EN12 OSTA SE ABRE
มีความผิดที่ลบล้างไม่ได้อย่างนั้นหรือ อำนาจในมือไม่พอที่จะต่อต้านกฎหมายสินะ หาพวกเราให้เจอสิ บานประตูไม้สีซีดที่ซุกซ่อนอยู่ เปิดประตูเข้ามาแล้วเอ่ยเรียกหาพวกเรา โอตร้า เซ อาเบร์ จะลบล้างความผิดให้เอง
[ บทที่ 1 ]
นัยน์ตาสีเหลืองทองทอประกายทอดมองคนตรงหน้า ร่างสูงแกร่งที่พยายามเหยียดกายให้ตรงนั้นตรงข้ามกับสายตาหลุกหลิกที่สอดส่องมองไปทั่ว พื้นที่แคบๆ ที่พวกเขาสองคนยืนอยู่รายล้อมไปด้วยผนังอิฐสีแดง และบานประตูไม้สีขาวซีด
"สวัสดีครับ คุณวิลเฮม ผมโคลวิท เป็นหัวหน้าของโอตร้า เซ อาเบร์ครับ" เขายื่นมือไปข้างหน้า คนที่ยังคงลุกลี้ลุกลนมองมือแกร่งนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือที่สั่นระริกออกมาจับมือของเขา
"วะ..วิลเฮม เรมเบิร์ก"
"เชิญครับ พวกเรารอคุณอยู่นานแล้ว" โคลวิทหมุนตัวมาทางบานประตู ผลักบานไม้เปิดออก แสงประดิษฐ์สีขาวสว่างจ้าออกมาจนคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังต้องหรี่ตา
ภายในห้องขนาดเล็กมีโต๊ะและเก้าอี้ครบครัน ร่างสูงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนจะผายมือเชิญชวนให้คนที่ยังคงมีความหวาดระแวงนั่งลงบ้าง
วิลเฮมขยับตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ภายในห้องเงียบสงัด มีเพียงแต่เสียงลมหายใจนิ่งสงบ กับเสียงลมหายใจขาดๆ หายๆ
โคลวิทมองชายหนุ่มตรงหน้า ขยับรอยยิ้มที่มุมปาก นิ้วชี้ยาวเคาะที่วางเก้าอี้เป็นจังหวะราวกับกำลังรอเวลา เขายังคงไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งมองปฏิกิริยาตอบโต้ของคนที่มาหา
เสียงเปิดประตูเรียกให้ชายในชุดสูทสะดุ้งจนสุดตัว เก้าอี้ไถลถอยไปเกือบเมตร
"กาแฟค่ะ" หญิงสาวผมยาวเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกลิ่นกาแฟที่หอมกรุ่น เครื่องดื่มสีดำสนิทส่งกลิ่นหอมประหลาด กลิ่นเดียวกับที่ดึงดูดเขามาเมื่อครู่ กลิ่นหวานหอมที่เพียงสูดดมเข้าไปจะมีความชุ่มชื้นติดที่ปลายจมูก แต่ในยามที่ถอนหายใจออกมากลับมีความขมเจือจางอยู่ในลำคอ
"กาแฟของโอตร้า เซ อาเบร์ครับ" โคลวิทเอ่ยยามที่หญิงสาวออกจากห้องไป "กลิ่นหอมหวานพิเศษ ที่ปรุงแต่งขึ้นมาโดยเฉพาะ กลิ่นที่มักจะล่อลวงคนที่มีจิตใจที่หวาดกลัวให้ลุ่มหลง ราวกับหนูที่ติดจั่น" วิลเฮมชะงักมือที่กำลังจะยกแก้วกาแฟขึ้น
เขาตวัดนัยน์ตาขึ้นมามอง เจ้าขององค์กรยังคงมีรอยยิ้มบางที่มุมปากให้
"กลิ่นหอมเหล่านี้ มักดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหาโอตร้า เซ อาเบร์ คุณก็รู้สึกเช่นนั้นใช่ไหมครับ คุณวิลเฮม" ไม่มีคำตอบจากคนถูกถาม มีเพียงแต่นัยน์ตาที่สะท้อนความรู้สึกปั่นป่วนในใจตอบกลับมา
" Cuando una puerta se cierra..." เสียงวางแก้วกาแฟดังตามมาในห้องที่เงียบสงบ โคลวิทยังคงมีรอยยิ้ม "...Otra se abre"
