สวัสดีค่าน้องๆ ชาว Dek-D.com ถึงภาษาไทยจะเป็นภาษาประจำชาติ แต่การจะเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อไม่เรียนรู้ภาษาอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกเท่าไหร่ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาหลักของโลก ไม่ว่าจะไปเที่ยวประเทศไหน ขอแค่มีภาษาอังกฤษก็รอดตัวได้สบายแล้ว ในเรื่องการเรียนก็เหมือนกัน ถ้ามีทักษะการอ่านภาษาอังกฤษหน่อยก็สามารถไปค้นคว้าอ่าน Text ของเมืองนอก เรียกว่าได้ความรู้แบบ original กันเลยทีเดียว
แต่การจะอ่าน Text ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายทีเดียวนะ เชื่อว่าหลายคนมีปัญหาเรื่องการอ่านภาษาอังกฤษพอสมควร ไม่ใช่ว่าอ่านไม่ออกหรอกค่ะ แต่อ่านแล้วแปลไม่ได้ต่างหาก (มันเหมือนกันมั้ย 555) เพราะเรามีคำศัพท์อยู่อย่างจำกัด พอไปเจอศัพท์ใหม่ๆ ก็งงเป็นไก่ตาแตก ประโยคก็แปลกๆ เนื้อหาก็แปลกๆ สรุปแล้วนั่งพยายามอ่านมาตั้งนาน แล้วก็กลับไปอ่านฉบับแปลหรือตำราภาษาไทยแทน เฮ้อ...
เพื่อฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของน้องๆ ให้ดีขึ้น พี่มิ้นท์ได้ขนเอาเคล็ดลับวิธีพัฒนาการอ่าน รับรองว่าถ้าทำตามนี้ ทุกๆ วัน และทำเป็นประจำ อ่านภาษาอังกฤษคล่องขึ้นแน่น้อนนน
1. อ่านหลากหลายรูปแบบ
ก่อนอื่นถ้าอยากเป็นนักอ่าน(ภาษาอังกฤษ) ที่เก่ง ต้องปรับทัศนคติในเรื่อง "สื่อ" ก่อน ต้องเปิดใจอ่านสื่อให้ได้ทุกประเภท สื่อภาษาอังกฤษที่มีอยู่ในไทยมีเยอะทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ นิตยสาร/วารสารภาษาอังกฤษ โบรชัวร์ภาษาอังกฤษ หรือเว็บไซต์-บล็อค-ข่าว จากเว็บนอก ทุกสื่อคือแหล่งเรียนรู้ชั้นเยี่ยมเลยค่ะ
นอกจากสื่อแล้ว "เรื่อง"ที่จะอ่านก็เลือกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวไหนก็ให้ความรู้เราได้ทั้งนั้น จะนิยาย บทความ คอลัมน์ ข่าว หรือแม้กระทั่งพวกประกาศต่างๆ งานเขียนแต่ละประเภทจะมีคลังศัพท์ที่ใช้ต่างกัน ก็เหมือนภาษาไทยนั่นแหละค่ะ ภาษาข่าวเป็นแบบนึง นิยายก็ใช้ภาษาที่ให้อรรถรสอีกแบบนึง
ดังนั้น พยายามฝึกตัวเองให้เข้าหาสื่อและเข้าถึงทุกกลุ่มประเภทของงานเขียน อันไหนที่ไม่ชอบในช่วงแรกก็อ่านน้อยหน่อยแล้วค่อยๆ ฝึกตัวเองต่อไป น้องๆ อาจจะสงสัยว่าการอ่านมากๆ นี่ช่วยอะไร? คำตอบก็คือ ฝึกความเร็วในการอ่าน และจะทำให้เราชินกับสำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้ในงานเขียนแต่ละประเภทด้วย ถ้าเราเข้าใจหลักการเบื้องต้นตรงนี้ น้องๆ ก็จะเข้าใจเนื้อหาได้ไม่ยากจ้า
2. สงสัยให้หาคำตอบ
