เปิดชีวิต "เด็กสายศิลป์" หนึ่งก็ไม่เก่ง สองก็สู้วิทย์ไม่ได้ ชีวิตที่ถูกเทียบยันมหา'ลัย ?

Big Story ที่จะหาคำตอบกับเรื่องนี้
- ฟัง 3 มุม เด็กศิลป์ เด็กวิทย์ ครู ที่อยู่ในสถานการณ์
- สายศิลป์ มักโดนเทียบเรื่องอะไร ? เพื่อหาสาเหตุ
- ฝั่งสายวิทย์ ก็โดนเทียบหนักไม่แพ้กัน
- ประเทศไทยจะขาดแผนการเรียนไหนไม่ได้เลย
             จากภาพด้านบน เราคงจะสามารถตัดสินได้ว่า "การถูกเปรียบเทียบกันระหว่างนักเรียนสายวิทย์ VS สายศิลป์" มีอยู่จริง ? วันนี้ #dekdBigStory เราจะพามาหาคำตอบจากทั้ง 3 มุมที่อยู่ในสถานการณ์ เด็กสายศิลป์ เด็กสายวิทย์ และคุณครู เขามีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร? การเปรียบเทียบแบบนี้คือการสร้างแรงผลักดัน หรือซ้ำเติม มาหาคำตอบกันครับ

มุมสายศิลป์ 1 : เป็นปกติที่จะถูกเปรียบเทียบ
             "แอล" นักเรียน ม.6 สายศิลป์-ภาษา "ยอมรับว่ามีการเปรียบเทียบกันจริง เพราะสายวิทย์และสายศิลป์มันก็ต่างกันจริงๆ ต่างกันมากจนไม่ควรเอามาเทียบกัน แต่อาจจะเพราะว่าเราทั้ง 2 สายคือนักเรียนเหมือนกัน แถมต้องเรียนกับคุณครูคนเดียวกัน ก็ไม่แปลกที่ครูจะมีพูดถึงห้องวิทย์ห้องศิลป์บ้าง ส่วนตัวเคยได้ยินครูพูดว่า "ดูห้องวิทย์เขาไม่คุยกัน เหมือนพวกเธอเลย" คือก็ยอมรับว่าห้องเราคุยเก่ง ครูเลยโมโห เลยอยากพูดกระตุ้นให้เรารู้สึกตัว"

มุมสายศิลป์ 2 : ผู้ใหญ่มองว่า หากเก่งต้องเรียนวิทย์
             "บูม" นักเรียน ม.6 สายศิลป์-ภาษา "ถามว่าโดนเปรียบไหม โดนซิ โดนจากทางบ้านค่ะ ตอนไปสอบ ม.ปลาย พอได้อันดับต่ำกว่าคนที่เรียนวิทย์ เค้าก็มองว่าสายภาษาก็แบบนี้แหละ จะไปเก่งกว่าสายวิทย์ได้ไง แต่พอสอบได้ลำดับสูงกว่า เค้าก็ว่าสายภาษาคนสอบน้อย ก็ต้องได้อันดับสูงกว่าเด็กวิทย์เป็นธรรมดา ในมุมนักเรียนด้วยกันไม่ค่อยเปรียบเทียบกันหรอกค่ะ เพราะต่างรู้ว่าเรียนคนละทาง แต่คนที่มาพูดส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ที่มามากกว่า ผู้ใหญ่จะมองแค่ว่า หากเป็นเด็กวิทย์คือเด็กเก่ง หากเด็กศิลป์คือเก่งรองลงมา"

มุมสายศิลป์ 3 : โดนตั้งแต่มัธยม จนมหาลัย
             "กรีน" นักศึกษาคณะด้านศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง "โดนตั้งแต่มัธยม ตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยก็ยังโดนอยู่ ตอนเรียนจะโดนประมาณว่า หากมีติว มีกิจกรรมอะไร สายวิทย์จะได้รับคัดเลือกก่อนเลย คุณครูจะบอกว่าสายศิลป์ชอบทำให้ขายหน้า ส่วนตอนมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะโดนจากญาติผู้ใหญ่ที่มองว่า พี่คนนั้นเรียนคณะสายวิทย์ดูเก่ง ดูมั่นคง แต่เราเรียนคณะสายศิลป์จะดูธรรมดา นึกไม่ออกว่าเรียนจบไปทำอะไร แต่ก็ไม่สนใจ เพราะเราเรียน และเราก็มีความสุข พอมีความสุข เราก็ได้สร้างผลงานระหว่างเรียนเยอะเลย "
 

มุมสายวิทย์ : เด็กศิลป์คือเขาเก่งภาษามากนะ
อย่าไปซีเรียส วิทย์ด้วยกันยังโดนเทียบ
             "เนย" และ "เฟิร์น" 2 นักเรียนแผนวิทย์-คณิต ช่วยกันเล่าว่า "พวก
หนูชื่นชมเด็กศิลป์มากๆ คือเด็กศิลป์ก็จะเก่งในส่วนที่เด็กวิทย์ไม่เก่ง อย่างหนูนี่ภาษาไม่โอเคมาก 5555 ยังอิจฉาเด็กศิลป์เลยที่ได้ภาษาเยอะๆ เพราะภาษาใช้ประโยชน์จริงได้เยอะมาก คนเรามันเก่งไม่เหมือนกัน อย่าเอาแผนการเรียนมาตัดสินดีกว่าว่าคนนี้เก่งหรือไม่เก่ง อย่างที่โรงเรียนหนูเด็กสายศิลป์เก่งนะ แต่เก่งคนละแบบกับสายวิทย์ ภาษาของพวกเขาดีมาก เช่น ศิลป์จีน ศิลป์ฝรั่งเศส ศิลป์ญี่ปุ่น รุ่นพี่ไปแข่งชนะระดับประเทศหลายคนเลย มีพี่ๆ สอบเข้ามหา'ลัยที่จีน สอบชิงทุน คือเก่งมาก เก่งในด้านที่เค้าศึกษาอยู่ อย่างเพื่อนหนูคนนึงเรียนศิลป์คำนวณ คือเก่งคณิตมาก นี่ก็งงว่าทำไมมันเลือกเรียนศิลป์คำนวณ มันบอกอยากเรียนบัญชี หนูก็อ่อ เข้าใจละ 55555"


มุมครู : ทั้ง 2 เรียนต่างกัน จนไม่สามารถเทียบกันได้
            มาสเตอร์สหรัฐ สิงห์ยะบุศย์ คุณครูภาษาอังกฤษโรงเรียนเซนต์คาเบรียล "ในแง่ความรู้มันไม่มีความแตกต่างกันนะ มันไม่มีใครเก่งกว่าใคร เพราะว่าแต่ละสายก็จะมีความเป็นเลิศในด้านของตัวเอง เด็กทุกคน ทุกสายมีความเชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้นมันไม่สามารถเอามาวัดได้ว่าใครเก่งกว่าใคร เพราะแต่ละคนจะเก่งเฉพาะทางอยู่แล้ว"

            
ครูฐาปณี วงศ์สวัสดิ์ คุณครูสอนสังคมศึกษา สอนทั้งแผนการเรียนวิทย์และศิลป์ ให้ความเห็นเรื่องนี้อย่างน่าสนใจว่า "ยอมรับว่าในสังคมมีการเปรียบเทียบจริงๆ แต่อยากอธิบายว่าทั้ง 2 แผนการเรียนแต่ละคนจะมีทางของตัวเอง ถ้ามองแค่เรื่องธรรมชาติของเด็ก ไม่ได้ดูเรื่องเกรดการเรียน ทั้ง 2 แผนก็มีความแตกต่างกันแล้ว เด็กวิทย์ ก็จะค่อนข้างที่จะมีระเบียบ ส่วนเด็กศิลป์ก็จะมีความสบายๆ เป็นกันเอง ส่วนถ้าเป็นในเรื่องของความสนใจเรียน ก็จะแล้วแต่วิชาที่สนใจมากกว่า หากวิชาไหนชอบ หรือถนัดเด็กก็จะสนใจตั้งใจในวิชานั้นเป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่เกี่ยวกับแผนการเรียน เด็กวิทย์เขาก็จะสนใจในวิชาวิทย์มากกว่า เด็กศิลป์ แต่ถ้าวิชาสังคมฯ ภาษาไทยบางครั้งเด็กศิลป์จะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ"

            สำหรับนักเรียน
ไม่ต้องไปสนใจคำเปรียบเทียบหรอก สุดท้ายแล้วคนที่จะพิสูจน์ได้คือตัวเราเอง ว่าเราจะทำได้ดีในสายที่เราเป็นรึป่าว ถ้าเราเป็นวิทย์ แต่เป็นวิทย์หางแถวก็ไม่มี ประโยชน์นะ สู้เป็นเด็กศิลป์หัวแถวไม่ดีกว่าหรอ เพื่อเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเอง มีความสุขด้วย แล้วก็ทำได้ดีในแผนการเรียนนั้นด้วย อนาคตอยู่ในตัวเราเอง ไม่เกี่ยวว่าใครจะตัดสินยังไง

 

โมเดลถ้ำหลวง คือวิธีแก้
ประเทศไทย จะขาดแผนการเรียนไหนไม่ได้เลย
            ปัญหานี้มองว่า
แก้ได้นะ แต่ต้องแก้ที่ Mind Set ซึ่งแก้ยากที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งที่ปลูกฝังมาเป็นทัศนคติ ที่มาจากการเรียนรู้และค่านิยมในสังคม ถ้าจะแก้คือต้องทำให้คนเห็นคุณค่าของความแตกต่าง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะแก้ในเด็กอาจจะยกเหตุการณ์ให้เค้าเห็นความสำคัญของทุกอาชีพ เช่น อย่างกรณี เด็กติดถ้ำ 13 คน ถามว่าเราเห็นอาชีพอะไรบ้าง? หมอมา วิศวะมา แต่อย่าลืม คนอีกหลายกลุ่ม เช่น เจ้าของร้านอาหาร ร้านกาแฟ เจ้าหน้าที่กู้ภัย ทีมเก็บรังนก นักวิจัย นักภูมิศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ ทหาร ตำรวจ สื่อมวลชน คนทำกราฟฟิก นักธรณี เจ้าหน้าที่กรมชลประธาน ชาวนา พระ แม่บ้าน ร้านซักรีด ร้านซ่อมรองเท้า ผู้ว่าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองท้องถิ่นและส่วนกลาง ฯลฯ

             หรือแม้กระทั่งดาราที่เป็น influencer และชาวเน็ตทุกคนมีส่วน ซึ่งถ้าเอาตัวละครใดออกเหตุการณ์นี้ก็จะจบไม่สวยแบบนี้ เพราะทุกคนมีส่วนในการประกอบสร้างสังคม ช่วยให้วิกฤตผ่านพ้น ซึ่งตรงจุดนี้เราเห็นเลยว่าทุกอาชีพสำคัญ และจำเป็นที่ทุกคนต้องแตกต่าง ประเทศ หรือวิกฤตไม่สามารถแก้ได้ด้วยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น ย้อนกลับไปจะแผนการเรียนไหน ต่างเรียนเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองและในที่สุดทั้ง 2 แผนการเรียนก็จะได้กลับมาเจอกันเพื่อร่วมกันสร้างสิ่งดีๆ ให้ประเทศไทย โดยจะขาดแผนใดแผนหนึ่งไปไม่ได้เลย
พี่ลาเต้
พี่ลาเต้ - Columnist นักข่าวสายการศึกษา เกาะติดทุกข่าวแทนน้องๆ ตัวถีบ ตัวดันให้ ม.6 สอบติด

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Sunshine 18 ส.ค. 61 02:22 น. 4

เป็นเด็กสายวิทย์ห้องคิงคนนึง

อยากบอกว่า พวกเราก็นักเรียนเหมือนกับเด็กสายศิลป์นั่นล่ะ อย่าเอาเราไปเปรียบและกดดันเราเลยไม่ว่ากับสายวิทย์ด้วยกันเองก็ตาม ความพยายามของเด็กสายศิลป์ก็มีหลายคนควรเห็นความพยายามของพวกเขานะ ไม่ใช่มองสายวิทย์และกดดันให้เราต้องเก่งกว่าสายศิลป์อย่างเดียว เราก็เหนื่อยเหมือนกัน

แค่เราพยายามในสิ่งที่ต่างกัน ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเก่งไม่เท่ากันนี่นา

พวกเราต้องการเข้าคณะเข้ามหาลัยที่มีเกณฑ์ใช้เกรดสูงๆกับคะแนนสอบสูงๆอย่างแพทย์ เภสัช ทันตะเราจึงต้องพยายามมากๆทั้งวิทย์คณิตภาษาสังคมอื่นๆ แต่ใช่ว่าเราจะเก่งขนาดนั้นเราก็เหมือนกับสายศิลป์ เราไม่ได้เรียนบางวิชาที่มันเฉพาะเหมือนสายศิลป์ด้วยซ้ำเพราะพวกเราอยู่คนละสาย บางที เขาก็เก่งในทางนั้น ในทางของสายศิลป์ อย่าไปมองพวกเขาในแง่ลบเลย เพราะพวกเขาเกรดไม่ดี เรียนไม่หนักเท่าหรืออะไรก็ตาม เห็นเกรดเห็นจากภายนอกแค่นั้นมันก็วัดไม่ได้เสมอไปนะ มันมีอะไรมากกว่านั้น จะเปรียบอะไรบางอย่างมันต้องมองให้กว้างๆถึงสิ่งแวดล้อมรอบข้างด้วย บางคนไม่ได้จริงๆอาจจะศิลป์หัวใจวิทย์ บางคนพยายามทำงานพิเศษกะดึกจนไม่ได้พักผ่อนมีเวลาเรียนพิเศษหรือทบทวนตำราเรียน บางคนก็ทำในสิ่งที่ชอบอยู่

ถ้ามันจะวัดความเก่งแค่นี้เรียนรวมเลยดีกว่าไหม จะมีสายไปเพื่ออะไร แยกกันเรียนคนละแบบจัดวิชาตามความถนัดไปเพื่ออะไร ถ้ายังวัดๆความเก่งและเปรียบกันขนาดนี้

กับเด็กสายศิลป์เขาก็เก่งเหมือนกัน

เขาก็พยายามในสายของเขา เขาก็เก่งแล้ว

เราพูดจีนเกาหลี ญี่ปุ่น ทำอาหาร และสายกิจกรรมอื่นๆเท่าพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

ทัศนคติแบบนี้ควรจบไปได้แล้ว

หันมาสนับสนุนทั้งสองสายเถอะค่ะ โลกใบนี้ไม่ได้ปกครองด้วยเด็กสายวิทย์เพียงอย่างเดียวนะคะ



0
กำลังโหลด
ปอแองอแป้งงงงงงงงง 17 ส.ค. 61 21:30 น. 3

เราก็เป็นส่วนที่โดนเปรียบเทียบตั้งแต่ประถมจนม.6 นี้

ประถมเราเรียนเป็นโปรแกรมอิ้ง ทำให้พอในห้องทำไรไม่ดีนิดหน่อยก็โดนเปรียบกับห้องธรรมดา เชิงว่า ห้องอื่นก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้ เธอเป็นห้องอิ้งนะต้องดีสิ เราก็แบบเห้ยก็เด็กเหมือนกันมั้ย มันแค่สายการเรียน

พอมามอต้น โควต้าเราสามารถเข้าวิทย์คณิตได้ แต่เราไม่ถนัดคณิต และไม่ชอบวิทย์มาก เราชอบภาษามากกว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เราเลยเลือกเข้าศิลป์จีน ทุกคนก็งงกันหมดทำไมเกรดถึงแล้วไม่เข้าวิทย์คณิต เราก็ไม่เข้าใจ ค่านิยมคนเราคือเด็กเก่งต้องเข้าวิทย์อย่างเดียวหรอ มันไม่ใช่อ่ะ เราก็เลือกสิ่งที่ถนัดที่ชอบป่าว

พอมอปลาย ก็มีความแบบ สายศิลป์ต้องได้อิ้งต้องได้จีนสิ สายวิทย์กิต้องเก่งวิทย์คณิตสิ สายศิลป์อ่ะต้องเก่งกิจกรรม วิทย์มันเนิร์ด งู้นงี้

เราว่ามันไม่เกี่ยวเลยนะ อยู่ที่ตัวนักเรียนมากกว่ามั้ยว่าเราชอบอะไรถนัดอะไรมากกว่า อยากให้เลิกค่านิยม ความคิดเก่าๆแบบนี้ซักที เบื่อกับการเปรียบเทียบไปมามาก

0
กำลังโหลด
ItsFreakingCool,man! Member 19 ส.ค. 61 10:08 น. 7

เราเคยเรียนทั้งสายศิลป์และสายวิทย์ (วิทย์ย้ายลงศิลป์) พบว่าเด็กสายศิลป์ดูจะตั้งใจเรียนกว่าเด็กสายวิทย์เสียอีก เด็กสายวิทย์หัวดีก็จริง แต่จะตั้งใจตอนเรียนพิเศษมากกว่า

ก่อนจะลงสายศิลป์เราก็กังวลว่าจะได้เพื่อนดีรึป่าว แต่ปรากฏว่ามีความสุขกว่าอยู่สายวิทย์จ้า การแข่งขันน้อยกว่า เด็กสายศิลป์ส่วนใหญ่นิสัยดีนะ เข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน

เด็กสายวิทย์ก็มีคนที่ดี แต่เขาเหมือนจะมีเป้าหมายชัดเจนกว่า ก็ยุ่งกับการพัฒนาตัวเองมาก การแข่งขันสูง ตัวใครตัวมัน ถ้าไม่เกี่ยวกับงานโอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือน้อยมาก

เราว่าที่เด็กสายศิลป์ไม่ค่อยมีพัฒนาการเพราะคิดลบ ชอบคิดว่าตัวเองไม่เก่ง เก็บคำตัดสินของคนอื่นมาคิด แต่ส่วนใหญ่ก็ขยัน เราเคยช่วยสอนเขาก็ทำได้ เรื่องความคิดสร้างสรรค์นีชนะขนาดเลย

ที่เด็กสายวิทย์ไปไกลกว่าเพราะมีเป้าหมายชัดเจน ตัวเองมีต้นทุนสูงก็มีโอกาสมากกว่า เห็นความสำคัญของสิทธิ เวลาที่เห็นข้อผิดพลาดก็แย้งทันที อย่างเรื่องคะแนนงี้ ถ้าได้น้อยกว่าที่คิดก็จะไปคุยกับครู ความกดดันสูงกว่า กลัวจะทำไม่ได้ตามเป้าหมาย

คนสองกลุ่มนี้จะมีความคิด ความถนัดที่ต่างกัน ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน แต่ละกลุ่มก็ทำได้ดีในทางของตน

แต่แน่นอนว่าทั้งสองกลุ่มนี้มีความเป็นคนเท่ากัน มีความรู้สึกเหมือนกัน เวลาทำอะไรก็ให้คิดถึงจิตใจของเขาก่อน ถ้าเราเข้าใจเขา ก็จะทำให้เขาดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

0
กำลังโหลด

10 ความคิดเห็น

เด็กต่างจังหวัด 17 ส.ค. 61 19:48 น. 1

ไม่จริงนะคะ เราและเพื่อนเราตอนไปสัมภาษณ์คณะครุศาสตร์ สาขาอังกฤษและสังคม อาจารย์ที่สัมภาษณ์ยังถามเลยว่าเรียนวิทย์-คณิตมามาลงสาขานี้ทำไม จะสู้เด็กสายศิลป์ได้หรอ แล้วก็ตกสัมภาษณ์ไปเลยจ้า

0
กำลังโหลด
FERHIRA Member 17 ส.ค. 61 20:29 น. 2

เราอ่ะ โดนเปรียบกับเด็กวิทย์ว่า เด็กแบบเราโตไปก็หางานทำไม่ได้ สายวิทย์หาง่ายกว่า อยากบอกคนๆนั้นว่า สายวิทย์มันใช่ความถนัดของเรารึเปล่า ไอวิทย์มันก็เรียนได้นั่นแหละ แต่ว่าเราจะเข้าใจเหมือนเด็กวิทย์สายตรงมั้ย ความรับผิดชอบถึงจะไม่เท่ากันแต่ยังไงก็เลือกแล้วอ่ะ ไปตามทางเลือกของเราสิ


0
กำลังโหลด
ปอแองอแป้งงงงงงงงง 17 ส.ค. 61 21:30 น. 3

เราก็เป็นส่วนที่โดนเปรียบเทียบตั้งแต่ประถมจนม.6 นี้

ประถมเราเรียนเป็นโปรแกรมอิ้ง ทำให้พอในห้องทำไรไม่ดีนิดหน่อยก็โดนเปรียบกับห้องธรรมดา เชิงว่า ห้องอื่นก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้ เธอเป็นห้องอิ้งนะต้องดีสิ เราก็แบบเห้ยก็เด็กเหมือนกันมั้ย มันแค่สายการเรียน

พอมามอต้น โควต้าเราสามารถเข้าวิทย์คณิตได้ แต่เราไม่ถนัดคณิต และไม่ชอบวิทย์มาก เราชอบภาษามากกว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เราเลยเลือกเข้าศิลป์จีน ทุกคนก็งงกันหมดทำไมเกรดถึงแล้วไม่เข้าวิทย์คณิต เราก็ไม่เข้าใจ ค่านิยมคนเราคือเด็กเก่งต้องเข้าวิทย์อย่างเดียวหรอ มันไม่ใช่อ่ะ เราก็เลือกสิ่งที่ถนัดที่ชอบป่าว

พอมอปลาย ก็มีความแบบ สายศิลป์ต้องได้อิ้งต้องได้จีนสิ สายวิทย์กิต้องเก่งวิทย์คณิตสิ สายศิลป์อ่ะต้องเก่งกิจกรรม วิทย์มันเนิร์ด งู้นงี้

เราว่ามันไม่เกี่ยวเลยนะ อยู่ที่ตัวนักเรียนมากกว่ามั้ยว่าเราชอบอะไรถนัดอะไรมากกว่า อยากให้เลิกค่านิยม ความคิดเก่าๆแบบนี้ซักที เบื่อกับการเปรียบเทียบไปมามาก

0
กำลังโหลด
Sunshine 18 ส.ค. 61 02:22 น. 4

เป็นเด็กสายวิทย์ห้องคิงคนนึง

อยากบอกว่า พวกเราก็นักเรียนเหมือนกับเด็กสายศิลป์นั่นล่ะ อย่าเอาเราไปเปรียบและกดดันเราเลยไม่ว่ากับสายวิทย์ด้วยกันเองก็ตาม ความพยายามของเด็กสายศิลป์ก็มีหลายคนควรเห็นความพยายามของพวกเขานะ ไม่ใช่มองสายวิทย์และกดดันให้เราต้องเก่งกว่าสายศิลป์อย่างเดียว เราก็เหนื่อยเหมือนกัน

แค่เราพยายามในสิ่งที่ต่างกัน ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเก่งไม่เท่ากันนี่นา

พวกเราต้องการเข้าคณะเข้ามหาลัยที่มีเกณฑ์ใช้เกรดสูงๆกับคะแนนสอบสูงๆอย่างแพทย์ เภสัช ทันตะเราจึงต้องพยายามมากๆทั้งวิทย์คณิตภาษาสังคมอื่นๆ แต่ใช่ว่าเราจะเก่งขนาดนั้นเราก็เหมือนกับสายศิลป์ เราไม่ได้เรียนบางวิชาที่มันเฉพาะเหมือนสายศิลป์ด้วยซ้ำเพราะพวกเราอยู่คนละสาย บางที เขาก็เก่งในทางนั้น ในทางของสายศิลป์ อย่าไปมองพวกเขาในแง่ลบเลย เพราะพวกเขาเกรดไม่ดี เรียนไม่หนักเท่าหรืออะไรก็ตาม เห็นเกรดเห็นจากภายนอกแค่นั้นมันก็วัดไม่ได้เสมอไปนะ มันมีอะไรมากกว่านั้น จะเปรียบอะไรบางอย่างมันต้องมองให้กว้างๆถึงสิ่งแวดล้อมรอบข้างด้วย บางคนไม่ได้จริงๆอาจจะศิลป์หัวใจวิทย์ บางคนพยายามทำงานพิเศษกะดึกจนไม่ได้พักผ่อนมีเวลาเรียนพิเศษหรือทบทวนตำราเรียน บางคนก็ทำในสิ่งที่ชอบอยู่

ถ้ามันจะวัดความเก่งแค่นี้เรียนรวมเลยดีกว่าไหม จะมีสายไปเพื่ออะไร แยกกันเรียนคนละแบบจัดวิชาตามความถนัดไปเพื่ออะไร ถ้ายังวัดๆความเก่งและเปรียบกันขนาดนี้

กับเด็กสายศิลป์เขาก็เก่งเหมือนกัน

เขาก็พยายามในสายของเขา เขาก็เก่งแล้ว

เราพูดจีนเกาหลี ญี่ปุ่น ทำอาหาร และสายกิจกรรมอื่นๆเท่าพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

ทัศนคติแบบนี้ควรจบไปได้แล้ว

หันมาสนับสนุนทั้งสองสายเถอะค่ะ โลกใบนี้ไม่ได้ปกครองด้วยเด็กสายวิทย์เพียงอย่างเดียวนะคะ



0
กำลังโหลด
katyds Member 18 ส.ค. 61 17:46 น. 5

เลือกตามที่ตัวเองถนัดที่ชอบอ่ะดีละ เราโคตรจะไม่ชอบวิทย์ แต่กลัวเลือกที่เรียนได้น้อย เพราะเราไม่มีเป้าหมายว่าจะเรียนอะไร ขอบอกว่ามันก็ทุกข์อยู่พอควรนะที่ต้องเรียน ต้องอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ 3 ปี เพิ่งจะรู้ตอนประมาณ ม.4-5 อ่ะ ว่าชอบ และถนัดทางภาษามากกว่าแต่ก็สายไปละ ก็เลยต้องทนเรียนจนจบ ,,, เพราะงั้นถ้าใครรู้ว่าตัวเองถนัดอะไร ชอบอะไรก็เลือกทางนั้นแหล่ะ ไม่ต้องนึกเปรียบเทียบกันหรอก เด็กวิทย์ไม่ได้เก่งกว่าสายศิลป์ แค่ว่าถนัดคนละอย่างมากกว่า เรียนสายไหนก็ช่างถ้าเก่งถ้าตั้งใจ เราก็ไปได้ดีได้ทั้งนั้นล่ะ

0
กำลังโหลด
whoRme Member 18 ส.ค. 61 22:38 น. 6

สายศิลป์ดีมากค่ะ แค่คณะรับไม่ค่อยเยอะ แต่เรียนกับครูแล้วสนุกเพราะครูที่สอนภาษาก็คือครูในหมวด แบบเราศิลป์จีน ก็มีห้องเป็นขอตัวครูก็สนิทกับนักเรียน เรียนสนุกค่ะ แต่วิชายากมาก จนจะร้องไห้ ห้องยังไม่เคยมีใครได้ 4.00 เลยใครว่าศิลป์เรียนง่าย

0
กำลังโหลด
ItsFreakingCool,man! Member 19 ส.ค. 61 10:08 น. 7

เราเคยเรียนทั้งสายศิลป์และสายวิทย์ (วิทย์ย้ายลงศิลป์) พบว่าเด็กสายศิลป์ดูจะตั้งใจเรียนกว่าเด็กสายวิทย์เสียอีก เด็กสายวิทย์หัวดีก็จริง แต่จะตั้งใจตอนเรียนพิเศษมากกว่า

ก่อนจะลงสายศิลป์เราก็กังวลว่าจะได้เพื่อนดีรึป่าว แต่ปรากฏว่ามีความสุขกว่าอยู่สายวิทย์จ้า การแข่งขันน้อยกว่า เด็กสายศิลป์ส่วนใหญ่นิสัยดีนะ เข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน

เด็กสายวิทย์ก็มีคนที่ดี แต่เขาเหมือนจะมีเป้าหมายชัดเจนกว่า ก็ยุ่งกับการพัฒนาตัวเองมาก การแข่งขันสูง ตัวใครตัวมัน ถ้าไม่เกี่ยวกับงานโอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือน้อยมาก

เราว่าที่เด็กสายศิลป์ไม่ค่อยมีพัฒนาการเพราะคิดลบ ชอบคิดว่าตัวเองไม่เก่ง เก็บคำตัดสินของคนอื่นมาคิด แต่ส่วนใหญ่ก็ขยัน เราเคยช่วยสอนเขาก็ทำได้ เรื่องความคิดสร้างสรรค์นีชนะขนาดเลย

ที่เด็กสายวิทย์ไปไกลกว่าเพราะมีเป้าหมายชัดเจน ตัวเองมีต้นทุนสูงก็มีโอกาสมากกว่า เห็นความสำคัญของสิทธิ เวลาที่เห็นข้อผิดพลาดก็แย้งทันที อย่างเรื่องคะแนนงี้ ถ้าได้น้อยกว่าที่คิดก็จะไปคุยกับครู ความกดดันสูงกว่า กลัวจะทำไม่ได้ตามเป้าหมาย

คนสองกลุ่มนี้จะมีความคิด ความถนัดที่ต่างกัน ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน แต่ละกลุ่มก็ทำได้ดีในทางของตน

แต่แน่นอนว่าทั้งสองกลุ่มนี้มีความเป็นคนเท่ากัน มีความรู้สึกเหมือนกัน เวลาทำอะไรก็ให้คิดถึงจิตใจของเขาก่อน ถ้าเราเข้าใจเขา ก็จะทำให้เขาดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

0
กำลังโหลด
HmmmBEE Member 22 ส.ค. 61 10:24 น. 8

ขอแสดงความคิดเห็นในมุมมองผู้ปกครองนะคะ เด็กแต่ละคนมีความถนัดแตกต่างกัน ค้นตัวเองให้เจอว่าชอบภาษา หรือชอบคำนวณ เรียนในสิ่งที่ชอบ มันจะให้เรามีความสุขกับการเรียน ไม่มีไรดีหรือด้อยกว่ากัน แต่ทั้งนี้ต้องคุยกับที่บ้านด้วยนะคะ แต่ละบ้านความเห็นย่อมแตกต่างกันค่ะ

ส่วนบ้านนี้ ม.4 ลูกสาวเลือกเรียนศิลป์-ภาษาค่ะ

0
กำลังโหลด
leenxolotl Member 25 ส.ค. 61 19:46 น. 9

มันก็โดนเปรียบเทียบจริงๆนั้นแหละ แต่ที่โกรธสุดคือเอาอาจารย์ที่สอน'เฉพาะ'ห้องวิทย์ มาออกสอบวิชาวิทย์ให้กับทั้งสายชั้น แล้วคนที่เรียนศิลป์คือมันก็ไม่โอเคสิ มันโครต unfair เรียนเหมือนกันแต่ลงลึกไม่ลึกแล้วแต่สาย แต่ออกสอบนี่คือ วั้๊ทท เมื่อคะแนนออกมาก็ต้องโดนเปรียบเทียบกันอยู่แล้วอ่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด