น้องๆ ชาว Dek-D.com คนไหนไม่เคยทำผิดพลาดบ้างคะ? ประมาณว่าชีวิตเป๊ะทุกอย่าง เพอร์เฟ็กต์ตลอด พี่แนนว่า หากยากมากๆ อย่างน้อยต้องมีสักครั้งหล่ะนะ ไม่งั้นดูเหมือนไม่ใช่คนธรรมดายังไงไม่รู้ค่ะ ฮ่าๆ
ยิ่งวัยนี้ของน้องๆ เป็นวัยที่เรียกว่า พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่ง เลยมีเรื่องนู้นเรื่องนี้เข้ามาให้เราได้สัมผัส ทั้งเรื่องดีบ้างไม่ดีบ้าง ประหลาดประหลาดๆ บ้าง อยู่ที่เราเลือกที่จะรับอะไรเข้ามาบ้าง แต่ก็มีบ้างที่เราอาจจะผิดพลาด หรือไขว้เขวไป
อย่างเรื่องวันนี้ที่พี่แนนจะนำมาให้น้องๆ ได้อ่านกัน เป็นเรื่องของพี่คนหนึ่งค่ะ ที่จะสอนให้น้องๆ รู้ถึงคำว่า "เรียนรู้จากความผิดพลาด" ก็คือพี่ชายใจดี "พี่สุ่ย" วรฤทธิ์ เชี่ยวชาญศิลป์ นิสิตแพทย์ชั้นปี 2 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่จะมาเล่าถึงช่วงชีวิตหนึ่ง ที่เกเรมากๆๆ โดดเรียน ติดเกมส์ติดยา การเรียนแย่ ทำแม่ร้องไห้ แต่ทำยังไงถึงเปลี่ยนใจ ปรับตัวใหม่จนสอบติดหมอได้ ลองมาฟังกันเลยค่ะ!!
ยิ่งวัยนี้ของน้องๆ เป็นวัยที่เรียกว่า พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่ง เลยมีเรื่องนู้นเรื่องนี้เข้ามาให้เราได้สัมผัส ทั้งเรื่องดีบ้างไม่ดีบ้าง ประหลาดประหลาดๆ บ้าง อยู่ที่เราเลือกที่จะรับอะไรเข้ามาบ้าง แต่ก็มีบ้างที่เราอาจจะผิดพลาด หรือไขว้เขวไป
อย่างเรื่องวันนี้ที่พี่แนนจะนำมาให้น้องๆ ได้อ่านกัน เป็นเรื่องของพี่คนหนึ่งค่ะ ที่จะสอนให้น้องๆ รู้ถึงคำว่า "เรียนรู้จากความผิดพลาด" ก็คือพี่ชายใจดี "พี่สุ่ย" วรฤทธิ์ เชี่ยวชาญศิลป์ นิสิตแพทย์ชั้นปี 2 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่จะมาเล่าถึงช่วงชีวิตหนึ่ง ที่เกเรมากๆๆ โดดเรียน ติดเกมส์ติดยา การเรียนแย่ ทำแม่ร้องไห้ แต่ทำยังไงถึงเปลี่ยนใจ ปรับตัวใหม่จนสอบติดหมอได้ ลองมาฟังกันเลยค่ะ!!
พี่แนน : ทักทาย แนะนำตัวเองสักนิดจ้า ^_^
พี่สุ่ย : สวัสดีครับน้องๆ พี่ชื่อ วรฤทธิ์ เชี่ยวชาญศิลป์ หรือ พี่สุ่ย นะครับ ตอนนี้พี่เรียนอยู่ปี 2 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ครับ
พี่แนน : ตอนเรียนมัธยม เรียนที่ไหน ยังไงบ้างคะ?
