แน่นอนว่า มีหลายคนในหลายสถานะออกมาแสดงความเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนที่เรียนจบราชภัฏแต่ปัจจุบันทำงานในระดับผู้บริหาร หรือ เด็กมัธยมที่เกิดความลังเลว่า การเรียนราชภัฏจะทำให้มีโอกาสได้งานน้อยกว่าเรียนที่อื่นจริงหรือไม่? เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นที่คาราคาซังและถูกตั้งคำถามในสังคมไทยมาแล้วอย่างยาวนาน เหมือนเป็นคำถามปลายเปิดที่ทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้อย่างกว้างขวางและไม่มีถูกผิด
ความโดดเด่นของมหาวิทยาลัยแนวหน้าระดับประเทศ
เด็กมัธยมปลายจำนวนมากกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยแนวหน้าของประเทศไทย เช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ มหิดล เป็นต้น ซึ่งมีอัตราการแข่งขันที่สูงมาก เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพและชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย รวมถึงมั่นใจว่า จะเป็นบันไดพาไปสู่โอกาสในการทำงานที่ดีในอนาคต อาจเพราะเห็นตัวอย่างของบุคคลสำคัญตำแหน่งสูงทั้งของภาครัฐและเอกชนที่ส่วนมากจบปริญญาตรีจากสถาบันชั้นนำของประเทศไทย
ข้อมูลทางสถิติถือเป็นอีกหลักฐานสำคัญที่หลายคนเชื่อถือ เช่น อันดับมหาวิทยาลัยไทยในอันดับมหาวิทยาลัยโลก จำนวนอาจารย์ที่จบปริญญาเอก จำนวนอาจารย์ที่จบจากสถาบันต่างประเทศ ที่ถือเป็นแหล่งช่วยการันตีคุณภาพอีกทาง ปฏิเสธไม่ได้ว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำมักมีอันดับหรือสัดส่วนเหล่านี้มากกว่าที่อื่น
ยกตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้ Times Higher Education World University Rankings ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกปีล่าสุด โดยใช้เกณฑ์คุณภาพการสอน คุณภาพงานวิจัย การนำงานวิจัยของสถาบันไปใช้ในการอ้างอิง ความเป็นนานาชาติ และรายได้ทางอุตสาหกรรม โดย 3 มหาวิทยาลัยไทยที่ติดอันดับสูงสุดคือ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งถือว่าไม่พลิกโผมากเนื่องจากทั้ง 3 สถาบันดังกล่าวมีชื่อเสียงมากพอสมควรอยู่แล้ว
เพราะเราเรียกทุกคนมาสัมภาษณ์ไม่ได้
เพื่อให้เห็นภาพชัดที่สุด คำตอบที่น่าจะเหมาะสมควรมาจากผู้ที่เกี่ยวข้องหรือมีบทบาทในการคัดเลือกคนเข้าทำงาน นั่นคือฝ่ายทรัพยากรฝ่ายบุคคล (Human Resource หรือ HR) และนี่คือความเห็นโดยภาพรวมจาก HR ของ 5 องค์กรขนาดกลางถึงใหญ่
"บางตำแหน่งมีคนส่งเรซูเม่สมัครเข้ามาเป็นร้อย
จะให้นั่งอ่านทุกใบก็คงไม่ไหว
ดังนั้นสิ่งแรกที่ใช้สกรีนได้เบื้องต้นคือสถาบัน"
