อยากรู้ความแตกต่างระหว่างคำว่า บรรยาย"ให้เห็นภาพ" กับ "เวินเว่อ" หน่อยครับ
ตั้งกระทู้ใหม่
ตรงนี้ไม่ได้จะจี้ใครหรืออะไรหรอกนะครับ
แต่ผมสงสัยสองคำนี้อยู่มาก.......
มันมีเส้นกั้นบาง ๆ อยู่จริง
แต่ไม่รู้หรอกนะว่า
นักเขียนท่านอื่นจะใช้คำอื่นรึเปล่า
จึงอยากรู้ว่านักเขียนท่านอื่นจะคิดเห็นกันอย่างไรครับ?
และเพื่อที่ได้เอาไปปรับปรุงนิยายตนเองต่อไป
โดยไม่ส่งผลต่อพล็อตเรื่อง
แต่ผมสงสัยสองคำนี้อยู่มาก.......
แต่ไม่รู้หรอกนะว่า
นักเขียนท่านอื่นจะใช้คำอื่นรึเปล่า
จึงอยากรู้ว่านักเขียนท่านอื่นจะคิดเห็นกันอย่างไรครับ?
และเพื่อที่ได้เอาไปปรับปรุงนิยายตนเองต่อไป
โดยไม่ส่งผลต่อพล็อตเรื่อง
10 ความคิดเห็น
มันมีเส้นบางๆระหว่างคำว่าเว่อเว้ออยู่ครับ การบรรยายถ้ามาคู่กับเนื้อหาที่ชวนน่าติดตามมันก็โอเค จะกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว กลับกันถ้าไปบรรยายในส่วนที่ไม่จำเป็นให้เห็นภาพ มันจะกลายเป็นเวิ่นเว้อ ยกตัวอย่างบรรยายรูปหน้านางเอกว่าสวยอย่างไร โอเคตรงนี้จัดไปเถอะมันเป็นส่วนสำคัญที่นักอ่านเขาก็คงอยากจะรู้ อยากจะอ่าน กลับกันบรรยายบรรยากาศฝนตก ที่จริงแค่เขียนบอกว่าตัวเอกมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นฝนตกก็พอแล้ว แต่ถ้าไปบรรยายว่าฝนตกอย่างไร ก้อนเมฆเป็นอย่างไร บรรยายคางคกกำลังเดิน เนี่ยเวิ่นเว้อ นักอ่านเขาไม่ได้อยากจะอ่านอะไรแบบนั้น ใส่มาทำไม? ลองคิดนิยายที่บรรยายให้เห็นภาพทุกอย่างในเรื่องดูสิ เนื้อเรื่องไม่ไปไหน บรรยายทุกสรรพสิ่ง
โอเคครับ ถ้ากรณีที่เป็นฉากเค้นอารมณ์ละครับ
นิยายของผมจะมีฉากแบบนี้ค่อนข้างเยอะ
พอรีไรท์ใหม่ทีหนึ่งแล้ว มันยังรู้สึกตะหงิดใจ......
ว่าเขียนเกินไปป่าว...เห็นภาพ เข้าอารมณ์ยัง.....