"คุณทราบไหมครับ ว่าถ้อยคำที่คุณเอ่ยยามเปิดบานประตูขององค์กรนั้นมีความหมายว่าอย่างไร"
"....ไม่"
"คำคมของภาษาในอดีต เมื่อราวเมื่อหนึ่งพันกว่าปี ก่อนที่แผ่นดินทั้งโลกจะถูกรวมตัวเป็นซัมเมลน ความหมายของคำคมนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างลึกซึ้ง" รอยยิ้มบนใบหน้ายังฉายชัดยามที่เขาจงใจทอดจังหวะ "เมื่อบานประตูบานหนึ่งถูกปิดลง อีกประตูก็จะเปิดขึ้น ยามใดที่หนทางของคุณมืดสนิท ขอให้รู้ไว้ว่าจะมีทางออกอีกทางรอคอยคุณอยู่เสมอ"
"มีสิ่งใดให้โอตร้า เซ อาเบร์รับใช้หรือครับคุณวิลเฮม ความผิดใดที่คุณก่อ แจ้งแถลงไขให้ทางเรารับฟังสิครับ" คนถูกถามเงียบไป เขากระพริบนัยน์ตาถี่
แม้จะรู้ว่าตัวเองมีความผิดอะไร แต่หากจะให้เขาเอ่ยมันออกไปเขากลับทำไม่ได้ คำพูดทั้งหมดติดค้างอยู่ในลำคอ เขาพยายามที่จะเปล่งเสียงออกมา ทว่าร่างกายเหมือนลืมเลือนวิธีการพูดไปแล้ว
รอยยิ้มสมเพชปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนรอฟังครู่หนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
"การทำความผิดดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาในยุคนี้เสียแล้ว แต่ก็น่าแปลกดีนะครับ ที่การยอมรับความผิดกลับดูเป็นเรื่องยากและไม่ธรรมดาเสียเลย" มือหนาเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพาตรงหน้าตัวเองออก เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถฉายภาพขึ้นบนอากาศได้โดยไม่ต้องมีอะไรรองรับ
ข้อมูลการกระทำผิดมากมายล่องลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสองคน
"ปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์"
"ข่มขืน กระทำชำเรา ผู้เยาว์ต่ำกว่า 16 ปี" นัยน์ตาสีเหลืองทองฉายแววประหลาดที่ทำให้คนมองเสียวสันหลังวูบ
"จะถูกส่งตัวขึ้นไปทางเหนือในอีกสี่วันข้างหน้านี้สินะครับ" เขาหลบนัยน์ตานั้นก่อนจะพยักหน้าแกนๆ ราวกับไม่อยากจะยอมรับ โคลวิทหัวเราะขึ้นจมูก เขาดันโทรศัพท์มือถือเครื่องบางไปที่ตรงหน้าอีกฝ่าย
วิลเฮมก้มลงมอง หน้าจอขนาดใหญ่แสดงแอพลิเคชันของธนาคารมืดในบลังกา ธนาคารที่เป็นที่รู้จักในวงการผิดกฎหมาย เพราะไม่ว่าจะกระทำการสิ่งใดจะไม่มีประวัติและร่องรอยให้สืบหา
"โอตร้า เซ อาเบร์ ไม่มีค่าจ้างที่ตายตัว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณวิลเฮม หากคุณจ่ายให้พวกเราเยอะ ชีวิตคุณก็จะสบาย เชิญกรอกตัวเลขที่คุณต้องการครับ" เขาเม้มริมฝีปากแน่น ในหัวครุ่นคิดแต่คำว่า 'เยอะ' ที่อีกฝ่ายกล่าวมา
คำว่าเยอะมีความหมายกว้างเกินกว่าที่เขาจะตีความได้ เยอะของเขากับเยอะของโอตร้า เซ อาเบร์มีมาตรวัดที่ต่างกันหรือไม่ เขาจะรู้สิ่งนี้ได้อย่างไร
เสียงเคาะโต๊ะเป็นจังหวะทำให้เขาหลุดจากภวังค์ เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนที่ยังคงมีรอยยิ้มมุมปาก