โดยบางบริษัทให้ความสำคัญกับสถาบันที่จบมาของบัณฑิตใหม่มากกว่า 50% และบางบริษัทให้ความสำคัญ 100% เลยทีเดียว ซึ่งในกรณีนี้ บนโลกออนไลน์มีคนแสดงความเห็นว่า ทำไมไม่ลองรับมาก่อนแล้วค่อยดูว่าใครทำงานดีกว่า ... "บอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ จะให้รับมาแล้วค่อยเทียบกันว่าใครทำงานดีกว่ากัน ทำไม่ได้หรอก ทุกอย่างมีต้นทุน เราต้องเลือกคนที่เราพร้อมจะลงทุนกับเขา"
"อย่าบอกว่าที่ไทยยึดติดค่านิยมสถาบัน ที่ไหนๆ ในโลกก็มีทั้งนั้น นี่คือเรื่องจริง เกาหลีญี่ปุ่นก็มีค่านิยมนี้ หรือบางบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ ยังดูจากสถาบันเลย" HR อีกท่านแสดงความเห็นไว้ (ซิลิคอนวัลเลย์คือแหล่งรวมบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ตั้งอยู่ที่ทางส่วนใต้ของอ่าวแคลิฟอร์เนียเหนือ)
ในขณะเดียวกัน มี HR อีกท่านจากธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า หากเป็นวงการโรงแรม จะให้ความสำคัญเรื่องสถาบันที่จบมาเพียง 30% โดยมากจะดูจากประสบการณ์การฝึกงานมากกว่า หากเคยฝึกงานล่ะก็ จะไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องสถาบันเท่าไรนัก อีกทั้งเป็นงานโรงแรมที่เน้นเรื่อง attitude ภาษา และใจรักงานบริการมากกว่าจะเน้นเรื่องว่าเรียนจบจากไหน เพราะหลักสูตรการโรงแรมของมหาวิทยาลัยในไทยไม่ค่อยมีความแตกต่างกัน ดังนั้นหากมีใจรักจริงๆ และพร้อมเรียนรู้ ทางโรงแรมก็ยินดีรับ รวมถึงมองว่าการคัดเลือกคนเข้าทำงานโดยอิงสถาบันเป็นเรื่องไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไรนัก
จบราชภัฏ ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสเลย
แล้วมีเหตุผลอะไรบ้างถึงจะรับเด็กราชภัฏเข้าทำงาน? หลายคนอาจจะสงสัยว่า ในเมื่อบริษัทของคุณตกลงใจแล้วว่า จะเลือกแต่เด็กสถาบันดัง แล้วเด็กราชภัฏจะไม่มีโอกาสเลยเหรอ? แน่นอนว่ามีโอกาส แต่มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป ได้แก่
- เกรดเฉลี่ยสูงและมีประสบการณ์ที่น่าสนใจ เช่น มีผลงานประกวด เคยฝึกงานที่เกี่ยวข้อง เพราะหากเกรดเฉลี่ยสูงอย่างเดียวแต่ไม่เคยทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเลย หลายองค์กรจะเลือกรับเด็กสถาบันดังแต่เกรดสองกว่าๆ เข้ามาทำงานมากกว่า
อีกความเห็นที่น่าสนใจจาก เจ้าหน้าที่สรรหาบุคลากรในบริษัทจัดหางาน ที่ทำหน้าที่รับคำสั่งจากลูกค้าซึ่งก็คือบริษัทหรือองค์กรต่างๆ ว่าให้หาคนมาทำงานให้ เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งในบริษัทจัดหางานชั้นนำของประเทศเล่าให้ฟังว่า หากลูกค้า(บริษัทที่มาจ้างให้หาคนให้) ไม่ได้ระบุมาว่า ต้องการเด็กจากสถาบันไหน ก็จะหาโดยภาพรวม เน้นดูที่ความสามารถที่ตรงกับตำแหน่งงานมากกว่า ไม่ได้หาโดยอิงจากสถาบันเป็นหลัก
ความแตกต่างในการทำงานระหว่างเด็กจบสถาบันชั้นนำและสถาบันอื่น
"บริษัทเราเคยรับเด็กราชภัฎนะ แต่ยอมรับว่าฝีมือเค้าสู้เด็กสถาบันชั้นนำไม่ได้
