Profile
ชื่อเล่น : กรีน
แผนการเรียน : ศิลป์-ภาษาจีน
งานอดิเรก : นอน, ถ่ายรูปเล่น, หาอะไรอร่อยๆ กิน, ดูหนัง ฟังเพลง, อ่านหนังสือและบทความต่างๆ ที่น่าสนใจ (ไม่จำกัดประเภท)
สไตล์การเรียน : เรียนให้เด่น เล่นให้เป็น อ่านหนังสือให้ถูกวิธี
IG : ABCDEFGGREEN
น้องกรีน : สวัสดีค่าา~ กรีนนะคะ นางสาว ธนพร รามกุลค่ะ ตอนนี้กำลังจะจบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แผนการเรียนศิลป์-ภาษาจีนค่ะ เกรดเฉลี่ย 3.63 ปกติในโรงเรียนถ้าไม่ได้อยู่กับเพื่อนร่วมห้องก็จะดูเป็นคนเรียบร้อย (?) ดูเป็นคนที่ keep look ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นเพื่อนในห้องหรือเพื่อนที่สนิทกันก็จะรู้เลยค่ะว่าเป็นคนรั่วๆ เด๋อๆ เฟรนด์ลี่ ขี้เล่น เป็นกันเอง ไปไหนไปกันค่ะ
พี่มิ้นท์ : อยากให้เล่าสไตล์การใช้ชีวิตของกรีนในโรงเรียนเตรียมฯ หน่อยค่ะ
น้องกรีน : สไตล์การใช้ชีวิตในโรงเรียนของกรีนในแต่ละปีจะไม่เหมือนกันค่ะ ม.4 ก็จะเป็นเด็กใสๆ น่ารักๆ กลัวการมาโรงเรียนสายมาก ค่อนข้างจะเรียบร้อยและเรียบง่าย เพราะยังไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมมาก พอขึ้น ม.5 เป็นช่วงที่พีคมากๆ ในสไตล์ของการเป็นเด็กกิจกรรม มีทั้งมาโรงเรียนแต่เช้าเพื่อมาพูดประกาศเสียงตามสายหรืออินเตอร์คอม ซึ่งเป็นเสียงที่ทุกคนจะได้ยินหลังเข้าแถว เราจึงต้องมาเช้ามากๆ หรือว่าจะมาสายสุดๆ ก็มี จนเพื่อนในห้องเรียนแทบไม่ค่อยเห็นหน้า เพราะเรามาโรงเรียนแล้วบางทีต้องไปเตรียมตัวจัดกิจกรรมต่างๆ งานเยอะมาก อยู่ประชุมงานที่โรงเรียนเย็นๆ ถึงดึกแทบทุกวัน บางทีนอนโรงเรียนก็มีค่ะ แต่คุ้มค่าและสนุกมากๆ
แต่พอขึ้น ม.6 มา เรารู้สึกว่าเรายังทิ้งสไตล์ของการเป็นเด็กกิจกรรมไม่ได้ เหมือนพอไม่ได้ทำอะไรสักอย่างแล้วรู้สึกขาดอะไรไป ต้องหาอะไรให้ตัวเองทำ (ก็เลยมาสมัครเป็นกัปตัน Brand’s Admission Reality 8 ด้วยนี่ละค่ะ) แต่ด้วยความเป็นนักเรียน ม.6 ที่จะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราเริ่มกลับมาสู่การเป็นเด็กเรียน มาโรงเรียนก็ตั้งใจเรียนในห้อง พยายามโฟกัส เวลาว่างก็อ่านหนังสือ ทำโจทย์ หรือทำการบ้านให้จบไปเลย จะได้ไม่มีงานค้างไว้
พี่มิ้นท์ : ไหนๆ ก็พูดเรื่องกิจกรรมแล้ว เราทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง
น้องกรีน : ที่บอกตอนแรกว่าเริ่มทำกิจกรรมเอามากๆ ตอน ม.5 ค่ะ เริ่มจากการทำงานชมรมก่อนเลย เป็นรองประธานชมรมวาทศิลป์ เลยมีโอกาสได้ทำงานเกี่ยวกับการพูด ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์คอมหรืองานพิธีกรในกิจกรรมของโรงเรียน แล้วก็เคยได้รับเกียรติให้เป็นพิธีกรงานคอนเสิร์ต ต.อ. บ้านแห่งรักที่ศูนย์วัฒนธรรมด้วยค่ะ
