Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[รบกวนขอคำวิจารณ์][แนวแฟนตาซียุโรป] ว่าด้วยเรื่องการบรรยาย การเล่าเรื่อง อยากพัฒนาตนเอง (รอบที่ 2 ของปี)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีทุกท่าน ^^

เรามาขอความช่วยเหลือว่าด้วยเราพยายามพัฒนาฝีมือมาเป็นปีแล้ว(และนิยายก็ยังไม่คลอด)  เราพยายามเอาคำแนะนำจากการวิจารณ์ครั้งก่อนมาปรับ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปรับตามได้มากน้อยแค่ไหนแต่สิ่งที่เราเน้นคือ “ย่อยให้ง่าย” ทำให้กระชับและไม่อธิบายวนๆ งง 555

 แต่ส่วนที่เราเสริมมาเองคือ “ให้ตัวละครอธิบายเรื่องราวของตัวเอง” โดยผ่านบทสนทนา ทีนี้ปัญหาคือ ตัวละครพูดม้ากมากกกกก(เหมือนเราเลย xP)  แต่เราก็พยายามกระชับแล้ว

มันก็เกิดปัญหาอีกอย่างคือเราหาสมดุลระหว่างบทพูดกับบรรยายไม่ด้ายยยยยย T_T

และความพยายาม “ย่อยให้ง่าย” ของเราก็ดูเหมือนจะย่อยเกินไปไหม? ทำให้เรื่องยืดไปไหม? คืออันนี้เป็นความผิดเราเองที่เราประเมินความยากของการ “ย่อยให้ง่าย” ต่ำไป

มันเลยออกมาเป็นเนื้อเรื่องของ 3-4 บทของแบบ “ย่อยให้ง่าย” อาจได้แค่เนื้อเรื่องของ 1 บทของแบบเก่า

คือ...เราย่อยไปไหม? อะไรที่เราควรข้ามได้แต่เราไม่ข้ามหรือป่าว? เรื่องมันยืดจนน่าเบื่อไหม? บทสนทนาล่ะน่าเบื่อไหม?

หรือถามง่ายๆ คือ แบบใหม่ที่เราทำ มันดีกว่า แบบเก่า ไหม? หรือดีกว่าตรงไหน? แย่กว่าตรงไหน?

อันนี้แบบเก่า (แต่ค่อยดูทีหลังก็ได้)

https://www.dek-d.com/board/writer/4002115/
 

รบกวนทุกท่านด้วย วิจารณ์ได้เต็มที่เลย ขอแค่อย่าหยาบคายก็พอ

ขอขอบคุณล่วงหน้า ^^
 

ปล. ขอโทษผู้วิจารณ์ที่เราเคยบอกว่าถ้าได้ 5 บทแล้วจะเอามาให้วิจารณ์อีกรอบ นี่ 8 เดือนแล้วมั้ง เราก็ยังไปไม่ถึงบทที่ 5 เราขอโทษ T_T

ภาพปกโดย enriquelopezgarre จาก Pixabay


UPDATE 8/16/2021 10:05 PM - แก้ไขคำผิด แหะๆ
UPDATE 8/17/2021 12:06 PM - แก้คำผิด "เวทย์" ต้องเป็น "เวท"

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นในความมืดมิด สิ่งเดียวที่มองเห็นคือแสงสลัวที่ลอดผ่านช่องระหว่างแผ่นไม้ที่อยู่เหนือจมูกขึ้นไปเพียงไม่กี่คืบขณะที่เขานอนจ้องมัน มือทั้งสองดันแผ่นไม้ขึ้นก่อนชะโงกหน้าออกไปดู

เขาอยู่ใต้แผ่นไม้ปูพื้นของลำตัวเรือขนาดสามสิบฝีพายที่กำลังโคลงเคลงช้าๆ ไปตามคลื่นสงบยามค่ำคืน แต่เด็กหนุ่มกลับไม่เห็นใครสักคนนอกจากเปลญวนว่างเปล่าบนเพดาน

“ยังไม่กลับมากันอีกหรอ จะนอนในป่าหรือไง” เขาคิดพลางเอี้ยวตัวบิดขี้เกียจ 

หลังจากพาตัวเองออกมาจากที่นอน เด็กหนุ่มปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าที่หลวมไม่พอดีตัวจนต้องใช้เชือกผูกทั้งปลายแขนและขาเพื่อกันอากาศหนาว

ทันใดนั้นเสียงไม้เคาะแปลกๆ บนดาดฟ้าเรือก็เรียกเด็กหนุ่มให้ขึ้นไปดู เขาค่อยๆ แง้มฝาไม้บนเพดานก่อนกวาดสายตาไปสะดุดเข้ากับกีบเท้าสัตว์ แต่มันยืนสองขาและสวมเสื้อผ้าคล้ายกับเด็กหนุ่ม มันคือปีศาจที่กำลังยืนเอียงคอเท้าคางกับกราบเรือ คงเป็นเพราะเมื่อยกับการที่มีเขาสองข้างไม่เท่ากัน ซึ่งแผ่ออกเหมือนกับเขากวางแต่ผิวครุคระเหมือนกับเขาแพะและข้างหนึ่งที่หักไปเหลือหนึ่งในสามก็ไม่งอกกลับมา เขาหักคือหนึ่งในเรื่องน่าช้ำใจที่สุดของปีศาจเผ่าเตฟ์วรู

“ทำไมต้องเป็นข้าที่อยู่เฝ้าเรือตลอด...และเป็นพี่เลี้ยง-เด็กเวรนี่..” ปีศาจบ่นพึมพำ

“ข้าได้ยินนะ” 

“ไง..เฮมริค กว่าจะโผล่หัว แอบหลับทั้งวันเลยนะเจ้า”

