สวัสดีค่ะ ปิดเทอมมายาวนาน เราอาจจะติดกับความชิลล์จนความตั้งใจหนีหาย กลายเป็นความขี้เกียจเข้ามาสิงร่างแทนก็ได้นะคะ วันนี้พี่เมก้าเลยมี 10 Tips หักดิบโรคผัดวันประกันพรุ่ง มาฝาก เผื่อใครอาการออกตั้งแต่เปิดเทอม จะได้รีบดัดนิสัยตัวเองไว้ก่อนเลย


 
1. สะกดจิตตัวเอง "ต้องเรียนทุกวัน!!"
          สำหรับน้องๆ ที่วิ่งหนีการบ้านและหนังสือตลอดเวลา ต้องเปลี่ยนมาวิ่งไล่แทนแล้วนะคะ จัดแพลนเนอร์ "การอ่าน+การบ้าน" ขึ้นมาเลยค่ะ ถ้ารู้ว่าสิ่งที่จะเจอเป็นงานชิ้นใหญ่ ข้อสอบยากก็สตาร์ทให้เร็ว ด้วยการลงมือทำตั้งแต่เนิ่นๆ
        มีงานวิจัยออกมาว่า "อ่านหนังสือคละวิชาทุกๆ วัน ดีกว่าโฟกัสแค่วันละ 1-2 วิชา" เช่น ทบทวนเลข ไทย อังกฤษ วิทย์ สังคมทุกวันหลังเลิกเรียน จะช่วยให้เรียนได้เร็วกว่า วันจันทร์โฟกัสอ่านแค่เลข อังคารไทย พุธอังกฤษ หรือไปอ่านรวดเดียวตอนสอบ เพราะแต่ละวันที่น้องๆ เรียนมา อาจมีข้อมูลบางส่วนที่เรายังไม่เก็ท ต้องอ่านทวนทำความเข้าใจเพิ่มเติม
        เริ่มอ่านหนังสือทุกวันอย่างต่อเนื่อง และเคลียร์งานวันต่อวันได้ตั้งแต่วันนี้นะคะ ทำติดต่อกันไปสักประมาณ 1 เดือน นี่จะเป็นการสร้างนิสัยการเรียนที่ดีให้กับตัวเองแล้วค่ะ


2. มีเป้าหมายไว้พุ่งชนรึยัง!?
          บางทีที่ขี้เกียจเพราะน้องๆ ยังไม่มีเป้าหมาย ยังขาดแรงบันดาลใจในการเรียนอยู่ ดังนั้น อาจจะเริ่มจากการตั้งคำถามก่อนก็ได้ว่า "เราต้องการจะทำอะไร?" ถ้าใกล้ตัวสุดๆ ตอนเรียนนี้ เราอาจจะอยากได้เกรดสวยๆ อยากพัฒนาตัวเอง สอบติดมหาวิทยาลัยที่โดนใจ หรือมีอาชีพดีๆ ทำในอนาคต ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่น้องๆ ต้องเรียนให้หนัก ถึงจะคว้ามันมาได้! เขียนแปะไว้ทุกที่ที่ตาเรามองเห็น เอาให้หลอนกันไปข้าง! เวลาขี้เกียจจะได้มีแรงถีบค่ะ ฮ่าๆ

3. ท่องไว้ "รักหนังสือมาก น่าค้นหาเหลือเกิน"


ขอบคุณภาพจาก unsplash.com
 
          ตรงกับทฤษฎียิ่งเกลียดเธอ ยิ่งเจอรักเป๊ะเลย! เวลาเจอวิชาน่าเบื่อๆ ให้เบิ่งตาไว้ แล้วตอกย้ำตัวเองเข้าไปค่ะ "มันน่าเบื่อจริงๆ เหรอ! นี่ฉันอคติรึเปล่า!? ไหนเอามาดูซิ!" แล้วก็อ่านๆ เข้าไป มันไม่มีวิชาที่น่าเบื่อหรอกค่ะ แค่เราไม่สนใจมันเฉยๆ พยายามเอาชนะด้วยการทำเป็นว่าน่าสนใจซะเหลือเกิน ประมาณว่า "โอ้โห! เลข ใครเป็นคนคิดค้นสูตรนี้ขึ้นมาเนี่ย! อัจฉริยะสุดไรสุด! สูตรเดียวแก้โจทย์ได้หลายเรื่อง" เจอหน้ากันทุกวัน ใส่ใจกันทุกวัน เดี๋ยวก็รักกันเอง     