เลยทำให้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่อยากตั้งกระทู้ถามงี้ขึ้นมา
อืมมมม จะให้ยกตัวอย่างความเวิ่นเว้อก็ทำไม่เป็น เพราะปกติเขียนกระชับ แต่โดยรวมก็คือ บรรยายสิ่งที่ไม่จำเป็นเยอะเกินไป รวมถึงใช้คำฟุ่มเฟือย บรรยายซ้ำซ้อนไปมา เขียนสามย่อหน้าแต่ได้ใจความเท่าสามบรรทัด นั่นคือเยิ่นเย้อค่ะ
ถ้าทำได้ ให้เลือกใช้คำที่กระชับ เห็นภาพ และมีพลัง จะเหมาะกับนิยายสมัยนี้มากกว่า แต่ถ้าต้องการสร้างบรรยากาศ เป็นฉากสำคัญ ฉากบีบคั้น จะบรรยายมากหน่อยก็ได้ แต่เลี่ยงการใช้คำฟุ่มเฟือย
คุณโดนติงว่าเวิ่นเว้อใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นขอสักย่อหน้านึงได้ไหมคะ เดี๋ยวเราจะลองปรับให้คุณดู
อ่าได้ครับ ตอนแรก ๆ เคยโดนวิจารณ์ว่า ใช้ภาษาไม่เป็นโทนเดียวกันบ้าง
หรือต้องบรรยายให้เห็นภาพบ้างงี้ แต่ส่วนตัวเป็นคนที่บรรยายไม่เก่งมากมาย และอยากให้เล่าแบบกระชับที่สุด เลยจำเป็นต้องหาอ่านเพิ่ม เพื่อหาศัพท์เพื่มนี่แหละครับ
มันเกิดความสับสนและสงสัย จนต้องตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา
ที่จริง ๆ ตัวอย่างคือกะจะให้ช่วยแวะที่ตอนแรกเลยก็ได้ ที่ปรับแล้ว (และน่าจะมีปรับอีก)
แต่ผมลองยกย่อหน้านี้ละกันครับ
ท่ามกลางท้องฟ้าอันปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆสีทมิฬ.....หยดสายฝนโหมกระหน่ำ… ราวกับมันได้ตอบรับ.....ความโศกเศร้าของคน ๆ หนึ่ง.......น้ำเสียงของหญิงสาว ทำได้เพียงเรียกชื่อของเพื่อน..... ซึ่งนอนบนตักของเธอ...... บาดแผลที่เต็มไปด้วยการแทง.....และรอยฟันบนหน้าอกเฉียงขึ้น......เลือดไหลคลักไม่หยุดจากความสาหัสเกินรับได้......
ถ้าแก้ของคุณ เราคงประมาณนี้
ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆทมิฬ สายฝนโหมกระหน่ำราวกับกำลังตอบรับความโศกเศร้าของหญิงสาว เธอเรียกชื่อของเพื่อนซึ่งนอนนิ่งอยู่บนตัก บนร่างเต็มไปด้วยบาดถูกแทง บนหน้าอกมีรอยฟันเฉียงขึ้น เลือดไหลไม่หยุด เป็นบาดแผลฉกรรจ์
อืมนี่ ก็กระชับกว่าเยอะ
ขอบคุณครับ สำหรับการแก้ให้ 55555
ขออนุญาตตอบในความเห็นย่อยแล้วกันนะครับ
เวิ่นเว้อ...กับบรรยายให้เห็นภาพ
สำหรับผมผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับบริบทและใจความที่เราอยากสื่อออกไปครับ
อยู่ที่เราจะเลือกใช้นั่นเอง
อย่างถ้าเรากำลังบรรยายถึงหน้าตาของนางเอก
เราก็จัดเต็มไปเลยครับ คิ้วโก่งดั่งคันศร ปากกระจุ๋มกระจิ๋มสีกุหลาบอะไรก็ว่าไป
ดีกว่าเราบรรยายเพียงแค่ว่า นางเอกสวย สวยมาก สวยจนคนทั้งทวีปคลั่งไคล้
แล้วตกลงนางเอกสวยยังไง ทำไมถึงทำให้คนอื่นคลั่งไคล้ได้?
เพราะงั้นเราถึงต้องบรรยายตรงนี้เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าทำไมนางเอกถึงสวย ทำไมตัวละครนี้ถึงแตกต่างจากตัวละครอื่นๆครับ
กับบรรดาตัวประกอบแบบที่เราต้องใช้แล้วทิ้งเราคงไม่มัวมานั่งคิดคำบรรยายหน้าตาท่าทางผิวพรรณเขาหรอกครับ
กับสถานการณ์ทั่วไปก็เช่นกัน
ถ้าเป็นตอนที่ตัวเอกกำลังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยหรือกำลังตกผลึกความคิดสำคัญเราก็อาจจะบอกได้ว่าวันนั้น"ฝนตกแบบไหน"