พี่สุ่ย : ผมเรียนชั้น ม.1-6 ที่โรงเรียนบางกะปิครับ ชีวิตผมกระท่อนกระแท่นตั้งแต่ช่วง ม. ต้นครับ เพราะว่าติดเพื่อน ติดเกมส์ ติดบุหรี่ ติดสุรา การพนัน (โอ้โฮ : พี่แนน) โดดเรียนไม่ไปโรงเรียน ช่วงนั้นลองผิดลองถูกไปเยอะครับ
พอขึ้นมา ม.ปลาย ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับครับ ช่วงนั้นผมก็เริ่มทำกิจกรรมเยอะขึ้นจนกลายเป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียนไปเลย อาจารย์หลายท่านก็ให้โอกาส คอยอบรบสั่งสอนและเตือนสติเราไม่ให้กลับไปลู่ทางนั้นอีก แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือแม่ครับ ตอนนั้นตั้งใจจะทำเพื่อแม่อย่างเดียว เพราะว่า ม.ต้นทำวีรกรรมไว้เยอะ แม่เสียใจมากครับ กลัวแม่จะเสียใจอะไรแบบนั้นอีก ก็เลยกลับตัวกลับใจได้ครับ (เหมือนโจรเลยเนอะ ! )
พี่แนน : แล้วชีวิต ก้าวไปสู่คำว่า "เด็กเกเร" ได้ยังไง แล้ววีรกรรมเราขนาดไหน?
พี่สุ่ย : ผมมาอยู่ ม.ต้น แบบไม่มีเพื่อนอะครับ ก็เลยได้เพื่อนกลุ่มใหม่หมดเลย ทีนี้ด้วยความที่เราก็อยากรู้อยากลอง พอมีเพื่อนในกลุ่มดูดบุหรี่ กินเหล้า เราก็อยากลองมั่ง ก็เลยลองทุกอย่างในตอนนั้นเลยครับ ทั้งบุหรี่ เหล้า การพนัน หนักสุดก็กัญชาครับ ช่วงนั้นเรียนไม่เป็นอันเรียนครับ เพราะ ว่าเรียนไม่รู้เรื่องแล้ว สมองคิดแต่ว่าตอนเย็นจะไปทำอะไรดี จะเที่ยวไหน จะไปกินเหล้าบ้านใคร
"เวลาที่บ้านถามไปไหนมา เราก็บอกไปทำรายงานบ้าง ทำการบ้านบ้าง โกหกไปวันๆ เคยเอากัญชาไปดูดในห้องน้ำโรงเรียน ตอนนั้นรู้ตัวว่าอยากรู้อยากลอง"
บางวันก็โดดเรียนไปนั่งอยู่ร้านเกมส์บ้าง บ้านเพื่อนบ้าง อาทิตย์นึงเข้าเรียนอยู่ 2-3 วัน วันไหนเข้าโรงเรียนก็ไม่ค่อยได้เข้าเรียน ตกเย็นไปบ้านเพื่อนส่วนใหญ่ก็นั่งกินเหล้า สูบบุหรี่ แล้วค่อยกลับบ้าน ถึงบ้านก็ประมาณ 4-5 ทุ่มตลอด เวลาที่บ้านถามไปไหนมาเราก็บอกไปทำรายงานบ้าง ทำการบ้านบ้าง โกหกไปวันๆ เคยเอากัญชาไปดูดในห้องน้ำของโรงเรียน ตอนนั้นรู้ตัวว่าอยากรู้อยากลองว่าเป็นยังไงเพราะไม่เคยลอง ตอนนั้นชีวิตผมมองทุกอย่าง เป็นเรื่องเล่นๆไปหมด
พี่แนน : การเรียนของเราตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง
พี่สุ่ย : จากวีรกรรมที่โชกโชนและเชี่ยวชาญ ผลลัพธ์ทางการเรียนก็เดาไม่ยากครับ ผลการเรียนไม่ค่อยดีครับ แต่ก็ยังพอประทังอยู่บ้าง เพราะโชคดีที่คะแนนส่วนใหญ่มาจากคะแนนเก็บจากงาน ถึงผมจะโดดเรียนก็จริง แต่ผมก็พยายามทำงานส่งๆ ไปให้มันครบๆ ให้มันมีคะแนนบ้าง (ยังคิดได้เนอะ ! 555 ) จบ ม.3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3 ต้น ๆ (ไม่แน่ใจครับ) แต่เกรดของผมไม่สามารถเอาไปยื่นเรียน วิทย์ - คณิต และ ศิลป์ - คำนวณ ได้ครับ เรียนได้แต่ ศิลป์ - ภาษา อย่างเดียว ( ความมันส์มันก็อยู่ที่ตรงนี้ละ !!!! ) (มันส์ยังไงละเนี่ย อยากรู้!! - พี่แนน)
พี่แนน : จุดพีคสำคัญอะไรทำให้เราคิดได้ว่า "เฮ่ย เราต้องเลิกเป็นแบบนี้"