หลังจากนั้นก็มีโอกาสเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารกิจกรรมชมรม (Facebook : TUCMC) พูดง่ายๆ ก็คือส่วนกลางที่ดูแลประสานงานชมรมของเตรียมอุดมฯ ทั้ง 30 กว่าชมรม ในตำแหน่งประชาสัมพันธ์ค่ะ เป็นจุดเริ่มต้นในกิจกรรมจำนวนมหาศาลของกรีน ได้ทำงานใหญ่ๆ เช่นแอดมินเพจ Triam Udom Open House และดูแลงานพิธีกรรวมถึงงานประชาสัมพันธ์ของงานในปีนั้นด้วย นอกจากนี้ตั้งแต่ ม.5 ถึง ม.6 ก็เป็นคณะกรรมการตึกเรียนตำแหน่งประชาสัมพันธ์ทั้ง 2 ปี นอกจากนี้ยังเคยไปแข่งขันพูดสุนทรพจน์ภาษาจีนด้วยค่ะ ยังมีอีกหลายกิจกรรมที่กรีนเคยทำ
พี่มิ้นท์ : ได้อะไรจากการทำกิจกรรมบ้างคะ
น้องกรีน : ทุกกิจกรรมให้บทเรียนกับกรีนหมดเลยค่ะ ตั้งแต่การวางแผน การเตรียมแผนสำรองรับมือในกรณีที่งานถูกเปลี่ยนแปลงหน้างาน การทำงานร่วมกับผู้อื่น ความอดทน และนอกจากนี้ กิจกรรมยังทำให้เราได้พบกับเพื่อนๆ คุณครู รุ่นพี่ รุ่นน้อง ซึ่งเราเชื่อว่า พวกเค้าจะเป็นคนสำคัญที่มีค่าของเราแม้ว่าเราจะจบการศึกษาจากที่นี่ไปแล้วค่ะ
พี่มิ้นท์ : คิดยังไงกับการที่คนพูดว่า "กิจกรรมทำให้การเรียนเสีย"
น้องกรีน : เอาจริงๆ การเป็นเด็กกิจกรรม ทำให้เรามีเวลาในห้องเรียนน้อยลงก็จริงค่ะ เพราะบางทีมีกิจกรรมด่วนเข้ามา เราจัดการเวลาได้ยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้การเรียนของเราเสียขนาดนั้น
กรีนคิดว่า คนที่ทำกิจกรรมจะรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญที่สุด และสิ่งไหนสำคัญรองลงมา ก็จะจัดลำดับสิ่งที่ควรทำให้เสร็จก่อนได้
กิจกรรมก็สำคัญเพราะเมื่อรับงานมาแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบ แต่การเรียนก็สำคัญเช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องทำการบ้านที่บ้านเสมอไป อยู่โรงเรียนก็ทำได้ ยิ่งเสร็จไวยิ่งดีค่ะ นอกจากนี้เราต้องรู้จักตามงานจากเพื่อนในห้อง รวมถึงเนื้อหาในการเรียนเช่นกัน ด้วยความที่เราเรียนในห้องน้อยกว่าเพื่อน แต่ตอนสอบคุณครูวัดความรู้ของทุกคนเท่ากัน เราต้องตามเนื้อหาให้ได้เท่าเพื่อนๆ ก่อนสอบกรีนชอบทำสรุป ส่วนตัวคิดว่าการทำสรุปด้วยคำพูดและความเข้าใจของเราเองเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากๆ เราได้อ่าน และได้ทบทวน เรียบเรียงเป็นคำพูดของเรา
