สวัสดีค่ะน้องๆ ประเด็นข่าวซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงกันอยู่ตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการศึกษาของน้องๆ สายอาชีพหรืออาชีวะ ถ้าพูดถึงภาพลักษณ์ของเด็กอาชีวะ สิ่งที่ใครหลายคนจำจนติดตาก็คงเป็นเรื่องก่อเหตุทะเลาะวิวาทอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งจากเหตุการณ์นี้อาจทำให้เด็กที่ตั้งใจเรียนสายอาชีพได้รับผลกระทบถูกมองในแง่ร้ายไปด้วย
จึงได้เกิดการประชุมเพื่อหารือเรื่องพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่ส่งผลต่อการเกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้นมา โดยประเด็นสำคัญคืออะไรนั้น ไปดูกันเลยค่ะ
"ไม่รับนักเรียนที่มีรอยสักและระเบิดหูเข้าเรียนในปีการศึกษา 2559" ประโยคนี้ นายจอมพงศ์ มงคลวนิช นายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยต่อที่ประชุมผู้รับใบอนุญาต และผู้อำนวยการวิทยาลัยเอกชนที่เปิดสอนด้านช่างอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลว่า
ในปีการศึกษา 2559 นี้ สถานศึกษาทุกแห่งจะเข้มงวดเรื่องทรงผมและเครื่องแบบของนักเรียนนักศึกษามากขึ้น โดยจะไม่รับนักเรียนที่มีรอยสักและระเบิดหูเข้าเรียน เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้งที่ผ่านมามีกลุ่มบุคคลผู้ไม่ประสงค์ดีแอบแฝงเป็นนักศึกษา
ในปีการศึกษา 2559 นี้ สถานศึกษาทุกแห่งจะเข้มงวดเรื่องทรงผมและเครื่องแบบของนักเรียนนักศึกษามากขึ้น โดยจะไม่รับนักเรียนที่มีรอยสักและระเบิดหูเข้าเรียน เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้งที่ผ่านมามีกลุ่มบุคคลผู้ไม่ประสงค์ดีแอบแฝงเป็นนักศึกษา
จากประเด็นดังกล่าวอาจทำให้เกิดความสงสัยว่ารอยสักกับการระเบิดหูเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมก่อความรุนแรงอย่างไร ในเมื่อรสนิยมของกลุ่มคนที่ชื่นชอบเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดี สำหรับในวัยนักเรียนนักศึกษาแล้วการไร้รอยสักและระเบิดหูอาจเป็นอัตลักษณ์ที่แยกความต่างออกจากคนทั่วไป
เนื่องด้วยในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยรัฐบางแห่งก็ได้มีระเบียบการห้ามนักเรียนนักศึกษาสักหรือเจาะสิ่งต่างๆตามผิวหนังของร่างกายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะอาดบริสุทธิ์ของเด็กนักเรียนนักศึกษา
ไม่เฉพาะแต่วัยเรียน ในวัยทำงานข้าราชการบางแห่งบางอาชีพก็ยังไม่เปิดรับบุคคลากรที่มีรอยสักเข้าทำงาน ต้องยอมรับว่าในสังคมไทยยังคงมีค่านิยมบางประการเกี่ยวกับรอยสักหรือการระเบิดหูที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสิ่งน่ากลัว ไม่สุภาพน่ามอง
เนื่องด้วยในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยรัฐบางแห่งก็ได้มีระเบียบการห้ามนักเรียนนักศึกษาสักหรือเจาะสิ่งต่างๆตามผิวหนังของร่างกายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะอาดบริสุทธิ์ของเด็กนักเรียนนักศึกษา
ไม่เฉพาะแต่วัยเรียน ในวัยทำงานข้าราชการบางแห่งบางอาชีพก็ยังไม่เปิดรับบุคคลากรที่มีรอยสักเข้าทำงาน ต้องยอมรับว่าในสังคมไทยยังคงมีค่านิยมบางประการเกี่ยวกับรอยสักหรือการระเบิดหูที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสิ่งน่ากลัว ไม่สุภาพน่ามอง
เหตุที่เกิดมาตรการดังกล่าวขึ้น อาจเนื่องมาจากความต้องการคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนนักศึกษา การมีรอยสักหรือระเบิดหูอาจเป็นหนึ่งในช่องทางนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงให้บุคคลภายนอกเข้ามาแอบอ้างว่าเป็นนักศึกษาและก่อเหตุทะเลาะวิวาทขึ้นจนนำไปสู่การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
แนวทางการป้องกันดังกล่าวหลายคนหลายความเห็น บางคนอาจมองว่านี่เป็นการลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์จากการตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแต่บางคนก็มองว่านี่อาจเป็นการวัดคุณค่าที่เห็นผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและชัดเจนที่สุดในเวลานี้
10 ความคิดเห็น
เราว่าดีแล้วละค่ะที่ทำแบบนี้ เพราะปัจจุบันภาพพจน์ของสายอาชีพ หรือเด็กอาชีวะเป็นอะไรที่ดูแย่มากๆ จากมุมมองของแต่ละบุคคล การที่ทำแบบนี้ เราคิดว่า ถูกต้องแล้วละค่ะ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และจะได้ช่วยลดปัณหาลงด้วย ในภาพพจน์ที่ไม่ดีต่างๆ
ผมก็สัก(แต่ไม่เลยแขนเสื้อ) หูก็เจาะ แต่ผมก็ไม่มีปัญหาเรื่องต่อยตีเลย ตอนนี้ปวช.3แล้ว เรียนก็ไม่ค่อยมีปัญหา เกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า2.75 คนออกกฎคิดง่ายไปป่าวว่าสัก-เจาะหูต้องเลวอ่ะ
คิดว่าก็ดีนะ เพราะที่เค้าตั้งกฏแบบนี้ก็เพื่อเด็กเพราะบริษัทส่วนมากเค้าจะไม่รับเด็กที่สัก-ระเบิดหู ปวช. ปวส. เรียนแปปเดียวก็จบ ถ้าอยากจะเข้า รร ของเค้าก็ต้องยอมรับกฏที่เค้าตั้งไว้ให้ได้ (แต่ถ้าไม่อยากเข้าก็ไปเรียนที่อื่น รร ไม่ได้มี รร เดียว) ถึงจะบอกว่าสักมันคือศิลปะ คนมันรักศิลปะอ่ะ ทำไมต้องตั้งกฏแบบนี้ ทำไมต้องคิดว่าคนที่สักต้องเลว ขอตอบเลย ไม่ค่อยมีคนคิดหรอกว่าคนที่สักต้องเลวเพราะพวกที่ใส่สูทแต่งตัวดูดีบางคนก็เลวเหมือนกัน หรือถ้าคิดว่าสักมันคือศิลปะบนตัว คุณเรียนจบหางานได้คุณก็สักไม่มีใครว่าคุณหรอก คุณจะคิดว่าแบบไหนก็ช่างแต่ก็ไม่ต้องออกตัวให้มันมากยังไงซะถึงเราต่อต้านมันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเพราะเราไม่มีอำนาจไม่เงิน สรุปเลย ตอนนี้อยู่ในช่วงเรียนนักเรียนยังไม่บรรลุวุฒิภาวะในหลายด้าน เพราะฉะนั้นตั้งใจเรียนให้มันจบ จบแล้วจะทำอะไรก็เรื่องของคุณเลย
เด็กม.ต้นกับเด็กม.ปลายบางคนก็สักและเจาะหูก็มีค่ะ ทำไมไม่จัดการด้วย
เขาแค่อยากจัดการภาพลักษณ์ใหม่
ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่คิดว่า การสัก การระเบิดหู ตั้งแต่วัยรุ่นมันดูเถื่อน
ผมเองก็จบสายอาชีวะเหมือนกัน (จบมาตั้งแต่ปี40) ถ้ามองในมุมของเด็กแล้ว การสักหรือระเบิดหูอาจดูไม่ร้ายแรง รวมไปถึงการคิดว่าแค่ช่วงเวลาที่ทำก็แค่ 3ปี(ปวช.),5ปี(ปวส.) เพราะผมก็เคยผ่านช่วงนั้นมาเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าที่เค้าสร้างมาตรฐานนี้ขึ้นมาเพื่อการแก้ไขปัญหาที่เพื่อนของน้องๆบางคนสร้างขึ้น ทางผู้ใหญ่หลายท่านช่วยแก้ปัญหามานานมาก แต่แก้แบบไม้นวมมาตลอด แต่ก็แก้ไม่ได้เลย เพราะพวกผู้ใหญ่ห่วงเรื่องคำว่าสิทธิมนุษยชนที่พวกน้องๆบางกลุ่มชอบอ้าง แต่น้องๆกลุ่มนั้นคงลืมกันไปแล้วมั้งว่าสิทธิที่ตนเองพูด จะต้องไม่ไปทำลายสิทธิของคนอื่น แล้วที่ผมเห็นมาตลอดเวลาที่เกิดปัญหาเช่นการตีกันเพื่อศักดิ์ศรี(ซึ่งผมดูการกระทำแล้วมีไม่มากเท่าไหร่), การยิงกันเพื่อล้างแค้นให้กับเพื่อนหรือน้องที่ถูกยิง(ซึ่งผมเห็นว่าคนยิงก็ไม่เคยถามคนถูกยิงว่าต้องการให้แก้แค้นไหม?), การตบหัวเข็มขัดต่างสถาบันหรือเสื้อช็อป(อยากถามคนทำมากเลยว่าตบไปทำไม? เอาไปแล้วก็ไม่เคยมีคนเอามาใส่โชว์สักที)และที่ผมไม่รู้อีกเท่าไหร่ โดยสุดท้ายของผลที่เกิดมักไปเกิดกับบุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้องกับคนก่อเรื่อง บางคนโชคร้ายเดินไปซื้อของให้ครอบครัว ผ่านไปไม่นานญาตฺิต้องไปรับศพที่โรงพยาบาล เพราะดันเดินผ่านที่เค้าตีกันแถมคนตายยังไม่เกี่ยวข้องกับอาชีวะเลยด้วยซ้ำ และบอกตามตรงเลยว่ามาตรการที่ออกมาก็ช่วงแก้ปัญหาได้ไม่มากนักหรอก ถ้าน้องๆยังคิดแค่ว่าสิทธิของฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ได้มองหรือคิดว่าสิทธินั้นมันจะไปกระทบกับใครบ้าง