King’s Bangkok: สร้างเด็กให้เติบโตไปใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

King’s Bangkok: สร้างเด็กให้เติบโตไปใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ (King’s College International School Bangkok) เป็นโรงเรียนที่ถอดแบบมาจาก King's College School, Wimbledon (King's Wimbledon) มีภารกิจในการสร้างเด็กที่เก่งรอบด้าน เป็นเลิศทางวิชาการ และมีความสุขในการเรียนรู้ รวมถึงเติบโตไปใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม โดย ศาตราจารย์พิเศษ ดร. สาคร สุขศรีวงศ์ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ หรือ King’s Bangkok ได้ให้เกียรติมาเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนที่มีความตั้งใจ เพื่อเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ให้แก่คอลัมน์ Next Ed: การศึกษาเพื่อโลกยุคหน้า ของ Dek-D ฟังดังนี้

ศาตราจารย์พิเศษ  ดร. สาคร สุขศรีวงศ์ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ (King’s Bangkok)
ศาตราจารย์พิเศษ  ดร. สาคร สุขศรีวงศ์ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ (King’s Bangkok)

แรงบันดาลใจในการก่อตั้งโรงเรียน  

จุดเริ่มต้นของโรงเรียนแห่งนี้ การที่ลูกชายของอาจารย์มาขออนุญาตไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษเพราะเชื่อว่าระบบการศึกษาที่นั่นดีกว่าประเทศไทย สิ่งที่อาจารย์ได้พบหลังจากที่ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศคือ ลูกมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านความรู้และความคิด จึงเกิดความสงสัยว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขามีพัฒนาการที่ก้าวกระโดดแบบนี้  

เมื่อสอบถามลูกก็พบว่า มีความแตกต่างทั้ง ระบบการเรียนการสอน และคุณภาพของครูผู้สอน ที่มีความรู้เฉพาะทางและความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในด้านที่สอน  จึงเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อาจารย์ตัดสินใจตั้งเป้าหมายในการสร้างโรงเรียนนานาชาติที่มีคุณภาพ  เพื่อการศึกษาที่ดีที่สุดในประเทศไทยขึ้นมา

ส่วนเหตุผลที่ขอสิทธิ์เปิดโรงเรียนร่วมกับ King's College School Wimbledon เนื่องจากว่าได้เห็นระบบการเรียนการสอนที่ดีที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กมีความเป็นเลิศทางวิชาการ  ตลอดจนวัฒนธรรมของโรงเรียนที่ปลูกฝังให้เด็กรู้จักตอบแทนสังคม และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ทาง King's Wimbledon ยินดีที่จะช่วยคัดเลือกครูที่มีคุณภาพให้กับ King’s Bangkok ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์หลักของอาจารย์ที่เชื่อว่า “ครูคือหัวใจสำคัญของระบบการศึกษา”  

สร้างเด็กให้เติบโตขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

จุดมุ่งหมายสำคัญของ King’s Bangkok คือ การสร้างเด็กที่เก่งในแบบของตนเองให้เติบโตขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม ด้วยการสร้างทางเลือกการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อให้เด็กแต่ละคนเป็นเลิศในด้านที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ด้านวิชาการ กีฬา ดนตรี ศิลปะ หรือกิจกรรมอื่นๆ พร้อมทั้งจัดรูปแบบการเรียนการสอนที่ได้ทดลองและลงลึก  

ทั้งนี้ เด็กส่วนใหญ่ไม่รู้จักการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องทำอะไร ดังนั้นแนวคิดสำคัญของ King’s Bangkok คือ การสอนให้เด็กรู้จักคำว่าสิทธิและหน้าที่ ตลอดจนการเคารพความแตกต่างของผู้อื่น โดยรับรู้ถึงสิทธิพิเศษของตนเอง สัมผัสความยากลำบากของสังคม และแบ่งปันผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม ที่เน้นลงมือทำมากกว่าเรี่ยไรเงิน ซึ่งเป็นเรื่องที่โรงเรียนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง  