“ข้าตื่นสักพักแล้ว แค่อยากฟังว่าเจ้าจะบ่นอะไรลับหลังข้าบ้าง” เฮมริคยันตัวขึ้นแล้วปิดฝาไม้โดยไม่ทันมองว่าปีศาจกำลังแยกเขี้ยวใส่  

แม้หน้าตาจะคล้ายกวางหรือวัวแต่โครงหน้าสั้นกว่ามาก ฟันบางส่วนแหลมคมไว้ฉีกกินเนื้อได้ พวกเตฟ์วรูกินได้ทั้งพืชและสัตว์ ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นวัวและยังล่าวัวเป็นอาหารอีกต่างหาก

”ถ้าเจ้าอยากไปก็ไปสิ ข้าอยู่เฝ้าเรือคนเดียวได้”

ปีศาจหุบเขี้ยวแล้วหันออกไปมองชายฝั่งของเกาะที่เต็มไปด้วยซากเรืออับปางกับหาดที่มืดไร้แสงไฟ ตอนนี้ทั้งเกาะแทบจะเป็นสีดำสนิท

เตฟ์วรูเขาหักเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อคิดว่าจะพายเรือเล็กเข้าไปในความมืดนั้นโดยลำพัง “เออ...เฮมริค” เขาหันมายิ้มให้เด็กหนุ่ม ”เจ้าไม่คิดที่จะอยากออกไปผจญภัยต่อสู้สร้างวีรกรรมค้นหาสมบัติอะไรบ้างรึ”

“ไม่อ่ะ ทำไมต้องไปเหนื่อยในขณะที่ข้าแค่เฝ้าเรือเฉยๆ ก็ได้ส่วนแบ่ง ยังไงการผจญภัยมันก็จะมาหาเจ้าเอง อย่างเรือขนสินค้าเมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่มาให้เราปล้น..” เฮมริคถอนหายใจให้กับความรู้สึกผิด เด็กที่เกิดในสังคมโจรสลัดไม่มีตัวเลือกในการเลี้ยงชีพมากนัก

“ไม่! เจ้าโง่ นั่นไม่เรียกว่าผจญภัย นั่นเรียกว่างาน งานที่โจรสลัดอย่างเราต้องทำ” ปีศาจถลึงตาใส่เพื่อยืนยันว่าการปล้นนั้นไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกผิด

“แล้วแบบไหนของเจ้าล่ะ ที่เรียกว่าผจญภัย”

“ก็นี่ไง ออกไปล่าสมบัติกับคนอื่นๆ”

“ถ้าบนเกาะนั่นมีสมบัติอย่างตำนานว่าจริง ป่านนี้พวกเราที่เข้าไปก็คงจะหาเจอแล้ว เกาะก็ไม่ได้จะใหญ่อะไรมาก แล้วยังมีจอมเวทมาช่วยหาให้อีก”

“ก็เจอแล้วน่ะสิ!”

“ฮะ!”

”มีคนกลับมาเตรียมข้าวของไปขนสมบัติกันยกใหญ่ ส่วนเจ้าหายหัว! ไปแอบหลับอยู่ส่วนไหนของเรือวะ”

เด็กหนุ่มหัวเราะร่า “แล้วพวกเขาเป็นไงบ้าง”

“ก็ดูสบายดี พวกนั้นว่าไม่เจออะไรสยองอย่างที่ตำนานโม้ไว้สักอย่าง ก็แค่สมบัติซ่อนในห้องลับใต้ปราสาทหรือวิหารอะไรนี่แหละ แต่จอมเวทนั่นก็พาเข้าไปได้”

“แล้วมาเอาข้าวของไปนานหรือยัง”

“นานแล้ว ตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด”

เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่กำลังหายลับไปหลังม่านเมฆ รอยยิ้มก็พลางหายไปจากใบหน้า “นี่มัน...จะเที่ยงคืนแล้วนะ”

“เจ้าจะกังวลอะไร ถ้าไม่เจอสมบัติสิน่ากังวล”

“ข้าไม่ไว้ใจจอมเวทนั่น เขารู้จักตำนานเกาะต้องสาปนี้ได้ยังไง ตำนานนี้รู้กันเฉพาะโจรสลัดไม่ใช่หรอ หรือต่อให้รู้แล้วทำไมถึงจะปักใจเชื่อ ข้าเองยังไม่เชื่อเลยกระทั่งเจ้าบอกว่าเจอสมบัติ”

เตฟ์วรูเขาหักขมวดคิ้วจนเป็นวัวหน้าย่น

“ถ้า...จอมเวทนั่นคิดจะฮุบสมบัติทั้งหมดล่ะ พวกเราอาจอยู่ในอันตราย”

ได้ยินเช่นนั้นปีศาจกลับหัวเราะลั่น “พวกนั้นว่าสมบัติมีมากจนกระสอบทั้งหมดอาจใส่ไม่พอด้วยซ้ำ ต่อให้มันบ้าและโลภพอจะคิดฮุบสมบัติทั้งหมด มันก็ต้องรอให้เราขนขึ้นเรือให้เสร็จก่อน มันคงไม่คิดจะขนคนเดียวแน่..แต่ไม่หรอก จอมเวทนั่นบอกว่าไม่ต้องการสมบัติด้วยซ้ำ มันบอกว่าต้องการความรู้”

“ความรู้อะไร”

“จะไปรู้มันรึ! แต่อย่าห่วงเลย ก็แค่จอมเวทมนุษย์แก่ๆ พิการแขนด้วนไปข้าง ถ้ามันคิดตุกติกก็คงจัดการได้ไม่ยาก แต่จะว่าไป..ก็มีเรื่องนึงที่ข้ากังวล”

“...คือ”

“ตอนนี้พวกเขาน่าจะกำลังกลับมา พวกนั้นจะเป็นโจรสลัดกลุ่มแรกที่เอาสมบัติออกจากเกาะต้องสาปได้สำเร็จ นี่แหละ! การผจญภัย นี่แหละวีรกรรมที่เหล่าโจรสลัดจะเล่าขาน ส่วนข้าดันมาเป็นพี่เลี้ย-..”

เฮมริคแหงนหน้ามองเจ้าเพื่อนปีศาจ สงสัยว่าทำไมถึงเงียบไป

”..ข้ากับเจ้า..ดันมาเป็นแค่คนเฝ้าเรือ เรากำลังจะเสียโอกาสเดียวในชีวิต หากพวกนั้นขนสมบัติออกมาได้สำเร็จ เกาะนั่นก็จะไม่เป็นตำนานสยองอีกแล้ว ตำนานต่อไปที่จะเล่าขานคือเหล่าผู้กล้าที่ไปเหยียบเกาะนั่นตอนนี้ ตอนที่มันยังสยองอยู่”

“ข้าว่าตำนานสยองมันจบลงตั้งแต่เจ้าบอกว่าพวกเราเจอสมบัติแล้วก็กลับมาเอาของที่เรือ..”

“ยัง..ยังหรอก สมบัติยังไม่ออกจากเกาะก็ถือว่าเป็นตำนานสยองอยู่”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วจนเป็นมนุษย์หน้าย่น

“ว่าไง...เจ้าจะฝากรอยเท้าบนหาดทรายแห่งตำนานไหม หรือว่าเจ้าจะกลับไปเล่าให้เหล่าโจรสลัดทั้งแดนเหนือและใต้ฟังว่าเจ้าได้แต่นั่งๆ นอนๆ บนเรือ ขี้ขลาดเกินกว่าจะลงไปเหยียบเกาะนั่นด้วยซ้ำ”

“...แต่พวกเขาเอาเรือเล็กออกไปหมดแล้ว เราจะว่ายน้ำไปหรอ”

“ไม่! เจ้าโง่! ยังมีอีกลำที่ยึดมาจากเรือขนสินค้าไง”

“อ่อ..” เฮมริคทำหน้าเศร้าเมื่อนึกได้ว่าพวกเขาปล้นเรือนั่นจนไม่เหลืออะไรแม้แต่เรือเล็กก็พ่วงติดมาด้วย 

ทั้งคู่ชะโงกหน้าไปดูเรือเล็กที่มีน้ำขังจนปลาตัวเท่าแขนแหวกว่ายอยู่ในนั้นก่อนช่วยกันดึงเรือเล็กให้ตั้งขึ้นเพื่อเทน้ำออก เจ้าปีศาจได้เนื้อปลาสดมาเขี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยก่อนพากันไปเตรียมข้าวของพร้อมออกเดินทาง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทะเลสีดำเงียบสงัดมีเพียงเสียงไม้พายกวาดน้ำผลักเรือเล็กไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ผ่านไอหมอกที่เริ่มก่อตัวบนผิวน้ำเมื่ออากาศเย็นลง เตฟ์วรูเขาหักคุมไม้พายอยู่ท้ายเรือโดยหันหน้าเข้าหาเกาะ แต่สิ่งที่ดึงความสนใจเขากลับเป็นซากเรืออับปางที่บางส่วนโผล่พ้นน้ำขึ้นมา

เด็กหนุ่มคว้าคบเพลิงที่หัวเรือแล้วชูขึ้น แสงสลัวกระทบซากไม้ที่ปรากฎรายล้อมพวกเขาแม้ใต้น้ำก็ยังมีเงาดำคล้ายโครงเรืออยู่ลางๆ พวกมันส่งเสียงโหยหวนที่เกิดจากไม้ลั่นตามแรงคลื่นเหมือนกับกำลังเตือนบางอย่าง

“...หนี...”

เจ้าปีศาจหันไปตามเสียงประหลาดนั่นทันที แต่ก็พบเพียงซากเรือ

เฮมริคมองดูเพื่อนเขาหักที่ขนตามตัวเริ่มพองฟู เลยตัดสินใจชวนคุย “เออ...ถ้าได้สมบัติมาแล้ว เจ้าจะเอาไปทำอะไรหรอ”

“ข้า...ข้าคงเอาไปมั่วกับสุรานารี..บนเรือที่ข้าเป็นเจ้าของ..พร้อมกับลูกสมุนโจรสลัดของข้า” ปีศาจยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงสมบัติ ขนที่พองฟูเริ่มกลับมาเป็นปกติ ”แล้วเจ้าล่ะ”

“เลิกเป็นโจร..เลิกปล้น เลิกฆ่า ซื้อบ้านซื้อที่ดินทำกิน”

“...งั้นคนอื่นก็คงจะมาปล้นเจ้าแล้วก็ฆ่าเจ้าซะ ถ้าเจ้าจะเอาสมบัติไปทำเรื่องน่าเบื่อพวกนั้น”

“ข้าพูดจริงนะ เจ้าจะยังเป็นโจรอยู่อีกหรอ หากเจ้าได้สมบัติแล้ว”

“สมบัติใช้ไปก็มีวันหมด เจ้าต้องใช้มันสร้างพรรคสร้างพวกที่พร้อมจะเคียงข้างเจ้าเมื่อยามต้องสู้ต้องปล้น”

“ข้าถึงจะซื้อที่ดินทำกินไง ไม่ต้องปล้นใครก็อยู่ได้”

“มันก็จะมีคนมาปล้นเจ้าแทนไง โดยเฉพาะภาษี มันจะปล้นเจ้าจนหมดตัว..แล้ว-สัญลักษณ์โจรสลัดบนคอเจ้าน่ะ ทหารเห็นเข้าก็จะพาเจ้าไปนอนคุกหรือไม่ก็ไปเป็นแรงงานทาส เจ้าคิดว่าจะซ่อนมันได้นานแค่ไหน..”