เพื่อให้ผู้อ่านมีอินเนอร์ตามครับ
เช่น
วันนี้ฝนตก เมฆดำทะมึนเต็มท้องฟ้า
ข้านั่งคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็เข้าใจได้ว่ามันไม่ใช่ความจริงแท้แม้แต่น้อย
กับ
วันนี้ฝนตก เสียงฝนที่พร่างพรมลงมาจากท้องฟ้าราวกับเสียงเพลงขับกล่อมบรรเลงจากสรวงสวรรค์
กลิ่นไอดินหอมระรินลอยออกมาพร้อมกับไอหมอกอ้อยอิ่งที่อยู่เหนือพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยแอ่งน้ำฝน
ภาพก้อนเมฆสีดำทะมึนที่สะท้อนอยู่บนแอ่งน้ำนั้นราวกับภาพสะท้อนในหัวใจของข้า
ข้านั่งคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็เข้าใจได้ว่ามันไม่ใช่ความจริงแท้แม้แต่น้อย
จะเห็นว่าตัวอย่างที่สองของผมนั้นดูเวิ่นเว้อร์มาก
แต่ถ้าเป็นผมผมจะเลือกเขียนแบบอย่างที่สองครับ
กับอีกอย่างหนึ่ง
ตัวเอกกำลังรีบไปช่วยเพื่อน
เราไม่ต้องบรรยายถึงขนาดที่ว่าตัวเอกสับเท้าข้างไหนก่อน วิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่ กลิ่นดินกลิ่นฝนเป็นยังไง
เพราะกว่าจะไปถึงในความรู้สึกของผู้อ่านเพื่อนคนนั้นคงเดี้ยงไปก่อนแล้วล่ะครับ ฮะๆ
ส่วนประโยคที่คุณยกมาถ้าเป็นผมจะแก้เป็น
ท่ามกลางท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆสีดำทมิฬ
หยาดสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมานั้นราวกับว่ามันกำลังแสดงถึงความโศกเศร้าในหัวใจของคนผู้หนึ่ง
"เธอ" ทำได้เพียงกรีดร้องและคร่ำครวญให้กับร่างที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอ
ร่างที่เคยยิ้มให้ด้วยกัน
ร่างที่เคยหัวเราะไปด้วยกัน
ร่างที่"เธอ"เรียกมันว่าเพื่อน....
เลือดกำลังทะลักออกมาจากบาดแผลที่ถูกแทงไปทั่วร่างที่ "เธอ" กอดเอาไว้แน่่น
แต่ที่สาหัสกว่านั้นคือรอยแผลที่ถูกฟันตรงหน้าอก
แม้ว่า"เธอ"จะทำเช่นไรก็ไม่อาจห้ามเลือดที่กำลังไหลทะลักออกมาจากตรงนั้นได้เลย...
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้แต่งที่ถนัดแนวไหนด้วยครับ
บางคนอาจจะถนัดบรรยายยาวๆภาษาสวยจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นวรรณกรรม
บางคนอาจจะห้วนๆสั้นกระชับ เข้าใจง่าย อ่านแล้วเร้าใจ
ทั้งหมดที่ผมเขียนไปมาจากความคิดของผมเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นนะครับ
ผิดถูกผมไม่ทราบ
ได้แต่หวังว่าความเห็นของผมจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนนักเขียนด้วยกันนะครับ
ส่วนที่คุณ ErudiTo แก้ให้ผมอีกแนว
ผมบอกได้แค่ว่า ไอ 2-3 บรรทัดนั้น
เหมือนจะเริ่มสปอย ส่วนอื่น ๆ แล้วเนี่ย 555555
(แก้) ท้องฟ้ามืดครึ้มมีสายฝนโหมกระหน่ำ หญิงสาวเรียกชื่อเพื่อนคนที่นอนหนุนอยู่บนตักของเธอ (*) เลือดไหลคลั่กล้นออกมาจากปากแผลตรงหน้าอก (**)
*ตรงนี้ต้องหาอะไรมาเชื่อม เพราะมันกระโดดไม่มีรอยต่อ
**ตรงนี้ เลือดใครไหล?
**ตรงนี้ เลือดใครไหล?
อ่อ ขอโทษด้วยครับ อาจจะเพราะผมยกตัวอย่างมาไม่ครบ
คุณเลยเกิดข้อสงสัยแบบนี้ขึ้นมาสินะครับ?
ว่าใครเป็นกรรม หรือประธาน?
แค่บอกถึงจุดที่ต้องแก้ครับ แต่เจ้าของกระทู้เข้าใจถูกแล้วครับ
แต่ที่คุณแต่งงแบบนี้เราชอบมากเลยนะคะ มันไม่ได้ดูเวิ่นเว้อ แต่เป็นการพรรณนาให้เข้าถึงอารมณ์อ่ะค่ะ ถ้ามันเป็นฉากสำคัญใช้การเขียนแบบนี้ก็ดีนะคะ สำหรับเรา
ลองเปรียบเทียบอย่างนี้นะคะ
สถานการณ์ที่ต้องการบรรยาย : ผู้หญิงไปหาซื้อขนมปังของโปรด 1 ชิ้น ในร้านขนมปังโฮมเมดแถวบ้าน แต่ผิดหวังที่ขายหมดแล้ว
คำบรรยายแบบเห็นภาพ
กอแก้วผลักประตูเข้าไปในร้านขนาดกะทัดรัด กลิ่นหอมหวนของเบเกอรี่ปะทะเข้ามาในจมูก เมื่อกวาดตามองไปตามชั้นวางก็เห็นขนมปังอบใหม่น่าลิ้มลองหลายแบบ แต่ไม่ว่าชิ้นไหนก็ไม่อาจทำให้ใจของหญิงสาวไขว้เขวไปจากเป้าหมายได้ เธอคว้าถาดและที่คีบเบื้องหน้า ก้าวฉับๆ ไปยังชั้นวางด้านในซ้ายสุดอย่างคุ้นชิน แต่เมื่อถึงที่หมายกลับใจหายวาบ...ขนมปังหน้าทุเรียนนั้นหมดลงแล้ว!
คำบรรยายแบบเวิ่นเว้อ
กอแก้วผลักประตูเข้าไปในร้านขนาดกะทัดรัด แสงไฟสีส้มนวลๆ ให้บรรยากาศอันผ่อนคลาย กลิ่นหอมหวนของการผสานระหว่างเนย นม ไข่ และแป้ง อวบอวลเข้ามาในจมูก ตามชั้นวางมีขนมปังเรียงรายอยู่หลายชนิดจนละลานตา แต่ไม่ว่าจะเป็นขนมปังไส้ถั่วแดง ครีมฮอร์น ชูครีม พายแอปเปิ้ล หรือบลูเบอร์รี่ชีสพาย ก็ไม่อาจดึงเธอออกจากความตั้งมั่นอันแน่วแน่ในจิตวิญญาณได้ หญิงสาวเอื้อมหยิบที่คีบสีไม้โอ๊คและถาดรองสีเดียวกันขึ้นมา เดินอย่างรวดเร็วไปหาตำแหน่งที่คุ้นชิน เสียงรองเท้าส้นสูงของเธอดังกระทบพื้นเป็นจังหวะไปจนถึงบริเวณชั้นวางด้านซ้ายมือ เธอเดินเข้าไปจนสุดทาง เงยหน้ามองแล้วใจกลับตกหล่นไปอยู่ถึงตาตุ่ม...ขนมปังหน้าทุเรียนนั้นไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว!
สองวิธีการบรรยายนี้ จะเห็นว่าสุดท้ายก็สื่อถึงการกระทำเดียวกัน แต่จะเห็นว่า หากเวิ่นเว้อนั้น จะมีการลงรายละเอียดถึงสิ่งที่ไม่จำเป็นมากมาย เช่น ชนิดของขนมปัง สีของถาดและที่คีบ จังหวะเสียงก้าวเดิน ทำให้เนื้อเรื่องเดินไปอย่างช้าๆ และไม่ขยี้อารมณ์ในจังหวะที่ควรเร็ว (ไปพบกับความผิดหวังทันที)
อนึ่ง การบรรยายแบบเวิ่นเว้อนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์ แต่จะมีประโยชน์มากหากคุณเขียนนิยายแนวเมโลดราม่า ซึ่งต้องมีการขยี้ๆๆๆ รายละเอียดความรู้สึกลงไปให้คนอ่านอิน แต่หากเป็นนิยายแนวผจญภัยต่อสู้ หรือจังหวะที่ควรจะตื่นเต้น แต่มัวบรรยายเอิงเอยโคมไฟทุกช่อกลีบอยู่ ก็จะเสียอรรถรสไป
อาวุธเด็ดของนักเขียนคือต้องสามารถเขียนได้หลายแบบ และจะงัดแบบไหนมาใช้ ให้พิจารณาตามสถานการณ์ไปค่ะ
ขอให้มีความสุขในการเขียนนะคะ
ขอบคุณครับ ที่ทำให้ยกตัวอย่างให้เห็น 5555
ของผม น่าจะสลับกันครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่เอนเอียงไปทางเวิ่นเว่อแบบที่ยกตัวอย่างนี่แหละ
อาจจะเพราะต้องมีดราม่าแทรกอยู่นิดนึง... หรือฉาก..... ไม่สปอยก่อน 55555
แต่พอกับตอนต่อสู้ เนื่องจากฉากสู้มันค่อนข้างไว ผมคงไม่เขียนให้เวิ่นเว่อขนาดนั้น แค่ต้องจินตนาการให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวให้ชัดเจน แขน ขา อยู่ท่าไหนยังยากเลย 55555
ลองปรับแก้ดูนะคะ
ฉากต่อสู้ อาจไม่ต้องบรรยายแขนและขาอย่างละเอียดทุกการกระทำได้นะคะ (ขึ้นกับว่าสู้แบบไหน) เช่น ไม่ต้องบรรยายว่าเอามือซ้ายยันพื้น มือขวาคว้าลูกบิดประตู เท้าซ้ายก้าวนำ แบบนั้นคือเวิ่นเว้อค่ะ
สามารถบรรยายว่า กระโจนลุกขึ้นมากระชากลูกบิดประตูเปิดออกไป แบบนี้ค่ะ
โอเค ลองตัวอย่างละ
บรรยายกระชับ แต่อาจจะไม่สร้างอารมณ์ร่วมมากนัก
อีกสามเดือน อาเล็กของข้าจะมีอายุครบหกสิบปี
ด้วยนิสัยของอาเล็กแล้ว เขาเฉยชากับวันเกิดนัก ด้วยธรรมเนียมส่วนตัวแล้ว เขาจะไม่ออกไปไหนในวันเกิดทั้งสิ้น เพียงขลุกอยู่ในบ้านหลังเล็กนอกเมือง มันเป็นบ้านของเรา — ที่ข้า อาเล็ก และท่านอาอยู่ด้วยกัน —ข้าเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของท่านอาสองคน ผู้หนึ่งที่อายุน้อยกว่าว่าอาเล็ก และเรียกอีกผู้หนึ่งที่อายุมากกว่าว่าท่านอา พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่
บรรยายที่เราชอบ
อีกสามเดือน อาเล็กของข้าจะมีอายุครบหกสิบปี
ด้วยนิสัยของอาเล็กแล้ว เขาเฉยชากับวันเกิดนัก แม้ผู้คนที่รู้จักเขามากมายอยากจะฉลองให้เอิกเริก จัดงานเลี้ยงหรูหราที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรส แต่เขาก็มิได้นำพา ด้วยธรรมเนียมส่วนตัวแล้ว เขาจะไม่ออกไปไหนในวันเกิดทั้งสิ้น เพียงขลุกอยู่ในบ้านหลังเล็กนอกเมือง ตัวบ้านก่อจากอิฐแดง ด้านหลังติดทิวเขาที่มีต้นเบิร์ชเรียงรายเป็นแถว ด้านข้างมีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน ซึ่งเป็นลำธารที่ข้าชอบลงไปเล่นน้ำประจำ มันใสสะอาด บริสุทธิ์ ห่างไกลจากฝุ่นควัน และมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ถ่านหินอย่างไม่บันยะบันยังของตัวเมือง — นั่นแหละคือบ้านของเรา — ที่ข้า อาเล็ก และท่านอาอยู่ด้วยกัน — อ้อ พวกท่านงงหรือ ข้าลืมบอกไป ข้าเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของท่านอาสองคน เพื่อไม่ให้สับสน ข้าจึงเรียกผู้หนึ่งที่อายุน้อยกว่าว่าอาเล็ก และเรียกอีกผู้หนึ่งที่อายุมากกว่าว่าท่านอา พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่เลี้ยงดูข้าผู้เป็นหลานสาวแบบไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย
ส่วนแบบนี้ เราว่าเวิ่นเว้อไปค่ะ
อีกสามเดือน อาเล็กของข้าจะมีอายุครบหกสิบปี
ด้วยนิสัยส่วนตัวของอาเล็กแล้ว เขาเรียบเรื่อยเฉยชากับวันเกิดนัก แม้ผู้คนที่รู้จักเขามากมายอยากจะฉลองให้เอิกเริกกึกก้อง จัดงานเลี้ยงหรูหราที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสหลากชนิด แต่เขาก็มิได้นำพาแม้แต่เสี้ยว ด้วยธรรมเนียมส่วนตัวแล้ว เขาจะไม่ออกไปไหนในวันเกิดทั้งสิ้น เพียงขลุกอยู่ในบ้านหลังเล็กนอกเมือง ตัวบ้านก่อจากอิฐแดง ด้านหลังติดทิวเขาที่มีต้นเบิร์ชนับร้อยนับพันต่อกันเป็นแถวยาวเรียงราย ด้านข้างมีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านอย่างเอื่อยเฉื่อย ซึ่งเป็นลำธารที่ข้าชอบลงไปเล่นน้ำประจำทุกวี่ทุกวัน มันใสสะอาด บริสุทธิ์ หมดจดงดงามราวกับธารน้ำในสรวงสวรรค์ทั้งเก้า ห่างไกลจากฝุ่นควันที่มืดทึม และมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ถ่านหินอย่างไม่บันยะบันยังของตัวเมือง สร้างเมฆหมอกปกคลุมไปทั่ว — นั่นแหละคือบ้านแสนสวยของพวกเรา — ที่ตัวข้า อาเล็ก และท่านอาอยู่ด้วยกัน — อ้อ พวกท่านงงงันกันหรือ ข้าลืมบอกพวกท่านไป ข้าเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของท่านอาทั้งหมดทั้งสิ้นสองคน เพื่อไม่ให้สับสน ข้าจึงเรียกผู้หนึ่งที่อายุน้อยกว่าว่าอาเล็ก และเรียกอีกผู้หนึ่งที่อายุมากกว่าว่าท่านอา พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่เลี้ยงดูข้าผู้เป็นหลานสาวแบบไม่ขาดตกบกพร่อง หรือสร้างความลำบากใจให้ข้าเลยแม้แต่น้อยนิด
จะเห็นว่า แบบที่ 3 มีการใช้คำที่เฝือมาก ตัดทอนไปก็ยังได้ใจความเหมือนตัวอย่างที่ 2 ทุกประการ
แต่บางคนอาจจะไม่ชอบก็ได้ค่ะ อาจจะคิดว่าแบบที่ 2 ที่เราชอบ เยิ่นเย้อไปก็ได้ด้วยซ้ำ แต่คุณก็ค่อย ๆ ปรับไปนะ
บรรยายให้เห็นภาพก็น่าจะประมาณนี้แหละค่ะ
อยากรู้ตัวอย่างการบรรยายฉากในนิยายแบบแค่ 2 บรรทัดแต่เข้าใจและมองเห็นภาพได้.
https://www.dek-d.com/board/view/3914105/
แต่บางครั้งการบรรยายให้เห็นภาพอย่างเดียว มันอาจจะไม่ได้อารมณ์ ซึ่งบางครั้งเราต้องการดึงบรรยากาศ ทำให้เราอาจจะต้องสำบัดสำนวนหรือเวิ่นเว้อบ้าง เช่น
นี่ตัวอย่างของเราค่ะ ถึงแม้ยังไม่ดีที่สุด แต่ก็เคยได้รับคำชมอยู่บ้างค่ะ ลองดูได้นะคะ
เผอิญเห็นคำผิด ผุๆ ผังๆ >>> ผุๆ พังๆ ค่า
อืม เวิ่นเว้อไหมบอกแบบลอย ๆ ยากนะคะ 555
อยู่ที่เราบอกข้อมูลนี้แก่คนอ่าน จุดประสงค์เพื่ออะไร
คุณคิดถูกแล้วค่ะ ถ้าฉากเค้นอารมณ์ ก็ควรบรรยายเยอะ ถึงจะรู้ว่าเจ็บปวดเสียใจขนาดไหน
เป็นสืบสวน กำลังกวาดตาหาพิรุธต้องสงสัยในบุคคล/สถานที่นี้ ก็ต้องพรรณนาละเอียด ให้คนอ่านร่วมสังเกตจับผิดไปพร้อมกัน
เป็นแฟนตาซี มีป่ามีวัง อะไรแปลกๆที่คนอ่านไม่รู้จัก เราต้อนรับเข้าสู่โลกนิยายนี้ครั้งแรกก็ต้องบรรยายเยอะ
ไม่แน่ใจว่าคุณเคยอ่านเรื่องกามนิตไหม (บางโรงเรียนเลือกเป็นหนังสือนอกเวลา)
บทเปิดเรื่องนี้ หลาย ๆ คนวิจารณ์ว่าเวิ่นเว้อ เพราะพรรณนาธรรมชาติและบ้านเมืองยืดยาวมาก แค่ย่อหน้าแรกพูดถึงทุ่งนา ปาไป 200 กว่าคำ (ลองดูที่นี่ >> https://vajirayana.org/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%8D%E0%B8%88%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3 )
แต่ทำไม พวกนักวิจารณ์มืออาชีพถึงไม่ถือว่าเวิ่นเว้อ หนำซ้ำยกย่องเป็น "หนึ่งในหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน"
เพราะจุดประสงค์คือนักเขียนต้องการเปรียบเทียบธรรมชาติ กับเนื้อหาเรื่อง คือ ตัวละครพระพุทธเจ้าชมดูทุ่งนากว้างใหญ่ตอนพระอาทิตย์ตก สวยงามมาก แต่ก็ต้องเดินทางจากไป
= วันใกล้หมด เวลาชีวิตท่านเองก็ใกล้สิ้นสุดแล้ว แม้หวนนึกถึงอดีตที่รุ่งเรือง แต่ยังไงถึงเวลาแล้วที่ท่านจะปรินิพพาน
= ความจริงของทุกชีวิตมนุษย์ในโลกนี้ตามแบบพุทธด้วยว่าเราทุกคนต้องตายกันทั้งนั้น ตายเสร็จเกิด เกิดเสร็จตาย วนลูป เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วตกซ้ำไปมาทุกวัน
ดังนั้น คนอ่านจึงได้รู้ข้อมูลหลายอย่างพร้อมกันหมด ได้แก่ 1.ฉากภูมิศาสตร์ 2.ยุคสมัยของเรื่อง 3.ประวัติอายุตัวละคร 4.ทิศทางพล็อตเรื่องว่ากำลังจะปรินิพพาน 5.แก่นเรื่อง มนุษย์ละทิ้งโลกโลกียะบรรลุธรรม
ตอนอ่านบางคนอาจจะยังไม่กระจ่างในเดี๋ยวนั้น ก็เลยบ่น แต่จริง ๆ เมื่ออ่านต่อไปบทหลัง ๆ จะพบความสอดคล้อง แบบว่าอ๋อออ มิน่าล่ะเขาถึงเขียนอย่างนี้ ไม่ได้บรรยายเล่นให้หน้ากระดาษมันเต็มไปอย่างงั้น ๆ
สรุปคือ บรรยายมากหรือน้อยอยู่ที่ทำเพื่ออะไร 555
เยอะได้ ถ้ามีเหตุผล ไม่ถือว่าเวิ่นเว้อหรอกค่ะ
ท่ามกลางท้องฟ้าอันปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆสีทมิฬ.....หยดสายฝนโหมกระหน่ำ… ราวกับมันได้ตอบรับ.....ความโศกเศร้าของคน ๆ หนึ่ง.......น้ำเสียงของหญิงสาว ทำได้เพียงเรียกชื่อของเพื่อน..... ซึ่งนอนบนตักของเธอ...... บาดแผลที่เต็มไปด้วยการแทง.....และรอยฟันบนหน้าอกเฉียงขึ้น......เลือดไหลคลักไม่หยุดจากความสาหัสเกินรับได้......
ใช้ศัพท์ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
เช่น หยดสายฝน มันไม่เข้ากับการโหมกระหน่ำ
เลือดไหลคลัก... อันนี้ เคยได้ยินแต่เลือดไหลทะลัก
ถ้าจะให้ลองปรับท่อนนี้ให้แบบไม่แตะเนื้อความมากมาย ก็น่าจะเป็น
ท่ามกลางท้องฟ้าอันปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆสีดำทมิฬ.....สายฝนโหมกระหน่ำสาดซัด… ราวกับมันได้ตอบรับ.....ความโศกเศร้าของคน ๆ หนึ่ง.......น้ำเสียงของหญิงสาว ทำได้เพียงเรียกชื่อของเพื่อน..... ซึ่งนอนหายใจรวยระรินบนตักของเธอ...... ใบหน้าเขาซีดเผือดร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกแทง.....มีแผลถูกฟันบนหน้าอกค่อนข้างใหญ่......เลือดไหลทะลักไม่หยุดแลดูสาหัสไม่ใช่น้อย......
5555 ว่าจะไม่แตะ ก็แตะไปเยอะเหมือนกัน
ของคุณก็ใช้ได้นะครับ 55555
ถ้าจะอยากให้เห็นลักษณะแผล ก็จะประมาณนี้
ท่ามกลางท้องฟ้าอันปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆสีดำทมิฬ.....สายฝนโหมกระหน่ำสาดซัด… ราวกับมันได้ตอบรับ.....ความโศกเศร้าของคน ๆ หนึ่ง.......น้ำเสียงของหญิงสาว ทำได้เพียงเรียกชื่อของเพื่อน..... ซึ่งนอนหายใจรวยระรินบนตักของเธอ...... ใบหน้าเขาซีดเผือดร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกแทง.....มีแผลถูกฟันในแนวเฉียงขึ้นบนหน้าอก......เลือดไหลทะลักไม่หยุดแลดูสาหัสไม่ใช่น้อย......
ถ้าแบบเวินเว่อก็จะประมาณนี้
ท่ามกลางท้องฟ้าอันปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆสีดำทมิฬล่องลอยปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ.....สายฝนโหมกระหน่ำสาดซัดไม่ลืมหูลืมตา… ราวกับมันได้ตอบรับ.....ความโศกเศร้าอาดูรของคน ๆ หนึ่งที่กำลังจะได้รับความสูญเสีย.......น้ำเสียงของหญิงสาว ทำได้เพียงเรียกชื่อของเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า..... ซึ่งนอนหายใจรวยระรินบนตักของเธอ...... ใบหน้าเขาซีดเผือดปราศจากสีเลือด ร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกแทงนับสิบนับร้อย แทบจะทั่วร่างกายก็ว่าได้.....บนหน้าอกมีแผลถูกฟันค่อนข้างใหญ่เป็นรอยเฉียงขึ้นตั้งแต่ไหปลาร้าขวายาวลงมาจนถึงเอวด้านซ้าย......เลือดทะลักออกมาไม่หยุดไหลนองแดงฉานเต็มพื้นแลดูสาหัสไม่ใช่น้อย......
คำถามของท่านมันอยู่ในหัวข้อการคุมโทนเรื่อง ต้องใช้ประสบการณ์ นักเขียนต้องรู้เองว่าควรจะบรรยายหรือไม่ ลองคิดภาพตาม ต่อให้ท่านบรรยายดี แต่ไปบรรยายทุกอย่างในเรื่อง บรรยายทุกตัวประกอบ บรรยายในสิ่งที่นักอ่านเขาไม่อยากรู้ ก็นั่นแหละ มันจะเป็นการสร้างพฤติกรรมให้นักอ่านกดข้าม อ่านข้าม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ เรื่องแบบนี้มันสอนความพอดีกันลำบาก โดยส่วนตัวผมเป็นคนบรรยายไม่เก่ง กากเลยก็ว่าได้ ดังนั้นนิยายผมไม่ค่อยเน้นฉากบรรยาย ก็อยากจะเก่งเหมือนกัน คงต้องฝึกแหละ .... แต่นักเขียนควรรู้ไว้อย่าง ช่วงเปิดเรื่องคือนาทีทองของนักเขียนที่จะตกนักอ่านด้วยความน่าสนใจ มันคือช่วงปล่อยของว่านิยายเรื่องนี้คืออะไร เกี่ยวกับอะไร น่าติดตามไหม นักอ่านเขาจะให้โอกาสท่านแบบจำกัด หมายความว่าท่านมีโควต้าในการเขียนดึงความสนใจจากนั้นอ่านไม่มากอย่างที่ท่านคิด ดังนั้นถ้าท่านไปใช้โควต้าตัวหนังสือกับสิ่งที่ไม่จำเป็นมากไป นักอ่านเขาจะตีตรานิยายท่านเข้าสู่ลิสต์ "ไม่น่าสนใจ" ทันที
ตอนกลับไปอ่านตอนแรกของตัวเองในฐานะนักอ่านซะแล้ว ว่าดึงดูดมากน้อยแค่ไหน...เพราะขึ้นต้นเรื่องแทบจะเป็นบรรยายเกือบทั้งตอนก็ว่าได้
เป็นคำถามที่ตอบยากอยู่นะ แต่ถ้าเอาตามความเห็นผม เวินเว่อ คือการเล่าอะไรที่มันเยอะเกินควมจำเป็นอะคับ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ คือบางจุดของการเขียน มันก็มีส่วนที่เวินเว่อได้นิดหน่อย เพื่อแสดงสกิลด้านภาษาของเรา หรือเพื่ออธิบายให้เห็นภาพชัดๆ แต่ถ้าเวินเว่อมากไป นิยายเรามันจะมีแต่น้ำ อ่านแล้วเหนื่อยคับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?