หลังๆ เลยไม่ค่อยรับแล้ว"
HR ทุกคนที่ถูกถามว่า ฝีมือการทำงานระหว่างเด็กสถาบันชั้นนำกับเด็กราชภัฎเหมือนหรือต่างกันไหม? ทุกคนล้วนแต่ตอบเหมือนกันว่า "ต่างกันอย่างชัดเจน" โดยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เด็กที่จบสถาบันชั้นนำ จะมีภาวะการเป็นผู้นำสูง มีแนวคิดที่น่าสนใจ เรียนรู้ไว พัฒนาได้ไกล มีไหวพริบ คิดเป็นระบบ และภาษาอังกฤษค่อนข้างดีถึงดีมาก เพราะเค้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคนเก่งเยอะ จึงมีโอกาสซึมซับสิ่งต่างๆ ติดตัวมาด้วย หากนำผลงานมาเทียบกัน เด็กที่จบสถาบันชั้นนำจะทำงานได้ดีกว่าอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้แปลว่า เด็กราชภัฏจะไม่เก่งไปซะทุกคน มีบางคนที่ขยันและพัฒนาตัวเองจนเก่งมากๆ เหมือนกัน
และนั่นไม่ได้แปลว่า เด็กสถาบันดังจะเก่งไปหมดซะทุกคน เพราะบางคนเก่งวิชาการ แต่พูดไม่รู้เรื่อง ทำงานกับคนอื่นยาก สื่อสารหรือเข้าสังคมไม่เป็น สุดท้ายก็ต้องลาออกไปหรือถูกตัดสินให้ไม่ผ่านโปร ดังนั้นควรจะต้องเก่งทั้งวิชาการและการสื่อสารปรับตัว
"ความวินัย ความอดทน และความขยัน เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับสถาบัน" นี่คือสิ่งที่ HR ทุกคนตอบเหมือนกัน ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ต่อให้จบจากสถาบันระดับโลก ก็คงไปต่อได้ไม่ไกลนัก
นอกจากนี้ HR ที่ให้สัมภาษณ์ มีความเห็นเหมือนกันว่า ไม่ว่าภายในบริษัทจะมีการคัดเลือกคนจากสถาบันหรือไม่ มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยแก่คนนอก เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์บริษัทดูไม่ดี
แม้เป็นสถาบันรัฐเหมือนกัน ก็ถูกจัดอันดับเหมือนกัน
นอกจากจะมีการแบ่งมหาวิทยาลัยรัฐและมหาวิทยาลัยราชภัฏแล้ว ตัวมหาวิทยาลัยรัฐเองก็ถูกแบ่งเกรดอีก โดยมากมักขึ้นอยู่กับสาขาหรือแผนกที่จะรับด้วย
HR ที่เคยมีประสบการณ์จากกลุ่มปิโตรเคมี และอาหารและเครื่องดื่มเปิดเผยว่า "หากเป็นสายวิศวะ TOP3 ที่จะมองหาก่อนคือ จุฬาฯ ลาดกระบัง และพระนครเหนือ หากเป็นสายบริหาร จะเป็นจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ และเอแบค ที่สำคัญคือ เรานับแต่วิทยาเขตหลักที่มีชื่อเสียงที่สุด"
ส่วน HR บริษัทไอทีแห่งหนึ่งให้ข้อมูลว่า "ถ้าให้แบ่งตามระดับ ระดับ 1 คือจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ ระดับ 2 คือเกษตรศาสตร์ ลาดกระบัง ระดับ 2.5 คือมหิดล ระดับ 3 คือศิลปากร บางมด มศว ส่วนเอกชนและราชภัฏให้อันดับ 4 เหมือนกันทั้งคู่ยกเว้นเอแบค"
และไม่ใช่แค่การจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย แต่มีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศไว้เหมือนกัน พูดกันตามตรงคือ มหาวิทยาลัยในเมืองนอกบางแห่งไม่ได้เข้ายากเย็น มีเงินก็เรียนจบได้ ในหมู่ HR บริษัทจะรู้กันว่ามียูไหนบ้าง
ความในใจจากเด็กเรียนราชภัฏ
ทำไมถึงเรียนราชภัฎ? คำถามที่คนส่วนมากอาจไม่ได้สงสัย แต่เด็กเรียนราชภัฏบางคนอยากเล่าให้ฟัง น้องคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัดอธิบายว่า "ตอนมัธยม ตนมีผลการเรียนค่อนข้างดี ระดับท็อปของห้อง แต่ไม่สะดวกเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยดังในกรุงเทพ เพราะไม่อยากจากบ้าน พ่อแม่มีอายุมากแล้ว กลัวไม่มีคนดูแล จึงรู้สึกสบายใจกว่าที่จะเรียนใกล้บ้านตัวเองเหมือนเดิม รวมถึงคิดว่า หากราชภัฎไม่ดีจริง คงถูกสั่งปิดไปหมดแล้ว ถ้าหลักสูตรได้รับการรับรอง ยังไงก็น่าจะโอเค และคนรู้จักหลายคนที่จบราชภัฏก็ไม่ได้ตกงานแต่อย่างใด"
อีกหนึ่งความเห็นที่น่าสนใจมากจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่เรียนจบจากราชภัฏในกรุงเทพ แต่เคยเป็นถึงหัวหน้าทีมโปรแกรมเมอร์ในบริษัทไอทีชื่อดังแห่งหนึ่ง ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "การที่บริษัทจะไม่เลือกรับเด็กจบราชภัฎก็เป็นสิ่งเข้าใจได้ เพราะจากประสบการณ์ เคยเห็นเพื่อนบางคนที่จบด้วยเกรด 4.00 แต่ทำอะไรแทบไม่ได้เลย สำหรับตนนั้น ยอมรับว่าเริ่มรับรู้ถึงความลำบากนี้ตั้งแต่ตอนฝึกงาน เพราะบางบริษัทไม่รับเด็กราชภัฎมาฝึกงาน โชคดีที่ระหว่างเรียน ได้มีโอกาสทำจ๊อบพิเศษเยอะมาก จึงเก็บเป็นพอร์ตฟอลิโอ ดังนั้นเวลาไปสมัครงานที่ไหน อย่ายื่นแค่เรซูเม่ ให้ส่งผลงานที่เคยทำไปเยอะๆ จะมีโอกาสมากกว่าแน่นอน และเมื่อเข้ามาทำงาน ต้องเก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุด เพราะเมื่อไปสมัครงานที่ต่อๆ ไป ส่วนมากเค้าไม่ค่อยสนแล้วว่าจบจากไหน เค้าจะดูว่าเคยทำอะไรมามากกว่า"
อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง คือหนทางสู่ความสำเร็จ
สุดท้ายและท้ายสุด ไม่ว่าน้องๆ จะกำลังเรียนอยู่ในสถาบันไหน ในไทยหรือในต่างประเทศ เหล่า HR ฝากข้อคิดดีๆ ไว้ให้แก่น้องๆ ดังนี้
1. นักธุรกิจระดับโลกบางคนไม่ได้เรียนสูง ไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยดัง แต่พวกเขามีความเก่งของตัวเองและมีพรสวรรค์ที่ชัดเจนมาก ดังนั้นหาให้เจอว่าเราชอบหรือเก่งอะไร แล้วต่อยอดให้สุด
แม้เหล่า HR ทั้งหมดจะเห็นไปทางเดียวกันว่า ชื่อสถาบันมีผลต่อการรับเข้าทำงานแน่นอน แต่สุดท้ายแล้ว คำถามนี้ยังคงเป็นคำถามปลายเปิดที่ไม่มีถูกผิดอยู่ดี สิ่งที่น่าสนใจคือ อาจจะต้องมีการทบทวนหลักสูตรของสถาบันบางแห่งอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่า บัณฑิตที่จบไปจะได้รับองค์ความรู้เหมาะแก่การนำไปประกอบอาชีพในอนาคต และเมื่อถึงวันนั้น ประโยคที่ว่า "เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน" อาจจะเป็นประโยคที่หลายคนยอมรับเพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้
