
EN17 ภารกิจแจกรักของกามเทพพันธุ์พิลึก
คุณเชื่อเรื่องกามเทพไหม? แล้วถ้ากามเทพนั้นเป็นหนุ่มมาดร็อคสุดอินดี้แบกอาวุธสงคราม คุณยังจะเชื่อไหม? จงลืมทุกกามเทพที่คุณเคยรู้จัก เพราะนี่คือกามเทพพันธุ์พิลึกที่จะมาแจกรักให้กับพวกคุณ!
บทที่ 2
กามเทพแบบนี้ก็มีด้วย?
“รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะ” บทพูดประจำกับรอยยิ้มพิมพ์ใจจากพนักงานร้านสะดวดซื้อชื่อดังถูกส่งมาให้กับชายร่างท้วมอย่างเป็นมิตร ในขณะที่อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มรับและส่ายหน้าเท่านั้น
แล้วชายร่างท้วมในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนก็หันหลังเดินออกจากร้านไป และในจังหวะเดียวกับที่ประตูอัตโนมัติเปิดออก เขาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวผมสั้นที่สูงยาวเข่าดี ขาว สวย หมวย เซ็กซี่ตรงสเปคชายไทย จนทำให้ชายร่างท้วมเผลอมองตามตาค้าง
ในตอนนั้นเองก็มีแสงสะท้อนจุดเล็กๆ มาจากบนยอดตึกสูงฝั่งตรงข้ามกับที่ชายร่างท้วมยืนอยู่ แล้วฉับพลันนั้นก็มีเสียงวัตถุบางอย่างพุ่งแหวกอากาศดังขึ้นแล้วเจ้าสิ่งนั้นก็พุ่งทะลุกลางหน้าอกด้านซ้ายของชายร่างท้วมจนร่างของเขาล้มหงายหลังกระแทกพื้นพร้อมกับเลือดสีแดงสดที่สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณก่อนที่เจ้าตัวจะทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“เฮ้ย!” ชายร่างท้วมสะดุ้งสุดตัวรับตาลีตาเหลือบใช้มือลูบคล้ำร่างกายตัวเองไปทั่วก่อนจะถอดหายใจอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าตัวเองยังอยู่ปกติดีไม่ได้มีรูบนหน้าอกข้างซ้ายจึงรีบหันไปมองสาวคนเมื่อครู่อย่างเคลิบเคลิ้มอีกครั้ง
“อ่า สวยโดนใจราวกับถูกปืนไรเฟิลยิงทะลุอกอย่างไรอย่างนั้นเลย” ชายร่างท้วมพูดขึ้นด้วยเสียงมีความสุขอย่างที่สุดพลางเอามือกุมหน้าอกด้านซ้ายของตนเอาไว้
<><><>
กริชญะมองลงไปเบื้องล่างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง แม้ว่าเขาจะอยู่สูงมากจนมองแทบไม่เห็นก็ตาม แต่เขากลับสามารถรับรู้ได้ราวกับตัวเองไปยืนอยู่ข้างชายร่างท้วมตอนที่โดนยิงทะลุอกนั้น แม้เขาจะไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยังไงก็ตาม
แล้วทันใดนั้นเหมือนทุกอย่างกลายเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อพบว่าชายคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนเลยราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
กริชญะสะบัดหน้าเรียกสติอีกครั้งก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มมาดร็อค ซึ่งตอนนี้ปืนไรเฟิลในมือได้สลายกลายเป็นละอองแสงหายไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เขาอดที่จะตกตะลึงตาโตและสับสนไม่ได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อครู่เขามั่นใจว่าเห็นชายตรงหน้าลั่นไกปืนไปแล้วแน่นอน จึงรีบก้มลงไปดูข้างล่างแม้ไม่แน่ใจว่าจะมองเห็นอะไรไหมก็ตาม แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อทันทีที่ก้มลงไปมองเบื้องล่าง เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูดไปโผล่ข้างๆ ชายร่างท้วมในจังหวะเดียวกับที่กระสุนพุ่งทะลวงร่างของชายคนนั้นและพอรู้สึกตัวอีกทีเขาก็กลับมายืนอยู่บนดาดฟ้าพร้อมกับที่ชายคนนั้นยังเป็นปกติดีทุกอย่าง
และแม้ว่าตอนนี้กริชญะจะรู้สึกสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหมือนไปยืนอยู่ข้างชายร่างท้วมได้ แล้วทำไมคนที่เขามั่นใจโดนยิงไปแล้วแน่ๆ ถึงยังอยู่รอดปลอดภัยครบสามสิบสอง แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือ หนุ่มมาดร็อคคนนี้ต้องสามารถให้คำตอบทั้งหมดกับเขาได้แน่
“นายเป็นใครกันแน่ แล้วเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น?”
“หืม? ฉันก็เป็นกามเทพน่ะสิ”
“.........” กริชญะนิ่งเงียบทันทีที่ได้ยินคำตอบจากหนุ่มมาดร็อคที่ตอบกลับมาอย่างหน้าตาเฉยราวกับเป็นเรื่องปกติ ก่อนเจ้าตัวจะถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้ฟังผิดไป
“นายว่านายเป็นอะไรนะ ฉันฟังไม่ค่อยชัด”
“ฉันเป็นกามเทพ” และคนตรงหน้าก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“เมื่อกี้ตกลงมาหัวคงไปกระแทกอะไรเข้าสินะ ปวดหัวตรงไหนหรือเปล่า?” กริชญะเดินเข้าไปถามอีกฝ่ายเป็นห่วงพลางทำท่าจะจับหัวอีกฝ่ายเพื่อดูว่าเป็นแผลอะไรไหม แต่ก็โดนอีกฝ่ายปัดมือทิ้งทันทีเหมือนกัน
“หยุดเลยนะ! อย่าบังอาจมาแตะต้องทรงผมอันสง่างามของฉันเชียว แล้วฉันก็ไม่ได้เป็นบ้าหรือหัวกระแทกอะไรทั้งนั้น แต่ฉันคือกามเทพตัวจริงเสียงจริงแท้ๆ ไม่ใช่ของก็อบแน่นอน” แต่กริชญะยังคงจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัยปนหมั่นไส้นิดๆ ก่อนจะคิดได้ว่าตัวเองอาจจะเข้าใจความหมายผิดไปคนละอย่างกับอีกฝ่ายก็ได้ จึงลองถามออกไปอีกครั้ง
“กามเทพ...เทพกาม...เทพหื่นกามสินะ แหม นายนี่ถึงจะเป็นคนหมกมุ่นในเรื่องอย่างว่าขนาดไหนก็ไม่ควรแสดงออกชัดเจนขนาดนี้นะ เก็บๆ ไว้หน่อยก็ดี เพราะฉันล่ะอายแทนจริงๆ”
“ไม่ใช่เว้ย! ก็บอกแล้วไงว่าฉันคือ กามเทพ เทพแห่งความรักและยังเป็นกามเทพที่ทรงเสน่ห์ที่สุดในสามโลก ผู้มีนามว่า ‘เรนัส’ ต่างหากล่ะไอ้แว่น!”
‘แถมยังหลงตัวเองแบบสุดๆ อีกด้วย’ กริชญะแอบต่อประโยคให้ในใจ ก่อนจะคิดได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่เขาต้องสนใจจริงๆ มันคืออีกเรื่องต่างหาก
“เมื่อกี้นายเรียกใครว่าไอ้แว่น!” กริชญะถามกลับอย่างเอาเรื่อง
“อ้อ ไม่ชอบชื่อนี้ งั้นก็ ‘ไอ้สี่ตา’ เป็นไง?” แต่เรนัสก็หาได้สะทกสะท้านไม่แถมตอกกลับไปด้วยรอยยิ้มเยาะอีกต่างหาก
“โอ๊ยยย ไอ้เทพหื่นกาม!”