"คุณวิลเฮมคิดว่า ชีวิตของคุณมีค่ากี่ยูนิตหรือครับ" แผ่นหลังที่หดเกร็งขยับ ท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและกังวลเลือนหาย คำถามสั้นๆ นั้นทำลายทุกความสงสัยในหัวใจของคนฟัง
เขาหยุดคิดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ก็คือชีวิต
ทันทีที่เขากดโอนเงิน โทรศัพท์มือถืออีกเครื่องในมือของโคลวิทก็ดังขึ้น เมื่อเขาเห็นตัวเลขที่ถูกโอนเข้ามา รอยยิ้มมุมปากก็แปรเปลี่ยน เขาหัวเราะขึ้นจมูกอีกหนึ่งครั้ง
เสียงเคลื่อนเก้าอี้ดังขึ้น พร้อมกับมือที่ผายมาตรงหน้า
"โอตร้า เซ อาเบร์ยินดีรับใช้ครับคุณวิลเฮม ค่ำคืนนี้หลับให้สบาย วันพรุ่งนี้จะมีรถไปรับคุณที่บ้านแต่เช้า ไปพักผ่อนที่เมืองทางตอนเหนือสักระยะก็ไม่ค่อยเลวนะครับ"
"...ฉัน...อยู่บลังกาไม่ได้แล้วอย่างนั้น...หรือ" แม้ริมฝีปากอีกฝ่ายจะไม่ขยับ แต่ความรู้สึกของรอยยิ้มที่ถูกส่งผ่านมาก็ทำให้คนฟังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ จนร่างกายสั่นระริก
"คุณคิดว่ามันมีทางเลือกมากมายแค่ไหนให้คุณเลือกหรือครับ" แผ่นหลังที่พยายามยืดตรงให้สง่างามห่อลงอีกครั้ง "เลิกพะวักพะวนแล้วกลับบ้านไปพักผ่อนให้สบายเถอะครับ ไม่มีอะไรต้องคิดอีกแล้ว หลังจากนี้ โอตร้า เซ อาเบร์จะจัดการทั้งหมดให้คุณเอง"
เจ้าขององค์กรขยับตัวเดินไปเปิดประตู มือหนาผายออกไปข้างนอก พอเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน เขาก็เอ่ยคำพูดสุดท้ายออกมา
"โลกนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ ความผิดที่ว่าทำง่ายแล้ว การลบล้างความผิดมันทำง่ายเสียกว่าอีก คุณวิลเฮมก็คิดเหมือนผม ใช่ไหมครับ"
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าทะเล้นของชายหนุ่มคนหนึ่งโผล่มาที่กรอบบาน โคลวิทขยับมืออนุญาต ร่างใหญ่จึงเดินเข้ามา มือทั้งสองข้างถือกล่องเหล็กใบหนึ่งเข้ามาด้วย เบื้องหลังร่างแกร่งคือหญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สีขาวสะอาดตากับแฟ้มเอกสารในมือ ทั้งสองนั่งลงตรงหน้าเขา
อลันโซ่ มือขวาของเขา เพื่อนคู่หูที่คอยตัดสินใจอะไรหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกัน
เทเรซิน่า นักวิจัยขององค์กร มันสมองคนสำคัญที่ทำให้องค์กรเคลื่อนไหว
คนตัวใหญ่ทำจมูกฟุดฟิด มือใหญ่วางกล่องเหล็กลงบนโต๊ะ "รับแขกด้วยกาแฟอีกแล้วหรอบอส ระวังเถอะ สักวันกลิ่นกาแฟนี้จะติดตัวไปนะ"
"กลิ่นติดตัวโคลไปแล้วต่างหาก" เทเรซิน่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย อลันหัวเราะลั่น เขาเปิดกล่องเหล็กแล้วหันมาให้คนที่นั่งเงียบอยู่
"เซอิสเข้ามารายงานตัวเมื่อเช้าแล้วน่ะ" โคลมองหลอดเข็มฉีดยาในกล่องนั้น ของหนืดสีเหลืองขุ่นที่อัดแน่นอยู่ภายในเคลื่อนไหวเชื่องช้าราวกับหอยทากที่กำลังเดินไปข้างหน้า เขาหยิบมันขึ้นมาเพ่งมองกับแสงไฟ กลิ่นคาวอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก
"รอจด์มีแมลสีเหลืองอ่อนอย่างนั้นหรอ"
"ใช่ ตรงตามที่คาดการณ์ไว้ ความชั่วร้ายในระดับสาม" หญิงสาวคนเดียวในห้องเป็นผู้ตอบออกมา เขาขยับรอยยิ้มมุมปาก
'แมล' คือของหนืดชนิดหนึ่งในร่างกายของมนุษย์ ถูกสะสมอยู่บริเวณต่อมใกล้ไขสันหลัง ของหนืดชนิดนี้ไม่ได้มีหน้าที่ใดเป็นพิเศษ สามารถดูดออกมาจากร่างกายได้โดยที่เจ้าของร่างไม่มีอันตรายใดๆ แมลมีสีสันที่แตกต่างกัน สีเหล่านั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพของจิตใจและพลังกายที่มากล้น หากจิตใจแฝงไปด้วยความชั่วร้ายสีสันของแมลจะเข้มขึ้นตาม
'แมล' คือเป้าหมายหลักของโอตร้า เซ อาเบร์ พวกเขาส่งตัวแทนเข้าไปอยู่ในคุกเพื่อค้นหาเจ้าของของหนืดเหล่านี้ และขโมยออกมาด้วยวิธีการต่างๆ
รัฐบาลที่เน่าเฟะ การปกครองที่น่ารังเกียจ ระบอบที่ขึ้นอยู่กับศูนย์กลางที่พังทลาย โอตร้า เซ อาเบร์จะพังมันลงให้ราบคาบ สถาปนากลุ่มตัวเองขึ้นเป็นศูนย์กลางใหม่
และ 'แมล' คือตัวการสำคัญที่ขับเคลื่อนให้แผนการเดินไปข้างหน้า
"เธอยังต้องการแมลสีอะไรอีกนะเทเรซ" โคลวิทเก็บของในมือกลับเข้าที่ ขยับนัยน์ตาสว่างไสวไปหาหญิงสาว มือบางเปิดแฟ้มที่ถืออยู่
"สีใสขุ่นกับสีเหลืองเข้มอมส้ม ทั้งสองสีมีอยู่ในเรือนจำทางตอนเหนือที่นายเพิ่งรับงานไปเมื่อเช้า"
"นายจะเอายังไงบอส"
"ตัวแทนที่สองกับตัวแทนที่สามยังอยู่ที่บลังกาหรือเปล่า" อลันโซ่เลิกคิ้วขึ้น เขาหยิบคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กขึ้นมาเปิดดู
คนที่องค์กรส่งเข้าไปทำงานในเรือนจำจะถูกเรียกว่าตัวแทน ทุกคนจะมีชื่อเป็นลำดับตัวเลข เรียงตามความสามารถที่ตัวเองมี 'เซอิส' คือลำดับที่หกขององค์กร
"ทั้งโดสทั้งเตรซยังอยู่ในบลังกาทั้งคู่ นายจะให้ตามตัวเข้ามาในองค์กรเลยหรือเปล่า" โคลวิทพยักหน้า "งานนี้นายจะใช้ทั้งสองคนนี้หรอ งานมันยากขนาดต้องใช้มือสองกับมือสามเลย"
"พวกเรายังไม่มีแผนที่เรือนจำทางตอนเหนือที่แน่ชัดน่ะ แล้วก็อีกอย่าง ชื่อของอาชญากรที่เทเรซแจ้งมาเป็นมือดี ทางเราก็ต้องส่งมือดีของเราเข้าไปจัดการ อีกอย่าง น่าจะมีแค่ทั้งสองคนที่ปลอมตัวได้ใกล้เคียงกับวิลเฮมมากที่สุด"
"แล้วนายจะจัดการกับทางออกยังไง ฉันเห็นยอดเงินที่หมอนั่นโอนเข้ามาแล้ว จะใช้หุ่นตัวตายเหมือนกรณีของเอลมาร์คงไม่ได้ ยังไงหลังจากนี้เขาก็ต้องกลับมาอยู่ที่บลังกาให้ได้ จะปล่อยให้โดยบันทึกว่าเป็นบุคคลเสียชีวิตแล้วไม่ได้เด็ดขาด" เขาขยับรอยยิ้มอีกครั้ง มือหนาขยับไปหยิบหุ่นพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาดู
หุ่นตัวตายที่อลันโซ่เอ่ย คือหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ของโอตร้า เซ อาเบร์ หุ่นพลาสติกที่ผลิตขึ้นมาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของมนุษย์ที่อัดแน่น ทันทีที่ดึงจุกที่ปิดอยู่ออก สารเคมีภายในจะทำปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน ขยายเนื้อเยื่อเหล่านั้น เปลี่ยนหุ่นพลาสติกให้กลายเป็นร่างเย็นชืดไร้ลมหายใจของมนุษย์คนหนึ่ง ร่างกายที่หยุดการทำงานด้วยสาเหตุง่ายๆ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