4. อ่านให้เข้าใจก็ SUCCESS
          อย่าไปคาดหวังว่าอ่านแล้วต้องจำรายละเอียดได้ครบทุกตัวอักษรค่ะ จะยิ่งทำให้อยากเทซะเปล่าๆ ลองถามตัวเองดูว่าอ่านแล้วเราสามารถสรุปความรู้ได้ไหม นำหลักการไปประยุกต์กับเรื่องอื่นๆ ได้ไหม ยกตัวอย่างประกอบความเข้าใจได้ไหม ถ้าคำตอบคือได้ แปลว่าเรามาถูกทางแล้ว นี่คือการเรียนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้อ่านได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องมานั่งเค้นสมองให้จำด้วย ย้ำอีกครั้ง "อ่านหัวข้อหลักพร้อมกับรายละเอียดให้เข้าใจคอนเซปต์" เท่ากับจบ!!  

5. ขยันอึดใจเดียว ฮึบไว้!
          ขี้เกียจมาตลอด จะให้ลุกมาขยัน ก็จะผิดคอนเซปต์ไปสักหน่อย แต่!! เราต้องทำค่ะ มีงานวิจัยออกมาว่า การเรียนรู้อย่างหนักซ้ำกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ แล้วพักช่วง คือการเรียนที่ดี นี่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "spaced learning" ค่ะ ทฤษฎีนี้เชื่อว่าการเรียนเกี่ยวข้องกับความจำ ความจำเกิดขึ้นจากเซลล์ประสาทหลายๆ เซลล์ทำงานร่วมกัน ยิ่งมีสมาธิ สมองก็ยิ่งทำงานได้ดี เปิดรับความจำใหม่ๆ และจำได้ฝังแน่นขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราควรลุกขึ้นมาตั้งใจอ่านหนังสือ อาจจะสัก 20 - 30 นาที แล้วหยุดพักเป็นระยะ ทำแบบนี้ซ้ำกันทุกวันจนติดเป็นนิสัย นอกจากจะโยนตัวขึ้เกียจออกไปได้ จากเด็กความจำสั้นจะเปลี่ยนเป็นจำยาวนานขึ้นมาด้วยค่ะ

6. ให้สมองสั่งการ "เลิกขี้เกียจ"


ขอบคุณภาพจาก unsplash.com
 
          อยากกระตุ้นให้ตัวเองเลิกทำตัวเอื่อยเฉื่อยสักที! ต้องลุกมาออกกำลังสมองให้แข็งแรง และมีจุดโฟกัสในการเรียนมากขึ้นค่ะ อาจจะเริ่มจากการอ่านหนังสือ เล่นเกมฝึกสมอง (มีเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อเทรนสมองให้เฉียบคมโดยเฉพาะ เช่น Lumosity BrainHQ NeuroNation) รับประทานอาหารที่ดีต่อสมอง (เช่น ถั่ว แซลมอน เมล็ดฟักทอง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ดาร์กช็อก มีกรดไขมันช่วยพัฒนาและเสริมสร้างเซลล์ประสาทในสมอง) และนอนอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง

7. บล็อกเวลาไว้เลย!
          แพลนเนอร์จะเป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่า "มีงานอะไรที่ต้องรับผิดชอบบ้าง" ดังนั้น ลิสต์ออกมาเลยค่ะว่า ก่อนสอบนี้ เรามีภารกิจอะไรที่ต้องทำ ระบุเวลาทำลงไปให้ชัดเจน ถ้าเป็นไปได้บล็อกเวลาเดิม เพราะมันจะง่ายต่อการจำว่า "นี่คือช่วงเวลาขยันของเรา" เสร็จแล้วลงมือทำให้เสร็จวันต่อวัน จบ 1 อาทิตย์เอาแพลนเนอร์มากางแล้วรีวิวว่าทำอะไรสำเร็จบ้าง งานยังค้างเหมือนเดิมรึเปล่า หนังสือยังตั้งกองอยู่ที่เดิมไหม ถ้ายังขี้เกียจเหมือนเดิม ไม่ปรับตารางใหม่ ก็หาวิธีอื่น