เฮมริคเอามือลูบรอยแผลเป็นรูปสามแฉกข้างลำคอ เขาลืมมันไปซะสนิท

”..แล้วเจ้าจะทำอะไรกิน ปลูกข้าวรึ ทำเป็นรึ เจ้าคือลูกโจรสลัด สมุนแห่งท้องทะเล ไปทำไร่ไถนาไม่รุ่งหรอกเชื่อข้า”

เด็กหนุ่มได้ฟังก็ทำเอาหัวใจห่อเ-่ยว เขาก้มหน้าด้วยรู้สึกราวกับโลกทั้งใบมืดมนซะยิ่งกว่าเหล่าซากเรือที่จมลงก้นมหาสมุทร “ข้าไม่ใช่ลูกของโจรสลัด...เจ้าก็ไม่ใช่ เราต่างเป็นลูกของสตรีที่ถูกโจรสลัดข่มขืน เหมือนกับหญิงสาวเมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่มากับเรือขนสินค้า ข้าไม่อยากจะเชื่อ..” เฮมริคส่ายหัว ไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรกับนางบ้างเมื่อตอนนี้ถูกส่งไปยังที่กบดานของเหล่าโจรสลัด ”..สิ่งที่พวกเจ้าทำกับนาง มันคงเป็นสิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นกับแม่ข้า รวมทั้งแม่เจ้า...ข้าเข้าใจแล้วทำไมแม่ถึงหนี นาง...ไม่เคยต้องการข้า”

“เจ้าช่างไร้เดียงสา...จะบอกให้ ข้าอิจฉาเจ้า”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น

”หลายคนที่เกิดมาแบบเจ้า สังคมโจรสลัดจะยอมรับให้เป็นหัวหน้ามากกว่าคนนอกอย่างข้า เขาถึงได้ทำสัญลักษณ์ไว้ที่คอเจ้าไง”

“อ่าว เจ้าไม่ได้เกิดมาจากแม่ที่ถูกข่มขืนหรอ”

“ไม่! เจ้าโง่ เคยสังเกตอะไรบ้างไหม” ปีศาจชี้ลำคอที่ไร้รอยแผลเป็นของตน ”ข้าไม่ได้เป็นโจรสลัดโดยกำเนิดเหมือนเจ้า”

“แล้วเจ้ามาเป็นโจรสลัดทำไม”

“เจ้าคิดว่าชีวิตในเมืองมันดี้ดีสินะ สังคมน่าอยู่ มีกฎหมายคุ้มกะลาหัว..กระทั่งวันนึงอยู่ๆ กฎหมายมันก็เบื่อที่จะคุ้มหัวเจ้าแล้ว”

“ฮะ”

“ข้าถูกส่งไปเป็นทาส! เพียงเพราะแม่ข้าออกลูกเกินกฎหมายกำหนด กฎที่มนุษย์ตั้งไว้สมัยปีศาจแพ้สงคราม” เขากัดฟันกรอด

เฮมริคสังเกตสายตาอาฆาตวูบหนึ่งของเพื่อนปีศาจที่จ้องมา

”มีลูกเกินก็ต้องจ่ายภาษีเพิ่มหรือไม่ก็ส่งลูกตัวนึงมาเป็นแรงงานทาส พอ-น้องเวรอีกตัวเกิดมา ก็เป็นข้า! ที่ถูกส่งไปเป็นแรงงานทาสแทนเพราะแม่ไม่มีเงินจะจ่ายมากกว่านี้แล้ว โชคยังดีที่ข้าไหวตัวทัน ตอนนั้นข้าอายุน้อยกว่าเจ้าอีก ต้องเร่ร่อนหางานไปทั่วแดนปีศาจ..”

“แล้วตอนแรกเจ้าทำงานอะไรหรอ”

“เจ้าคิดว่าข้าได้งานรึ แดนปีศาจประชากรแน่นเอี้ยด ไม่มีใครสนเด็กผอมแห้งแรงน้อยอย่างข้า ยิ่งถ้าเป็นแดนมนุษย์..อย่าได้ฝัน มนุษย์อย่างเจ้าคิดว่าพวกมีเขาอย่างข้าโง่จะตาย แต่ส่วนใหญ่ก็โง่จริง..เหมือนแม่ข้า นางสนแต่พี่น้องที่มีพละกำลังมากกว่า ส่วนข้า..นางเฉดหัวทิ้ง!”

“เจ้าจะเกลียดแม่ตัวเองแล้วเอามาลงกับสตรีนางอื่นไม่ได้นะ”

ปีศาจหัวเราะลั่นจนลืมความกลัวไปซะสนิท

“ส่วนพวกเราคนอื่นยิ่งแย่ใหญ่ ทั้งๆ ที่เกิดมาแบบข้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าแม่ต้องเจอกับอะไรทำไมพวกเขายังทำ...เลวทรามกับผู้หญิงคนอื่นได้ ทำไมข้าถึงยัง...อยู่กับคนทรามพวกนี้” เฮมริคร้องไห้ แต่กลับไร้น้ำตาเพราะมันร่วงโรยอยู่ภายในหัวใจที่รับรู้ว่าโจรสลัดคือครอบครัวเดียวของเขา

“พูดอะไรให้เกียรติสหายโจรสลัดของเจ้าหน่อย อย่างน้อยพวกเขาก็เลี้ยงเจ้ามา ผิดกับแม่เจ้าและแม่ข้าที่ทิ้งพวกเราไป”

“ข้าให้เกียรติพวกเขาเสมอ แต่เราแค่ปล้นไม่ได้หรอ เราก็ควรให้เกียรติเหยื่อเช่นกันไม่ใช่หรอ”

“ให้เกียรติเหยื่อรึ ถ้าเราเป็นเหยื่อพวกมันบ้าง เจ้าคิดว่าพวกมันจะให้เกียรติเราไหม เจ้าจะกลายเป็นแรงงานทาสหรือแย่กว่านั้น..เป็นตัวทดลองเวทมนตร์”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วสงสัยว่าจะมีอะไรเลวร้ายกว่าที่โจรสลัดทำอีก

”ส่วนหญิงสาวผู้นั้นน่ะ ถือซะว่าเป็นรางวัลจากการล่าที่เทพเอนซามานนัวร์ประทานให้พวกเรา จงรับซะ..” เตฟ์วรูเขาหักยิ้มมุมปาก หลับตาแล้วเงยหน้าขึ้นสรรเสริญเทพตามความเชื่อของปีศาจ

“เทพของเจ้า..ไม่ใช่เทพของข้า..” เฮมริคคิด

“..และหากนางให้กำเนิดบุตร เราก็จะเลี้ยงดูเท่าที่ทำได้เว้นแต่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่ ปีศาจก็ไม่ใช่ เกิดมาเป็นพวกลูกครึ่งขี้โรค..ก็คงต้องกลายเป็นอาหารปลา ดีกว่าเอามาเป็นตัวแพร่เชื้อโรค..เจ้าว่าไหม”

เฮมริคไม่ทันได้ตอบ เรือก็ชนเข้ากับบางสิ่งใต้น้ำทำเอาเพื่อนปีศาจนั่งตัวแข็ง

เด็กหนุ่มลุกขึ้นชูคบเพลิงแล้วโน้มตัวสังเกตเบื้องล่าง พวกเขาอยู่ท่ามกลางเหล่าซากไม้ทับถมที่สูงจนมาถึงผิวน้ำ เมื่อเงยหน้าขึ้นจ้องเข้าไปในม่านหมอกก็ปรากฎเงาทะมึนของชายฝั่งห่างไปไม่ไกล

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทั้งคู่มาถึงชายฝั่งก็ช่วยกันลากเรือขึ้นมาบนหาด ไม่มีใครอยากพูดถึงเหล่าเศษซากที่กระจายอยู่ทั่วจนแทบไม่มีพื้นทรายนุ่มๆ ให้เหยียบ

เฮมริคเดินไปจุดไฟให้กับคบเพลิงด้ามยาวพอๆ กับหอก มันถูกปักทิ้งไว้โดยพวกโจรสลัดที่เข้าไปก่อนหน้านี้

“พวกเขาเข้าไปทางนี้” เด็กหนุ่มมองตามรอยเท้าและกิ่งไม้ที่ถูกตัดถางเป็นทาง แต่เบื้องลึกในนั้นไม่มีแสงใดเล็ดลอดออกมาให้เห็น

ได้ยินเช่นนั้น เตฟ์วรูเขาหักกลับหันเดินไปอีกทางแล้วตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

“นั่นเจ้าจะทำอะไร”

ปีศาจกรีดมีดลงไปที่ต้นไม้ “..ทำสัญลักษณ์ไง ว่าข้าเคยมาเหยียบเกาะนี้”

เฮมริคขมวดคิ้วก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจในป่า

“มันก็คือสัญลักษณ์ของเจ้าด้วยแหละ..” เตฟ์วรูเขาหักยังคงกรีดต้นไม้โดยไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มหายไปจากตรงนั้นแล้ว ”..เจ้าเป็นพยานให้ข้า ข้าก็เป็นพยานให้เจ้าว่า-”

“มาดูนี่สิ!”

ปีศาจสะดุ้งหันไปตามเสียงตะโกนจนมือไม้สั่นก่อนเก็บมีดแล้วเดินตามไป

“..ค..เคยมีคนอยู่บนเกาะนี้เยอะแค่ไหนหรอ”

“คง...เยอะพอที่จะเรียกได้ว่า...สวรรค์ของโจรสลัด”

เบื้องหน้าทั้งสองคือซากของสถานที่ที่เคยถูกเรียกว่าสวรรค์ ตอไม้น้อยใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางกองเศษทับถมทั้งไม้ เสื้อผ้าและของใช้ที่เคยเป็นบ้านของผู้คนมากมาย

เตฟ์วรูเขาหักได้ยินตำนานเกาะต้องสาปมาตั้งแต่เพิ่งเริ่มเป็นโจรสลัดใหม่ๆ ว่าไม่เคยมีใครที่มาเหยียบเกาะนี้แล้วรอดกลับออกไปได้ เขากวาดสายตาดูสถานที่ที่ถูกเล่าขานว่าเคยมีเสียงหัวเราะครื้นเครงของเหล่าโจรสลัด คลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรากับเสียงดนตรีและเสียงร้องของเหยื่อสาว กระทั่งคืนหนึ่งทั้งเกาะก็มีเพียงเสียงกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานกับกลิ่นคาวเลือดของผู้คนที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วเมื่อฟ้าสางทุกอย่างก็เหลือไว้เพียงความเงียบงัน

”...หนี...”

อีกครั้งที่เจ้าปีศาจหันไปตามเสียงประหลาดแต่ก็ไม่พบสิ่งใด

“ข้าไม่คิดว่าถ้าโจรสลัดมาอยู่รวมกันเยอะๆ แล้วมันจะดูเป็น...สวรรค์” เฮมริคหันไปหาเพื่อนปีศาจแต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว

เตฟ์วรูเขาหักกำลังเดินจ้ำเท้ากลับไปที่หาด

“นั่นเจ้าจะไปไหน” เด็กหนุ่มวิ่งตามเพื่อนที่ตอนนี้กำลังผลักเรือเล็กลงทะเล “ฮะ เรามาแค่เนี้ยน่ะหรอ”

“กะ..ก็ใช่ กลับกันเถอะ”

“มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ พวกเขาอาจแค่อพยพไปเพราะภัยธรรมชาติ แล้วก็แต่งตำนานเรื่องเล่าสนุกปากกัน..”

ปีศาจรู้แก่ใจว่าแค่ภัยธรรมชาติไม่มีทางทำให้เหล่าโจรสลัดถอดใจทิ้งสมบัติไว้ได้

“..ที่สำคัญพวกเราเจอสมบัติแล้วนิ พวกที่กลับมาเอาของที่เรือก็บอกว่าไม่มีอะไร”

“ถ้าสมบัติมีจริง มันก็ต้องมีอย่างอื่นอีกในตำนานนั้น...ที่มีจริง” สีหน้าตาตื่นราวกับวัวที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเดินเข้ามาในโรงเชือด

เฮมริคยื่นนิ่ง “...ก็อาจใช่...ข้าก็กลัว...แต่พวกเรายังอยู่ในนั้น..”

เตฟ์วรูเขาหักเมื่อได้ยินก็ถึงกับชะงัก

“..พวกเขาอาจต้องการความช่วยเหลือ”

“แล้วเด็กมนุษย์อย่างเจ้าจะทำอะไรได้..เขี้ยวเล็บก็ไม่มี พละกำลังก็ด้อย ข้าละสงสัยว่าบรรพบุรุษมนุษย์ไร้เวทมนตร์อย่างเจ้ารอดมาถึงยุคนี้ได้ยังไง”

“มนุษย์เรามีปัญญาเป็นอาวุธ”

“ข้าก็เคยคิดว่ามนุษย์ทุกคนฉลาด กระทั่งมาเจอเจ้า” ว่าแล้วปีศาจก็ดันเรือลงทะเล

“..แล้วเจ้าจะทิ้งข้าไว้นี่หรอ”

“ไม่ เว้นแต่...เจ้าเลือกที่จะไม่กลับไปกับข้าเอง”

“เจ้าทิ้งข้า! เหมือนทุกครั้งที่พาข้าไปทำเรื่องแย่ๆ แล้วก็ปล่อยให้ข้าซวย”

“อันนั้นเจ้าโง่เองที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรควรหนี ครั้งนี้ก็เช่นกัน”

“ข้าไม่หนี! ถ้าพวกเรายังอยู่ในนั้น”

“อ่อ ก็กล้าหาญดี ขอให้เหล่าโจรสลัดยกย่องเจ้า เชิดชูเจ้าให้ขึ้นเป็นหัวหน้า ถ้า...เจ้ารอดไปถึงวันนั้นอ่ะนะ จะบอกอะไรเจ้าอย่างนะ..”

เฮมริคจ้องไปในดวงตาของเพื่อนปีศาจ คาดหวังในสิ่งที่จะได้ฟัง

“..ผู้ชนะ คือผู้ที่อยู่รอดคนสุดท้าย”

ได้ยินดังนั้น เฮมริคหันหลังให้เตฟ์วรูเขาหักที่กำลังขึ้นนั่งพายเรือโดยไม่กล่าวสิ่งใด ขณะที่เรือนั่นเคลื่อนออกห่างจากชายฝั่งไปเรื่อยๆ

ปีศาจจ้องแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม “ข้าไม่ได้หนี! ข้ากลับไปเฝ้าเรือต่างหาก มันเป็นความรับผิดชอบของข้า!” เขาตะโกน

ไร้เสียงตอบจากเด็กหนุ่ม แต่กลับตรงไปคว้าคบเพลิงด้ามยาวที่เสียบอยู่ที่พื้นแล้วค่อยๆ เดินหายลับเข้าไปในป่าตามลำพัง

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

แสดงความคิดเห็น

>

3 ความคิดเห็น

ยูยู๊ยู 16 ส.ค. 64 เวลา 18:32 น. 1

ไม่ต้องคิดเยอะ


ลองลงไปหลายๆตอนเดี๋ยวเราจะรู้เองว่าบกพร่องตรงไหน


ที่สำคัญๆคือ คำผิด กับ การไม่สมเหตุสมผล( ตอนแรกว่าอย่าง ตอนท้ายว่าอีกอย่าง)


บางทีคนอ่านก็ไม่ได้อะไรกับเรามากหรอก

นิยายเรื่องแรกของเราก็ใช้ภาษาเบียวกับการบรรยายการกระทำแบบบรรทัดเดียวจบ ใช้การพูดแทนการอธิบายซะส่วนใหญ่ ปัจจุบันก็ยังใช้แบบนั้น ( ยอดเฟบก็โอเค ยอดวิวก็ไม่น่าเกลียด )


การใช้ภาษาก็ไม่ได้สวยเลย (ไม่เคยมีคนชมเลยสักคน)


ที่สำคัญๆคือ พลอตเรื่องเป็นยังไง

ชื่อเรื่อง ภาพปก แท็ก คำโปรย สอดคล้องกันไหม คนอ่านจะอ่านแค่ไม่กี่ตอนเพื่อดูว่ามันสนุกไหม อย่าเอาตอนสนุกไว้หลังๆ ระวังอย่าเทข้อมูลลงในทีเดียว

เขามาอ่านเพื่อสนุกไม่ได้มาเรียนประวัติศาสตร์(จำประโยคมาจากยูทูป ฮ่า ฮ่า )


3
Menomy 16 ส.ค. 64 เวลา 22:15 น. 1-1

"ที่สำคัญๆคือ คำผิด กับ การไม่สมเหตุสมผล( ตอนแรกว่าอย่าง ตอนท้ายว่าอีกอย่าง)"


คือ...อันนี้คุณแนะนำเราเฉยๆ หรือคุณอ่านเรื่องราวที่เราเขียนไปแล้วมัน ไม่สมเหตุสมผล?

ส่วนคำผิดแก้แล้วนิดหน่อย แหะๆ น่าจะดูให้ดีก่อนลง xP ขอบคุณมาก


ถ้าคุณเห็นว่ามัน ไม่สมเหตุสมผล เรารบกวนคุณอธิบายให้เราหน่อยได้ไหม เราไม่เห็นตรงนี้จริงๆ = ="

0
ยูยู๊ยู 17 ส.ค. 64 เวลา 04:54 น. 1-2

แนะนำเฉยๆ ไม่เกี่ยวกับข้างบนเลย5555


บางครั้งนิยายที่เรารู้สึกน่าเบื่อก็คนอ่านเยอะ บางเรื่องเขียนใช้คำสวย น่าสนใจคนดันอ่านน้อย เราก็เลยไม่กล้าตัดสินใจ(ไม่กล้าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานเลยล่ะ ) จขกท ต้องลองเผยแพร่ดู อันนี้ต้องใช้เวลาhttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-big-02.png






0
Menomy 17 ส.ค. 64 เวลา 11:15 น. 1-3

รับทราบ! :D


"เขามาอ่านเพื่อสนุกไม่ได้มาเรียนประวัติศาสตร์"

เราจะจำไว้ เพราะตอนนี้ดูเหมือนนิยายเรากำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์แล้ว 555


และ "ไม่ต้องคิดเยอะ" ลองลงไปเล้ยยย xD

ก็ก่ะจะให้เสร็จสิ้นปีนี่แหละ ดองมาเป็นปีละ


ขอบคุณมาก ^^

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

yurinohanakotoba 17 ส.ค. 64 เวลา 04:57 น. 3

การเล่าเรื่องอยากให้ ลองนึกว่ากำลังเล่าให้เพื่อนที่อยู่ตรงหน้าฟัง ว่าเราจะเล่าสิ่งที่อยู่ในหัวออกมายังไงก่อน เหมือนเวลาเราดูภาพยนตร์แล้วเอามาเล่าให้เพื่อนฟังเราก็จะเล่า "สิ่งที่จำเป็น" กับ "สิ่งที่น่าสนใจ"


เช่น ผมเล่าให้เพื่อนฟังว่า

พระเอกเป็นโจรขโมยรถ มันไปเจอรถสวยจอดในที่เปลี่ยว ฝากระโปรงหน้ารถเย็นเฉียบแสดงว่าจอดทิ้งไว้นานแล้ว มันรีบงัดประตูรถ ดึงแผงไฟสตาร์ทเครื่องยนตร์และขับออกไป ในขณะที่กำลังนึกว่าจะเอารถไปแยกส่วนที่ไหนดี ก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากเบาหลัง มันเลี้ยงรถเข้าข้างทางดับเครื่องยนตร์ เสียงนั้นชัดเจนขึ้น "ช่วยด้วย" เสียงร้องดังจากเบาะหลัง มันคิดว่าซวยแล้ว เรื่องนี้มันต้องยุงยากแน่ เสียงนั้นร้องขึ้นอีก "โทมัสช่วยด้วย" แม้ได้ยินไม่ชัดแต่เสียงนั้นเรียกชื่อเขา มันรีบกดปุ่มเปิดฝากระโปรงหลัง พร้อมเปิดประตูลงเดินไปท้ายรถ สูดหายใจลึก ก่อนยกฝากระโปรงหลังขึ้นช้า ๆ ด้านในมีเด็กผู้หญิงนอนอยู่ ไฟจากรถที่ขขับผ่านไปสาดให้เห็นว่า เธอนอนจมกองเลือดกลางอกมีมีดปักอยู่ เด็กคนนั้นเป็นลูกสาวของเขาเอง


เวลาเราเล่าเรื่องต่อหน้าคน เราไม่ต้องให้ข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่อการเล่าเรื่องในขณะนั้น บอกว่าเป็นโจรพอ เพราะต้องการให้ขโมยรถ ไม่ต้องไปเล่าว่าเป็นทหารผ่านศึกสงครามอีรัก มีสภาวะ PTSD ไว้จำเป็นค่อยไปเล่า


อีกสิ่งคือการวางพล็อตเราต้องสร้าง Turning Point ซึ่งมักจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเนื้อเรื่อง ยิ่งมันอิมแพ็คกับตัวละครก็จะยิ่งดึงความสนใจคนฟังได้


การ Pacing ของเรื่องก็มีความสำคัญคือ จังหวะการเดินเรื่อง จะเร่งเครื่องเดินเรื่องเร็ว หรือดึงเรื่องให้ช้า ก็ต้องตัดสินใจได้ว่าท่อนไหนควรไปเร็วได้ ตรงไหนดึงบรรยายเพิ่มอารมณ์ได้ แต่ไม่ควรให้เกิดความรู้สึกว่าเรื่องไม่ไปไหน


ก็อยากให้พยายามนึกภาพของโครงเรื่องที่เล่าแบบปากต่อปากให้คนตรงหน้าฟังให้ออกก่อน ค่อนเขียนเป็นนิยายจะได้จับได้ว่าต้องนำเสนออะไร


โดยสรุปเท่าที่อ่านมาคุณให้ข้อมูลคนอ่านมากเกินไปจนกระทบกับการเดินเรื่อง คนอ่านไม่ได้สนใจข้อมูลที่ให้ Pacing ของเรื่องมันก็จะกลายเป็นการหยุดนิ่ง

ไม่มีจุดที่เป็น Turning Point ที่จะสร้างจุดจำให้คนอ่าน ทำไมตัวเอกถึงทิ้งเรือขึ้นไปบนเกาะ ? ทำไมตัวเอกถึงจะเข้าไปใน”นั้น” ที่มาที่ไปมันดูเบาบางไปหมดเหมือนไปตามพล็อตเรื่องที่กำหนดเท่านั้นเอง ถ้ามีเหตุการณ์ขับเคลื่อนตัวละครเป็น Turning Point ที่เหมาะสม จังหวะการเดินเรื่องก็จะหนักแน่นน่าติดตาม

ก็ประมาณนี้แล้วกัน

1
Menomy 17 ส.ค. 64 เวลา 11:03 น. 3-1

ใช่แล้ว เราอัดข้อมูลไปเยอะ เราก็รู้สึกอยู่เหมือนกัน

ทั้งตอนที่เขียนไปนี้บทสรุปก็แค่ตัวเอกต้องเข้าไปในเกาะตามลำพัง

แต่ว่าเราประเมินคร่าวๆ แล้วจากนี้มันแทบจะไม่มีช่วงให้อัดข้อมูลพวกนี้เลย

เพราะเรื่องจะตัดไปเข้าสงครามทันที ก็กลัวคนอ่านจะปรับตามไม่ทัน เราเลยใส่ข้อมูลคร่าวๆ ว่าปีศาจก็มีความเกลียดมนุษย์อยู่เหมือนกัน แต่ปีศาจดีๆ ก็มี ก็เหมือนมนุษย์นั่นแหละที่มีทั้งดีและไม่ดี(ตรงนี้ก็จะใส่ข้อมูลไปในเหตุการณ์ที่ตัวเอกเข้าไปในเกาะนั้นเหมือนกัน)

พอเข้าสงครามปุ้บก็จะแยกฝ่ายระหว่างมนุษย์กับปีศาจ แต่ผู้อ่านจะได้ไปเห็นแค่ฝ่ายมนุษย์รู้ความคิดของมนุษย์ต่อปีศาจเท่านั้น ปีศาจจะกลายเป็นผู้ร้าย แต่มนุษย์บางคนยังมองปีศาจว่าไม่ได้เป็นผู้ร้าย(ซึ่งข้อมูลนี้จะแทรกตามไปทีหลัง) รีดจะค่อยๆ รู้จักปีศาจไปเรื่อยๆ จากความคิดมนุษย์ที่สู้กับปีศาจ(ซึ่งแทบไม่รู้ความคิดปีศาจเลย)


ทั้งนี้ทั้งนั้นยังใส่

-ข้อมูลของเกาะไปอีก เพราะเกาะนี้ใช้หลายรอบ แต่ละรอบจุดประสงค์ต่างกัน เดี๋ยวก็ต้องให้ข้อมูลที่ต่างไปอีก

-ข้อมูลว่าตัวเอกทำไมออกจากโจรสลัดไม่ได้ทั้งๆ ที่ไม่อยากเป็น

-ข้อมูลสังคมโจรสลัดที่ก็คือเด็กๆ ที่ไม่อยากเกิดมาแบบนี้ คือความอาภัพที่จะเอาไปใช้ในเรื่องราวภายหลัง เรารีบอัดใส่มาเพราะกลัวว่าช่วงหลังจะไม่มีที่ให้ใส่เพราะยังมีอีกหลายสังคมให้เล่า ทั้งสังคมจอมเวทย์ สังคมปีศาจอีกหลายเผ่า สังคมพวกลูกครึ่ง สังคมมนุษย์

-ข้อมูลว่าปีศาจอยู่ร่วมกับมนุษย์มาก่อน เพราะเดี๋ยวตัดเข้าสงครามเลยก็กลัวว่ารีดจะมองปีศาจเป็นตัวร้ายกับมนุษย์แต่แรก

-ข้อมูลศาสนาปีศาจนิดนึง

-ข้อมูลตัวร้ายนิดนึง เพราะไม่นานก็จะเสนอหนึ่งในตัวร้ายแล้ว กลัวว่าจะไม่มีความเชื่อมโยง แบบว่าอยู่ก็โผล่มาเล่าเฉยๆ อะไรแบบนั้น

-และข้อมูลอีกหลายอย่างที่อัดๆ มา xP


เห้อมมมมม เยอะจริงๆ ด้วย

แต่ตอนนี้จะเป็นตอนที่(น่าจะ)อัดข้อมูลเยอะสุดแล้ว ตอนต่อๆ ไปจะเบาลงเรื่อยๆ และเป็นข้อมูลของการทำสงครามซะมากกว่า

โผล่มาอัดข้อมูลใส่หน้ารีด รีดก็คงหนีหมดเนาะ เอาไว้ช่วงหลังๆ หน่อยน่าจะดีกว่าเหมือนที่เม้นแรกบอกเรามา xD


เราอัดข้อมูลเยอะ เลยลองทำให้เป็นแบบบทสนทนา เพราะคิดว่าน่าจะทำให้น่าเบื่อน้อยกว่าบรรยาย 555


ok เดี๋ยวจะลองปรับใหม่นะ ถ้าปรับบทนี้ไม่ได้ก็จะปรับบทถัดๆ ไป

ขอบคุณมาก ^^

0