“ก็บอกแล้วไงว่ากามเทพๆ กามเทพน่ะรู้จักไหม”
“กามเทพน่ะรู้จัก แต่ไม่ใช่ไอ้เกรียนหัวตั้งแบบนายแน่ๆ”
“เว้ย! แล้วรูขุมขนตรงไหนบนตัวของกระผมที่มันบอกว่าไม่ใช่กามเทพกันลองบอกมาหน่อยสิไอ้สี่ตา!” เรนัสโวยกลับบ้าง แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจที่โดนว่าเป็นเกรียนซะอย่างนั้น
“ก็ทุกรูขุมขนนั้นล่ะเฟ้ย!” กริชญะสวนกลับจนเรนัสได้แต่กัดฟันกรอดเตรียมจะสรรหาคำด่ากลับไปบ้าง แต่ก็โดนกริชญะชิงตัดหน้าเสียก่อน
“แต่ถ้านายยืนยันขนาดนั้น ไหนลองบอกมาสิว่ากามเทพที่เป็นความเชื่อทางฝั่งยุโรปมาทำบ้าอะไรในประเทศไทยอย่างนี้มิทราบ?” กริชญะยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะเมื่อเจ้าตัวสามารถไล่ต้อนอีกฝ่ายสำเร็จ
“หึ” แต่เรนัสกับส่งเสียงในลำคอพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้สีหน้ามั่นใจของกริชญะต้องเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว
“งั้นจะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน กามเทพอย่างพวกฉันก็มีกระจายกันอยู่ทั่วโลกนั้นล่ะ ไม่ใช่จำกัดว่าต้องอยู่แค่ในแถบยุโรปสักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่ว่าในไทยไม่มีเทพแห่งความรักหรอกนะแต่เพราะส่วนใหญ่พวกท่านจะมีศาลเป็นของตัวเองทำให้แค่จำนวนคนที่มาบนบานศาลกล่าวพวกท่านก็มีงานล้นมือแล้ว ถ้ายังจะให้พวกท่านมาคอยดูแลคู่รักอื่นๆ อีกก็คงไม่ไหว พวกฉันเลยถูกส่งให้มาช่วยงานพวกท่านน่ะสิ” เรนัสอธิบายยาวเหยียดทั้งยังมีท่าทีที่นอบน้อมให้ความเคารพแก่เหล่าเทพองค์อื่นในตอนที่เอ่ยถึงผิดกับรูปลักษณ์ของเจ้าตัวอย่างมาก ทำให้กริชญะเกือบจะหลงเชื่อไปแล้วเหมือนกัน ก่อนเขาจะสะบัดหน้าไล่ความคิดนั้นออกไปแล้วถามต่อ
“เมื่อกี้นายบอกว่า ‘พวกฉัน’ แสดงว่ากามเทพไม่ได้มีตนเดียว?”
“ใช่สิ นี่นายใช้สมองส่วนไหนคิดกันว่ากามเทพต้องมีตนเดียว นายบ้าหรือโง่เนี่ยเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้” กริชญะถึงกับคิ้วกระตุกเมื่อจู่ๆ ก็เหมือนโดนเอาไม้หน้าสามมาตีแสกหน้าเข้าให้ พลางคิดอย่างโมโหว่าถ้าเขารู้เรื่องพวกนี้สิถึงแปลก
“งั้นที่นายตกลงมาเมื่อกี้ล่ะ อย่าบอกนะว่ากำลังบินๆ อยู่ก็ร่วงลงมาเฉยเลยน่ะ” กริชญะถามต่อเพื่อหวังจะกู้หน้าคืน
“โอ้ นายเริ่มตามเรื่องทันแล้วนี่ แสนรู้มาก”
“ฉันไม่ใช่หมานะ!” กริชญะสวนกลับทันทีที่รู้ตัวว่าพลาดท่าปล่อยให้โดนอีกฝ่ายหลอกด่าอีกครั้ง
“อย่างที่นายบอกนั้นล่ะ ฉันกำลังบินอยู่ดีๆ แล้วก็ร่วงแบบทิ้งดิ่งลงมาเหมือนนกปีกหักเฉยเลย ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นรู้สึกจะอยู่สูงไปหลายพันเมตรได้ล่ะมั่ง” แต่อีกฝ่ายก็ยังพูดเรื่องเหลือเชื่อออกมาได้หน้าตาเฉย ก่อนจะย้อนถามคำถามที่ทำให้กริชญะถึงกับชะงัก “ว่าไงทีนี้จะเชื่อได้หรือยังว่าฉันคือกามเทพจริงๆ”
กริชญะนิ่งเงียบพลางใช้ความคิดเพราะเขาเองก็เริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วเหมือนกันว่าอีกฝ่ายคือกามเทพจริงๆ เนื่องจากหลายๆ อย่างที่เริ่มมาปะติปะต่อกันได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เรนัสตกลงจากท้องฟ้าแล้วยังไม่เป็นอะไรนั้นก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ระดับหนึ่งแล้วเพราะอย่างน้อยๆ คงไม่มีคนธรรมดาที่ไหนตกลงมาแรงขนาดนั้นแล้วไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแบบนี้หรอก แถมมาถึงตอนนี้กริชญะเองก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้ตอนที่เรนัสตกลงมานั้นเขามองเห็นเงาของปีกนกขนาดใหญ่บนหลังของอีกฝ่ายด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าด้วยทิฐิหรือลูกดื้อของตัวกริชญะเองก็ตาม ทำให้เขายังไม่ยอมเชื่อง่ายๆ พยายามดื้อเพ่งต่อไป
“ยัง! ฉันยังไม่เชื่อ แต่ถ้านายยืนกรานขนาดนั้นก็พิสูจน์สิว่านายเป็นกามเทพจริงๆ”
“เฮ้อ ฉันล่ะน่าเบื่อจริงๆ พวกทิฐิสูงเนี่ย” เรนัสนิ่งเงียบไปสักพักราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างก่อนจะตัดสินใจได้แล้วพูดต่อ
“เอาเถอะเห็นมนุษย์ตาดำๆ จะอธิบายให้ฟังล่ะกัน สิ่งที่นายเห็นเมื่อกี้มันก็คือ ‘การแผลงศรแห่งรัก’ ”
“แผลงศร? อย่ามาอำให้ขำหน่อยเลย เมื่อกี้นายเพิ่งจะยิงคนตายไปต่างหาก”
“แล้วคนที่ว่าตายไหม?”
“อะ เอ่อ ก็ยังไม่ตาย” กริชญะกล้อมแกล้มตอบกลับไป ก่อนจะพยายามโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องหน้าแตกของตัวเอง
“อย่ามาโม้ดีกว่า! ขนาดเด็กอนุบาลมันยังรู้เลยศรรักปักอกของกามเทพมันต้องเป็นรูปหัวใจ ไม่ใช่ปืนไรเฟิลแบบนี้!”
“แล้วใครบอกนายว่าศรแห่งรักต้องเป็นรูปหัวใจเสมอไป?” เรนัสถามสวนกลับมาพลางหรี่ตามองฝ่ายตรงข้าม
“ในเรื่องเล่าและตำนานต่างๆ ก็บอกไว้เหมือนกันหมดนั้นล่ะว่าศรแห่งรักเป็นรูปหัวใจ”
“โอ๊ย ตำนานพวกนั้นมันตั้งแต่สมัยไหนแล้วนี่มันยุคไหน เค้าเลิกใช้กันไปตั้งนานแล้วไอ้คันศรเก่าๆ แบบนั้น”
“คะ คันศรเก่าๆ”
“ถูกต้อง ขอถามหน่อยเถอะนายคิดว่าวันๆ หนึ่งพวกฉันต้องแผลงศรกันเท่าไหร่?” กริชญะนิ่งคิดไปแต่เหมือนเรนัสจะไม่ได้ต้องการคำตอบจึงพูดต่อทันที “มากกว่าร้อยครั้งนะขอบอก ขืนมัวแต่ใช้ไอ้คันศรนั้นอยู่ก็ไม่ทันกินกันพอดี”
“งั้นนายจะบอกว่าปืนนั้นก็คือ...?”
“ ’คันศรแห่งรัก’ ”
“ขอชัดๆ อีกรอบได้ไหม”
“คันศรแห่งรัก”
“ตะ แต่มันจะเป็นคันศรแห่งรักได้ยังไงกัน?” กริชญะถามต่อไปงุนงงหนักยิ่งกว่าเดิม จนตอนนี้กลายเป็นเรนัสที่ต้องถอนหายใจแทน
“นี่คือเครื่องวัดอนุภาครักแรก” เรนัสพูดพลางยกสมาร์ทโฟนในมือให้กริชญะดูจนเขาขมวดคิ้วสงสัย แต่เรนัสก็ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรแล้วชิงอธิบายต่อเสียเอง
“มันคือเครื่องที่ใช้วัดปริมาณอนุภาครักแรกที่ถูกปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัวจากคนที่กำลังมีรักแรกพบ ซึ่งอนุภาคพวกนี้จะมีสีชมพูเป็นละอองเหมือนออร่าเปล่งประกายระยิบระยับและมีสรรพคุณทำให้คนที่กำลังมีรักแรกพบนั้นรู้สึกว่าโลกนี้เป็นสีชมพู เต็มไปด้วยความรักที่แสนจะฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งกระดิ่งแมวไงล่ะ” แถมไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังทำท่าประกอบชูแขนฟ้าแล้วหมุนสามรอบด้วยหน้าตาที่อิ่มเอิบไปด้วยความสุขที่ล้นปรี่ จนกริชญะรู้สึกเหมือนโดนออร่าสีชมพูที่เปล่งออกมาจนแสบตาไปหมด
“แล้วอย่างที่บอกเจ้าเครื่องนี้จะวัดปริมาณของอนุภาคแล้วเอามาประมวลผลว่าคนๆ นั้นมีรักแรกพบรุนแรงขนาดไหนก่อนจะเอามาแปลงค่าเป็นอาวุธต่างๆ”
“อาวุธ?”
“ถูกต้อง แล้วก็ไม่ใช่แค่ปืนไรเฟิลหรอกนะ ยิ่งถ้าใครที่มีรักแรกพบรุนแรงมากๆ อาวุธที่ออกมาก็จะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น” ฟังมาถึงตอนนี้กริชญะก็นึกถึงภาพตอนที่ปืนปรากฏขึ้นมาจากละอองเสียงในมือถือหรือที่ถูกคือเครื่องวัดอนุภาคอะไรนั้นของเรนัสขึ้นมาได้
“แล้วฉันก็ใช้อาวุธนั้นแทนคันศรจัดการยิงกระสุน...เอ่อ ฉันหมายถึงศรแห่งรักในรูปแบบกระสุนเข้าใส่กลางใจของคนๆ นั้น จนเกิดเป็น ‘มโนภาพรักแรก’ ”
“มันคือ?”
“มันก็คือภาพจินตนาการเปรียบเปรยว่ารักแรกพบนั้นรุนแรงราวกับโดนสิ่งนั้นปักอกเหมือนคนเมื่อกี้ไงล่ะ...ถึงมันจะดูสมจริงมากไปหน่อยก็เถอะ” เรนัสลดเสียงลงในประโยคสุดท้ายจนกริชญะมองอย่างสงสัย
“เมื่อกี้นายว่าไงนะ?”
“มะ ไม่มีอะไร ฉันแค่จะบอกว่าถ้าเดาไม่ผิดเมื่อกี้นายคงรู้สึกเหมือนไปยืนอยู่ข้างชายคนนั้นเลยสินะ” เมื่อเรนัสเห็นกริชญะพยักหน้าก็พูดต่อพลางแอบโล่งอกในใจที่พูดกลบเกลื่อนเอาตัวรอดมาได้
“นั้นเพราะนายได้รับอิทธิพลจากมโนภาพรักแรกด้วยทำให้รับรู้จินตนาการนั้นได้อย่างชัดเจน” กริชญะส่งเสียงในลำคอพลางพยักหน้าเข้าใจ เรนัสจึงพูดต่ออย่างพอใจทันที
“และนี่ก็คือการแผลงศรแห่งศตวรรษที่ 21 ยังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ” ก่อนที่เรนัสจะแหกปากหัวเราะอย่างผู้ชนะเพราะในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมเชื่อสักทีว่าตนเองเป็นกามเทพ
“ทีนี้นายคงยอมเชื่อแล้วสินะว่าฉันคือกามเทพจริงๆ” คราวนี้เป็นทีของเรนัสบ้างที่ได้ยิ้มเยาะอีกฝ่ายกลับไป
ด้านกริชญะที่เจอย้อนถามเข้าถึงกับชะงัก เพราะอีกฝ่ายก็ทั้งอธิบายและแสดงสิ่งต่างๆ ออกมาให้เห็นขนาดนี้แล้ว ไอ้ครั้นจะยืนกรานไม่เชื่อต่อไปก็คงไม่ได้ถึงแม้เจ้าตัวจะเจ็บใจแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็คงมีต้องยอมรับเท่านั้นว่าเจ้าคนที่โคตรเกรียนแถมยังอินดี้สุดติ่งนี้เป็นกามเทพจริงๆ
“อืม เชื่อก็ได้”
“ดีมาก งั้นตาฉันถามนายมั่งล่ะ”
“ถามฉัน?”
“ใช่ นายเป็นใครแล้วทำไมถึงมองเห็นฉัน?”
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ฉันชื่อ กริชญะ ก็แค่ไอ้หนุ่มอาภัพรักที่เพิ่งโดนสาวบอกเลิกมาเท่านั้นล่ะ” เมื่อพูดจบเขาก็นึกได้ถึงสาเหตุที่ตัวเองขึ้นมาบนดาดฟ้านี้คืออะไร
และในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะถือโอกาสโวยกามเทพเรื่องดวงความรักของตัวเองซะเลยดีไหม เรนัสก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“กริชญะงั้นเหรอ เรียกยากจริงแฮะมีชื่อที่ง่ายกว่านี้ไหมเนี่ย?”
“งั้นเรียก ‘ยะ’ ก็ได้” กริชญะมองเรนัสอย่างเอือมระอาพลางคิดว่าชื่อตัวเองมันเรียกยากตรงไหนกัน
“ต้องอย่างนี้สิค่อยเรียกง่ายหน่อย แล้วว่าแต่นายขึ้นมาทำอะไรบนนี้ล่ะ” แต่ยังไม่ทันที่กริชญะจะได้เอ่ยปากตอบเรนัสก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ถ้าให้เดานายคงขึ้นมาเพื่อฆ่าตัวตายสินะ” เรนัสดีดนิ้วอย่างมั่นใจว่าตัวเองเดาถูกแน่ๆ ทำเอายะต้องรีบสวนกลับเสียงดังทันที
“ไม่ใช่เฟ้ย! คนอย่างไอ้ยะไม่มีทางคิดสั้นด้วยเรื่องแค่นี้หรอก แถมที่ฉันขึ้นมาบนนี้ก็แค่เพื่อจะได้ด่า...อุ๊บ” จู่ๆ กริชญะก็ยกมือขึ้นมาตะครุบปากตัวเองอย่างแรง จนเรนัสหรี่ตามองอย่างจับผิด
“นายว่าไง?”
“อ้อ ฉันแค่จะบอกว่าฉันขึ้นมารับลมเพื่อให้ลืมเรื่องเก่าๆ เท่านั้นแหละ” กริชญะรีบตอบกลบเกลื่อนพลางหัวเราะแห้งๆ เพราะจะให้อีกฝ่ายรู้ได้ยังไงล่ะว่าที่เขาขึ้นมาบนนี้ก็เพื่อจะได้ด่าพวกเทพบนสวรรค์ได้ถนัดปาก
แต่ท่าทางเรนัสเองก็ไม่เชื่อคำพูดของกริชญะสักเท่าไหร่เหมือนกัน ก่อนเจ้าตัวจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างรู้ทัน
‘ไอ้พวกที่เพิ่งโดนสาวหักอกมาเนี่ย ถ้ามันไม่ขึ้นมาฆ่าตัวตายร้อยทั้งร้อยไม่มีทางที่จะขึ้นมารับลมเฉยๆ หรอก ดูทรงแล้วคงจะขึ้นมาตะโกนด่าเทพเจ้าอย่างพวกฉันด้วยความคิดที่ว่า ยิ่งสูงยิ่งใกล้สวรรค์แล้วพวกเทพจะยิ่งได้ยินชัดสินะ’
“เฮ้อ ไม่เข้าใจตรรกะของไอ้พวกคนอกหักเลยจริงๆ” เรนัสบ่นอย่างเหนื่อยใจ
“หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้หมอนี่มันเห็นเรากันนะ พระเจ้านะพระเจ้าท่านคิดจะเล่นสนุกอะไรอีกล่ะ ปล่อยให้มันฆ่าตัวตายไปซะก็จบเรื่องแล้วแท้ๆ” เรนัสพูดเรื่องโหดร้ายออกมาหน้าตาเฉยพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าราวต้องการให้คนที่พูดถึงได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นเราด้วยนะกามเทพตนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นเราล่ะเนี่ยหรือว่าจะเป็นโชคชะตางั้นเหรอ” เรนัสนิ่งเงียบไปสักครู่ก่อนจะสะบัดหน้าแรงๆ แล้วรีบพูดสิ่งที่คิดได้ออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่น่าจะใช่เรื่องโชคชะตาซะแล้วแฮะ ถ้าดูจากนิสัยของพระเจ้าแล้วน่าจะเป็นเพราะเราดวงซวยบินผ่านมาแถวนี้พอดีท่านก็เลยจับเราหล่นตุบลงมาเจอหมอนี่มากกว่า” เมื่อสรุปเรื่องราวได้เขาก็ทำได้เพียงกุมขมับอย่างหมดแรงเท่านั้น
แล้วตอนนั้นเองก็มีเสียงเตือนดังขึ้นอีกครั้ง เรนัสรีบคว้าเครื่องวัดอนุภาครักแรกขึ้นมาดูทันที ก่อนจะร้องออกมาอย่างตื่นตกใจ
“เวรแล้ว แจ็กพอตแตก!”
กริชญะหันมองเรนัสที่กำลังร้องโวยวายพลางหันมามองเขาสลับกับอุปกรณ์ในมืออย่างงุนงง
“เอาไงดีล่ะทีนี้ เรื่องนี้ก็เร่งด่วนเรื่องไอ้หมอนี่ก็สำคัญ แล้วทำไงดีล่ะเนี่ย” เรนัสมองสลับไปมาระหว่างกริชญะกับเครื่องวัดในมือตัวเองอย่างร้อนรนอยู่นานจนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
“โธ่เว้ย! เอางี้ล่ะกันเรื่องนายไว้คุยกันทีหลังตอนนี้มากับฉันก่อน” แล้วเจ้าตัวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ เดินตรงเข้ามาจับคอเสื้อแล้วลากกริชญะให้เดินตามตนเองมาที่ขอบดาดฟ้า
“กะ เกิดอะไรขึ้นแล้วนายจะลากฉันไปไหน?”
“งานนัดบอด” เรนัสตอบสั้นๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปยืนบนขอบดาดฟ้า
“เอ๋? แล้วนี่นายคิดจะทำอะไร?” กริชญะถามขึ้นเมื่อพบว่าตอนนี้ตัวเองมาอยู่ตรงจุดไหนของดาดฟ้า แถมเจ้ากามเทพตัวดีก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจที่โคตรเป็นมิตรสุดๆ มา ทำให้กริชญะสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที
“หรือว่า...?” เร็วเท่าความคิดเมื่อเรนัสถีบตัวกระโดดตัวลอยพร้อมกับลากคอกริชญะออกไปในอากาศอันว่างเปล่าท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวนของชายหนุ่ม
“ล้อกันเล่นใช่ไหมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!”
