สวัสดีค่ะชาว Dek-D สิ่งที่เราเห็นกันจนชินตาและมักตกเป็นประเด็นการศึกษาที่ถกเถียงกันมานาน คือการแบ่งเด็กมัธยมปลายเป็น "สายวิทย์" และ "สายศิลป์" บางคนมองว่าเป็นทางเลือกที่แคบและไม่ช่วยให้เด็กค้นพบเป้าหมายของตัวเอง ช่วงหลังจึงเริ่มมีโรงเรียนบางแห่งลุกมาเปลี่ยนแปลง แบ่งแผนการเรียนให้หลากหลายขึ้นตามความสนใจของเด็ก และล้อไปในทางเดียวกันสาขาในระดับมหาวิทยาลัย
หนึ่งในโรงเรียนที่เริ่มปรับเปลี่ยนแล้วคือ “โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย” หรือ ก.ท ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนชายล้วนชื่อดัง เราเลยขอเข้าไปเจาะลึกระบบใหม่ โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนและครูผู้วางหลักสูตรมาให้เกียรติมาพูดคุยกับเราด้วยค่ะ นอกจากนี้เรายังได้ฟังรีวิวจาก “นักเรียนรุ่นแรก” เกือบครบทุกแทรคว่าเรียนอะไรบ้าง? เข้มข้นแค่ไหน? แล้วคิดเห็นยังไงกับระบบนี้?
จากปัญหาใหญ่ของเด็กไทย
ทำให้เกิดระบบใหม่ชื่อ “BCC Next”
เมื่อก่อนกรุงเทพคริสเตียนยังคงแบ่งเด็ก ม.ปลาย เป็นสายวิทย์-คณิต, ศิลป์-คำนวณ และศิลป์-ภาษา และศิลป์ทั่วไป แต่ก็มองเห็นปัญหาใหญ่ของเด็กไทยบางกลุ่มที่มีปัญหาตอนเลือกสายขึ้นมหา'ลัย เช่น จบ ม.ปลายแล้วยังไม่รู้ว่าชอบหรือถนัดอะไร หรือบางคนก็เข้าใจผิดเกี่ยวกับคณะ ทำให้เมื่อเข้าไปเรียนจริงๆ ก็ไม่มีความสุข บางคนเรียนแค่ให้จบๆ บางคนก็ต้องย้ายคณะกลางคัน
ดังนั้นจึงเกิดระบบ “BCC Next” ที่นำวิทย์-ศิลป์มาแตกแขนงเป็น 15 แผนการเรียน (Tracks) โดยหลักสูตรจะยังคงมีวิชาพื้นฐานให้เรียนครบหน่วยกิตตามที่กระทรวงกำหนด แต่ใส่วิชาเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับแทรคนั้น และลดทอนวิชาที่ไม่จำเป็นลง เช่น ลดสัดส่วนวิชาชีวะในแทรควิศวะ หรือลดทอนวิชาเคมีในแทรคสถาปัตย์
รายชื่อ Track ทั้งหมด (ข้อมูลอัปเดตล่าสุด ส.ค.2562)
- แพทยศาสตร์ และกลุ่มสาขาสาธารณสุขศาสตร์
- วิศวกรรมศาสตร์ชีวภาพ
- วิศวกรรมศาสตร์
- วิศวกรรมหุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์
- วิศวกรรมการบินและอวกาศ
- สถาปัตยกรรมศาสตร์
- บริหารธุรกิจ พาณิชยศาสตร์ บัญชี
- สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์
- อักษรศาสตร์ ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์
- ศิลปกรรมศาสตร์ จิตรกรรม ประติมากรรม
- นิเทศศาสตร์ ภาพยนตร์ และสื่อดิจิทัล
- ศิลปะการอาหาร
- วิทยาศาสตร์การกีฬา
- ดนตรี - นิเทศศิลป์ SCA
- ดุริยางคศิลป์ (เปิดปีหน้าแน่นอน)