แน่นอนว่าในช่วงแรกๆ ที่ฝึกอ่าน ปัญหาเกิดขึ้นมากมายแน่นอน เช่น เราอาจจะสงสัยว่าทำไมเค้าถึงใช้ประโยคแบบนี้ เอ๊ะ! ประโยคแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน มันแปลว่าอะไรนะ รวมถึงไวยากรณ์ต่างๆ ที่เราไม่เข้าใจและพาลให้เราแปลไม่ออกทั้งเรื่อง
ความสงสัยตรงนี้ ให้น้องๆ โน้ตย่อออกมา เช่น สงสัยเรื่องรูปประโยคว่ามีรูปประโยคแบบนี้ด้วยหรอ หรือ ประโยคนี้เป็นสำนวนหรือเปล่า เป็นต้น หลังจากนั้นก็ค่อยไปหาคำตอบกัน จะเสิร์ชหาจากอินเทอร์เน็ต หรือไปถามอาจารย์ฝรั่งที่โรงเรียนของเราก็ได้ค่ะ ความสงสัยเป็นประตูไปสู่การเรียนรู้นะคะ แล้วที่สำคัญเมื่อเราหาคำตอบในเรื่องที่สงสัยได้แล้ว เฉลยอันนั้นจะอยู่ในความจำเราได้นานเลยค่ะ
3. ขยันเปิด Dictionary
ข้อที่ 2 พูดถึงเรื่องที่เราสงสัย เช่น รูปประโยค สำนวน ความหมาย แต่มาในข้อนี้จะเน้นเรื่องคำศัพท์ล้วนๆ เชื่อว่าเวลาไปอ่านงานเขียนทุกประเภทเราจะต้องเจอศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายเกือบทุกบรรทัด อยู่ที่ว่าเราจะปล่อยคำศัพท์นั้นไปแล้วดูบริบทรอบๆ เพื่อหาความหมายคร่าวๆ หรือเราจะเอาคำศัพท์ที่ไม่รู้มาหาความหมาย
สำหรับมือใหม่ พี่มิ้นท์แนะนำว่าช่วงแรกให้เราขยันเปิดดิคชันนารีดีกว่าค่ะ เพื่อฝึกนิสัยการค้นคว้าเบื้องต้น เนื่องจากคำศัพท์คำนึงมีได้หลายความหมาย การที่เราได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองว่าคำๆ นี้มีความหมายอย่างอื่นได้ด้วยนะ และถ้าเราจำได้เมื่อเราเจอคำนี้อีกครั้งนึง น้องๆ จะสามารถประยุกต์ความหมายมาใช้ได้ค่ะ
ฝึกเปิดดิคชันนารีไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเราค่อนข้างคล่องเรื่องคำศัพท์ โดยประเมินจากการที่เรารู้สึกว่าอ่านภาษาอังกฤษอย่างรู้ความหมายได้นานขึ้น เช่น ทุกๆ 1 บรรทัดจะมีคำที่ไม่รู้ความหมาย 1 คำ เป็น ทุกๆ 2-3 บรรทัด มีคำศัพท์ที่ไม่รู้คำศัพท์คำเดียว เป็นต้น
4. สร้างคลังคำของตัวเอง
ไม่ได้หมายความว่าคิดคำศัพท์ขึ้นมาใช้เองนะคะ แต่หมายถึงให้น้องๆ จัดระบบคำศัพท์เพื่อให้ง่ายต่อการนำมาใช้ เรียกว่าเป็นคลังแสง เอ้ย! คลังศัพท์ส่วนตั๊วส่วนตัว
วิธีการง่ายๆ คือ ช่วงที่เรากำลังฝึกหาคำศัพท์ในข้อ 3 อยู่ ให้น้องๆ จดคำศัพท์นั้นไว้ในสมุด 1 หน้า (คำละหน้าไปเลย) จากนั้นให้ทำซัก 2 ตารางในหน้านั้น เพื่อหาคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
- หาคำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกัน หรือ ใกล้เคียงกัน เช่น ไม่รู้คำว่า clever พอหาความหมายมาแปลได้ว่า "ฉลาด" ก็มาหาคำที่มีความหมายเหมือน เช่น bright, intelligent, brainy เป็นต้น