พี่สุ่ย : จุคพีคสำคัญที่สุด เกิดจากผู้หญิงที่ผมรักที่สุดครับ ก็คือแม่ เพราะมันเกิดจากมีวันนึงแม่จับได้ว่าผมโดดเรียนไปอยู่ร้านเกมส์ เกิดมาไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ครับ พอเห็นเท่านั้นหละ เหมือนตัวชาไปหมดทั้งตัวเลยครับ แม่ด่า แม่สอนอะไรมาแทบไม่รู้เรื่อง เพราะ ช็อคมาก รู้ตัวเองเลยว่าทำให้แม่เสียใจแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาผมกับแม่ก็เหมือนมาตั้งข้อตกลงกันว่าต้องกลับบ้านไม่เกินกี่ทุ่ม แม่จะคอยโทรเช็คตลอดว่าเข้าเรียนรึเปล่า ไปเรียนมั้ย อยู่ไหน ตอนนั้นอิสระหายไปพอสมควรครับ แต่ว่าก็ยังข้องเกี่ยวกับอบายมุกอยู่บ้างนะ แต่ไม่มากเท่าเมื่อก่อน (แหน่ะ ! ยังไม่สำนึกกกกกก !! ) แล้วก็เหมือนกลับมาโฟกัสที่การเรียนมากขึ้น ( มากขึ้นนิดนึง )
"เกิดมาไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้ครับ พอเห็นเท่านั้นหละ เหมือนตัวชาไปหมดทั้งตัวเลย "
อาจจะดูเหมือนไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่บอกเลยว่ามันเป็นการค่อยๆปรับตัว ไปในด้านที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนดอกบัวใต้โคลนตมที่มันค่อยๆโผล่พ้นขึ้นสู่ผิวน้ำแหละครับ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบหักดิบอะไรขนาดนั้นแต่จุดที่เรียกว่ามันสำนึกได้จริงๆ คือตอนเราเข้าวิทย์-คณิตฯไม่ได้เนี่ยละครับ เพราะ เราเองฝันอยากเป็นหมอมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอรู้ตัวว่าเรียนสายวิทย์ไม่ได้นี่เหมือนความฝันมันพังทลายลงมาเลย เพราะ ไม่ได้เรียนสายวิทย์ก็คงไปเรียนหมอไม่ได้ ตอนนั้นกระเสือกกระสนหาที่เรียน และ หาช่องทางที่จะให้ตัวเองได้เรียนสายวิทย์ แม่เป็นธุระจัดการให้ทุกอย่าง พาผมไปพบอาจารย์ ไปขอร้อง เรียกว่าถ้าจะให้กราบได้เพื่อให้เข้าเรียนก็คงทำ เพราะ เกรดแบบนี้โรงเรียนอื่นก็คงไม่รับ สุดท้ายก็ได้อาจารย์ท่านนึงเมตตาอนุเคราะห์ ช่วยให้ผมเข้าเรียนสายวิทย์ได้สำเร็จ
พี่สุ่ย : พอเข้ามาเรียน ม. ปลายสายวิทย์-คณิตฯได้สำเร็จ ผมให้สัญญากับตัวเองว่าจะต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเราอุตสาห์ได้เข้ามาเรียนแล้ว ให้คำสัญญากับแม่ ให้คำสัญญากับอาจารย์ กับครอบครัวไว้ อย่าทำให้เขาผิดหวัง แต่พอเข้ามาเรียนจริงๆ เหมือนมันก็ต้องปรับตัวใหม่อีกครั้งนึง เพราะว่าเราเป็นเพียงคนเดียวของห้องตอน ม.ต้นที่มาเรียนสายนี้ ตอนนั้นไม่มีเพื่อนก็เลยยังคบเพื่อน ม.ต้นกลุ่มเดิมอยู่ ยังมีแว๊บไปแว๊บมาบ้างเกี่ยวกับอบายมุข แต่ถ้าเทียบกับตอน ม.ต้นนี่ถือว่าน้อยลงมากๆ
การเรียนผมก็มาโฟกัสมากขึ้นเยอะ หาที่เรียนพิเศษลงเรียนในวิชาต่างๆ พอเริ่มรู้จักเพื่อนในห้องก็เริ่มขาดการติดต่อกับเพื่อนกลุ่มเดิม จนในที่สุดผมก็หยุดและเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ ( ส่วนเบียร์จะดื่มเฉพาะงานสังสรรค์เท่านั้นครับ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ดื่ม)
สุดท้ายทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้นครับ ผมทำคะแนนและเกรดอยู่ในระดับต้นๆ ของห้องตลอด ไม่ที่ 1 ก็ที่ 2 เป็นเด็กกิจกรรมที่ช่วยเหลืองานในห้อง ของหมวดวิชาต่างๆ และของโรงเรียน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมสนิทกับอาจารย์หลายๆ ท่าน และรู้จักพี่ๆ น้องๆ มากมายในโรงเรียน เรียกว่า พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว แม่ก็ดูดีใจ และเบาใจในตัวผมขึ้นเยอะเลย
พี่แนน : แล้วมาคิดว่า อยากจะเรียน "หมอ" ตอนไหน?
พี่สุ่ย : ผมฝันอยากเป็นหมอตั้งแต่เล็กๆ แล้วครับ ตั้งแต่ ป.1 อาจจะเป็นเพราะว่าตอนเด็กมีโรคประจำตัวคือโรคหอบ ต้องเข้าคลีนิคหรือโรงพยาบาลพบแพทย์บ่อย ก็เลยอาจมีความรู้สึกผูกพันธ์ตรงนี้ด้วย อีกทั้งมันก็เป็นอาชีพที่ผมว่าทำแล้วมีความสุขนะ ทุกๆ วันได้ตื่นมาทำบุญโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากเลย เป็นอาชีพที่ทำแล้วได้บุญทุกวัน แล้วพอโตมาจนถึงม.ปลายก็นึกไม่ออกว่าถ้าไม่ได้เรียนหมอจะไปเรียนอะไรได้ (ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากเมื่อเทียบกับห้องคิง คือ ห้องวิทย์ผมเป็นห้องบ๊วยครับ ) มันก็เลยทำให้เราโฟกัสอยู่กับคณะแพทยศาสตร์อยู่ตลอดเวลาครับ
พี่แนน : กว่าจะติดหมอ เห็นว่าถึงกับตัดสินใจดรอปเรียน 1 ปี ?
พี่สุ่ย : คือผมสอบหมอตอนจบ ม.6 ไม่ติดครับ ด้วยความที่ตัวเองมีพื้นฐานจาก ม.ต้นไม่ค่อยดี เตรียมตัวอ่านสอบก็น้อย โจทย์ก็ไม่ได้ทำ มันก็คงไม่แปลกอะไรที่จะพลาดครับ แต่ในเมื่อมันพลาดผมก็มองว่า โอเค ไม่เป็นไร เริ่มใหม่ นับหนึ่งใหม่ก็ได้ ผมก็เลยตัดสินใจดรอปอยู่บ้านอ่านหนังสือเป็นเวลา 1 ปีเต็ม
"ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โดนสารพัดคำพูด คำดูถูก เสียดสี มากระทบกระทั่งเข้าหูให้ได้ยินเกือบทุกวัน แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่เก็บคำพูดพวกนั้นมาเป็นแรงผลักให้ตัวเองต้องทำให้สำเร็จให้ได้"
ผมเริ่มอ่านตั้งแต่วันที่ประกาศผลนั่นแหละ ผมบอกแม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้ ผมไปหาซื้อหนังสือ ม.ต้น ในวิชาที่ตัวเองไม่แน่นพื้นฐานมาอ่าน มาฝึกทำ แล้วก็ค่อยไล่ระดับไปอ่านของ ม.ปลาย ที่ใช้อ่านสอบ ผมลงเรียนพิเศษวิชาเคมีวิชาเดียวครับ ส่วนวิชาอื่นๆ ผมหาซื้อหนังสือมาอ่านเองหมด เหมือนทุกอย่างเริ่มจากศูนย์จริงๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โดนสารพัดคำพูด คำดูถูก เสียดสี มากระทบกระทั่งเข้าหูให้ได้ยินเกือบทุกวัน แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่เก็บคำพูดพวกนั้นมาเป็นแรงผลักให้ตัวเองต้องทำให้สำเร็จให้ได้ตอนนั้นคิดว่ายังไงก็ต้องให้ติดปีนี้ เพราะเหมือนเราเอาเวลา 1 ปีของเราเป็นเดิมพันไว้ จากคนอ่านหนังสือวันนึงไม่ถึง 10 นาที กลายมาเป็นคนอ่านหนังสือวันนึงเป็น 10 ชั่วโมง โจทย์ผมทำเป็นพันๆข้อในแต่ละวิชา สู้ยิบตา ใครจะว่ายังไงไม่สน เพราะ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พอสุดท้ายประกาศผล ผมก็สอบติด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ครับ
พี่แนน : มองชีวิตเราที่ผ่านมา (เกือบจะเสียคน) จนมาถึงทุกวันนี้ (ได้เรียนหมอเชียวนะ!) ยังไงบ้าง ?