22 ความคิดเห็น
เหตุผลนี้ไม่ใช่แค่ม.ที่เป็นข่าวนะ ม.อื่นๆก็มีสิทธิโดนแบนเพราะเหตุผลนี้เช่นเดียวกันค่ะ พี่ๆรุ่นก่อนๆที่จบไปแล้วไปทำงาน/ฝึกงานก็ต้องนึกถึงเรื่องนี้ด้วยเวลาทำอะไร ชื่อสถาบันดีๆอาจช่วยให้ผ่านด่านHR แต่ถ้าหัวหน้าสายงานโดยตรงแบนม.นั้นๆแล้ว ลำบากแน่ๆค่ะ
เราว่าก็เรื่องปกตินะ แบบ ถึงจะพูดกันแบบว่าไม่ว่าคุณจะเรียนที่ไหนก็เหมื่อนกันแหละ ทุกมหาลัยมันก็ดีเหมือนกันแหละ อะไรต่างๆนาๆ แต่สุดท้ายพอถึงเวลานั้นจริงๆแล้วคนที่จบจากสถาบันที่มีชื่อเสียง ท็อปฮิตก็จะมีโอกาศมากกว่าคนอื่นเค้า
ก็เป็นเรื่องปกติ
ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
ประเทศไหนเขาก็ดูสถาบันทั้งนั้น
ใครที่เรียนสถาบันที่มีชื่อเสียงน้อย
ก็ต้องพยายามไขว่คว้าหาความรู้ให้มากๆ และสร้างจุดขายของตัวเองให้ได้
สรุปสั่นๆ ขอแฟ้มประวัติความ
ประพฤ และ การทำงาน กับ
ประวัติในสถาบันการศึกษา
สินะค่ะ ถ้าจะให้ดีสาบานกับ
รูปเหมียนหลวงพ่อเงิน ทำไม
ต้องหลวงพ่อเงิน ลองไปค้นหา
ประวัติของพ่อเงินเอาเองนะคะ
จบใหม่ๆ เขาก็ดูที่สถาบันเพราะเขายังไม่เห็นผลงาน แต่ถ้าเวลาผ่านไป เขาจะพิจารณาจากประสบการณ์ของคุณแทบไม่เกี่ยวกับสาบันเลยค่ะ
เห็นใจคนที่อยากจะเก่ง อยากจะดี อย่างคนอื่นเขานะ
ทำไมล่ะ? .. เพราะเราก็อยู่ในจุดนั้นไง
เราพยายามอย่างมากที่จะเรียนเรื่องง่ายๆ(ของคนอื่น ) แต่มันช่างยากสำหรับเรา
ปากกัดตีนถีบ หามรุ่งหามค่ำ น้ำตาไหลเป็นเลือด เดินออกถนนแทบวูบลงไปกองกับพื้นให้รถเหยียบทุกวัน
แต่มันก็ทำไม่ได้อย่างเขาทุกที
จะโทษตัวเองที่ไม่พยายามก็คงไม่ได้ จะหาว่าเป็นเวรเป็นกรรมหลายคนคงจะหัวเราะเรา
เพราะเราเกิดมามีต้นทุนไม่เท่าคนอื่น
ถ้าเลือกเกิดได้ เราคงเลือกเป็นอัจฉริยะ ที่เรียนรู้ได้เร็ว ทำได้ คิดเป็น
แต่ก็ต้องจำใจต้องเป็นคนชั้นล่างของสังคม ที่คนข้างบนเลือกจะปฏิเสธเราได้
ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร อยากให้ทุกคนที่มีความมุ่งมั่นและพยายามจำไว้ว่า "เราอยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้อยู่กับวันพรุ่งนี้" อย่าทำร้ายตัวเองด้วยความคิดโง่ๆ และ "ทำสิ่งที่เราเป็นอยู่ให้ดีที่สุด" อย่าหยุด อย่ายั้ง ตั้งใจ และอดทน
สักวันต้องมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับเรา
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ อ่านแล้วได้ประโยชน์มากๆ อยากให้เด็กดีลงเรื่องประมาณนี้เยอะๆ
ต้องแยกเรื่องต้นทุนทางสังคม กับคุณภาพการศึกษาออกจากกัน
บางคนก็ใช้คำว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน มาปลอบใจคนที่โอกาสน้อยกว่า