8. หาบัดดี้ที่แอคทีฟ
          บางทีเราอ่านหนังสือคนเดียวก็อึนๆ มึนๆ จดไปเรื่อย รับความรู้เข้าหัวบ้าง ไม่เข้าหัวบ้าง มันไม่ใช่การเรียนที่ดีสักเท่าไหร่ค่ะ ถ้าจะน่าเบื่อขนาดนี้! ลองไปหาวิธีเรียนแบบใหม่ ที่ทำให้เราได้ใช้ความคิด เข้าใจเนื้อหาได้เร็ว และมีประสิทธิภาพดีกว่า เช่น เลือกแอปพลิเคชันเจ๋งๆ ในการเรียนเสริมวิชาต่างๆ หา Case study ที่ทำให้ได้ไอเดียใหม่ๆ มาอ่านเยอะๆ หรือจับกลุ่มติวกับเพื่อน

9. มโนว่า "Mission Complete!"


ขอบคุณภาพจาก unsplash.com
 
          เอาจริงที่เราลีลาก็เพราะรู้สึกว่าเรียนยากจนกลัวตัวสั่น งานเยอะจนขวัญผวา นี่แหละ ดังนั้น ใช้พลังแห่งจินตนาการมโนไปเลยค่ะว่า "เอาชนะบิ๊กบอสได้แล้ว!" นี่เป็นเทคนิคในการพิชิตภารกิจต่างๆ นะคะ มันเหมือนเป็นการหลอกสมอง และเรียกกำลังใจอย่างหนึ่งว่า "โอ๊ย! เนี่ยกระจอกมาก ทำแปบเดียวก็เสร็จ" พอถึงตอนลงมือทำก็ท่องไว้ "คนจริง ไม่คิดเยอะ ลุยเลย!" ทำตามแผนรวดเดียวให้เสร็จ ไม่แคร์ความยากจ้า 

10. กำจัดตัวอุปสรรคให้สิ้นซาก
          ใครเป็นแบบนี้บ้าง? ตาหนึ่งอ่านหนังสือ อีกตาเลื่อนฟีดตามข่าวโซเชียลไปด้วย อะไรจะสามารถเบอร์นั้น! รบกวนสมาธิขั้นสุด! เตะโด่งตัวอุปสรรคเหล่านี้ไปซะ เช่น ปิดเน็ตมือถือ เปิดโหมดเครื่องบิน เอาโทรศัพท์ไปฝากพ่อแม่ มิวท์กรุ๊ปแชท ใช้ที่อุดหูเวลาเสียงดัง ถ้าใจเด็ดหน่อยก็ลบเกมออกจากโทรศัพท์ไปเลย เดี๋ยวนี้ก็มีแอปพลิเคชันน่ารักๆ ให้ใช้ด้วย เช่น แอปเลื่องชื่ออย่าง Forest ที่เราสามารถตั้งเวลาอ่านหนังสือแลกกับการปลูกต้นไม้ได้ (ถ้ากดออกไปเข้าแอปฯ อื่น ไม่อ่านต่อ มันจะฆ่าต้นไม้สุดน่ารักของเรา) นี่ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยบิวต์ให้อ่านหนังสือได้เหมือนกันค่ะ      

          พี่เมก้าสนใจวิธีหักดิบแบบข้อ 10 มากเลยค่ะ ตอนเด็กๆ พี่ก็เคยเป็นเด็กขี้เกียจมาก่อน แต่ยังไม่มีแอปฯ อะไรมาช่วยขนาดนี้ ต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองให้ลุกมาอ่านล้วนๆ อยากลองปลูกต้นไม้บ้างเลย อิอิ แล้วน้องๆ ล่ะคะสนใจวิธีไหน แวะมาบอกกันบ้างน้า
พี่เมก้า
พี่เมก้า - Columnist นักข่าวสายการศึกษา ที่มีความสุขกับการแต่งฟิค อ่านฟิค เพ้อถึงยัมมี่ฟู้ดไปวันๆ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด