกับตัวน้องไม่ต้องเก็บมาใส่ใจมากหรอกค่ะ อย่าเอาตัวเองไปแทนที่เขา คอมเม้นต์ที่นัองไปอ่านแล้วเจอแต่ด้านแย่ๆลองดูด้านดีของเขาหรือยังคะ อีกมุมหนึ่งอาจมีคนรักเขามากๆก็ได้ เราควรโฟกัสกับคนที่รักเรามากกว่าคนที่ด่าเรานะ ส่วนคำตินั้นไม่ถือเป็นคำด่าแต่เป็นคำแนะนำที่ควรเอามาปรับปรุงค่ะ สุดท้ายแล้วก็อยากให้เราลองด้วยตัวเองนะ เรื่องของคนอื่นแค่เพียงคนเดียวจะเอามาตัดสินและเปรียบเทียบกับเราเองก็ไม่ถูก หากอยากหาข้อมูลจริงๆต้องอ่านให่เยอะกว่านี้ มีนักเขียนมากมายและหลากหลายให้ได้เลือกศึกษา

0
yurinohanakotoba 28 เม.ย. 64 เวลา 12:46 น. 10

ตามไปดูต่อสิครับว่านักเขียนคนนั้นตอนนี้เป็นยังไง

ออกผลงานแบบไหนออกมา ตอนนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว

แทบไม่เกี่ยวอะไรแล้วกับการเขียนนิยาย


ชีวิตอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถ้าหาเจอสิ่งที่คุณชอบจริง ๆ

คุณก็จะก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง


ถ้ายังแคร์สายตาคนอื่น ก็แสดงว่ามันไม่ใช่

0
Remnantian01 28 เม.ย. 64 เวลา 14:06 น. 11

ถ้าให้ผมเดาก็น่าจะเป็นเรื่องของคุณหมอผีปอบใช่มั้ยครับ? ถ้าใช่ก็อย่าคิดมากครับ เจ้านั้นน่ะศัตรูเยอะ ไปค้นกระทู้เก่าๆดูนี่ร้องซี้ดอะผมบอกเลย


แล้วคือการที่คุณแต่งนิยายแล้วต้องเผชิญคำด่ามันก็เป็นปัญหาหนึ่งครับ แต่ถ้ายังไม่ทันทำแล้วมานั่งกลัวอันนี้ผมก็มองว่าเป็นอีกเรื่องนึง ผมมองว่าคุณไม่ควรมานั่งกลัวเรื่องที่ยังไม่เกิด ผมต้องบอกอย่างนี้ว่าคุณลงครั้งแรกมันไม่มีทางดีงามไร้ที่ติหรอก มันไม่มีใครแต่งนิยายครั้งแรกแล้วปัง(ยกเว้นบางเคส แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย) ตอนผมลงครั้งแรก คอมเม้นแรกที่โดนเข้าไปนี่ก็คอมเม้นด่า ยังจำได้จนบัดนี้ แต่แล้วยังไงล่ะ คือถ้ามันมีอะไรให้เราเอามาปรับใช้ได้ก็เอามาปรับใช้ ไร้สาระก็ปล่อยผ่าน เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องปรกติครับ


ลงไปเถอะครับ ถ้าคิดว่าดีก็ลงไปเลย แล้วถ้าโดนด่าก็ตามที่ผมกล่าวไว้ข้างบน การพลาดมันไม่ใช่จุดจบครับ คนเราเรียนรู้จากการผิดพลาดอยู่แล้ว แต่ถ้าพลาดแล้วไม่รู้จักแก้ อันนั้นน่ะจบเห่

2
User_227 28 เม.ย. 64 เวลา 15:11 น. 11-1

ว่าแล้วต้องคิดถึงคนคนเดียวกันโดยส่วนตัวแรกๆ อ่านแล้วก็ไม่ชอบงานเขียนเขานะ แบบ'ตูซื้อมาทำไม? ' แต่อ่านไปอ่านมาก็สนุกดี งานเขียนอ่านง่ายไม่หนักสำนวนกระบือข้างบ้านมาอ่านยังร้อง'อ้อ' ส่วนเหตุที่คนไม่ชอบคงมาจากการที่แกดันผันตัวไปเป็นไลฟ์โค้ช

0
Nyx 28 เม.ย. 64 เวลา 18:54 น. 11-2

ในเว็บเด็กดีนั้นมีสาเหตุที่คนไม่ชอบเขาอยู่ ผมมาสิงสถิตหลังจากสมัยนั้นนานอยู่แต่ก็ยังได้รับรู้จากสมาชิกร่วมสมัยว่าเกิดอะไรขึ้น สมัยนั้นมีคนวิจารณ์ ตำหนิ ด่า นิยายของเขาเยอะนะ เขาก็รู้และดูเหมือนจะไม่กลัว อาจเพราะถือดีว่าตนก็มีแฟนคลับเยอะและแฟนคลับเหล่านั้นก็เชี่ยวชาญในการ "พาทัวร์ไปลง" กระทู้ตำหนินิยายเขา ประจวบเหมากับบางครั้งก็มี non-member อวยนิยายของเขาอย่างสม่ำเสมอด้วย แต่ทีนี้มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาโป๊ะแตกจาก ip address ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นการเสแสร้งถอด login ใช้ non-member ด่าอีกฝ่ายหรืออวยนิยายตัวเอง ทำให้เหล่าสมาชิกเด็กดีก็ถึงกับตาสว่างกระจ่างแจ้งเลยครับ