ความเก่งมันก็สะสมกันมาตั้งแต่เด็ก รวยกว่าก็ได้เรียนอะไรเยอะกว่า เข้าถึงความรู้ง่ายกว่า มีเวลามากกว่า
แต่ถึงยังไงก็ต้องยอมรับ ว่าสถานศึกษาแต่ละที่ให้ความรู้ต่างกัน แค่ม.ปลายก็ต่างกันแล้ว ไม่ต้องถึงมหาลัยหรอก
แถมในประเทศที่เจริญแล้ว การแบ่งชนชั้นมหาลัยนี่ปกติมาก ชัดกว่าไทยอีก
อย่างเมกามีแยกเป็น tier1/2/3 ของไทยยังไม่มีเลย
เมืองไทยก็มี
แต่จะเป็นบริษัทเป็นคนแบ่ง
โลกนี้เป็นอย่างนี้แหละ แบ่งหมดทุกอย่าง จะอยู่กับมัน หรือจะหนีจากมัน
สมัยเรียนลาดกระบัง อาจารย์ที่สอนก็จบราชภัฏ ก็มาสอนตั้งหลายคน เรายังได้แชมป์โลกหุ่นยนต์ แถมยังเก่งปฏิบัติ
ในฐานะที่ผมก็จบจาก ม.เอกชน โนเนมย่านลาดพร้าว แต่จบมาแล้วทุกคนในรุ่นก็ได้งานทำทุกคน ผมคิดว่าอยู่ที่ความสามารถมากกว่าสถาบัน
ในรุ่นหลายคนก็เป็นเจ้าของกิจการกันเกือบทั้งหมด มีเพื่อนหลายต่อหลายคนที่จบ ม.ที่มีชื่อเสียง ทุกวันนี้ยังเป็นลูกจ้างอยู่เลยก็มีมากมาย
ฉะนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเองมากกว่า
ไม่เสมอไปครับอยู่ที่คนมากกว่า ผมจบราชฎัทจันทรเกษม ไปสมัครงานที่ไหนใครก็รับ ขึ้นกับฝีมือมากกว่าครับ ผมทำงานได้แค่ 8 ปีลาออกๆมาเปิดบริษัทตัวเอง ดีกว่ากันเยอะ
ราชภัฏน่าสงสารนะ ได้แต่เด็กธรรมดาเข้าไปเรียนชื่อเสียงก็เลยเป็นอย่างที่เห็น เด็กที่เค้าฉลาดๆก็เลือก ม.ดังๆกันหมด
หนักรูกีย์ อะไร อย่างน้อย คือประสบการณ์ เเละความเป็นสไตล์ท้องถิน เช่น ภูมิปัญญาทางภาษา กล่าวคือ การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อเข้าถึงนักศึกษา
ผิดที่การวางแนวทางแต่แรกนะ ถ้ายังคงความเป้นสถาบันราชภัฏผลิดครูแบบเดิม ก็มีชื่อเสียงเป้นที่ยอมรับ แต่นี่ต่างพากันสถาปนาตัวเองเป็นมหาวิทยาลัย พยายามอุ้มศักดิ์ศรีฐานะของมหาวิทยาลัย ด้วยการเปิดสอนคณะอื่นๆ แล้วก็ได้แต่เด็กที่ไม่เก่งมาเรียน ครูก็สอนแบบจับฉ่ายไปวันๆ ไม่ให้กันตก รึรีไท มันก็เปนวงจรวนมาทำร้ายตัวเองไปเรื่อยๆ มันผิดที่ผู้ใหญ่ เหนแก่ประโยชน์ส่วนตนของพวกพ้อง เอาคำว่า เพื่อโอกาสทางการศึกษามาอ้าง จิงๆแล้วล้วนทำเพราะเงินเพราะตำแหน่งตัวเองเฉยๆเปิดหลักสูตรมั่วๆแล้วหลอกเด็กไปเรียน เด็ก 18 19ปีมันยังไม่รู้ประสีประสาหรอก สิ่งที่ถูกต้องที่สุดคือ ราชภัฏไม่ความเป้นมหาลัย ปล่อยให้การเรียนมหาลัยเป้นการสอบแข่งขันกันเข้าแบบแต่ก่อน ใครสอบไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียน คนที่จะเรียนได้คือคนที่มีความรู้ความสามารถจิงๆ คำว่าปริญญาถึงจะศักดิ์สิทธิ์ เหมือน40-50ปีก่อนที่ใครจบปริญญาได้งานดีๆ แต่ด้วยกลยุทธ์ของราาชภัฏ มเอกชน ราาชมงคล ที่เน้นปริมาณเพื่อเงินล่อเลี้ยง มหาลัยตัวเอง ได้ทำการเปิดโรงงานผลิต ใบปริญญา เกรดจีนแดง ออกมาเป้นจำนวนมาก คนเรียนยังเด็กเขาไม่รู้ไม่ผิดหรอก ที่ผิดคือพวกแก่ๆที่เหนแก่ได้ นี่ละ ที่ทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมา จนนำมาสู่เรื่องราวทุกวันนี้
ราชภัฏบางเเห่งก็จบยากมาก โดยคณะครุศาสตร์
เอาตรงๆ นะครับ การเรียนจบได้ยากมันมีที่มาได้หลัก ๆ จากสองสาเหตุ
1. หลักสูตรยาก
2. คนเรียนคุณภาพต่ำ
จากประสบการณ์ของผมทั้งจากสมัยที่เคยเป็น TA ให้อาจารย์ที่ไปรับสอนพิเศษที่ราชภัฏอันดับต้นๆ เเละจากสมัยออกมาทำงานเองเเล้วได้ทำงานกับเด็กราชภัฏ ผมฟันธงได้เลยครับว่าเป็นสาเหตุที่ 2
อยากให้มีอาจารย์จาก ม.อื่นๆ เช่น จุฬา มศว มาสอน ใน ม.ราชภัฏ เหมือน ม.ราม ดึง อาจารย์จาก ม.ธรรมศาสตร์ มาสอน
จริงๆ มีนะครับ เเต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอกครับ
อย่างอาจารย์ผมที่ มธ ตอนที่ไปสอนพิเศษที่ราชภัฏอันดับต้นๆ ในกรุงเทพ - วิชาเดียวกันกับที่สอนที่ มธ เลย (พอดีผมได้ A วิชานี้ ปีต่อมาอ.เลยให้ลองไปเป็น TA ให้ทั้งคลาสที่ มธ เเละที่ราชภัฏ) อาจารย์ก็ต้องปรับลดเนื้อหา/ความเข้มข้นลงมาหลายขั้นเลยครับ
ตอนช่วยอาจารย์ทำ Syllabus - พวกบทความวิชาการ / Journals ที่ให้นศอ่านที่ มธ พอมาที่ราชภัฏ อาจารย์ให้เอาพวกบทความที่อ่านยาก ๆ รวมถึงพวกบทความที่เป็นภาษาอังกฤษออกให้หมด
อาจารย์เล่าว่าตอนมาสอนเเรก ๆ เเกพยายามจะสอนด้วยมาตรฐานเดียวกันกับ มธ เเต่สุดท้ายคือทั้งคลาสไม่มีใครอ่านรู้เรื่อง (เเถมบางคนไม่คิดจะอ่านอีกต่างหาก) สุดท้ายผู้บริหารคณะต้องมาขอให้เเก่ปล่อยๆ เกรดไปให้เด็กผ่านๆ ไป (เเบบเกรดสวยอีกต่างหาก)
ไม่จำเป็นต้องสมัครที่นั่น เมื่อเขาไม่รับ นศ. ม.ราชภัฏ ซึ่งเป็น มหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาท้องถิ่น เกียรติคุณ ศักดิ์เเละศรี ยังมีอยู่ ที่ตัวของเรา เองหาใช่คนที่สมัครบริษัทนั้นจะไปได้ดี เเถมๆ ยังมีหนี้ เเละใช้ชีวิตอย่างประมาทเกินก็เป็นไปได้ เพราะติดความเว่อร์ วัง #ทีมมอ ราชภัฏ
เราเป็นคนหนึ่งที่เรียนมหาลัยเอกชน(ม.กรุงเทพ) และก็เคยเรียนราชภัฏสวนสุนันทา เราจะเล่าให้ฟังจากประสบการณ์ตรงเลยแบบไม่ต้องมาโลกสวย ที่บอกว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน เราเรียน ม.กรุงเทพ ในคณะบริหาร ซึ่งเรียนวิชาเกี่ยวกับตัวเลขมากมายทั้ง บัญชี การเงิน ภาษี แม็ทช์ แคลคูลัส บอกตรงๆแต่ะตัวโครตยากพอเรียนไปได้1ปี ต้องบอกกับตัวเองเลยว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว และสรุปด้วยการโดนรีไทร์ ได้เกรด 1.7 เพื่อนๆเราโดนรีไทร์กันเยอะ ประมาณ20-30% ขนาดตั้งใจและอ่านหนังสือแล้วแต่มันยากเกินกว่าที่เราจะเรียน เลยซิ่วมาที่สวนสุนันฯ ปรากฏว่าเเราเรียนได้เกรด3กว่าๆ คือมันเรียนง่ายจริงๆ เรียนๆเล่นๆ ไม่เครียด มันง่ายจนรู้สึกแปลกๆ ตอนจบออกมาเราได้เกรด3กว่าๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีที่ไหนรับทำงาน ชื่อสถาบันมีผลจริงๆ