<><><>
ภารกิจแจกรักของกามเทพพันธุ์พิลึก
ผู้แต่ง : เทียนหลง
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | กามเทพไม่มีจริงหรอก! | 14 ก.พ. 59 |
| 2 | กามเทพแบบนี้ก็มีด้วย? | 08 มี.ค. 59 |
| 3 | นี่เหรอการแผลงศรแห่งศตวรรษที่ 21 | 16 มี.ค. 59 |
| 4 | สังคมกามเทพนั้นอยู่ยากขึ้นทุกวัน | 23 มี.ค. 59 |
| 5 | บริการหลังการขายกับเหยื่อรายแรก | 30 มี.ค. 59 |





บทนี้อธิบายเกี่ยวกับระบบของนิยายเรื่องนี้ โผล่มาในจังหวะที่เหมาะสมแล้วคับ
คอมเมนท์ครั้งสุดท้ายนี้ อยากจะฝากในจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด
นั่นคือสำนวนการเขียนคับ
(ปล. พยายามโพสต์คอมเมนท์เกือบชั่วโมงแล้ว แต่ไม่ผ่าน คงเพราะยาวไป T T
พยายามตัดแล้วตัดอีกก็ยังไม่ผ่านครับ เพราะงั้นคงต้องตัดทิ้งไปเยอะ
อย่างไร ถ้ามีโอกาสจะส่งเวอร์ชั่นเต็มให้ทางหลังไมค์นะครับ)
ข้อดีของสำนวนการเขียนเรื่องนี้คืออารมณ์ขันนะคับ
แต่จุดบกพร่องคืออ่านแล้วให้ความรู้สึกเยิ่นเย้อ
แต่จะว่าไป ถ้าบก.แก้สำนวนนักเขียนคนไหนด้วย 'ความรู้สึก'
สุดท้ายงานทุกงานก็จะกลายเป็นสำนวนบก.คนนั้นไปหมดจริงมั้ยครับ
ดังนั้นจะยกหลักการมาให้ดูประกอบนะครับ ว่าเรื่องนี้สำนวนบกพร่องตรงไหนบ้าง:
[ใช้คำซ้ำ/ ใช้ประโยคซ้อนประโยคโดยไม่จำเป็น]
- กริชญะที่ฟังเหตุผลที่ดูไร้สาระแต่กลับฟังขึ้นชอบกลจนได้หัวเราะแห้งๆกลับไป
- ลองตัดคำซ้ำ(ที่)ออกไปนะครับ และพอลองแตกประโยคให้เป็นประโยคเดี่ยว จะเห็นว่าอ่านง่ายขึ้น
- แก้เป็น: เหตุผลนี้ดูไร้สาระ แต่กลับฟังขึ้นชอบกล กริชญะได้แต่หัวเราะแห้งๆกลับไป
[ใช้คำซ้ำ(คำว่า 'ทำไม')]
- ถ้านายหวงรถขนาดนี้แล้วทำไมตอนเจอกันทำไมนายถึงตกมาจากฟ้า
[จัดย่อหน้าไม่ถูกต้อง ทำให้สับสนว่าใครเป็นผู้พูด]
- "ก็ตอนนั้นฉันเพิ่งบินข้ามอ่าวไทยมา นายจะให้ฉันขี่ลูกรักฝ่าน้ำทะเลมาหรือไง นายโง่หรือบ้ากันเนี่ย?" กริชญะได้แต่หลับตาอย่างอดกลั้นที่โดนอีกฝ่ายหลอกด่าอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาต้องพึ่งพาเรนัสทำให้เถียงอะไรไม่ได้ --->ตรงนี้คำพูดเรนัส แต่พอพูดจบดันเอากริชญะตามหลัง ทำให้เข้าใจว่ากริชญะเป็นคนพูด
- แก้โดยการจัดย่อหน้าใหม่:
"ก็ตอนนั้นฉันเพิ่งบินข้ามอ่าวไทยมา นายจะให้ฉันขี่ลูกรักฝ่าน้ำทะเลมาหรือไง นายโง่หรือบ้านกันเนี่ย?"
กริชญะได้แต่หลับตาอย่างอดกลั้นที่โดนอีกฝ่ายหลอกด่าอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาต้องพึ่งพาเรนัสทำให้เถียงอะไรไม่ได้ "แต่อย่างนี้ก็สบายเลยล่ะสิ อยากได้อะไรก็เสกออกมาได้ถึงจะไม่ใช่ผู้วิเศษแต่แค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว" กริชญะพูดต่อ
แต่เรนัสที่ได้ยินกลับส่ายหน้าช้าๆ...
[ใช้คำผิดความหมาย]
- แก้เป็น: ครางในลำคอ
ปล.ต้องขออภัยนะครับ หากคอมเมนท์ละเอียดไป แต่หวังจากใจเลยว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวนักเขียนเองไม่มากก็น้อย > <
ดาวิษ ชาญชัยวานิช