ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ พี่ลาเต้ ว่ายังมีอีกธุรกิจหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบนะครับ นั้นก็คือ ธุรกิจกวดวิชา นั้นเอง...ซึ่งชาวเด็กดีรู้ไหมว่า มีผลสำรวจพบว่า พ่อแม่เกือบร้อยละ 80 นิยมส่งลูกเรียนกวดวิชา รายละเอียดจะเป็นอย่างไรไป อัพเดท กันเลย
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายธนากร คมกฤส หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเครือข่ายครอบครัว กล่าวในการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง "เกือบ 10 ปีปฏิรูปการศึกษา ไยครอบครัวไทยไม่เป็นสุข" ว่า การสำรวจ Family Poll มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว เสียงครอบครัวสะท้อนสังคมเรื่อง "ครอบครัวกับการก้าวสู่ปีที่ 10 ปฏิรูปการศึกษาไทย" ในกลุ่มตัวอย่างผู้ปกครองเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 509 คน พบว่า 41.7% มีบุตรหลานในความดูแล 2 คน ส่วนใหญ่ศึกษามัธยมต้นและมัธยมปลาย
โดยผู้ปกครองถึง 71.9% ส่งเด็กไปเรียนพิเศษ/เรียนเสริม ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่เรียนเสริมมากที่สุด 69% รองลงมา คณิตศาสตร์ 56.9% ฟิสิกส์ 33.6% ภาษาไทย 33% และเคมี 32.4% ด้านกิจกรรมที่ให้เรียนมากสุด ได้แก่ ว่ายน้ำ เล่นดนตรี วาดรูป แบดมินตัน และร้องเพลงตามลำดับ ส่วนสถานกวดวิชาที่นิยมเรียน ได้แก่ โรงเรียนของบุตรหลาน, กวดวิชาเคมี อ.อุ๊, เดอะเบรน, ภาษาอังกฤษคุณครูสมศรี และจ้างครูมาสอนที่บ้าน ตามลำดับ โดยเรียนตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ วันที่เรียนมากที่สุดคือ เสาร์และอาทิตย์ ช่วงเวลา 08.00-12.00 น. รองลงมา 13.00-16.00 น. และหลังเวลา 16.00 น. เหตุที่ส่งไปเรียนเพราะอยากให้ได้ความรู้เพิ่ม อยากให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และจะได้สอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง
นายธนากร กล่าวว่า ส่วนค่าใช้จ่ายเรียนเสริมที่ต้องจ่ายต่อเดือนต่อคน 39.6% อยู่ที่ 1,001-3,000 บาท, 20.7% จ่าย 3,001-5,000 บาท, 9.9% จ่าย 5,001-7,000 บาท, 7% ที่ต้องจ่ายมากกว่า 9,000 บาท และมี 18.6% จ่ายไม่เกิน 1,000 บาท ขณะที่รายได้รวมต่อเดือนของทั้งครอบครัว 26.1% มีรายได้ 10,001-20,000 บาท, 18.7% รายได้ 20,0001-30,000 บาท, 17.9% มีรายได้มากกว่า 50,000 บาท และมีถึง 13.4% ที่มีรายได้ไม่ถึง 10,000 บาท แม้ครอบครัวส่วนใหญ่จะมีรายได้ไม่มากเมื่อเทียบกับรายจ่าย แต่ต้องดิ้นรนส่งลูกหลานเรียนพิเศษและเรียนเสริม
นายธนากร กล่าวว่า ส่วนความรู้สึกที่มีต่อการศึกษาไทยช่วง 10 ปี ตั้งแต่ปฏิรูปการศึกษาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2542 นั้น ผู้ตอบแบบสอบถาม 20.8% ไม่พอใจ รู้สึกเหมือนเดิม, 17.1% ไม่พอใจเพิ่มขึ้น, 37.5% พอใจเหมือนเดิม, มีเพียง 24.6% ที่พอใจเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มที่พอใจบอกว่า สิ่งที่พอใจ 3 อันดับแรก คือ 1.สื่อการสอน/ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 14.6% 2.คุณภาพนักเรียนด้านความดี ความเก่ง ความสุข 14.5% และ 3.การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง 11.3% สิ่งที่ไม่พอใจ 3 อันดับแรก คือ 1.คุณภาพครู 15.9% 2.สวัสดิภาพความปลอดภัยภายใน-ภายนอกโรงเรียน 15% และ 3.คุณภาพนักเรียนด้านความดี ความเก่ง ความสุข 12.2% ส่วนสิ่งที่อยากให้แก้ด่วนคือ การเก็บค่าเรียนไม่เหมาะสม คุณภาพสวัสดิการครู และระบบการเรียนมหาวิทยาลัยแบบไม่ต้องกวดวิชา
นางอำนวยพร เหรียญทองเลิศ ตัวแทนผู้ปกครอง กล่าวว่า จากที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกกับผู้ปกครองหลายๆ ครอบครัวในช่วงการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า พ่อแม่ทุกข์มากขึ้น ความสุขลดน้อยลง เนื่องจากระบบการศึกษาไทยมีปัญหา และรัฐบาลแก้ไม่ตก ปัจจุบันพ่อแม่หลายคนบอกว่าลูกไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษ แต่ต้องจำยอมให้เรียน เพราะหากพิจารณาถึงคุณภาพของสถานศึกษาและคุณภาพของครูแล้ว จะเห็นว่ามีปัญหา ส่งผลถึงคุณภาพของผู้เรียน เป็นเหตุให้เด็กต้องเรียนพิเศษเพราะเห็นว่าเป็นทางออก แต่ในความเป็นจริง การกวดวิชาเป็นทางออกของการศึกษาที่ปลายเหตุเท่านั้น เป็นเพียงทางเลือกของเด็ก เนื่องจากเด็กเห็นว่าการกวดวิชาช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายจากระบบการศึกษา ช่วยต่อยอดจากห้องเรียน สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระบบการศึกษาไทย ที่สำคัญเสริมความมั่นใจให้กับผู้เรียน ทำให้เกิดค่านิยมการกวดวิชา
การห้ามไม่ให้เรียนกวดวิชานั้น พี่ลาเต้ เห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุนะครับ...แต่หากถามว่าปัญหาอะไรที่เป็นต้นเหตุ คนที่ตอบได้ดีที่สุด คงจะเป็นน้องๆ ม.ปลาย หละครับ..ว่าทำไมถึงต้องมาเรียนกวดวิชา พ่อแม่บังคับ หรือสมัครใจ |
23 ความคิดเห็น
แม่มีตังค์!!!!.......
ล้อเล่น....มะก่อนเคยทะเลาะกะแม่....สุดท้ายตกลงกันว่า..
..ถ้าแม่จะให้เรียนต้องเรียนในวิชาที่ข้าพเจ้าอยากเรียน...และกัยสถาบัน+ครูที่ข้าพเจ้าอยากเรียนด้วยเท่านั้น!!!
ส่วนเรื่องราคาแล้วแต่กำลังจ่ายของแม่....
เรียนทุกวิชาเลย เราขอแม่เรียนเอง
เราก็ขอแม่เรียนเองนะ
เพราะต้องการเพิ่มจากการสอนแบบจำเจในโรงเรียน
แล้วก็ไปเน้นวิชาที่คิดว่าจะใช้ตอนเอนท์เยอะสุดอ่ะ
แม่ก็ไม่ว่าไรนะ
แต่ต้องดูกำลังทรัพย์ด้วย
ถึงจะรวยแค่ไหนแต่พ่อกะแม่ก็ไม่อยากให้ฟุ่มเฟือยอ่า
แถมเรียนมากก็เบลอสุดท้ายก็จะไม่ได้อะไรเลย
มันช่วยได้จริงๆน้า
ถ้าเปนเราเราเรียนพิเศษ
เพราะ อาจาร์นที่ร.ร. สอนไม่รู้เรื่อง
ส่วนใหญ่ถ้าจะสอนรู้เรื่องก้ต้องเปน อาจาร์ย ที่มีอายุหน่อย
ถ้าเป็นครูใหม่นะ ไม่เคยรู้เรื่องเลย
น้อยคนที่จะสอนเข้าใจ