พี่มิ้นท์ : ย้อนกลับไปที่เรื่องเรียนบ้าง ตอน ม.3 เลือกแผนการเรียนยังไงคะ
น้องกรีน : ตอน ม.3 เรื่องของการเรียนต่อมัธยมปลายก็เริ่มเข้ามา มันเริ่มมาจากการที่เราต้องรู้ก่อนว่าในมหาวิทยาลัยเราจะอยากเรียนคณะไหน หรืออยากทำงานอะไร ซึ่งกรีนสนใจในงานด้านนิเทศศาสตร์มากๆ อยู่แล้ว และเรารู้ว่าถ้าเรียนสายวิทย์-คณิตไป อนาคตก็ไม่ได้ใช้แน่นอน
พี่มิ้นท์ : ทำไมถึงเลือกเรียนสายภาษาล่ะคะ
น้องกรีน : กรีนรู้สึกว่าการรู้ภาษาที่ 3 มันเป็นข้อได้เปรียบนะคะ โดยเฉพาะภาษาจีนที่เลือกเรียน งานด้านภาษาก็มีเยอะไม่แพ้สายวิทย์เลย แม้ว่าตอนนั้นกรีนจะถูกคนรอบตัวคาดหวังให้เรามาทางสายวิทย์ก็ตาม เพราะคุณพ่อกรีนก็เป็นหมอ พี่สาวกรีนทั้ง 2 คนก็เรียนหมอ และค่านิยมที่ว่าเรียนสายวิทย์-คณิตไปได้ไกลกว่าสายศิลป์ด้วย แต่กรีนค่อนข้างมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น ก็เลยไม่คิดที่จะเรียนวิทย์เลยค่ะ มันน่าเสียดายเวลานะคะ ถ้าเอาเวลาไปลงกับวิชาด้านสายวิทย์ที่เราไม่ได้สนใจและไม่ได้ใช้งานในอนาคต เอาจริงๆ กว่ากรีนจะได้เข้ามาเรียนสายศิลป์ภาษามันก็ไม่ง่ายหรอกค่ะ ก็ต้องผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะได้เรียน
พี่มิ้นท์ : ผ่านมา 3 ปีแล้ว กับ "ภาษาจีน" คิดว่ามันยากหรือง่ายคะ
น้องกรีน : จริงๆ แล้วการเรียนศิลป์ภาษาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ละภาษาก็ยากง่ายไม่เหมือนกัน เทียบกันไม่ได้ ภาษาจีนที่กรีนเรียนก็จะยากในการจำตัวอักษร และที่ไม่เหมือนกันในทุกภาษาคือการอ่านออกเสียง จึงต้องฝึกฝนในการใช้ภาษาเสมอ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถค่ะ อาจจะมีบางช่วงที่ท้อบ้างเพราะบางทีมันยากและเยอะ แต่ "ความชอบ" เท่านั้นจะทำให้เราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้การเรียนภาษาไม่ยากเกินไป ก็คือ ความกล้าค่ะ กล้าฝึกพูด ฝึกใช้ ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของภาษานั้นๆ ให้ได้ คนส่วนใหญ่เรียนแล้วไม่กล้าใช้ กลัวผิด กลัวพูดไม่เหมือน
พี่มิ้นท์ : ถ้าน้องๆ อยากเรียนภาษา แต่ยังไม่รู้จะเรียนภาษาอะไรดี จะแนะนำน้องคนนั้นยังไงดี
น้องกรีน : ลองคิดก่อนว่าเราชอบภาษาและวัฒนธรรมของประเทศไหน อาจจะเริ่มมาจากเรื่องง่ายๆ ในความชอบก็ได้ เช่น เราชอบฟังเพลงภาษาไหน ชอบเที่ยวที่ไหน ถ้าเราได้เรียนในสิ่งที่เราชอบ เราจะไม่ท้อในการเรียนภาษาที่ 3 แน่นอน หรือมองถึงอนาคตก็ได้ว่าสายงานที่เราทำ ภาษาไหนที่จะเป็นที่นิยมและมีโอกาสมากที่สุด หรือจะเป็นการใช้งานของแต่ละภาษาก็ได้ค่ะ ใช้เยอะใช้น้อยก็มีข้อดีทั้งสองอย่าง
อย่างภาษาจีนที่กรีนเรียน ก็เป็นที่ต้องการของตลาดเยอะ ดังนั้นเราก็ต้องเก่งมากๆ เพื่อให้เด่นกว่าคนที่เรียนภาษาเดียวเหมือนกัน แต่เอาจริงๆ ภาษาไหนก็สำคัญเหมือนกันค่ะ ขออย่างเดียวคือให้เลือกจากภาษาที่เราชอบจริงๆ เรียนภาษา 3 ปีก็ไม่ได้ง่ายนะคะ ต้องผ่านการฝึกทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน ซึ่งก็โหดไม่แพ้แผนการเรียนอื่น
พี่มิ้นท์ : ความภูมิใจสูงสุดในช่วงเวลา ม.ปลาย คืออะไรคะ
น้องกรีน : สิ่งที่กรีนภูมิใจที่สุดในช่วงเวลาของการเป็นนักเรียน ม.ปลาย คือ การได้ทำอะไรสักอย่างตอบแทนโรงเรียน เช่น ทำกิจกรรมหรือจัดกิจกรรมในนามโรงเรียน รวมถึงการไปแข่งขันต่างๆ ในนามโรงเรียน เพราะกรีนรู้เสมอว่าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาให้เรามาเยอะมาก การได้ทำอะไรเพื่อโรงเรียนบ้าง มันเหมือนเราได้แสดงศักยภาพและแสดงให้คนอื่นได้เห็นว่าโรงเรียนของเราก็มีศักยภาพที่ไม่เพียงแต่ในเรื่องของการเรียนเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ดนตรี กีฬา หรืออื่นๆ ค่ะ
พี่มิ้นท์ : ขอเคล็ดลับ 3 ข้อที่ทำให้ใช้ชีวิต ม.ปลาย สนุกสุดๆ ทั้งเรื่องเรียนและเล่น
น้องกรีน : 1. เรียนบ้าง ทำกิจกรรมบ้าง ให้เวลาทั้งในและนอกห้องเรียนพอๆ กัน บางทีเราไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้แต่จากในห้องเรียนอย่างเดียวหรอกค่ะ นอกห้องเรียนจะให้ประสบการณ์ที่สำคัญและเป็นบทเรียนกับเรา
2. คบเพื่อนที่ทำให้เราสะดวกใจและสบายใจที่จะอยู่และพูดคุยกัน เพื่อนที่คอยตามงานเรา เพื่อนที่เล่นสนุกกับเรา และเพื่อนที่เตือนเราด้วยความหวังดีอย่างถูกวิธี อย่าให้ความบาดหมางในใจมาทำให้ชีวิตมัธยมของเราโดนลดทอนความทรงจำดีๆ ไป ถ้าเจอเพื่อนที่พากันเล่น แต่ก็ยังช่วยกันเรียนด้วย อย่าปล่อยให้เค้าหลุดมือไปนะคะ
3. เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพี่ที่รุ่นน้องรัก เป็นน้องที่รุ่นพี่เอ็นดู และเป็นศิษย์ที่ทำให้คุณครูไม่หนักใจ อย่าสร้างศัตรูกับใคร ชีวิตม.ปลายของกรีนเป็นชีวิตที่สนุกและมีความสุขในการเรียนมาก เรามีเพื่อนหลากหลาย มีรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือ และมีรุ่นน้องที่น่ารัก นอกจากนี้เรายังสนิทกับคุณครู เพราะเรามีปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียนกับคุณครูด้วย
พี่มิ้นท์ : วางแผนอนาคตไว้ยังไงบ้างคะ
น้องกรีน : ตอนนี้ก็สอบสนามสำคัญๆ ไปหมดแล้วค่ะ ทั้ง GAT PAT, 9 วิชาสามัญ, O-net ซึ่งคณะที่กรีนมองไว้ก็คือคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ตอนนี้ยื่นรอบรับตรงปกติไปแล้ว รอประกาศผลอย่างเลยค่ะ (ตื่นเต้นมากๆๆๆ) สาขาที่อยากเรียนคือ เอกประชาสัมพันธ์และโฆษณาค่ะ เพราะในอนาคตอยากมีธุรกิจส่วนตัวหรือทำงานด้านนี้
สำหรับช่วงปิดเทอมยาวแบบนี้ ก็มีคิดๆ ไว้ว่าจะใช้เวลาว่างไปสอนพิเศษภาษาจีนค่ะ ต่อไปในอนาคตถ้าได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็อยากทำกิจกรรมของคณะหรือของมหาวิทยาลัยเยอะๆ เหมือนเดิม <3
พี่มิ้นท์ : อยากให้ฝากอะไรถึงน้องๆ ชาว Dek-D.com หน่อยจ้า
น้องกรีน : ช่วงชีวิตมัธยมปลาย 3 ปี เป็นช่วงเวลาที่ให้อะไรกับเราเยอะมาก ดังนั้น เลือกสายผิด ชีวิตเปลี่ยน อยากให้เลือกในสิ่งที่เราชอบ เลือกในสิ่งที่เราจะมีความสุขเมื่อต้องอยู่กับมัน 3 ปีและจะได้ใช้มันจริงในอนาคต มั่นใจในตัวเอง หาตัวเองให้พบ และทำอะไรที่อยากทำ ใช้ชีวิตมัธยมให้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดจนเมื่อเราเติบโตขึ้นแล้วนึกถึงช่วงเวลานี้จะไม่รู้สึกเสียดายและรู้สึกดีทุกครั้งที่นึกถึง แต่ก็ไม่ลืมหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเราตอนนี้ คือการทำหน้าที่เป็นนักเรียน เป็นลูกที่ดี และสิ่งที่สำคัญคือเป็นคนดีในสังคม
ในขณะที่คนภายนอกปูทางว่าเรียน "สายวิทย์" สิดี! แต่เด็กรุ่นใหม่ที่รู้จักตัวเองดีพอ จะรู้ว่าสายวิทย์ไม่ได้ตอบโจทย์ความฝันเสมอไป ซึ่ง "น้องกรีน" เป็น 1 ในนั้น ที่มองเห็นโอกาสจาก "ภาษาจีน" และตั้งใจเก็บเกี่ยวความรู้ 3 ปีในโรงเรียนจนสามารถพูดคุยภาษาจีนได้จริงๆ พี่มิ้นท์ก็หวังว่าพี่กรีนของเราคนนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ ที่อยากเรียนสายศิลป์ภาษาได้นะคะ ส่วนใครที่อยากติดตามพี่กรีนเพิ่มเติม ก็ไปกดไลค์กันได้ที่ www.facebook.com/greenbar8/
8 ความคิดเห็น
ดีมากเลยค่ะ ฮือออ ออกตัวก่อนว่าหนูกำลังจะขึ้นม.3ค่ะ มีช่วงหนึ่งที่ตัวเองสับสนมากว่าจะเรียนสายอะไรซึ่งก่อนหน้านี้มั่นใจมากว่าเราถนัด เราชอบทางด้านภาษานะ เรียนศิลป์ภาษาสิ พอมาคิดอีกทีอ้าว เรียนวิทย์คณิตก็ได้นะเพราะน่าจะมีโอกาสมากกว่าอย่างน้อยก็ถนัดวิทย์ด้วยเดี๋ยวค่อยไปสปีดคณิตละกันเพราะไม่เก่งแต่เราก็อยากเรียนภาษานี่ ความคิดพวกนี้ตีกันอยู่ในหัวไปหมดเลยค่ะจนต้องไปปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็บอกเรียนในสิ่งที่เราถนัดเรียนในสิ่งที่เราชอบสิ ทีนี้ก็กลับมามั่นใจเลยค่ะว่าเข้าสายศิลป์แน่นอน ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าจะเลือกเรียนภาษาอะไรดีพอได้มาอ่านบทความนี้ที่พี่กรีนบอกว่า ชอบฟังเพลงภาษาไหน ชอบเที่ยวที่ไหน นี่แหละรู้เลยค่ะว่าเราจะเรียนภาษาไหน ด้วยความที่เป็นแฟนคลับเกาหลีน่ะนะคะ555555555555อยากเรียนด้วยเพราะไม่เคยเรียนภาษาเกาหลี ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่นเราก็เคยเรียนมาบ้างแล้วแต่ไม่เคยเรียนภาษาเกาหลีเลย อย่างได้ยินภาษาเกาหลีก็ติดหูแล้วค่ะ และความโชคดี๊ดีโรงเรียนพึ่งมีศิลป์ภาษาเกาหลีปีนี้พอดี ก่อนหน้านี้งงเหมือนกันนะคะว่าจะเรียนภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาเกาหลีดี บางคนอาจจะคิดว่าเป็นแฟนคลับเกาหลีก็เรียนภาษาเกาหลีน่ะสิจะได้เข้าใจสิ่งที่อปป้าพูด เราคิดว่าการเรียนในสิ่งที่ชอบและแปลกใหม่มันน่าจะผลักดันตัวเราไปได้ไกลและนานค่ะถึงแม้คนอื่นอาจจะมองว่าเหตุผลของเราจะไม่ค่อยจะเข้าท่าแต่ถ้าเราเรียนสิ่งที่ชอบเราคงจะพัฒนาตัวเราได้แน่นอน เวลาเรียนท้อๆก็นึกถึงหน้าครอบครัว หน้าอปป้าสิว่าเขาให้กำลังใจเราอยู่นะ(ถึงแม้จะเป็นการมโนแต่เราเคยลองแล้วค่ะเกรดขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อด้วยเหตุผลที่ว่าจะติ่งแล้วเกรดต้องไม่ตกและต้องเรียนให้เต็มที่) เราไม่อยากจะฝืนตัวเองเรียนภาษาที่ก็อยากเรียนนะแต่ไม่ได้ชอบขนาดนั้นถ้าสมมุติว่าวันหนึ่งเราเกิดท้อในการเรียนภาษานั้นๆขึ้นมา เราจะเอาอะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจ เราจะเอาอะไรมาเป็นกำลังใจในการเรียนต่อ เป็นสิ่งที่หนูอยากจะเล่านะคะซึ่งบางประโยคอาจจะอธิบายไม่ค่อยถูกนักแต่ก็พยายามสื่อสารให้ออกมาพอที่จะเข้าใจที่สุด อาจจะงงๆเพราะช่วงนี้มึนจริงๆค่ะ5555555555555
ใครที่อ่านจบขอบคุณจริงๆนะคะ ฮ่าาาาาา
ขอบคุณบทความนี้จริงๆค่ะ
ดีใจมากๆ เลย ที่บทความนี้ น้องชอบและได้ข้อคิดดีๆ จากพี่กรีนไป :D รอติดตามบทความนี้เรื่อยๆ นะคะ มีรุ่นพี่อีกหลายคนที่มีแนวคิดดีๆ เจ๋งๆ มาฝากค่ะ
ดีที่พี่กรีนรู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่หนูนี่สิ ไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนอะไรตอนครูถามว่าจะต่อสายไหนก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกันค่ะครู ครูเลยบอกว่าเรียนสายวิทย์คณิตสิ เลยตกลงตามครูบอกเรียนได้เทอมหนึ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ จะเปลี่ยนสายก็ไม่ทัน นี่มานั่งถามตัวเองว่าเรียนวิทย์คณิตไปทำไมทั้งๆที่ไม่ได้คิดจะเป็น หมอ พยาบาล อะไรพวกนี้ พึ่งมารู้ว่าตัวเองถนัดภาษามากกว่า ตอนนี้จบม.4แล้วจะขึ้น ม.5 เลยคิดว่าจะไปเรียนพิเศษภาษาเอาแล้วกัน คิดแล้วเจ็บใจตัวเอง 55555
อยากเรียนศิลป์ ย้ายแผนการเรียนได้นะ
แผนวิทย์ย้ายลงมาศิลป์ภาษาได้ ได้เรียนสิ่งที่ชอบด้วย ต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะ สังคม
เพื่อนกลุ่มใหม่ วิชาที่เรียน และต้องปรับตัวเรื่องการอ่านหนังสือ เพราะสายศิลป์เรียนภาษาค่อนข้างเยอะ ตัดสินใจให้ดีนะ
อยากเรียนภาษาค่ะ ชอบภาษามากก ทุกภาษาเลย รู้สึกว่าถ้าพูดภาษาอื่นได้ มันจะดูเทพมาก555 แต่ไม่อยากอยู่ห้องท้ายๆอะ คือมันจะถูกมองว่าโง่ แล้วเราเองก็เรียนอังกฤษมาหลายปีมากแล้ว ตั้งแต่ยังเด็กๆ (ทุกคนก็เรียนอะแหละ) แต่ภาษาเรายังแย่อยู่เลย พูดไม่คล่องซักที (จะเรียกว่าพูดไม่ได้เลยก็ได้) แกรมม่า ไรนี่ มึนตึบ เลยรู้สึกท้อนะ รู้สึกว่าถ้าเรียนเพิ่สแล้วมันจะดีขึ้นมั้ย แล้วภาษาอื่นล่ะ จะเป็นแบบนี้มั้ย เลยไม่ค่อยมั่นใจเลยค่ะ อยากรุ้ว่า เรียนภาษาจะทำอาชีพไรได้มั่งคะ จะได้รู้อะค่ะว่าเราชอบอาชีพนั้นมั้ย
กัปตันกรีนคล้ายๆเราเลย พ่อเป็นหมอ แม่เป็นพยาบาล พี่สาวกำลังเรียนสัตวแพทย์ แต่เรามาเรียนสายศิลป์อยู่คนเดียว ตอนแรกก็จะเข้าสายวิทย์นั้นแหละแต่คะแนนวิชาคณิตไม่ถึงเพราะโง่เกินไป555555 ขาดแค่วิชาเดียวเลย ตอนนั้นเจ็บใจน่ะ พ่อก็ไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ เสียใจด้วยที่ทำให้ที่บ้านผิดหวัง เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็เรียนสายวิทย์กัน เหงาหงอยมาก แต่พอมาเรียนสายศิลป์แล้วมันก็รู้สึกชอบและชเข้าทางมากกว่าด้วย ได้เกรดดีกว่าตอนมอต้นอีก รู้สึกว่าตัวเองแปลกตั้งนานแล้ว เกลียดวิชาคำนวณแต่ยังชอบวิทย์อะไรอยู่แแต่ในความแปลกก็มีคนบอกว่าดี พ่อแม่ก็เริ่มโอเคแล้วว่าเราไม่เอาตัวเองไปฆ่าถ้าติดสายวิทย์
ปล.ตอนนี้รอแอดอยู่ไม่รู้จะติดที่ไหน
ขอบคุณมากครับผม เคยลังเลว่าจะเข้าเรียนสายไหนดี คือ ตอนนี้กำลังจะเข้า ม.3 เพราะดรอปชั้นไปหนึ่งปี แต่ส่วนหนึ่งในใจคิดเอาใว้แล้วว่าจะเรียนสายศิลป์จีนเพื่อเป็นภาษาที่สามใว้(พูดอังกฤษได้แล้ว) พูดได้หลายภาษาย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ก็ยังกังขาอยู่ว่าถ้าเรียนสายวิทย์คณิตจะได้งานหรือมีอนาคตที่ดีกว่าหรือเปล่า แต่ตอนนี้ตัดสินใจได้แล้วครับ
ขอบคุณพี่กรีนและพี่ๆทีมงานเด็กดีมากครับสำหรับข้อมูลดีๆเหล่านี้ ที่ช่วยให้ชีวิตในวัยรุ่น วัยเรียนของเรานั้นสามารถตัดสินอะไรได้ง่ายขึ้นมาก รวมถึงทำให้ชีวิตของผม และอีกหลายๆคนมีแนวทางที่แน่นอน ขอขอบพระคุณมากครับ
สุดยอดดดด