การทำงานที่ไร้ระเบียบทำให้ไม่มีการตรวจสอบนักโทษที่ตายในเรือนจำอย่างละเอียด เมื่อรู้สาเหตุการตายก็จะโยนลงทะเลอย่างไม่ใส่ใจ กระบวนการตรวจสอบที่พังทลาย แม้จะเอื้อประโยชน์ให้กับองค์กรของพวกเขา แต่ทุกครั้งที่คิดถึงก็รู้สึกขยะแขยง
"ถ้าฉันจำไม่ผิด ที่เรือนจำกลางมีคนของเราอยู่ใช่หรือเปล่า" อลันโซ่พยักหน้า "คงต้องป่วนระบบการทำงานของเรือนจำกลางเสียหน่อยแล้วแหละ"
เสียงเดินไปมาในอาคารสีเทาหม่นทำให้บรรยากาศหมองมัวของเรือนจำกลางบลังกาคึกคักกว่าที่ควรจะเป็น อากาศดีๆ ในวันนี้ยิ่งทำให้การทำงานคึกคักขึ้นกว่าวันอื่นๆ
นัยน์ตาคมสวยจ้องมองหน้าจอขนาดใหญ่ตรงหน้า แสงสว่างจ้าไม่ทำให้เธอสะทกสะท้าน ยังคงมองภาพของเอลมาร์และข้อมูลรายละเอียดที่มีอันน้อยนิด
ฟลอดิน่า เธอเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลเครือข่ายของเรือนจำทั้งหมดของบลังกา รายชื่อและรายละเอียดต่างๆ ของนักโทษทุกคนจะถูกส่งมาทางเธอก่อนที่เธอจะแจกจ่ายไปยังเรือนจำปลายทาง ดังนั้นนักโทษที่เสียชีวิตจะถูกส่งชื่อกลับมาทางเธอเช่นกัน
เธอกดบันทึกรูปของเอลมาร์ เก็บรายละเอียดการเสียชีวิตที่ระบุเพียงแค่ว่า หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเข้าไปในแฟ้มลับในคอมพิวเตอร์ เรื่องราวที่น่าสงสัยที่เธอพบเจอ เธอเก็บมันไว้เสมอ
หนึ่งในเรื่องที่สร้างความแคลงใจให้กับเธอมานานจนมาถึงวันนี้ คือการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของนักโทษในเรือนจำ ภายในสามปีที่ผ่านมามีนักโทษ 6 คน ที่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ฟังดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
ทว่านักโทษทั้ง 6 คนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกัน สิ่งนั้นคือ ฐานะทางการเงินที่มากล้น แต่อำนาจที่อยู่ในมือนั้นร่อยหรอ ทุกคนคือนักโทษที่ถูกตราหน้าว่า ชั่วช้าแต่ไร้พลัง
หลายคนบอกเธอว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
แต่สำหรับเธอแล้ว 'ความบังเอิญไม่มีอยู่จริงในโลกนี้'
ต้องมีเรื่องราวบางอย่างซุกซ่อนอยู่ เธอรู้สึกราวกับว่ามองเห็นมันอยู่ในนั้น แต่เมื่อเธอพยายามเพ่งมองมัน เธอกลับมองไม่เห็นสิ่งใด
เธอจะค้นหาสิ่งนั้นให้เจอ
"ฟลอดิน่า วันนี้ก็ดื่มกาแฟอีกแล้วหรอ" เสียงหวานใสทำให้เธอละความสนใจจากหน้าจอ นัยน์ตาสวยคมหันไปมองเพื่อนสนิทที่เพิ่งเข้ามาในที่ทำงาน มือบางยกแก้วกาแฟในมือขึ้น
"เธอนี่ติดกาแฟจริงๆ เลยนะ"
"ไม่ใช่ติด แต่เป็นติดมากเลยแหละ" อีกฝ่ายหัวเราะกับคำพูดของเธอ ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรต่อ ใบหน้าที่เธอมองอยู่ก็เปลี่ยนสีไปอย่างกะทันหัน นัยน์ตากลมโตแทบจะถลนออกมาจากเบ้า และสิ่งที่กำลังมองอยู่ก็คือคอมพิวเตอร์ที่เธอใช้งานอยู่
เธอหันกลับมามองทันที
แก้วกาแฟในมือร่วงหล่น
มีเสียงแปลบๆ ดังขึ้นพร้อมกับควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากตัวประมวลผลหลักของคอมพิวเตอร์ กลิ่นเหม็นไหม้คลุ้งจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก
"ฟลอร์!" เธอสะดุ้งสุดตัว ร่างโปร่งบางลุกพรวด ถอยตัวหนีออกมาหลายก้าว จังหวะที่วิ่งมาถึงประตู เธอก็ได้ยินเสียงระเบิดดัง หูทั้งสองข้างของเธอมีแต่เสียงวี้จนทำให้อึดอัดไปทั้งสมอง
พอเปิดตาขึ้นมามอง คอมพิวเตอร์เครื่องโปรดของเธอก็เละเทะราวกับว่าเป็นแค่เศษเหล็กบนกองขยะที่ไม่มีใครเหลียวแล
ขาเรียวเตะฝุ่นด้วยความหงุดหงิด เธออยากกรีดร้อง กระทืบเท้าแรงๆ ระบายอารมณ์ทั้งหมดออกมา แต่เธอทำไม่ได้ เพราะเธอยืนอยู่หน้าเรือนจำกลางของบลังกา นิ้วเรียวทั้งสิบขยับไปมา เธอพยายามอดกลั้นอารมณ์ทั้งหมดไม่ให้ระเบิดออกมาเหมือนคอมพิวเตอร์ของเธอ
ร่างโปร่งบางกระแทกตัวลงนั่งกับบันไดหิน ไม่นำพาว่ากางเกงสีเข้มของเธอจะเปรอะเปื้อน
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อเช้าผ่านไป เธอก็แจ้งเจ้าหน้าที่และช่างเข้ามาตรวจสอบ ช่างแจ้งว่าไฟฟ้าลัดวงจรทำให้เครื่องร้อนผิดปกติจนเกิดระเบิดขึ้น ไม่แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่เหลืออยู่นั้นจะสามารถกู้คืนงานทั้งหมดได้หรือไม่
เธอไม่ได้กังวลเรื่องงาน เพราะถ้าเป็นงานเธอจะสำรองไว้ในระบบเสมอ แม้ข้อมูลที่เธอพยายามรวบรวมมาจะอยู่แค่ในคอมพิวเตอร์ เธอไม่ได้กังวล มีเพียงแค่ความเสียดาย
แต่สิ่งที่ทำให้เธอโมโหจนแทบจะเต้นเร่าๆ คือการทำงานของเรือนจำ
การระเบิดที่แม้จะเป็นเพียงการระเบิดเล็ก แต่ก็เกิดขึ้นในอาณาเขตของเรือนจำ เจ้านายของเธอไม่อยากให้เรื่องบานปลาย จึงสั่งให้เธอไปซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่มาด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านระบบราชการ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายให้เบิกตามมาทีหลัง
ระบบห่วยแตก! แค่ต้องการรักษาหน้าตาของตัวเองก็ใช้เท้ากลบเรื่องทั้งหมดโดยไม่ใส่ใจเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่มีคำถามหรือการสืบสวนว่าทำไมคอมพิวเตอร์ถึงระเบิด เธอไม่เชื่อหรอกว่าอุปกรณ์ที่เธอเพิ่งเปิดได้ไม่ถึง 10 นาทีจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจรจนเครื่องร้อนแล้วระเบิดได้
เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ
แต่เจ้านายไม่เปิดโอกาสให้เธอถาม กลับสั่งให้ช่างยกคอมพิวเตอร์ของเธอไปเพื่อตัดปัญหา
งี่เง่า!
แล้วก็ใช้เธอมาซื้อคอมพิวเตอร์แบบนี้ เธอเก่งเรื่องเทคโนโลยีที่ไหน เกิดซื้อมาแล้วไม่สามารถใช้งานได้ตามมาตรฐานของเรือนจำ ใครจะต้องรับผิดชอบ
ก็เธอไง!