- หาคำศัพท์ที่มีความหมายตรงกันข้าม เมื่อได้คำว่าฉลาดไปแล้ว ก็มาคำที่มีความหมายว่า "โง่" กันบ้าง เช่น silly, stupid เป็นต้น
หรือใครที่อยากเชื่อมโยงอะไรเข้ามาอีกก็สามารถทำได้ เช่น การผันคำ ผันเทนส์ เป็นต้น ลองคิดดูว่าถ้าน้องๆ ทำได้จนเต็ม 1 เล่ม น้องๆ จะได้คลังศัพท์ที่มีบร๊ะลานุภาพมากๆ
5. ฝึกอ่านทุกวัน
ข้อนี้สำคัญมากค่ะ ทุกข้อที่พี่มิ้นท์แนะนำมา ฝึกทุกวันให้เป็นนิสัย โดยอาจจะแบ่งเวลาในช่วงก่อนนอน วันละประมาณ 30 นาที ช่วงไหนว่างๆ ก็อ่านจนกว่าจะเบื่อไปเลย เชื่อว่าถ้าทำติดต่อกันซัก 3 เดือน จากที่อ่านติดๆ ขัดๆ แปลไม่ได้ อ่านไม่ออก เราจะอ่านคล่องขึ้นและแปลได้(เบื้องต้นถึงระดับกลาง) อย่างน่าตกใจ
6. ค่อยๆ ไต่ระดับความยาก ฝึกนิสัยไปในตัว
การที่เราจะพัฒนาในแต่ละเรื่องได้เราต้องไม่ย่ำอยู่กับที่ค่ะ เช่น ถ้าเราเรียนอยู่เฉพาะหนังสือ ป.1 เป็นเวลา 10 ปี เราก็ไม่มีทางที่จะรู้สิ่งที่ ป.2 เรียนเลย การอ่านภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน แรกๆ เราอ่านพวกเรื่องสั้นเบสิคๆ ที่คำศัพท์ไม่ยาก อ่านจนรู้สึกว่าเราผ่านมันได้แล้วก็ลองเอาเรื่องที่ยากขึ้นมาหน่อย และยากขึ้นเรื่อยๆ หรือ อ่านหนังสือ พ็อคเกตบุ๊คของเมืองนอกไปเลย
ร้านหนังสือในประเทศไทยมีหลายร้านนะคะที่ขายหนังสือต่างประเทศ เช่น kinokuniya, asiabook หรือ B2S บางที่ก็มีค่ะ
วิธีการก็เหมือนเดิม เมื่อเราอ่านสิ่งที่ยากขึ้น ตรงไหนที่เราสงสัย อยากรู้คำศัพท์ก็ย้อนกลับไปทำตามวิธีที่ 1-4 ได้เลยจ้า
ขั้นตอนที่พูดมาทั้งหมดอาจจะดูไม่เยอะ แต่ถึงเวลาลงมือทำจริง มันวัดใจน้องๆ ได้มากเลยค่ะ อย่างน้อยก็วัดว่าเรามีความพยายามมั้ย มีความอดทนพอมั้ย เอาชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า เป็นต้น พี่มิ้นท์ว่าในโลกนี้ไม่มีคอร์สไหนที่ทำให้เราอ่านภาษาอังกฤษได้ดีไปกว่าการฝึกฝนด้วยตนเองแล้วล่ะค่ะ (ถึงไปเรียนมาสุดท้ายก็ต้องฝึกเองอยู่ดี) มีแรงฮึดจะฝึกอ่านภาษาอังกฤษกันบ้างรึยังเนี่ย ส่วนพี่มิ้นท์ก็ว่าจะไปเร่งฝึกภาษาอังกฤษเหมือนกัน อยากโกอินเตอร์กับเค้าบ้าง อิอิ
น้องๆ ที่มีวิธีฝึกอ่านภาษาอังกฤษแบบเด็ดๆ อย่าลืมมาแบ่งปันวิธีให้เพื่อนๆ รู้บ้างนะคะ :)
5 เรื่องที่ควร "หัดซะบ้าง" ถ้าอยากเป็น Genius
How To เพิ่มเกรดมัธยม ฉบับโกอินเตอร์
ฮาวันละนิด ความคิดสร้างสรรค์บรรเจิด แถมฉลาดชัวร์
56 ความคิดเห็น
ปกติเป็นคนไม่ชอบอังกฤษ แต่ชอบอ่านและดูการ์ตูนมากกกก
..ไหนๆ เราก็จะเข้าสู่อาเซียนกันแล้ว เลยหามังงะหรืออนิเมะแบบเป็นซับอังกฤษมาอ่าน อ่านออกเสียงให้น้องฟัง (ยังเป็นเด็กฟังไม่รู้เรื่องหรอก 5555 ไม่ต้องเขินด้วย)
ได้อ่านการ์ตูนไปด้วยอีกแน่ะ กลายเป็นอ่านแล้วไม่เบื่อกันเลยทีเดียว =_,=
เราอ่านทั้งการ์คูนทั้งฟิคทั้งโด อ่านแม่มเข้าไป บางทีชอบลืมตัวข้ามๆคำที่ไม่รู้ไปเพราะขี้เกียจมาเปิดดิค มันค้างแต่พอนึกได้ก็ย้อนกลับมาเปิดดิก ดีไม่ดีเปิดดิกพอรู้ความหมายแล้วฟินกว่าเดิม 55555
แต่ต้องฝึกจริงๆล่ะค่ะเห็นด้วยมากๆ ตั้งใจโน้ตย่อหรือแปะโพสอิสเยอะแค่ไหน ไม่อ่านซะอย่างก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี 5555
สำหรับเราได้ผล 80% อ่านสเตจละเล่มพอค่ะ
ตอนนี้มีในครอบครอง 13 เล่มแล้ว กำลังจะซื้อ kindle แล้วค่ะ(ตอนนี้มั่นใจว่าอ่านเรื่องยาวแล้วจะรู้เรื่องแล้ว ฮ่าๆ)
การอ่านภาษาอังกฤษให้ได้ผลจริงๆคือให้อ่านเป็นภาษาชั้นเดียวค่ะ
อ่านให้เหมือนกับการอ่านภาษาไทยของเรา
คืออ่านแล้วเข้าใจความหมายเลยไม่ต้องมานั่งแปลภาษาไทยในใจอีก ทำให้ชินค่ะ
เวลาไปสอบ GAT ภาษาอังกฤษเจอบทความสบายเลยค่ะ คำศัพท์ไหนที่ไม่รู้ให้ใช้เทคนิค clue ค่ะ
มีสอนในวิชาภาษาอังกฤษวิเคราะห์ การหาความหมายของศัพพ์นั้นด้วยประโยค รอบๆคำเหล่านั้น
หรือใช้ sense ว่าประโยคที่อ่านมานี้เป็นแบบนี้คำศัพท์นี้น่าจะออกแนวเป็นคำแบบไหน(งง ฮ่าๆ)
ต้องฝึกทุกวันค่ะ ใครที่มี iphone ipod ipad อย่ามัวแต่เอาไปเล่นเกมส์เพลินนะคะ
เพราะ Apps ดีๆที่ช่วยให้เราเก่งมีหลายตัวเลยค่ะ
เราเก่งอังกฤษขึ้นได้เพราะ ipod ของเราเหมือนกัน ถ้าใครอยากได้ Apps ดีมีคุณภาพจัดเต็มก็ซื้อ apps เสียตังนิดหน่อยก็จะได้ของดีจริงๆค่ะ ส่วนใหญ่ 0.99 - 2.99 สำหรับพวก Dictionary ดีๆค่ะ
อยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษค่ะ
ถึงมันจะยากแต่ถ้าเราสู้ตายรับรองเก่งแน่นอนค่ะ เพราะแต่ก่อนเราโค ตะ ระ เกลียดภาษาอังกฤษเลย
แต่พอ ม.2 ได้พูดคุยกับครูฝรั่งมากขึ้น ทัศนคติเกี่ยวกับวิชานี้เลยดีขึ้นมาก
อย่าให้ชาติอื่นเรียกเราว่า Thailand .. Land of smile (ฟังไม่รู้เรื่องยิ้มอย่างเดียว)
เราต้องเก่งทั้งภาษาเราและภาษาเค้า เอาให้ฝรั่งขี้เกียจหงายเงิบไปเลยค่ะ ;)
แต่ถ้ายากขึ้นอีกก็อ่านนิยายเลย เสิร์จอากู๋เอา =w= ส่วนมากจะเป็นฟิคมังงะ 555+
ไม่งั้นก็ฟังเพลง เอาสำเนียง เอาศัพท์ ดูคำแปลมั้ง พยายามฟังจับใจความมั่ง บางเพลงฮัมได้ทั้งเพลงละ ฟังออกอยู่สองท่อน = =
ถ้าเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วแนะนำแอพฯสรุปหนังสือครับ มันสรุปหนังสือทั้งเล่มลงมาให้เราสามารถอ่านจบได้ในเสลาไม่เกิน 30 นาทีครับ
เหมาะมากสำหรับคนฝึกอ่าน เพราะภาษาไม่ยากครับ
https://www.engtricks.com/blinkist/