ใน 15 แทรคดังกล่าว ลำดับที่ 1-6 เป็นแนวสายวิทย์ ส่วน 7-15 เป็นแนวสายศิลป์ ซึ่งจะมีผลเฉพาะวิชาพื้นฐานเท่านั้น และต้องบอกว่า 15 แทรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ เพราะโรงเรียนเก็บข้อมูลมาหนักมาก ทั้งไปสำรวจเด็ก ม.ต้น ของโรงเรียนว่ามีแนวโน้มอยากเรียน/ทำงานสายไหนบ้าง และเข้าไปพูดคุยกับอาจารย์แต่ละภาควิชาในมหา'ลัยหลายแห่งเพื่อมาวางแผนรายวิชา ดังนั้นในทุกแทรคจะมีการปูพื้นวิชาทฤษฎีที่เด็กจะหนีไม่พ้นแน่ๆ ถ้าเลือกเรียนต่อสาขานั้น อย่างแทรคศิลปะการประกอบอาหารจะเจอเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร (Food Hygiene) ส่วนแทรควิทย์กีฬาจะเจอวิชากายวิภาคศาสตร์ (Anatomy)
เงื่อนไขการเข้าแต่ละแทรค
(เร็วไปมั้ยที่ต้องเลือกตั้งแต่จบ ม.ต้น?)
ถ้าในรุ่นปัจจุบัน เขาจะมีแบบฟอร์มมาให้เด็กเลือกตามความถนัดและความสนใจได้เลย ยกเว้นแทรคแนวสายวิทย์ ต้องมีเกรดเฉลี่ยวิชาวิทย์กับคณิตช่วง ม.ต้น 6 เทอม ต้องได้ 3.00 ขึ้นไป ทั้งนี้ ถ้าเด็กอยากย้ายแทรค สามารถทำเรื่องเปลี่ยนได้ภายใน 2 เทอมแรก ซึ่งก็คือก่อนขึ้น ม.5 นั่นเองค่ะ
บางคนสงสัยว่า มันเร็วไปมั้ยถ้าเด็ก ม.ต้นต้องมาตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้? จริงๆ ทางโรงเรียนได้อธิบายให้เด็กรู้จัก 15 วิชาชีพ 15 แทรคนี้ตั้งแต่ ม.1-3 และกำชับว่าก่อน ม.4 พวกเขาจะต้องตัดสินใจ โดยเขาจะมีตัวช่วยคือ Report Analyse หรือรายงานวิเคราะห์ผลการเรียนว่าเด็กเหมาะกับเรียนสายไหนบ้าง และการประเมินทางวิชาชีพจากทางแนะแนว ซึ่งจะช่วยให้เด็กตัดสินใจได้อย่างเป็นระบบ
โครงสร้างการเรียนที่ลงตัว
เจาะลึกเฉพาะทางแต่ไม่ทิ้งวิชาพื้นฐาน
สิ่งที่เด็กจะได้เรียน = วิชาพื้นฐาน (41 หน่วยกิต) + วิชาเพิ่มเติม (ตามบริบทของโรงเรียน)
1. วิชาพื้นฐาน (41 หน่วยกิต) - เรียนแยกตามห้องที่เป็นแนววิทย์กับศิลป์ อิงรายวิชาและจำนวนหน่วยกิตตามที่กระทรวงศึกษาฯ กำหนด
2. วิชาเพิ่มเติม เรียนแยกตามแทรคที่ลงไว้ โดยเขาจะนำคาบที่เหลือจากวิชาพื้นฐาน มาจัดแบ่งเป็น time slots ; 1 time slot = 2 คาบที่อยู่ติดกัน เช่น วันจันทร์คาบ 2-3, วันจันทร์คาบ 7-8 ซึ่งเขาจะมีจัดวางเป็นกรุ๊ปแล้วว่าเด็กแต่ละแทรคจะต้องไปเรียนวิชาไหนบ้าง ในทุกแทรคจะมีวิชาประจำแทรค 3 วิชา/ภาคเรียน
ยกตัวอย่าง นาย A (แทรคอักษรศาสตร์) กับนาย B (แทรคศิลปกรรมศาสตร์) ทั้งคู่อยู่ห้องศิลป์ห้องเดียวกัน คาบแรกเรียนวิชาภาษาอังกฤษด้วยกัน แต่พอคาบ 2-3 ที่เป็นวิชาแทรค นาย A แยกไปเรียนสัทศาสตร์ภาษาอังกฤษ ส่วนนาย B แยกไปเรียนวาดเส้น
ส่วนความเข้มข้นของเนื้อหา ก็จะปูพื้นฐานเพื่อเตรียมความพร้อมในคณะที่นักเรียนประสงค์จะเข้าต่อในระดับอุดมศึกษา ดังนั้นผู้สอนก็จะมีทั้งครูในโรงเรียน อาจารย์พิเศษ และวิทยากรเฉพาะด้าน เท่ากับว่าได้สัมผัสการฝึกจากมืออาชีพโดยตรง!
หมายเหตุ* ใน 7 time slots จะมีช่องว่างให้เด็กยืดหยุ่นไปเรียนเสริมสิ่งที่ตนสนใจด้วยนะคะ แต่จะมีคาบอิสระให้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแทรค เพราะอย่างแผนวิทย์อาจจะโดนฟิสิกส์เคมีชีวะล็อกไว้ซะเยอะ
ส่องบรรยากาศห้องเรียน 3 แทรค
นิเทศฯ / คหกรรม / วิศวกรรมการบินฯ
1. แทรคนิเทศศาสตร์และสื่อดิจิทัล
ต้องบอกเลยว่าแทรคนี้คือแทรคยอดฮิตที่เด็กเลือกเรียนเยอะมาก! “ครูน้ำ” ครูประจำแทรคเล่าว่าเด็กจะได้เรียน Production Media สอนใช้แพลตฟอร์มการทำวิดีโอสำหรับสื่อ TV และภาพยนตร์ โดยจะเริ่มเรียนรู้องค์รวมทั้งหมด ตั้งแต่เขียนบท การเตรียมงาน การจัดทำตารางถ่ายงาน แคสติ้ง กระบวนการตัดต่อ ฯลฯ พอเรียนเสร็จก็ให้เด็กแบ่งกลุ่มลงมือทำโปรเจกต์แบบจริงจังทุกขั้น โดยที่โรงเรียนจะซัพพอร์ตเรื่องอุปกรณ์
“เด็กแต่ละคนจะรับไม่เท่ากัน วิธีการสอนของผมคือการสร้างแพสชันให้เด็ก เน้นให้เขาเข้าใจองค์รวมก่อน แล้วค่อยไปต่อยอดด้านที่ตัวเองสนใจ อย่างบางคนอาจเก่งอุปกรณ์ บางคนเก่งเขียนบท เวลาทำงานกลุ่มเขาก็จะแบ่งหน้าที่กัน”
2. แทรควิศวกรรมการบินและอวกาศ
มาถึงแทรคที่ขึ้นชื่อว่าเนื้อหาเรียนเข้มข้นมากกกก แถมนักเรียนแต่ละรุ่นก็มีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จด้วย “ครูอดิเรก” ครูประจำแทรควิศวะการบินฯ เล่าว่า “เริ่มแรกเลยเราจะให้เด็กตกลงกันก่อนเลยว่ารุ่นนี้จะทำมิชชันอะไร เช่น เด็กรุ่นแรกคือสร้างดาวเทียมขนาด 1 ยูนิตโดยเด็กมัธยม + ส่งไปอวกาศ + ทำงานได้จริง ส่วนเด็กรุ่นที่ 2 สร้างดาวเทียมที่ไม่ถึงกับต้องไปโคจรในอวกาศ แต่ทำงานเฉพาะอย่างได้"
“ม.4 เราจะปูพื้นฐานโครงสร้างการออกแบบ พื้นฐานอิเล็กทรอนิกส์/ไฟฟ้า/การเขียนแบบคอมพ์/เขียนแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เพราะในวงจรดาวเทียมจริงๆ ไม่มีแผนสำเร็จรูปมาให้นะ เราต้องดีไซน์วงจรและวางอุปกรณ์ชิ้นส่วนเอาเอง พอ ม.5 เราจะเริ่มให้เด็กสร้างและตรวจสอบให้ใช้งานได้จริง ดูว่าจะทำตามมิชชันได้มั้ย แล้ว ม.6 คือการใช้งานและสั่งการดาวเทียมที่ส่งออกไป แปลว่าเขาต้องเรียนเขียนโค้ด และทำภารกิจบางอย่างที่เป็นโปรเจกต์"
3. แทรคศิลปะการประกอบอาหาร
นี่คือแทรคที่เราได้ไปทัวร์ตอนเขาทำชูครีมกันอยู่ แล้วก่อนกลับครูกับน้องๆ ก็ใส่กล่องให้ทีมงานเป็นที่ระลึกด้วยค่ะ ขอบอกว่าฝีมือมือน้องๆ เยี่ยมมาก ซึ่งผู้สอนในคาบนั้นก็คือ “อ.ฝ้าย” อาจารย์พิเศษประจำแทรคนั่นเองค่ะ อาจารย์เล่าว่า "ตอน ม.4 จะปูพื้นฐานเรื่องวัตถุดิบ การเตรียมพร้อมเข้าครัว การทำอาหารเบื้องต้นทั้งคาว-หวาน แบ่งออกเป็นอาหารไทย ยุโรป จีน วิธีอ่านสูตรเบื้องต้น วิธีชั่ง-ตวง-วัด และ Food Safety/Food Hygiene บางคนอาจเบื่อทฤษฎี แต่นั่นคือสิ่งที่เด็กต้องรู้ก่อนลงมือปฏิบัติจริง เพราะเราต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้ทาน ยิ่งทุกวันนี้ก็มีคนแพ้อาหารมากขึ้นด้วย"
"แล้วพอ ม.5-6 จะลงลึกไปอีก เพราะโรงเรียนจะมีหลักสูตรที่เป็นอุตสาหกรรมอาหารให้น้องๆ ครีเอตร้านอาหาร 1 ร้าน คำนวณวัตถุดิบ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ผลิตภัณฑ์ Final ที่ขายได้จริง"
เก็บตกรีวิวสั้นๆ
จากเด็กเกือบทุกแทรค
แพทย์ศาสตร์ และกลุ่มสาขาสาธารณสุขศาสตร์ : แพทย์ในที่นี้เขาจะไม่ได้สอนลงลึกแขนงใดแขนงหนึ่งนะครับ แต่จะสอนพื้นฐานที่ต้องใช้ เช่น วิชาระเบียบวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการสังเกต การตั้งคำถาม การตั้งสมมติฐาน ฯลฯ มันดีตรงได้เจอเพื่อนทรงเดียวกันนี่แหละ แต่ถ้าถามว่ายากมั้ย ถ้าไม่ค่อยมาเรียนก็ตามไม่ทันครับ ค่อนข้างไปเร็วนิดนึง 555
วิศวกรรมศาสตร์ชีวภาพ : เนื้อหาที่เรียนจะคล้ายๆ แพทย์ (แต่แพทย์จะลงลึกทางชีวะมากกว่า) แทรคนี้จะเรียนการออกแบบสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมใหม่ๆ ผลิตแล้วทำอะไรได้บ้าง ใช้จริงได้มั้ย จริงๆ เนื้อหาก็ทั่วไปแต่มีเรื่องการออกแบบเพิ่มเข้ามา ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ด้วย
วิศวกรรมหุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์ : เขาจะเน้นฟิสิกส์ > เคมี > ชีวะ (น้อยที่สุด) เจอเรื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พวกต่อไฟฟ้ากับเครื่องกล ส่วนตัวผมคิดว่าวิชาที่น่าสนใจสุดคือ “โปรแกรมภาษา C” นะ (ยากมั้ย?) ไม่ยากขนาดนั้น ยังไงปี 1 ก็ได้เรียน เหมือนเขาเอาพื้นฐานปี 1 มาให้เด็ก ม.5 รู้ก่อนครับ
วิศวกรรมการบินและอวกาศ : เนื้อหาที่เรียนถือว่าหนักนะ เขาจะบรีฟเนื้อหาทั้งหมดให้จบภายใน ม.4 เทอม 1 ซึ่งส่วนมากจะเคยเรียนมาแล้วตอน ม.ต้น จากนั้นก็เริ่มทำโปรเจกต์ ครูให้คำปรึกษาตลอด และมีเพื่อนๆ 20 กว่าคนในห้องช่วยเหลือกัน
วิทยาศาสตร์ทั่วไป : แทรคนี้เหมาะกับที่ยังไม่มั่นใจว่าจะไปทางไหนดีครับ เราจะได้เรียนทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อย่างละ 2 หน่วยกิต + เรียนการทำวิจัย คล้ายๆ หลักสูตรระบบเก่าเลย แต่เนื้อหาจะเพิ่มเรื่องระเบียบวิธีการวิจัยเข้ามา สอนการทำวิจัยทีละขั้นตอน ผมว่ามันช่วยปูพื้นฐานให้เราเรียนทันตอนขึ้นมหา’ลัย และเผลอๆ อาจนำคนอื่นไปก่อนด้วย
สถาปัตยกรรมศาสตร์ : ผมเลือกแทรคนี้เพราะชอบศิลปะ และอยากทำงานศิลปะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Logic ครับ วิชาที่เรียนเช่น โครงสร้างสถาปัตย์ การวาดเส้น การจัดวาง space ส่วนตัวก็ต้องหาเวลาเรียนวาดรูปเพิ่มครับ
อักษรศาสตร์ : สิ่งที่เรียนก็จะเป็นด้านภาษา เช่น สัทศาสตร์ภาษาอังกฤษ วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อมวลชน ภาษาไทยเพื่อการนำเสนอ ฯลฯ ทำให้เราใช้ภาษาได้ถูกต้อง แล้วจะมีวิชาเลือกคือจีนกับญี่ปุ่น ถ้าอย่างผมเองลงจีน เขาจะมีวิชาจีนพื้นฐาน จีนเพื่อการสื่อสาร จีนด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งมันตอบโจทย์มากสำหรับผมที่อยากเรียนเอกจีนตอนขึ้นมหา’ลัยอยู่แล้ว
นิเทศศาสตร์และสื่อดิจิทัล : ผมสนใจงาน Production มาตั้งแต่ประถม พอได้มาเรียนก็ถือว่าตอบโจทย์เลยครับ เพื่อนๆ ก็จะรับหน้าที่ที่ถนัดตอนทำงานกลุ่ม เช่น ใครชอบดีไซน์ ก็รับหน้าที่ดีไซน์ฉากและคอสตูม แล้วยังมีฝ่ายอื่นๆ เช่น ผู้กำกับ นักแสดง ช่างภาพ ฯลฯ
ศิลปะการทำอาหาร : ผมเลือกแทรคนี้เพราะอยากเป็นเชฟตั้งแต่เด็กแล้วครับ ตอนเรียนเขาจะปูเบสิกก่อน ถึงไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้ ผู้สอนจะมีครูจากภายนอกหรือวิทยากรที่ไปเรียนมาจากเมืองนอกแล้วกลับมาบรรยายให้ฟัง (สิ้นปีมีโปรเจกต์ให้นักเรียนออกแบบอาหารและขายในโรงเรียนด้วย)
พอทัวร์ห้องเรียนและสัมภาษณ์น้องๆ ที่เริ่มใช้ระบบนี้เป็นรุ่นแรก ใจก็อยากเข้าไปเป็นหนึ่งในนักเรียนของระบบใหม่นี้เลยค่ะ สุดยอดดด! สุดท้ายแล้วเป้าหมายของระบบนี้ ก็คือการให้เด็กสนุกกับการเรียน สามารถเลือกเรียนในสิ่งที่ตนสนใจจริงๆ และมีภูมิคุ้มกันตอนขึ้นมหา'ลัย สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือในอนาคตจะสามารถนำความรู้ไปต่อยอดในชีวิตการทำงานได้ จริงๆ ปัจจุบันนี้ก็มีโรงเรียนมัธยมปลายบางแห่งเริ่มนำร่องแล้ว หากได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม คาดว่าต้องมีข่าวดีกับน้องๆ วัยเรียนรุ่นหลังแน่นอนค่ะ :)
* Special Thanks! *
ทีมงานต้องขอขอบคุณท่าน ผอ.ศุภกิจ จิตคล่องทรัพย์, อ.สุดฤทัย, อ.วิชัย, อ.วศวิศว์, อ.อดิเรก, อ.กฤติเดช, อ.ณัฎฐ์ธญา, อ.ปอละเตียง อ.น้องๆ นักเรียน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน สำหรับข้อมูลในบทความนี้นะคะ
12 ความคิดเห็น
น่าจะทำให้ระบบการศึกษาของประเทศไทยมีการพัฒนาที่ดีขึ้น
โห อยากลองเรียนแบบนี้บ้างเลยค่ะ T^T ถ้าโรงเรียนไทยมีแบบนี้ทุกโรงเรียนก็คงดีนะคะ
สุดยอดมากค่ะ สมกับเป็นโรงเรียนเอกชนชายล้วนที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของประเทศไทย
น่าชื่นชมตั้งแต่ให้นักเรียนใส่ชุดไปรเวทมาเรียนทุกวันอังคาร
ตาลุกเลย เด็กม.ปลายควรเตรียมตัวแบบนี้แหละ จะได้ไม่บ้าเรียนทั้งหมด แล้ว...ไม่ได้เอาไปใช้
ดีจังน้า
ลูกต้องชอบแน่
มาเรียนที่นี่กันเยอะๆ
มีเเนวข้อสอบสอบเข้าม.4มั้ยอ่ะของกรุงเทพคริสเตียน
น่าสนใจมากค่ะ ถือเป็นการนำร่องการปฏิรูปการศึกษาไทยที่น่าสนใจทีเดียว แต่เท่าที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบมีความรู้สึกว่าเหมือนเป็น mini college เลย ถึงจะบอกว่าเนื้อหาไม่เข้มข้นเท่ามหาลัยก็เถอะ แต่คงมีความซ้ำซ้อนกันพอสมควร คิดว่าควรปูพื้นฐานสิ่งที่ไม่ได้เรียนในมหาลัยให้แน่นก่อนน่าจะดีกว่า เช่น แทรคสถาปัตย์ เนื้อหาทางโครงสร้างสถาปัตย์ยังไงในมหาลัยก็มีสอนค่ะ ที่ควรปูพื้นและสอนในทำได้ดี(ประหนึ่งติวกันไปเลย) คือการวาดเส้น การวาดperspective ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการนำไปสอบเข้ามหาลัย เด็กแทรคนี้ไม่ควรจะต้องออกไปหาเรียนวาดรูปเพิ่มเติมนอก รร.แล้ว พื้นฐานเกี่ยวกับสถาปัตย์และเนื้อหาอื่นๆ ควรมีก็จริงแต่ไม่ต้องมากเท่ากับมหาลัยเพราะอย่างที่บอกมันจะซ้ำซ้อนมากค่ะ เรียนม.ปลาย3 เรียนมหาลัยอีก 5 ปี (แค่คิดก็...) เทียบกับเด็กแทรคอักษรที่เริ่มเรียนภาษาที่3 ก็เริ่มตั้งแต่ท่องอักษรเหมือนกัน ไม่เห็นต้องออกไปหาเรียนข้างนอกเลย
เราว่ารายละเอียดของหลักสูตรตัวเต็มคงจะดีมากๆ แต่เราก็รู้เท่าที่อ่านจากบทความแหละน้า...
ดีจังเลย ทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงรู้ตัวเองว่าเหมาะกับคณะไหน แล้วคงจะมีความสุขมากกว่านี้แน่ๆ
อยากรู้ค่าเทอม ของแต่ละ Track ด้วยว่าแพงไหม
อยากสมัครเป็นครูสอนเลย