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-big-10.png

0
Eliche 28 เม.ย. 64 เวลา 14:47 น. 12

คุณอายุยังน้อย จึงหวาดกลัวคำติ คำตำหนิ คำวิจารณ์

คุณรู้สึกว่าถ้าเจอแบบนั้นแปลว่าคุณทำผิด คุณโง่ ไม่ฉลาด

ถ้าทุกคนเก่งตั้งแต่แรกเกิด คงไม่มีคำว่าฝึกฝน คำว่าทักษะ
ซึ่งแปลว่าคุณต้องทำซ้ำๆ จนกระทั่งชำนาญและไม่ผิด

และนั่นแปลว่า ในครั้งก่อนๆมันต้องมีที่ผิดแน่ๆ ทุกคนไป

มองใหม่ เพราะไม่เก่งจึงต้องฝึก เพราะไม่เก่งจึงต้องการให้คนบอกว่าทำไงจะดี
ดังนั้นคำด่า คำติ คำวิจารณ์สำคัญมากๆๆๆ

เพราะงานคุณทำให้มวลชนอ่าน ไม่ใช่คุณอ่านคนเดียว

มวลชนที่ทั้งด่าทั้งชม จะช่วยกันทำให้คุณพบทางที่ใช่สำหรับคุณ


แค่กินข้าว ยังมีคนกินข้าวต่างพันธุ์ ต่างรส ต่างระดับความแข็ง
เพราะงั้น นิยายน่ะ คนอ่านต่างรสนิยมกันไป


คุณต้องเผชิญหน้าฝึกและรับฟังเท่านั้น

ถ้ายังกลัว หัดเขียนแล้วไปหาคุณครูหารุ่นพี่ที่สนิท ให้ลองช่วยวิจารณ์ให้ก่อนลงเว็บ
หรือถ้าลงเว็บ หัดอ่านคำวิจารณ์อย่างผู้ใหญ่
ฝึกทั้งการเขียน ฝึกทั้งการพัฒนารับฟัง
อย่าเกลียดกลัวคำตำหนิไปเลย

0
Nyx 28 เม.ย. 64 เวลา 15:01 น. 13

แยกสองเรื่อง

1. โยนความกังวลทิ้งนะ ตอนนี้ปัญหาคืออยากเขียนนิยายใช่หรือไม่ ? ถ้าใช่มันก็ใหญ่พอแล้วแหละ เขียนไม่เป็นก็หาความรู้ทดลองเขียน ๆ แก้ ๆ ไปครับ สนใจปัญหาตรงหน้าก่อนนะ


2. สาเหตุหนึ่งที่ไวท์โรดของ ดร. ป็อป โดนถล่มยับเยินเนื่องจากการอวยที่มากเกินไปของสื่อ ถ้าความผิดมี 100% ผมยกให้สื่อต่าง ๆ ที่อวยนั้นผิดสัก 70-80% เลย สร้างกระแสเก่ง มันเหมือนกับว่าผมซื้อตะกร้าใส่ของราคา 200 บาท แล้วพบว่าสีสัน รูปร่างและความคงทนของมันไม่ต่างจากตะกร้าใส่ของที่หาซื้อได้ในร้านค้าประเภททุกอย่างยี่สิบบาท คิดว่าผมจะรู้สึกอย่างไร ? ผมก็ต้องอภิมหาโกรธาแน่นอน คนอ่านก็เช่นกันฉันใดก็ฉันนั้น เรื่องไวท์โรดก็เอาเท่านี้ดีกว่านะ เชื่อว่าประเด็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่องและคนเขียนผมไม่จำเป็นต้องสาธยายเพิ่ม


ืคือมันเยอะ ขี้เกียจพิมพ์

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-02.png

1
Llama1 18 ก.ย. 64 เวลา 18:27 น. 13-1

งั้นหมายความว่าถ้าไม่โฆษณาเกินจริงแต่แรกคงจะไม่ถูกกระแสต่อต้านขนาดนี้สินะ

0
G.Tenju 28 เม.ย. 64 เวลา 15:06 น. 14

ขนาดไม่ใช่นิยายของตัวเองยังรู้สึกว่ามันน่ากลัวขนาดนี้ แล้วนายอยากรู้ไหมว่าคนเขียนเขารับมือกับความกดดันที่โถมใส่ตัวเขาทั้งหมดยังไง? ผมเคยมีโอกาสได้นั่งคุยกับเขาครับ และคิดว่าเป็นคนเดียวกันกับที่นายพูดถึงแน่ๆ


บอกก่อนว่าชีวิตส่วนตัวมีความทุกข์เยอะมาก แต่พอดีว่าเป็นพวกติดเกมเลยจะมองปัญหาเป็นบอสแล้วหาวิธีแก้ทางมากำจัดอยู่ตลอด แล้วนักเขียนที่นายพูดถึงก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนกระแสต่อต้านหนักที่สุด ผมเลยมองว่ามันคุ้มค่ามากพอที่จะลองหาทางไปคุยกับเขา อันดับแรกเรื่องของนิยายที่เขาเขียน ตัวเขาไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะไปมีคุณค่าทางวรรณกรรมหรือโด่งดังอะไร เขาแค่เขียนเอาสนุกล้วนๆ พอรู้ตัวอีกทีมันก็ดังไปซะแล้ว


ส่วนเรื่องที่คนรุมด่าผลงานเขา เขารับรู้ครับ แต่เขาแยกออกว่าใครเป็นคนสำคัญของตัวเอง (ตรงนี้เขาไม่ได้พูดเองนะ เพื่อนเขาเป็นคนบอกให้ผมฟัง) วันที่ผมไปคุยมันเหมือนเป็นงานมีตติ้งเล็กๆที่เขาจัดกับเพื่อน ยังมีบางคนเอานิยายที่เขาโดนคนในเน็ทด่ามาให้เซ็นให้อยู่เลย กอดกันด้วย ยิ้มแฉ่งพูดคุยหัวเราะขอบคุณกัน เขามีคนสนับสนุนรอบตัวเยอะมาก เรียกเพื่อนว่าเป็น 'ครอบครัว' ของตัวเอง ใครจะด่าเขายังไงมันก็ไม่มีผล ตราบเท่าที่กำลังใจจากครอบครัวของเขาสำคัญกว่า


แล้วถ้านายได้ลองหาข้อมูลของนักเขียนคนนี้ นายจะรู้ว่าเขาโปรโมตดุมาก ไปจังหวัดโน่นที จังหวัดนั้นที (ไปเป็นวิทยากรแล้วจบท้ายด้วยการโปรโมทนิยาย) ที่เขาทุ่มชีวิตทำได้ขนาดนั้นเพราะเขามีเป้าหมายอยู่อย่างหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่าตัวเขาเองอยากสร้างโรงเรียนแบบในแฮรี่พ็อตเตอร์ เขาตั้งใจว่าจะเก็บเงินให้ได้ 1,000 ล้านเพื่อสร้างโรงเรียนแบบนั้น แล้วเขาเอาจริง ถ้าจำไม่ผิดในวันที่มีตติ้งเขาเก็บเงินได้เกินครึ่งแล้ว แต่เนื่องจากปัจจุบันคุณภาพของโรงเรียนที่ใหญ่หรูดูโอเวอร์แบบที่เขาหวังไว้มันไม่ค่อยตอบโจทย์ (เขาตั้งใจจะติดแอร์ทุกที่เพื่อให้นักเรียนต้องใส่เสื้อกันหนาวแบบในหนังด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้ว่าพูดเล่นพูดจริงนะ) เพราะเขาอยากเน้นเรื่องคุณภาพการสอนด้วยแหละ แล้วมันเป็นช่วงกระแสเรียนออนไลน์พอดี โปรเจคเขาเลยชะงัก ปัจจุบันผมไม่รู้ว่าเขาจะยังอยากสร้างอยู่หรือเปล่า จบหลังจากที่ไปคุยวันนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย พอกลับบ้านมา ผมก็ถอดบทเรียนที่ได้รับมาเพิ่มเป็นอาวุธไว้ตบบอสตามนี้


นายต้อง 'ลำดับความสำคัญของเป้าหมายให้ได้' นายกลัวคนด่า เพราะเป้าหมายในการเขียนนิยายของนายมันยังไม่สำคัญพอที่จะยอมแลก เอาจริงๆมันไม่ต้องแลกด้วยซ้ำ มองข้ามมันไปได้เลย นายอาจจะแค่คิดว่าคนอื่นสูงกว่าตัวเอง ตรงนี้มันเป็นปัญหาเรื่องของทัศนคติ นายกลัวว่าจะไม่มีคนยอมรับในตัวนาย นายเลยไม่กล้าเขียน พี่นักเขียนคนนั้นเขาพูดกับผมเรื่องนี้ด้วยว่า "กลัวเหรอ? ไหนหยิบความกลัวมาวางใส่มือผมหน่อยสิ" คือมันไม่มีอยู่จริง เรากลัวกันไปเอง คิดกันไปเอง อินกับมันกันไปเอง


และนายต้อง 'ทำความเข้าใจกับความกลัว' ผมเคยพูดในกระทู้เด็กดีบ่อยมาก ว่าระบบการศึกษาบ้านเรามันห่วยแตก "จงหาคำตอบที่ถูกต้องให้เร็วที่สุด" มันสอนให้ทุกคนด่วนตัดสิน,เปรียบเทียบกันจนเป็นนิสัย ใครตอบถูกได้รางวัล การชมเชย การยอมรับในสังคม ใครตอบผิดโดนลงโทษ เขี่ยออกจากกลุ่ม โดนประจาน ทุกคนโดนฝึกให้เชื่องเพราะความกลัวมากกว่าจะใช้คำว่าได้รับการศึกษา เขาใช้วิธีนี้เพราะเหตุผลว่า "เด็กนักเรียนมันเยอะ ดูแลให้ทั่วถึงไม่ไหว" แค่นั้นเลย แล้วนายอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก มันก็ไม่แปลกที่ความกลัวจะฝังลึก


ฝึกที่จะ 'ตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบ' ลองคิดดูว่าพวก Youtuber ที่เราดูทำไมพวกคนดังๆถึงพูดระหว่างดำเนินรายการได้ไม่มีติดขัด แต่พวกมือใหม่ยอดติดตามน้อยๆถึงพูดอะไรก็เอ่อ...อืม...อะ...ฟังขัดหูไปหมด มันต่างกันตรงทัศนคติ เพราะพวกมือใหม่ส่วนให้เขายังต้องการความยอมรับจากคนดู เขากลัวจะลืมเนื้อหา กลัวโน่นนั่นนี่ กลัวคนจะไม่ติดตาม กลายเป็นว่าเขามาในสถานะ 'ผู้ขอ' ก็เหมือนกับเวลาจะไปขอยืมเงินคนอื่นนั่นแหละ จะทำอะไรก็อึดอัดไปหมด ตรงกันข้ามกับ 'ผู้ให้' เขาจะภูมิใจ ไม่มีอะไรต้องกลัว ดำเนินรายการไปยิงมุกแล้วปังก็ขำ ยิงมุกแล้วแป้กก็ขำ พวกมืออาชีพแล้วส่วนใหญ่เขาจะคิดว่าตัวเองกำลังมาให้อะไรสักอย่างกับคนดู หรือไม่ก็แค่อยากสนุกด้วยกันเฉยๆ เพราะความต้องการที่จะถูกยอมรับมันถูกเติมเต็มไปแล้ว ซึ่งเราโกงตรงนี้ได้ ด้วยการก๊อบปี้วิธีคิดของพวกมืออาชีพนั่นแหละ เขียนนิยายเพื่อมาให้หรือเล่นอะไรกับคนอ่าน ไม่ใช่มาขอยอดวิวคำชมแล้วก็ท้อจนตั้งกระทู้หาคนปลอบวนเวียนไปอยู่แบบนั้น อันนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างในวิธีแก้ที่ผมได้มาจากการตั้งคำถาม (+ความรู้ด้านอื่นที่สะสมมาด้วย)


มีอีกวิธีที่ผมได้มาจากพระเซ็นรูปหนึ่ง ท่านบอกว่าศิลปินที่หลุดพ้นแล้ว(?) เขาจะมองผลงานที่สร้างเป็นเหมือนซากอ้อย ก็คือตัวเขาเสพความสุขขณะสร้างไปเรียบร้อยแล้ว ดูน้ำหวานจากอ้อยจนตัวเองพอใจแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มันก็แค่เศษซากเท่านั้น ไม่มีอะไรพิเศษสำหรับเขา ซึ่งอันนี้มันตรงกันข้ามกับที่คนส่วนใหญ่ทำ สร้างผลงานเสร็จก็คิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเอง ตัวละครโดนด่าก็โมโห พล็อตโดนตำหนิก็โมโห นึกว่าตัวเองโดนด่า นายก็คิดเองแล้วกันว่าจะขโมยวิธีคิดมาใช้ยังไง


วิธีแก้ที่ยกตัวอย่างมาข้างบนเป็นแค่หนึ่งใน 'ตัวเลือก' ที่จะใช้แก้ปัญหาเท่านั้น ไม่มีถูกผิด ไม่มีคำว่าดีที่สุด แต่ละคนจะมีวิธีที่เหมาะกับตัวเอง แต่ละวิธีก็ให้ผลในรูปแบบของมันเอง ที่เหลือนายก็ต้องขวนขวายตามหามันให้เจอ ผมช่วยได้แค่นี้แหละ พิมพ์ยาวๆแล้วเหนื่อย

0
ปราการเหมันต์ 28 เม.ย. 64 เวลา 18:46 น. 15

ผมพอจะรู้นะครับ ว่าเรื่องอะไร แต่ผมบอกเลยว่า ต่อให้นิยายเรื่องนั้นจะถูกคนหลายกลุ่มมองว่าเป็น ขยะ หรืออะไรก็ช่าง แต่นิยายเรื่องนั้นได้ปลุกกระแสนิยายแฟนตาซีในไทยให้บูมขึ้นมา ยอมรับว่าเนื้อเรื่องอาจไม่แข็งแรงเท่าไหร่ แต่อ่านเอามันส์เอาสนุกก็ดี(ในขณะนั้นผู้แต่งยังอายุไม่มากเลย จึงไม่แปลกนี่เนื้อหานิยายจะมีจินตนาการที่พลุ่งพล่าน ลองไปอ่านนิยายอื่นของนักเขียนคนนี้สิครับ ผมอ่านแล้วสนุกดี) ดังนั้นแล้ว ผมอยากจะบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้านครับ มีคำชม มีคำติ เป็นเรื่องธรรมดา แล้วดูสิครับ ว่าใครประสบความสำเร็จ ระหว่างคนด่า กับคนลงมือทำ เป็นกำลังใจให้ครับ วรรณกรรมทุกชิ้น หากไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชนก็มีคุณค่าหมดและครับ

0
White Frangipani 28 เม.ย. 64 เวลา 20:06 น. 16

กลัวการถูกด่า ถูกอคติ


ข้อความดูถูกดูแคลนคำอคติและดราม่าต่างๆที่เคยมีไว้ว่านักเขียนคนนั้น ค่อยๆหันมากัดกินทำร้ายจิตใจผม ความมั่นใจที่มีอยู่ล้นมือตอนนี้แทบไม่เหลือ แค่เขียนนิยายไม่ถูกใจคนหมู่มากมันขนาดนี้เลยเหรอ


สวัสดีค่ะ


เม้นต์นี้ เม้นต์เข้ามาให้กำลังใจนะคะ


กลัวการถูกด่า ถูกอคติ



ขออนุญาตเม้นต์ตรงๆ เกี่ยวหัวข้อประเด็นของคุณเลยนะคะ


ตามที่เห็นๆ นี้ ดูคุณจะมีความกลัว กลัวถูกด่า จากความอคติของเหล่าผู้คน แบบนั้นนะคะ


ในความเข้าใจของเจ้าของเม้นต์ เข้าใจว่ามีทางออกค่ะ ก่อนอื่นนะคะ คุณคงจะต้องจัดการกับตัวคุณเองเกี่ยวกับเรื่องของความกลัวก่อนนะคะ


แต่ก็นะ คุณบอกว่ากลัว...นะคะ

ความกลัวเป็นความรู้สึกตรงข้ามกับความภิรมณ์เนาะ


ความกลัวนี้หนา ไม่เข้าใคร ออกใคร จริงด้วยดิเนาะ

(เคยมีเพื่อนๆ นะคะ ไปเที่ยวป่าด้วยกันในกลางคืน และเราก็เห็นผีค่ะ คือถูกผีหลอก คือเห็นผีจริงๆ นะคะ ทุกๆ คนเห็นเป็นตาเดียวกัน บางคนไม่กลัว เมื่อเห็นนะ เขากลับรีบยกมือไหว้ก้มลงกราบ บางคนกลัวจนฉี่ราด บางกลัวยืนเป็นหุ่นนํ้าแข็งคือช็อค พูดไม่ได้ ไข้ขึ้น เป็นไข้หัวโกรนเลยด้วยค่ะ ส่วนตัวเจ้าของเม้นต์นี้ไม่กลัวค่ะ เพราะเชื่อว่า ใครที่เห็นผีคือคนมีบุญ อยากเห็นบ่อยๆ วันที่เห็นนั้นยังวิ่งไล่ตามเลยด้วยค่ะ ไม่กลัวนะ ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องจริงนะคะ คือบางคน ก็แพ้ความกลัว บางคนไม่ คือความกลัวนะคะ มีศักยภาพ กับทุกๆ คนไม่เหมือนกัน นั้น ก็เป็นความจริงนะคะ แต่การกลัวผี กับการกลัวด่านี้ ก็อาจจะต่างกันมั้ง? ไหมนะ? ยิ่งกว่านิยายเลยด้วยเนาะ https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-08.png )


คือ ในเคสของคุณนี้นะคะ ดูคุณมีความกลัวมากๆ (ดูคุณจะกลัวจริงจังนะคะ)


โอเค เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน ไปดูอาการที่ว่า...กลัว...ของคุณนี้ด้วยกันนะคะว่า แท้จริงเป็นเช่นไร

(ดูสิ คนที่ด่าคุณนะ น่ากลัวกว่าผี หรือไม่นะ คือจินตนาการไปเนาะ ไปด้วยกันนะคะ ไปดูเจ้าความรู้สึกที่ว่า กลัว ที่จิตใจของคุณให้เห็นกับตา เราไปกันเลยค่ะ เจ้าของเม้นต์ไม่เกรงต่อความกลัวค่ะ จะไปเป็นเพื่อนคุณนะ)


โอเค นี่คือความกลัว

/กฺลัว/

เป็นคำ คำกริยา

ความกลัว แท้จริงเป็นอาการความรู้สึก หวาด, คร้าม, พรั่นพรึง, หวั่น, รู้สึกไม่อยากพบกับสิ่งไม่ดี.


แปลไทย ให้เป็นไทยออกมาแล้ว


ก็


โฮ ดูจะเกิดเป็นความรู้สึกที่น่าสะพึง จริงด้วยสิ


จริงแล้วนะ การที่เขาลงได้ด่าคุณแล้ว คือเขามีอคติต่อคุณอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่เขาจะด่าค่ะ


จริงแล้วอคติ และการด่าทอ มีที่มาจากจุดเดียวกันของคน คนนั้นนะคะ


โอยยยยย เมื่ออ่าน และทำความเข้าใจกับความรู้สึกที่ว่ากลัว ในแบบที่จริงจัง(คือแปลไทยออกมาแล้ว)ก็เข้าใจ และก็รู้สึกว่า แท้จริงแล้วนะ ความกลัว เป็นอาการที่จิตใจของคนเราสะพึง จริงด้วยดิ


แน่นอน หล่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เข้าใจค่ะว่า คุณทุกข์ทรมาน ในวาระที่คุณมีความกลัวอยู่ที่จิตใจคุณ ในขณะนี้


โฮ ความกลัว เป็นอะไรที่น่ารังเกียจ น่าสะพึงต่อจิตใจ จริงด้วยสิเนาะ


คือหากคุณมีอาการแบบนี้ ก็เป็นธรรมดานะคะ ที่คุณจะใช้พลัง หรือเสียพลังไปกับความรู้สึกที่เป็นแรงสะท้อน นั้นคือเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ขมขื่น สะพึง โดยเปล่าประโยชน์ คือแบบนี้แล้ว คุณก็ไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดๆ ได้ เช่นเมื่อคุณอยากจะเขียน คุณก็จะเขียนไม่ได้อย่างแน่นอนค่ะ


เพราะคุณมีความกลัวเป็นความสะพึงครอบงำจิตใจของคุณอยู่ เจ้าของเม้นต์นี้ เชื่อ และเข้าใจคุณแล้วค่ะ


โฮย แบบนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน ในทุกๆ วันคะ?


คือ ตราบที่คุณมีความกลัว คุณจะไม่มีความกล้า ไม่มีพลัง ที่จะทำ หรือสร้างสรรค์สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เหตุเช่นนี้ ก็เป็นผลพวงที่ติดต่อกันเป็นคล้ายห่วงโซ่ สินะคะ


ไม่ว่าเป็นการเขียนนิยาย หรือทำสิ่งใดๆ คุณก็จะไม่กล้าค่ะ


คือเป็นธรรมชาติของความกลัว ซึ่งมันมีศักยภาพเพื่อการนี้ คือมันครอบงำ ความกล้า ความเชื่อมั่น และพลังต่างๆ หรือแม้กำลังใจ มันก็บดบังหายไปสิ้นในคน ตราบใดที่เขามีความกลัว อยู่เหนือจิตใจของเขานะคะ


แบบนี้ คุณคงจะต้องรีบๆ ตั้งใจฝึกหัดเรียนรู้...ปรัชญาแห่งพุทธ ให้ขึ้นใจ หรือจงเข้าใจ ให้จงดี ให้ได้นะคะ ทั้งนี้เพื่อสร้างภูมิต้านทานต่อเจ้าความกลัวในตัวตนของคุณแล้วนะคะ และเมื่อคุณทำสำเร็จเมื่อไร คุณก็จะไม่กลัวอีกต่อไปค่ะ


ในปรัชญาแห่งพุทธนะคะ สอนไว้ว่า ในโลกนี้มีผู้ที่เสียสติ เป็นบ้าบอ โดยที่เขาทั้งหลายไม่รู้ตัวตนของเขาเองนั้นมีอยู่มาก และนับวันก็จะยิ่งมาก ตราบที่เขาไม่รู้ ไม่เข้าถึงได้ในเหตุที่เป็นสัจธรรมค่ะ


คือปรัชญา หรือคำสั่งสอนของพุทธสอนไว้ว่า อันผู้คนที่เสียสติ(จิตวิปลาส จิตที่ไม่รู้ได้ถึง ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี) เขาเหล่านี้ ก็เที่ยวไล่ด่า ว่า ด่าทอ ผู้อื่น เพื่อความบันเทิงไปวันๆ ด้วยที่ตัวเค้าไม่รู้ว่าเขาเสียสติ หรือเป็นบ้า นั้นมีอยู่จริงนะคะ


ยกตัวอย่าง เช่น คือในเหตุที่ว่า นักเขียนคนหนึ่ง เขาเขียนสตอรี่ของเขา (ผลงานของเขาอาจจะเป็นสตอรี่ที่ดีเยี่ยม และเขาขายได้) กลับที่จะมีผู้คนเสียสติกลุ่มหนึ่งด่าทอเขา และผลงานของเขาเล่นเป็นความบันเทิงของตนไป


ซึ่งจริงแล้วนะ เหตุเช่นนี้ คืออาการบ้า ของคนที่ด่าทอนักเขียนนะคะนั้น


คือเป็นอาการของคนบ้าจริงนะคะนั้น


หากคุณไม่เชื่อว่าเขาบ้าจริงๆ คุณก็สามารถพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองนะคะ ด้วยการคิดดังที่ว่า ถ้าเป็นคุณนะคะ คุณจะด่าผลงานของผู้อื่น หรือด่านักเขียน ด้วยที่คุณไม่รู้จักเขา และเขาไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้คุณเลย เพียงเขาเขียนงาน และขายได้ คุณก็ไปด่าเขา ตั้งพรรค ตั้งพวกไปด่าเขา ไปวิจารณ์เขาให้เห็นเป็นเหตุการณ์ที่เสียหาย ให้แก่เขา โดยไม่มีความรู้สึกผิด ไม่ละอาย ไม่อายตนเอง ไม่อายฟ้าดิน ไม่อายผู้ที่คุณไปด่าเขาเล่น แบบนี้นะคะ


คือคุณลองๆ คิดนะคะว่า เป็นคุณนะคะ คุณทำได้ไหมคะ?


เจ้าของเม้นต์นี้ เชื่อว่า คุณทำไม่ได้ค่ะ หากคุณไม่บ้านะ


และ เมื่อคุณพิสูจน์ได้ตรงนี้แล้ว ว่า คนที่เที่ยวด่าผู้อื่นเล่นเป็นความบันเทิง ไม่ว่าจะด่าตัวบุคคล หรือด่าผลงานต่างๆ ของเขา จริงแล้วผู้ที่ด่านะ เป็นบ้าไปแล้วค่ะ


คือในที่นี้ เจ้าของเม้นต์กล่าวถึงในเหตุที่ว่า การด่า จนทำให้ผู้อื่นกลัวนะคะ


คือ คุณไม่ต้องกลัวเขาเหล่านี้ อีกต่อไปนะคะ คนที่ด่าทอผู้อื่นเล่นเป็นความบันเทิง ก็คนบ้านั้นเองค่ะ


คุณจะนำมาใส่ใจเพื่ออะไรกัน


คือ อยากแนะนำคุณว่า ตราบใดที่คุณรู้ว่าคุณทำอะไรอยู่ คุณทำในสิ่งที่ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมาย คุณต้องไม่กลัวนะคะ


เขาไม่สนหรอกว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ประสบการณ์มากแค่ไหน สนแค่งานมีนดีหรือไม่ ถ้าดีก็ดีไปถ้าแย่ก็โดนด่ากลายเป็นตราบาปที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต ผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกพวกนี้ยังไง ช่วยแนะนำผมมาได้ไหมว่าจะทำยังไง


ใช่ค่ะ คือ คนบ้านะคะ เขาไม่มีสติรู้ได้ถึงผลของมัน นั้น ก็เป็นความจริงนะคะ


คนบ้าเขาไม่เห็นแก่หน้าพระ หน้าพรหมณ์หรอกนะคะ


เพราะเขาไม่มีสติรู้ได้ไงคะ คือหากเขามีสติรู้ เขาจะเป็นบ้าหรือคะ คือคำตอบก็มีอยู่แล้วในตัวตนของมันเอง เป็นธรรมชาติ เป็นความจริงค่ะ


คนสติดี เขาจะไม่ด่าใครๆ นะคะ


เพราะการด่า แท้จริงมาจากจิตที่อคติ ตกตํ่า ตํ่าตม ทุกข์ทรมาน เจ็บปวดมืดมน คนเหล่านี้ ก็นำสิ่งที่เขามีไปยัดเหยียดให้ผู้อื่น ด้วยการด่า หรือหากจะเปรียบ ก็คือเขาพ่น ความทุกข์ทรมานของตนสู่ผู้อื่น ก็เท่านั้นเองค่ะ


คนบ้า กับคนสติไม่ดี คือคน คน คนเดียวกันนะคะ


คุณจงอย่าถือคนบ้า อย่าซาคนเมา ดีกว่านะคะ


เอาพลังไปใส่ไว้เพื่อตัวคุณเอง ดีกว่านะคะ


เพราะความกลัวในตัวคุณคือ กรงขังจิตวิญญาณของคุณดีๆ นี้เองค่ะ


เมื่อคุณถูกคุมขังจิตวิญญาณ ด้วยความกลัวเสียแล้ว คุณก็จะไม่ต่างจากผีตายซาก คือ ชีวิตของคุณจะไม่มีความหมายใดๆ คุณจะไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีๆ ที่คุณมีอยู่ เพื่อตัวคุณเอง และเพื่อสังคมได้เลยในชีวิตนี้


คือในเหตุแห่งความเป็นจริงนะคะ ชีวิตของคุณ เป็นของคุณ ตราบใดที่คุณมีสติรู้ว่า คุณทำอะไรอยู่ จงทำในสิ่งที่คุณต้องการทำ รักที่จะทำ ไม่ว่าทำเพื่อปากท้อง ทำเพื่อความอยู่รอด ทำเพื่อสังคม หรือทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อตัวคุณเอง ทั้งนี้ รวมการเขียนนิยายด้วยนะคะ เพียงคุณมีความเชื่อมั่น ว่าคุณตั้งใจดี ภายใต้การกระทำนี้ คุณจงสนุกสนาน และทำต่อไป จงอย่ากลัวต่อสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ


ในยามที่คุณอด คุณเดือดร้อน คนที่เขาด่าคุณนะ เขามาถามคุณหรือไม่คะ ว่าคุณต้องการเงินเท่าไร ต้องการความช่วยเหลือไหม?


ขอให้คิดไว้แบบนี้ ให้ขึ้นใจ คุณก็จะล่องลอยอยู่เหนือความกลัวได้อย่างมหัศจรรย์ค่ะ


จงอย่าให้ความกลัวครอบงำ หรือเป็นกรงขังคุณนะคะ


ทั้งหมดนี้ เป็นเม้นต์ที่เกี่ยวกับความกลัว ซึ่งมีผลเป็นความจริง ต่อการกระทำของตนทั้งหมดนะคะ


คือไม่ว่าเหตุใด หรือสิ่งใด ก็ตาม รวมงานเขียน ตราบใดที่คุณรู้ว่า คุณทำอะไรอยู่ จงตั้งใจ ตั้งสติ สนุกสนาน ทำไปตามที่คุณต้องการ หรือที่คุณรักที่อยากจะทำนะคะ


จงอย่าให้ความกลัวมาหยุดคุณได้นะคะ


ขอร่วมเป็นกำลังใจให้งานเขียน ที่คุณอยากจะเขียนด้วยค่ะ


https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-01.png https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-02.png


0
มัณทนา [สวัสดีวันสิ้นโลก] 28 เม.ย. 64 เวลา 20:31 น. 17

อย่างน้อย นิยายเรื่องนั้นเป็นจุดประกายที่ทำให้หลายคนชอบอ่านนิยายไทยแนวแฟนตาซี

นักเขียนบางคนเขียนนิยายไทยแนวแฟนตาซีอย่างเซวีน่า หัวขโมยแห่งบารามอส

1
หน้ากากแมวน้อย 28 เม.ย. 64 เวลา 20:48 น. 18

ก็เป็นเรื่องปกตินะครับหากคิดว่ามันเป็นงานอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่โหดร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก หากเรียนจบแล้วทำงานแล้ว พอทำงานก็จะเริ่มชินกับมันไปเองแหละ เหมือนงานที่ถูกคาดหวังได้รับคำชมรีวิวไว้เป็นอย่างดี พองานออกมาคนซื้อเสียเงินเพื่อได้ของของคุณ คาดหวังตามคำรีวิว แต่งานกลับออกมาแย่อย่างมาก คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นล่ะ? คนเขียนก็เหมือนพนักงานเงินเดือน คนอ่านก็ไม่ต่างจากหัวหน้างาน งานดีหรือแย่ก็มีโอกาสโดนด่าติชมให้คำแนะนำ แล้วแต่ว่าหัวหน้างานจะเป็นคนแบบไหน คนที่ด่าก็มีเยอะ คนให้กำลังใจก็มีบ้าง ถ้าหากอยากทำเล่นๆ ก็ไม่อะไรหรอกครับ แต่ถ้าคิดจะทำจริงจังให้เป็นงาน มีรายได้ เป็นความฝัน สิ่งที่คุณเจอก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมกาอย่างหนึ่ง แถมอนาคตยังอาจจะมีปัญหาอะไรอีกเยอะแยะ



พ่อผมสอนว่า คนที่จะประสบความสำเร็จและมีความสุขกับงานได้ ต้องมีสามอย่างติดตัวครับ 1.คือพร จะพรสวรรค์หรือพรแสว่งก็ได้ ถ้ามีสองอย่างจะยิ่งดีมาก 2.ความชอบ ถ้าเราชอบก็มีไฟที่อยากจะทำ สามารถมีความสุขกับมันได้ 3.คือความตั้งใจ ถ้ามีความแน่วแน่ อดทน ตั้งใจ ไม่ว่าอะไรคุณก็จะผ่านมันไปได้


สิ่งที่คุณเจอ ถ้าแค่นั้นทำให้คุณไม่กล้าที่จะทำงาน กลัวที่จะโดนด่า คุณก็ทำงานได้ไม่รอดหรอกครับ อย่าว่าแต่ความฝันเลย งานธรรมดาที่ต้องทำคุณก็อาจจะไปไม่รอด ไม่โดนหัวหน้าด่า ก็โดนลูกค้าด่าอยู่ดีนั่นแหละ แต่ลองคิดแง่บวก มั่นใจกับงานของตัวเองไหม ถ้างานตัวเองคือของแรร์ชั้นยอด ยังไงก็ไม่โดนด่าหรอก มีแต่รางวัลกับคชมทั้งนั้น


ทั้งนี้ก็แล้วแต่ว่า จขกท. ตั้งใจจะเขียนเล่นๆ เป็นประสบการณ์ งานอดิเรก หรือเป็นสิ่งที่อยากจะทำให้ได้แบบดีเยี่มจริงจัง คุณเป็นคนเลือกเอง


0
Blueribbon 29 เม.ย. 64 เวลา 13:07 น. 19

สำหรับผมการเขียนงานสักเรื่อง ผมจะทำเพราะตัวเองอยากทำ ทำเพราะนั่นเป็นความสุขของเรา ถ้าไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ทำไปเถอะครับ ..


การถูกอคติ การถูกว่า ดูถูกมันเกิดขึ้นอยู่แล้วเมื่อเราเริ่มลงงานเขียนต่อสาธารณะ ไม่มีใครที่จะไม่ถูกว่า แม้กระทั่งนักเขียนมืออาชีพที่มีชื่อเสียงก็ตาม


จงอย่ากลัวที่จะผิดหวังจากการคาดหวังของคนอื่น

แต่จงกลัวที่จะพลาดความสุขจากสิ่งที่ตนเองรัก


สู้ๆครับ.. ผมเป็นกำลังใจให้

0