พี่สุ่ย : ผมว่าผมคุ้มนะ คือผมรู้สึกว่าชีวิตผมมันไม่ได้ผ่านอะไรมาแค่ด้านเดียวไง เราไม่ได้ผ่านด้านดีๆ มาอย่างเดียว แต่เราผ่านทั้งด้านที่ดีและไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีเราก็รู้แล้วว่าเป็นยังไง ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมมาไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายผมว่ามันมีคุณค่าในตัวมันนะ เพราะสุดท้ายมันก็เป็นประสบการณ์ที่จะทำให้เราสามารถนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิตต่อไปได้ คือถ้าให้ย้อนกลับไปได้ถามว่าผมจะยังทำตัวแบบนั้นมั้ย ผมก็บอกว่าผมยังคงทำนะ เพราะ ผมรู้สึกว่าเพราะเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั่นแหละ ที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ ผมว่าคนเราโตได้ด้วยความผิดพลาดครับ
พี่แนน : เห็นน้องเขียนเรื่องในเว็บไซต์ Dek-D เรื่อง "จากเด็กเกเร . . . สู่ฝันวันติดหมอ " ฟี้ดแบคเป็นยังไงบ้าง (รู้สึกยังไงบ้างเพราะคนเข้ามาอ่านเรื่องที่เราเขียนเยอะมากๆ)
พี่สุ่ย : ตอนแรกที่เขียนไม่นึกว่ากระแสตอบรับจะดีขนาดนั้นครับ คิดว่าอย่างมากก็คงมีไม่ถึงจำนวนหลักหมื่นที่เข้ามาอ่าน แต่พออัพไปได้ไม่กี่วันจำนวนคนดูก็มากขึ้นเรื่อยๆ มีคอมเมนต์ต่างๆ มากมายที่แสดงถึงความสนใจ มันก็ทำให้ผมอัพบล็อคต่อไปเรื่อยๆ ทำไปทำมามันก็รู้สึกว่า การถ่ายทอดชีวิตของเราให้คนอื่นฟัง ถึงแม้มันอาจจะมีมุมที่ไม่ดีบ้าง แต่มันก็สามารถสร้างประโยชน์ได้ จากการเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ หรือ เป็นข้อคิดให้กับคนอื่นๆได้
พี่แนน : ในฐานะที่ผ่านช่วงชีวิตนั้นมา อยากบอกหรือฝากอะไรถึงน้องๆ Dek-D.com บ้าง
พี่สุ่ย : พี่เชื่อเสมอว่าคนเราไม่ว่าจะเกิดมาชาติพันธุ์ใด เพศไหน ผิวสีอะไร ยากดีมีจนขนาดไหน ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ครับ พี่ก็อยากให้น้องที่มีความฝัน อยากให้น้องเดินต่อไปและทำให้มันเป็นจริงครับ อย่าท้อแท้ อย่าพึ่งหมดกำลังใจ เกิดมาทั้งที ถ้าเอาดีไม่ได้ให้มันรู้ไปครับ บนโลกนี้ “ ไม่มีอะไรหนีพ้นความพยายาม”
"สุดท้ายนี้พี่อยากฝากไว้คือ พ่อแม่เวลาจะทำอะไรท่านจะนึกถึงเราอยู่เสมอ ดังนั้นไม่ว่าน้องจะทำอะไรก็ตามจงนึกถึงพ่อแม่ นึกถึงความรู้สึกท่าน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ด่าลูกเพราะเกลียดลูกหรอกครับ มีแต่ลูกนั่นแหละที่ด่าท่านเพราะเกลียดท่านจริงๆ เหนือสิ่งอื่นใดความกตัญญูจะเป็นเครื่องหมายนำพาเราไปสู่ความเจริญครับ โชคดีนะครับน้องๆ"
หากใครอยากรู้จัก หรืออ่านเรื่องราวชีวิตของพี่สุ่ยเพิ่ม ก็เข้าไปอ่านกันได้ที่คอลัมน์ Writter ของเว็บ Dek-D.com เรื่อง "จากเด็กเกเร . . . สู่ฝันวันติดหมอ" (คลิกที่นี่) พี่สุ่ยมีเรื่องราวดีๆ มาแชร์ พร้อมพูดคุยตอบคำถามให้น้องๆ ทุกคนเลยจ้า
น้องๆ Dek-D.com คนไหน ที่อาจจะกำลังประสบปัญหาเหมือนพี่สุ่ย มีไขว้เขวไปในทางไม่ดี พี่แนนขอบอกว่า ยังมีโอกาสเสมอที่จะกลับมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดูได้จากพี่สุ่ย ที่มีกำลังใจและเข้มแข็ง ที่จะไม่หันกลับไปในสิ่งที่ผิด แล้วมุ่งมั่นทำความฝันที่แสนจะยาก เช่น การเป็นหมอ และถึงแม้จะไม่สำเร็จในครั้งแรก ก็ยังแน่วแน่จนทำได้สำเร็จ!!
19 ความคิดเห็น
#อุ่ย #ผิดประเด็น
สู้ต่อไป
ตัวอย่างแบบนี้เราชอบมากๆ (ไม่อยากดูประเด็นอื่น)
ถึงแม้จะทำผิดพลาดมาก่อนในชีวิต
แต่ก็แก้ไขได้
และไม่กลัวที่จะบอก
พี่ทำให้คนอื่นได้เห็นตัวอย่างของชีวิตที่แท้จริงมากมาย ^^
ชอบมากเลยยยย!!
เกิดมาทั้งที ถ้าเอาดีไม่ได้ให้มันรู้ไปครับ บนโลกนี้ “ ไม่มีอะไรหนีพ้นความพยายาม ชอบคำพูดนี้ ขอบคุณนะคะ พี่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้หนูสู้เลยล่ะ!!
เหมือนผมตอนม.ต้นเลย โดดเรียน ติดเหล้า บุหรี่ แต่ม.ปลายคิดได้และครับ การเรียนก็ดีขึ้นตามลำดับ
พี่สุดยอดมากครับ นับถือเลย พี่เจ๋งมาก ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ
ปลื้มเลย พี่สุดยอดมากคับ
โหยยยย เจ๋งอ่ะพี่ ไม่น่าเชื่ออออ.
บ่องตง!!!!!หล่อเฟ่อร์ นับถือพี่จริงๆที่กลับมาคิดเริ่มต้นทำสิ่งดีๆเพื่อแม่และตนเอง
ปล. ขอเป็นfcพี่ได้ป่ะ 55555+
โห พี่เจ๋งมากคับ
FC ><
สุดยอด
พี่สุ่ยสุดยอด
ตอนนี้มีกำแพง 1 กำแพงที่ทำลายไม่ได้ซักที นั่นก็คือกำแพง คฺณิตศาสตร์อ่ะ คือไม่กล้าที่จะคิกที่จะตีโจทย์เลย.. แล้วต้องการสอบเข้า วิศวด้วย อยากร้องไห้มากกว่าเดิมอีกทีนี้ จากเรื่องของพี่ทำให้หนูมีกำลังใจมากเลยค่ะ จะพยายามพิชิตคณิต เพื่อติววิศว ในฝันให้ได้ สู้ตายค่ะ !!!
"ไม่มีอะไรหนีพ้นความพยายาม" จะเป็นหมอให้ได้เลยค่ะ
อุ้ย หล่อออ กิกิ (แรดไปเรื่อย)
อึ้ง!?! อึ้งมว้ากที่รู้ว่าพี่ศิษย์ บป. หนูจะเอาเป็นไอดอลอ่ะ