หลักสูตรที่แตกต่าง พัฒนาเด็กให้เก่งรอบด้าน  

King's Bangkok ตั้งภารกิจว่าจะต้องพัฒนาเด็กเป็นเลิศทางวิชาการ, เก่งรอบด้าน, และมีความสุข จึงมีการออกแบบแนวทางการเรียนการสอนและพัฒนาเด็ก โดย 3 เสาหลัก ได้แก่ ด้านแรก คือ ความเป็นเลิศทางวิชาการ (Academic Excellence) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณภาพของครูที่ต้องมีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่สอน พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เลือกเรียนในรายวิชาที่หลากหลายตามความต้องการของเขา ตลอดจนจัดสรรอุปกรณ์การเรียน และพื้นที่การเรียนรู้ให้ครบครัน เพื่อความสะดวกสบายในการเรียนรู้ของนักเรียนทุกคน

ด้านที่สอง คือ หลักสูตรร่วมผสม (Co-Curricular Programme) เพื่อพัฒนาเด็กให้เป็นคนที่เก่งรอบด้าน (Well-Rounder) ไม่ใช่เป็นคนที่เก่งเฉพาะแต่ด้านวิชาการแต่เพียงอย่างเดียว จึงต้องทำสิ่งที่เรียกว่า “บังคับเด็กเล่น” โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ  

  1. Co-Curricular Activities (CCAs) เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนวนทดลองกิจกรรมต่างๆ ให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ดนตรี การแสดง และกีฬา เพื่อให้เด็กค้นพบความสนใจของตนเอง
  2. Extra-Curricular Activities (ECAs) เป็นกิจกรรมเสริมหลังเลิกเรียนที่เด็กๆ สามารถเลือกเข้าร่วมได้อย่างอิสระ เด็กอาจจะต่อยอดเลือกกิจกรรมที่เขาสนใจจากที่ได้ทดลองใน CCAs มา หรือเลือกเรียนกิจกรรมอื่นๆ ก็ได้
  3. Clubs and societies เด็กๆ สามารถเลือกเข้าชมรมที่สนใจในระหว่างพักเที่ยงได้อย่างอิสระ

ด้านสุดท้าย คือ การดูแลเด็กในทุกมิติ (Pastoral Care) ครูจะดูแลเด็กทุกคนเหมือนดูแลลูก คอยเฝ้าดูแลและติดตามพัฒนาการ ตั้งแต่วันแรกจนจบการศึกษา โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเด็กในแต่ละช่วงวัย เปิดโอกาสให้เขาได้ทดลองเล่น และเรียนรู้ เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์และเพิ่มพูนความสุข ทั้งนี้เวลาที่เด็กมีปัญหาเรื่องอะไร ครูก็จะเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด ตลอดจนคอยแนะนำแนวทางในการใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่า

สิ่งสำคัญที่ทำให้ King’s Bangkok แตกต่าง คือ การให้ความสำคัญกับทั้ง 3 ด้านไปพร้อมๆ กัน ไม่ได้เน้นแค่ด้านใดด้านหนึ่ง ดังนั้น การให้ความสำคัญกับความสุขและความเป็นอยู่ของเด็ก ควบคู่ไปกับการเรียนการสอนและการทำกิจกรรม พร้อมทั้งดูแลเอาใจใส่เขาอย่างใกล้ชิดด้วยจะช่วยบ่มเพาะให้เขาเติบโตไปได้อย่างงดงาม  

นอกจากโครงสร้างการเรียนการสอน 3 เสาหลักที่กล่าวไปแล้วนั้น ที่ King’s Bangkok ยังมี Core Value หรือค่านิยม 3 ประการ ที่ทำให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะมีมารยาทที่นอบน้อม เป็นคนจิตใจดี มีเมตตา และได้พัฒนาสติปัญญาอย่างเต็มที่ ได้แก่ Good Manners คือ สอนให้รู้จักการมีมารยาทที่ดี ตั้งแต่การไหว้ พูดคุย และการเคารพผู้อื่น, Kindness คือ สอนให้รู้จักการแบ่งปัน และมีจิตใจที่เอื้ออารีต่อผู้อื่น และ Wisdom คือ สอนให้เป็นคนที่ใฝ่เรียนรู้อย่างรอบด้าน ซึ่งการกำหนดค่านิยมเหล่านี้ ไม่ได้มีแค่เฉพาะกับเด็กเท่านั้น แต่ครู อาจารย์ พนักงาน รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองก็ต้องเป็นแบบเดียวกัน

สนับสนุนให้เด็กค้นพบและไล่ล่าความสนใจของตัวเอง

สำหรับวิธีการสนับสนุนให้เด็กแต่ละคนค้นพบความสนใจและผลักดันให้เขาไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการนั้น ทาง King’s Bangkok มีวิธีการดังนี้  

อันดับแรก คือ สร้างทางเลือกที่หลากหลายให้กับเด็ก ผ่านรายวิชาต่างๆ ที่ครอบคลุม โดยนักเรียนชั้น Year 10-11 (ม.3-4) จะเรียนระบบเดียวกับประเทศอังกฤษ เรียกว่า  IGCSE เป็นระบบที่เด็กจะได้เรียนวิชาบังคับ ได้แก่ วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ควบคู่กับวิชาเลือกที่เด็กสามารถเลือกรวมเรียนได้ 8-10 วิชา เพื่อให้เด็กๆ ได้ทดลองเรียนและค้นหาความสนใจของตนเอง โดยที่ยังได้เรียนวิชาที่หลากหลาย และกว้างก่อน สำหรับนักเรียนไทยจะต้องเลือกวิชาภาษาไทยด้วย เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการบังคับ

ส่วนนักเรียนชั้น Year 12-13 (ม.5-6) จะเรียนหลักสูตรที่เรียกว่า A-Level โดยให้เด็กสามารถเลือกเรียนอย่างน้อย 3-4 วิชา ซึ่งเด็กๆ จะได้ลงลึกในด้านที่สนใจมากขึ้น บวกกับมีการทำโปรเจ็กต์ 1 ชิ้น เพื่อให้เขาได้ลงมือศึกษาอย่างเต็มที่ การที่เด็กได้มุ่งเรียนสิ่งที่ตนเองสนใจและหลงใหล แทนที่จะถูกบังคับเรียนวิชาที่ไม่สนใจจะทำให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข และมีความเครียดน้อยลง

เพื่อให้เด็กสามารถเป็นเลิศในด้านที่แต่ละคนสนใจ ทางโรงเรียนจึงต้องจัดหาครูที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาสอน ครูเป็นชาวต่างชาติที่เป็น Native speaker ทุกคน (ยกเว้นครูวิชาภาษาไทย) และครูจำนวนหนึ่งของที่นี่เป็นครูที่เคยสอนที่ King's Wimbledon มาก่อน และจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียน เทคโนโลยี ห้องแล็บ ห้องประชุม รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และสนับสนุนให้เขาได้ค้นพบในสิ่งที่ตัวเองต้องการ  

การวัดผล-การร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง

โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ ยังคงมีเทศกาลสอบกลางภาค-ปลายภาคอยู่ แต่จะไม่มีการจัดอันดับคะแนน และตัดเกรด เพราะมีงานวิจัยชี้ว่า การจัดลำดับคะแนนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กเครียด ดังนั้น ทางโรงเรียนจึงไม่มีการออกเกรดให้กับนักเรียนตั้งแต่ Year 1-9 แต่จะใช้วิธีการประเมินผลว่า เด็กแต่ละคนสามารถทำตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ไหม เกินเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือเปล่า หรือยังต้องปรับปรุงเพิ่มเติม ส่วนนักเรียน  Year 10-13 ที่ต้องสอบ IGCSE และ A-Level อันนี้ก็จะมีการให้เกรด ตามเกณฑ์ ตามคะแนนที่ได้ เนื่องจากเป็นการวัดผลตามมาตรฐานของระบบอังกฤษ

นอกจากการวัดผลด้านการเรียนแล้ว ที่นี่ยังมีการวัดผลด้านพฤติกรรมด้วย ในแต่ละสัปดาห์เด็กที่ทำดีจะได้รับเกียรติบัตร พร้อมทั้งการเขียนชื่นชมว่าวันนี้ สัปดาห์นี้ เขาทำดีเรื่องอะไร สิ่งนี้เรียกว่า ‘Positive Reinforcement’ ซึ่งเป็นหลักการเสริมแรงด้านบวก กระตุ้นให้เขาอยากเรียนรู้ และอยากลงมือทำด้วยตัวเองมากขึ้น

สำหรับวิธีการรายงานผลการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนนั้น ทางโรงเรียนจะรายงานผลด้วยเอกสารที่มีการประเมินตามจุดประสงค์แต่ละวิชา และจะมีการเชิญผู้ปกครองมาพบกับคุณครู เพื่อรับทราบและทำความเข้าใจผลประเมินดังกล่าว ซึ่งนี่เป็นจุดสำคัญที่ผู้ปกครองสามารถสอบถามข้อสงสัยหรือพูดคุยกับคุณครูได้โดยตรง เพราะโรงเรียนมีความเชื่อที่ว่า ‘การเรียนรู้ของเด็กต้องเป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน และผู้ปกครองด้วยกัน’  

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ King’s Bangkok แตกต่างจากที่อื่น คือ เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเข้าไปส่งลูกถึงหน้าห้องเรียนได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ผู้ปกครองมีเรื่องอะไรอยากสอบถามก็สามารถพูดคุยกับครูได้เลยโดยตรง รวมไปถึงมีระบบ SchoolBase ที่คุณครูจะอัปเดตรูปภาพและข้อมูลในระบบพร้อมกันหมด เพื่อรายงานความเคลื่อนไหวของเด็กให้กับผู้ปกครองได้รับทราบอีกด้วย

ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น เพื่อการเรียนรู้อย่างมีความสุข  

เด็กส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการปรับตัวในการย้ายโรงเรียนใหม่ สำหรับ King’s Bangkok เด็กที่ย้ายมาควรมีทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษระดับหนึ่ง เพื่อจะได้ปรับตัวได้ง่ายขึ้น โดยครูจะรู้ว่าเด็กที่เพิ่งย้ายมาใหม่เป็นอย่างไร และจะพยายามกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นประจำ ซึ่งครูทุกคนจะพยายามทำให้เด็กรู้สึก Feel Welcome คือรู้สึกว่าโรงเรียนมีการต้อนรับอย่างอบอุ่น เพื่อทำให้เขาปรับตัวได้เร็วขึ้น และเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข  

ที่ผ่านมาทางโรงเรียนมีการทำแบบประเมินเกี่ยวกับการปรับตัวของเด็ก โดยถามเด็กว่า ครูทำให้พวกเขารู้สึก Feel Welcome ไหม ผลการประเมิน 98% คือ ‘ใช่’ และครูทำให้เขาสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ไหม ผลการประเมิน 95% คือ ‘สามารถทำได้’ นอกจากนี้ โรงเรียนยังได้ทำแบบประเมินเรื่องที่เด็กหลายคนกังวลมากที่สุดคือเรื่องเพื่อน ผลประการประเมิน 98% ตอบว่า Friends are smart and friendly คือ ‘เพื่อนๆ ที่นี่น่ารัก เป็นกันเอง และเก่ง’

ไม่เพียงมีสังคมที่ดีและการต้อนรับอย่างอบอุ่นเท่านั้น ถึงแม้ที่นี่จะเป็นโรงเรียนนานาชาติ แต่ผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าการส่งลูกมาเรียนโรงเรียนนานาชาติจะทำให้เด็กไม่ได้ซึมซับหรือหลงลืมวัฒนธรรมไทย เพราะทางโรงเรียนไม่ได้สอนแค่ภาษาไทยเท่านั้น แต่ยังเน้นการปลูกฝังเรื่องวัฒนธรรมไทยให้กับเด็กทุกคนผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น การทำบุญตักบาตร การละเล่นแบบไทย ฯลฯ ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าเด็กทุกคนจะรู้จักและสามารถประพฤติตนตามวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมไทยได้อย่างแน่นอน  

ปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ มีนักเรียนกว่า 1,100 คน โดยมีสัดส่วนเป็นนักเรียนไทย 80% และนักเรียนต่างชาติ 20% โดยในปีการศึกษามีผู้สมัครที่เป็นนักเรียนต่างชาติเพิ่มสูงถึงประมาณ 1 ใน 3 ทั้งนี้ทางโรงเรียนมีการคัดเลือกเด็กและผู้ปกครองอย่างเข้มข้น โดยจะเลือกเด็กและผู้ปกครองที่มีเป้าหมายเดียวกับโรงเรียนในการพัฒนาเด็กให้เป็นคนที่เก่งรอบด้าน มีจิตใจงดงาม และมีเมตตากับสังคม

เด็กไทยถูกขโมยความสุขจากระบบการศึกษา

ทุกวันนี้เด็กไทยส่วนใหญ่ถูกขโมยความสุขในชีวิตไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบการศึกษาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในหลายๆ ด้าน ในมุมมองของ ศ. (พิเศษ) ดร. สาคร ปัญหาที่เป็นรากฐานสำคัญและต้องแก้ไขให้ได้ก่อนไปแก้ปัญหาอื่น มีอยู่ 3 ข้อ ได้แก่

ข้อหนึ่ง “เริ่มจากความเอาใจใส่ของครู” โดยโรงเรียนบางส่วนในประเทศไทยมีจำนวนนักเรียนต่อห้องสูงถึงประมาณ 50-60 คน ซึ่งมากเกินกว่าที่ครู 1 คนจะดูแลได้อย่างทั่วถึง แต่ถ้าลดลงมาเป็นครู 1 คน ดูแลเด็กเพียง 20-30 คน รวมถึงลดภาระงานของครูให้น้อยลงก็จะสามารถทำให้ครูมีเวลาเอาใจใส่เด็กแต่ละคนได้มากขึ้น  

ข้อสอง “นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มากขึ้น”  เราควรมองเทคโนโลยีให้เป็นโอกาสและหยิบมาใช้งานให้เกิดประโยชน์ เช่น ในการเลคเชอร์ อาจจะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนกับอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านด้วยการสอนผ่านระบบออนไลน์ ส่วนครูก็ปรับบทบาทมาเป็น ผู้สนับสนุน ช่วยตอบปัญหาต่างๆ ในชั้นเรียน อธิบายเสริม และจัดกิจกรรมเสริมการเรียนในห้องเรียน

ข้อสาม “เปิดโอกาสและเปิดทางเลือกให้เด็ก” ทั้งการเรียน การอ่าน และการเล่น ให้เขาได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เช่น ระบบของอังกฤษมีหนังสืออ่านนอกเวลาเยอะมาก เด็กแต่ละคนสามารถเลือกอ่านได้ตามความสามารถในการอ่านและความสนใจ ถ้าครูเลือกสรรหนังสือให้มีความหลากหลายก็จะช่วยสร้างความสุขให้เด็กเยอะมาก

สรุปคือ ถ้าลดจำนวนเด็ก ลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องของครู เพื่อให้ครูเอาใจใส่เด็กได้มากขึ้น นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เปิดโอกาสให้เด็กได้มีทางเลือกมากขึ้น ทั้งทางเลือกในการเล่น การอ่าน การเรียน ศ. (พิเศษ) ดร. สาครบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญที่สุด อย่างน้อยถ้าทำได้ใน 3 เรื่องนี้ เด็กจะมีความสุขและอยากมาเรียนแน่นอน  

การหาจุดสมดุลระหว่างเสรีภาพทางความคิดกับระเบียบของโรงเรียน

King’s Bangkok พึงสอนให้นักเรียนทุกคนรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง พร้อมทั้งส่งเสริมให้แต่ละคนสามารถแสดงออกทางความแตกต่างในแบบของตัวเองได้ แต่ต้องเป็นเรื่องที่ถูกกาลเทศะและมีความเหมาะสม ในขณะเดียวกันก็สอนให้เขาเคารพความแตกต่างของผู้อื่นด้วยเช่นกัน  

โรงเรียนมีการเปิดรับและฟังความคิดเห็น ทั้งครู ผู้ปกครอง และเด็ก และเป็นผู้กำหนดกฎกติกามารยาท โดยเน้นการสร้างค่านิยมที่ดี เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ เช่น โรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนใส่เครื่องประดับราคาแพงมาโรงเรียน แม้จะเป็นสิทธิ์ของเขาแต่อาจก่อให้เกิดปัญหาและส่งผลกระทบต่อผู้อื่นในโรงเรียนได้  

ตัวอย่าง กฎระเบียบของโรงเรียน มีการกำหนดเวลาการเข้าเรียนอย่างชัดเจ เพราะมีการประเมินว่าเด็กพึงได้รับความรู้ในการเรียนแค่ไหน สำหรับเครื่องแต่งกายยังมีเครื่องแบบนักเรียนอยู่ และมีบางวันที่โรงเรียนเปิดโอกาสให้แต่งชุดที่เขาอยากใส่มาได้ แต่ต้องสุภาพและเหมาะสม เพราะท้ายที่สุดแล้วคนเราไม่ได้ต้องการแปลกหรือแตกต่างทุกวัน แต่ต้องการวันที่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องโทรศัพท์ ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้ใช้ในเวลาเรียน แต่ถ้ามีเรื่องด่วนที่จำเป็นต้องใช้ก็สามารถขออนุญาตครูได้ ซึ่งกฎระเบียบต่างๆ ที่มีอยู่โรงเรียนได้มีการชี้แจงและอธิบายเหตุผล เพื่อให้นักเรียนเข้าใจร่วมกัน ซึ่งพอทำการตกลงกันแล้วนักเรียนทุกคนก็เห็นด้วยและยินดีที่จะปฏิบัติตามกันทุกคน

ปลูกฝังให้เด็กเคารพความแตกต่าง ลดปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียน

สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดความรุนแรงและการกลั่นแกล้งในโรงเรียน มาจากการที่เด็กไม่ยอมรับความแตกต่างของผู้อื่น โดยโรงเรียนมีนโยบาย Zero-tolerance กับการ  Bully โดยจะไม่อ่อนข้อกับเรื่องนี้ และต้องลงมือจัดการกับปัญหาในทุกกรณี เพราะเด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะต้องอยู่อย่างมีความสุข  

เมื่อเกิดปัญหาต้องมาดูปัญหาให้ชัดเจนว่าเป็นการบูลลี่จริงไหม เช่น เด็กเล่นกันรุนแรงเฉยๆ หรือเป็นการกลั่นแกล้งต่อเนื่อง ต้องแยกให้ชัดเจนว่าเป็นการเล่นกัน หรือเป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง โรงเรียนจะเรียกเด็กมาคุย และแจ้งให้ผู้ปกครองรับทราบ เพื่อจัดการปัญหา เช่น แยกเด็กทั้งสองคนไม่ให้เล่นกัน และดูแลเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้อีก  

สิ่งสำคัญคือไม่ได้โฟกัสแค่การแก้ไขปัญหาเหล่านี้เท่านั้น  แต่ยังมีการสร้าง Preventive Mechanism หรือเครื่องมือในการป้องกันขึ้นมา โดยพยายามปลูกฝังให้เด็กทุกคนเคารพความแตกต่างของผู้อื่น เพื่อให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข พอเขายอมรับในความแตกต่างซึ่งกันและกันได้ เหตุการณ์ความรุนแรงและการกลั่นแกล้งในโรงเรียนก็จะลดลงไปได้มาก

สิ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาไทย

สิ่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาไทย คือ เป้าหมายทางการศึกษา ระบบเดิมเป็นการเรียนที่ตั้งเป้าหมายเพื่อให้เด็กมีความรู้ มีตัวชี้วัดต่างๆ แต่อยากให้เน้นเป้าหมายที่ทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตทั้งปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีความสุขและมีคุณค่า ไม่ใช่เรียนเพื่อให้รู้แล้วจะได้เก่งอย่างเดียว นั่นหมายความว่า โรงเรียนต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กอยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพื่อที่เขาจะได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าต่อสังคม

 

จากกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นปลูกฝังเรื่องสิทธิ หน้าที่ และการเคารพความแตกต่างของผู้อื่น การสร้างทางเลือกการเรียนรู้ที่หลากหลายและครอบคลุม ตลอดจนเปิดโอกาสให้เด็กได้ลองเรียน ลองเล่น ลองเลือกในสิ่งที่เขาต้องการ ทำให้โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ (King’s College International School Bangkok) สามารถสร้างเด็กที่เก่งรอบด้าน กล้าแสดงออก มีความคิดที่เปิดกว้าง มีมารยาทนอบน้อม และจิตใจเมตตา ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่า มีความสุข และตอบแทนสังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างงดงาม

ทีมงานต้องขอขอบคุณ ศาตราจารย์พิเศษ  ดร. สาคร สุขศรีวงศ์ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพ  รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน สำหรับข้อมูลในบทความนี้ด้วยนะคะ
พี่แป้ง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น