"คุณผู้หญิงครับ" เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือหัว เธอตวัดใบหน้างอง้ำขึ้นไปมอง ริมฝีปากอ้าออกจะพร้อมจะตวาด แต่นัยน์ตาสีเหลืองทองทอประกายที่กำลังมองมาด้วยความอบอุ่นรั้งให้เธอชะงัก
กลิ่นขมที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนลอยมาแผ่วเบา
"ผมเป็นพนักงานใหม่ของเคซิเมียนโต้ครับ ถ้าคุณผู้หญิงไม่รังเกียจ รบกวนรับใบโฆษณาจากผมไปด้วยนะครับ" มือหนายื่นแผ่นพลาสติกสีดำสนิทมาตรงหน้าเธอ ตรงกลางมีสัญลักษณ์ตัว C ตัวใหญ่ ล้อมรอบด้วยลายเส้นมากมายที่ชวนฉงน
"นำแผ่นนี้ไปทาบกับโทรศัพท์มือถือ คุณก็จะสามารถดูผลิตภัณฑ์ของทางร้านเราได้ทันทีครับ" แม้เธอจะหงุดหงิดอยู่ แต่กลิ่นขมที่ปลายจมูก กับนัยน์ตาที่มองมาก็ชักจูงให้เธอรับของมา เธอก้มลงมองด้วยความสนใจ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ยินชื่อ 'เคซิเมียนโต้' แต่เธอไม่เคยใส่ใจว่าร้านนี้คือร้านอะไร
"เคซิเมียนโต้ แบรนด์ที่อยู่คู่บลังกามาหลายปี หากคุณผู้หญิงต้องการสิ่งใด เรามีทุกสิ่งให้เลือกสรรครับ ตั้งแต่ของใช้ประจำวันไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ครบครัน" นัยน์ตาคมดุตวัดขึ้นมามอง
"ขายคอมพิวเตอร์ด้วยหรือคะ"
"ครับผม เรามีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำด้วยนะครับ" ริมฝีปากสวยระบายรอยยิ้มโล่งใจออกมา เธอก้มใบหน้าลงมองแผ่นสีดำในมืออีกครั้ง จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่มปริศนาตรงหน้าเธอ


OSTA SE ABRE
คอมเมนท์สุดท้าย ขออนุญาตแนะนำเรื่องสำนวนการเขียนซักหน่อยนะครับ : )
เรื่องนี้มีอยู่ 2 จุด ที่ถ้าแก้ไขแล้วสำนวนการเขียนจะดีขึ้นทันตาเห็น
1. พยายามใส่ประธานเข้าไปในประโยคด้วยนะครับ
เช่น:
[ได้ยินเสียงปืน สังเกตจนรู้ว่าเขาอยู่ในอาคารนี้]
- แม้ว่าถ้าอ่านต่อเนื่องมาจากย่อหน้าก่อนๆ ผู้อ่านย่อมรู้ว่านี่พูดถึงใคร
แต่อย่างไรก็ตาม ในการขึ้นย่อหน้าใหม่ ยังไงก็ควรใส่ประธานเข้าไปด้วยนะครับ
ไม่งั้นจะเกิด 'ภาพแหว่ง' ในหัวผู้อ่าน ทำให้สะดุด/ ติดขัด
[นัยน์ตาสีเหลืองทองหรี่ต่ำ พยายามรวบรวมความคิดให้กลับมาเข้าที่]
- ตรงนี้ก็เป็นช่วงขึ้นย่อหน้าใหม่เช่นกัน
กรณีเดียวกันเลยครับ
พอเราละประธานที่เป็นบุคคลไป
กลายเป็นว่า สิ่งที่ [พยายามรวบรวมความคิดให้กลับเข้าที่] นั้นก็คือ 'นัยน์ตา' ไม่ใช่เจ้าของนัยน์ตา
2. เป็นคนที่เขียนอากัปกิริยาของตัวละครละเอียดมากนะครับ
ซึ่งงานเขียนเป็นสิ่งที่ประหลาดอย่างหนึ่ง
ยิ่งเราเขียนน้อย ผู้อ่านจะได้ภาพมาก
แต่ถ้าเราเขียนมาก ผู้อ่านจะได้ภาพน้อย
> <
หวังว่าคอมเมนท์ครั้งสุดท้ายนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช