จากข่าวที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ประเทศจีน และไวรัสไข้ลาสซาที่ประเทศไนจีเรีย ซึ่งตอนนี้เชื้อไวรัสก็ยังแพร่อยู่ มีผู้ป่วยและเสียชีวิตหลายราย ทำให้ทั่วทั้งโลกมีการตื่นตะหนกในเรื่องของการรักษาเชื้อไวรัส
ก่อนหน้านี้เคยมีการประชาสัมพันธ์ในส่วนของการเป็นหวัดจากเชื้อไวรัส สามารถหายเองได้โดยไม่ต้องกินยา พอมีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าก็มีกระแสว่า อาการเหล่านี้ไม่สามารถหายเองได้หรอ? แล้วที่หายเองได้หมายความว่ายังไง วันนี้จะพาไปหาคำตอบกันค่ะ
ก่อนหน้านี้เคยมีการประชาสัมพันธ์ในส่วนของการเป็นหวัดจากเชื้อไวรัส สามารถหายเองได้โดยไม่ต้องกินยา พอมีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าก็มีกระแสว่า อาการเหล่านี้ไม่สามารถหายเองได้หรอ? แล้วที่หายเองได้หมายความว่ายังไง วันนี้จะพาไปหาคำตอบกันค่ะ
“ไวรัส” VS “แบคทีเรีย” ต่างกันอย่างไร?
ไวรัส (Virus) เป็นสิ่งที่เกือบๆจะมีชีวิตซึ่งมีขนาดเล็กมาก และมีระบบไม่ซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต (เช่น คน หรือสัตว์) โดยไวรัสจะมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก และมีสารพันธุกรรมอย่างดีเอ็นเอ (DNA) หรืออาร์เอ็นเอ (RNA) เป็นองค์ประกอบ สามารถเพิ่มจำนวนได้โดยอาศัยเซลล์เป็นตัวช่วย
จริงๆ แล้ว ไวรัสก็มีทั้งแบบที่ก่อโรคในคนและไม่ก่อโรคในคน และมีไวรัสบางชนิดที่สามารถรักษาโรคอื่นได้ แต่ก็มีไวรัสอีกเป็นร้อยชนิดที่ทำให้เกิดโรค ตั้งแต่โรคหวัดธรรมดา โรคไข้หวัดใหญ่ โรคเอดส์ โรคตับอักเสบ โรคพิษสุนัขบ้า โรคอีสุกอีใส เป็นต้น
แบคทีเรีย (Bacteria) สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว มีระบบที่ค่อนข้างซับซ้อน เพิ่มจำนวนได้โดยไม่ต้องอาศัยอยู่ภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต โดยมีความสามารถอยู่รอดได้ในสภาพอากาศที่ต่างกันออกไป ซึ่งแบคทีเรียเองก็มีทั้งแบบที่มีประโยชน์ และก่อให้เกิดโรค เช่น โรคปอดบวม โรคบาดทะยัก วัณโรค โรคหนองในแท้ เป็นต้น
จริงๆ แล้ว โรคบางโรคสามารถเกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย โดยเราจะไม่สามารถแยกออกได้จากอาการที่เห็นภายนอก ต้องมีการตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม เช่น ตรวจร่างกายเพิ่มเติม ส่องดูลักษณะในช่องจมูก ช่องปาก ลำคอ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือเก็บตัวอย่างอื่นๆไปตรวจ เป็นต้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่า เวลาที่เราป่วยหนักแล้วไปหาหมอ ทำไมต้องตรวจโน้นนี่นั่นเต็มไปหมด
เป็นหวัดหายเองได้หรือไม่?
การเป็นหวัดเกิดขึ้นได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย แต่มันจะมีความต่างกันในลักษณะเชิงลึกค่ะ การเป็นหวัด(หรือโรคอื่นๆ) ที่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถหายเองได้โดยไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ คือไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัส จะมีเป็นยาต้านไวรัสที่ไปยับยั้งตัวไวรัสไม่ให้ขยายเพิ่มอีก ไวรัสที่เหลือก็จะรักษาโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งต้องใช้เวลาในการรักษา
ส่วนอาการอื่นๆ ก็รักษาตามอาการเลยค่ะ เช่น ไข้ขึ้นสูงก็กินยาลดไข้ ถ้าไข้ลดแล้วก็หยุดยาทันที เป็นต้น การรักษาตัวจากการติดเชื้อไวรัสต้องดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคไปกำจัดเชื้อไวรัสได้เอง
ส่วนหวัดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย อาจมีลักษณะคล้ายกัน จนบางครั้งอาจจะแยกไม่ออกด้วยซ้ำ ถ้าสมมติว่าเป็นไข้หวัดประมาณ 2-3 วันแล้วยังไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจดูว่าเป็นหวัดจากเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ ถ้าพบว่าเป็นการติดเชื้อจากแบคทีเรีย จะทำการรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ
ยาปฏิชีวนะไม่ควรซื้อกินเอง ควรกินยาตามที่หมอสั่งและกินจนครบกำหนดถึงแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะทางการแพทย์ได้มีการคำนวณแล้วว่าปริมาณเท่าใดถึงจะเหมาะสมกับการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ถ้ากินไม่ครบ เชื้อแบคทีเรียก็จะยังไม่หมด และสามารถพัฒนาตัวเองให้ดื้อยากว่าเดิมได้
เหตุผลที่ไม่ควรกินยาดักไว้ก่อน
ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่มีผลกระทบอย่างมากกับร่างกายมนุษย์ การกินยาโดยไม่จำเป็นอาจจะไปทำลายแบคทีเรียที่ดีในร่างกายได้ การกินยาไม่ถูกต้องจะทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาจนไม่สามารถใช้ยาเดิมรักษาได้ ซึ่งเชื้อแบคทีเรีย(รวมทั้งเชื้อไวรัส) สามารถแพร่กระจายได้จากคนสู่คน ถ้าเชื้อในตัวคนหนึ่งดื้อยา ก็สามารถแพร่ความดื้อยานี้ไปสู่อีกคนได้
สิ่งที่ควรทำก็คือ ถ้าไม่สบายก็กินยารักษาตามอาการ เช่น เป็นไข้ก็กินยาลดไข้ ถ้าไอก็กินยาแก้ไอ อย่าเริ่มกินยาฆ่าเชื้อหรือยาแก้อักเสบ นอกจากนี้ควรพักผ่อนให้เต็มที่ ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายรักษาด้วยเอง ถ้า 2-3 วันอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม ยิ่งถ้าเจ็บคอก็ควรไปให้หมอส่องคอว่าที่เจอเกิดจากอะไร เป็นหนองในคอหรือไม่ เพื่อให้การรักษาอย่างถูกต้อง
ในส่วนของไวรัสโคโรน่าที่มีความรุนแรงอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นการรักษาตามอาการ โดยจะต้องมีการวิเคราะห์ชนิดของไวรัสที่อยู่ในร่างกายเพื่อให้ยาอย่างถูกต้อง เชื้อไวรัสบางชนิดต้องให้ยาต้านเพื่อหยุดการเติบโต แต่ถ้ามากเกิดไปจนยาต้านเอาไม่อยู่ก็มีผลทำให้ร่างกายเสียชีวิตได้ ทางที่ดีในช่วงนี้ใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองไว้ก่อน ถ้ามีอาการไม่สบายเกิน 3 วันให้รีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
1 ความคิดเห็น