EN12 OSTA SE ABRE
มีความผิดที่ลบล้างไม่ได้อย่างนั้นหรือ อำนาจในมือไม่พอที่จะต่อต้านกฎหมายสินะ หาพวกเราให้เจอสิ บานประตูไม้สีซีดที่ซุกซ่อนอยู่ เปิดประตูเข้ามาแล้วเอ่ยเรียกหาพวกเรา โอตร้า เซ อาเบร์ จะลบล้างความผิดให้เอง
บทที่ 2
เคซิเมียนโต้ เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองบลังกา แม้จะเปิดมาได้ไม่ถึงปีแต่ก็เป็นที่รู้จักของชาวบ้าน เนื่องจากมีสินค้าครบครัน ทว่าสำหรับฟลอดิน่าที่ใช้ชีวิตอยู่แค่บ้านกับเรือนจำ ร้านค้าใกล้บ้านจึงเป็นสถานที่เดียวที่เธอสนใจ
เธอกวาดสายตาไปทั่วร้าน ชั้นสองคือชั้นขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รอบกายของเธอเต็มไปด้วยของมากมายที่เธอไม่คุ้นชิน
"อ่า....นั่นมัน" เสียงทุ้มลากยาวเป็นจังหวะดังขึ้นจากด้านหลัง เธอหันไปมอง ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนมองเธออยู่ นัยน์ตาเล็กเรียวสีอ่อนมองมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เธออ้าปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาคือใคร
"คุณลอเรนน์เทียส สวัสดีค่ะ!"
"สวัสดีครับ คุณฟลอร์" เขายังคงพูดเสียงลากยาวเป็นจังหวะขึ้นลงเหมือนเคย
ลอเรนน์เทียสเป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงของบลังกาที่ใครๆ ก็รู้จัก อีกทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนหลักทางการเงินให้กับเรือนจำกลาง เธอจึงรู้จักดี
"แวะมาซื้อของที่นี่หรือคะ" เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเล็กฉายออกมาแต่แววฉงน พอเห็นสีหน้างุนงงของเธอ เขาก็หัวเราะออกมาแผ่วเบา
เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงหัวเราะของชายคนนี้ เสียงนั้นลากยาวด้วยจังหวะเดียวกับการพูดของเขา
"คุณฟลอร์ ไม่รู้หรือครับ ว่าผมเป็นเจ้าของเคซิเมียนโต้" เธอยกมือขึ้นปิดปาก กลอกนัยน์ตาไปมา ยิ่งพอเสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นเธอก็ได้แต่ยิ้มแหย
"ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทราบเลย"
"ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ ว่าแต่คุณฟลอร์มาซื้ออะไรอย่างนั้นหรือ สอบถามผมได้นะครับ" ด้วยจังหวะการพูดที่แปลกกว่าคนทั่วไป ทำให้ประโยคสั้นๆ นี้ยาวกว่าปกติ ซึ่งทำให้เธออึดอัด
"มาหาซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่น่ะค่ะ"
"ของส่วนตัวหรือครับ"
"ไม่ใช่ค่ะ ของเรือนจำ พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะค่ะ" เธอจงใจละเหตุผลไว้ สำหรับเขาที่เป็นผู้สนับสนุนของเรือนจำ เรื่องราวเหล่านี้ไม่ควรจะให้เขารับทราบ
"ถ้าเป็นเช่นนั่น ให้ผมช่วยให้คำแนะนำดีไหมครับ" เธอชะงักไปครู่หนึ่ง แม้จะดีใจที่มีคนมาช่วยจัดการ ทว่าความอึดอัดที่รายล้อมอยู่รอบๆ ก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี
แต่งานก็ต้องมาก่อน
"ถ้าเป็นเช่นนั้น รบกวนด้วยค่ะคุณลอเรนน์เทียส"
นัยน์ตาคมกริบทอประกายทอดมองประตูร้านเคซิเมียนโต้อย่างนิ่งสงบ ร่างแกร่งยืนกอดอกพิงผนัง มือหนาแกว่งแผ่นพลาสติกสีดำสนิทไปมา ทันทีที่เห็นร่างโปร่งบางเดินออกมา เขาก็ขยับตัว เบนสายตามองรอบข้าง แสร้งทำเป็นแจกแผ่นพลาสติกในมือให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง
"นายมาแจกใบปลิวอยู่แถวนี้แล้วหรอ" ฟลอดิน่าทักเสียงหวาน เขาส่งรอยยิ้มไปให้
"คุณผู้หญิงได้ของที่ต้องการไหมครับ"
"ได้สิ ขอบคุณนายมาก ถ้าไม่ได้นาย ป่านนี้ฉันคงยังนั่งสับสนอยู่หน้าเรือนจำ แต่ที่นี่ก็ดีนะ มีบริการส่งถึงที่ด้วย"
"เคซิเมียนโต้ยินดีที่ได้รับใช้ครับ" เขาโค้งตัวลง เธอหัวเราะด้วยความขบขัน
"นายเป็นคนตลกดีนะ ชื่ออะไรน่ะ"
"โคลวิทครับ"
"ฉันชื่อฟลอดิน่า ทำงานอยู่ที่เรือนจำน่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ" มือบางยื่นมาตรงหน้า โคลวิทยืนนิ่ง เขาเพียงแต่ส่งรอยยิ้มอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลไปให้ ฟลอร์มองท่าทีนั้นก่อนจะหัวเราะออกมาอีกรอบ
"นายเป็นคนตลกดีจัง ฉันไม่เคยเจอนายมากก่อน น่าคิดเหมือนกันนะ ทั้งๆ ที่เมืองนี้ก็ไม่ใหญ่มาก"
"อาจเป็นความบังเอิญที่พาคุณฟลอดิน่ามานั่งอยู่หน้าเรือนจำแล้วผมเดินผ่านไปพอดีก็ได้นะครับ" นัยน์ตาสวยฉายประกายประหลาดวูบหนึ่ง เธอส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก
"โลกนี้ไม่มีความบังเอิญหรอกนะ"
"คติประจำใจคุณฟลอดิน่าหรอครับ"
"ใช่แล้วล่ะ"
"แปลกดีนะครับ เจ้าหน้าที่เรือนจำมีคติประจำใจว่าความบังเอิญไม่มีบนโลกนี้" เขาทอดจังหวะ นัยน์ตาสีทองวาววับจ้องนัยน์ตาสวยที่กำลังมองมาด้วยความงุนงง "ผมคิดว่า คุณจะมีคติประจำใจว่า ความยุติธรรมไม่มีบนโลกนี้ซะอีก"
โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอตอบสิ่งใด เขาพูดต่อออกมาทันที
"แสดงว่าในเรือนจำกลางของบลังกา มีความยุติธรรมอยู่มากมายจนคุณไม่รู้สึกตัดพ้อสินะครับ" เธอหรี่นัยน์ตาลง นึกอยากจะเถียงเขา แต่สายตาที่มองมากลับหยุดทุกคำพูดของเธอไว้
"ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณฟลอร์ ผมคงต้องขอตัวไปทำงานก่อน" พูดจบเขาก็โค้งตัวลงแล้วเดินสวนเธอไป ช่วงจังหวะที่เดินผ่าน กลิ่นหอมหวานลอยมาแตะจมูก เธอสูดดมเข้าไป และได้กลิ่นขมตามมา
กลิ่นที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน กลิ่นของชายหนุ่มแจกใบปลิวผู้นี้
โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ เธอเชื่อเช่นนั้น และการเจอกับโคลวิทในวันนี้ ก็ต้องไม่ใช่ความบังเอิญ ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ติดใจสิ่งใด ทว่าคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากหนานั้นทำให้เธอรู้สึกขึ้นมา
ว่าบางสิ่งบางอย่างชักจูงให้เธอมาเจอเขา ชักจูงให้เธอมาเจอเคซิเมียนโต้
สัญชาตญาณในใจกำลังเต้นรัว
...ใครส่งนายมาหรือเปล่า โคลวิท...
นัยน์ตาสีเหลืองทองเบนกลับไปมองหญิงสาวที่กำลังยืนครุ่นคิดอยู่ เขากระตุกรอยยิ้มมุมปาก หันใบหน้ากลับมา ขายาวเดินกลับไปที่ร้านกาแฟของตน
แค่นี้แผนการลักลอบเปลี่ยนแปลงข้อมูลของเรือนจำกลางก็เริ่มได้แล้ว
กลิ่นหอมฉุยของกาแฟลอยมาทันทีเมื่อเขาผลักบานประตูไม้สีซีดเข้าไป ร่างใหญ่ที่นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่หลังเคาน์เตอร์เครื่องดื่มเงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นว่าเขาเป็นใครก็เบนสายตากลับไป
"โดส กับ เตรส มารออยู่ที่ห้องประชุมแล้วนะบอส" เขาพยักหน้ารับ
"นายก็ลงมาด้วยกัน เดี๋ยวส่งเด็กสักคนขึ้นมาเฝ้าร้าน"
"ฉันเล่นเกมค้างอยู่นี่นา" โคลวิทถอนหายใจ มือหนาลากหลังคอคนที่นั่งอยู่ให้ขยับตัวเดินมาด้วยกัน เสียงโวยวายตามมา แต่เขาไม่ใส่ใจ
การเข้าถึงองค์กรนั้นสามารถเข้าได้สองทาง ทางแรกคือเอ่ยคำพูดเปิดบานประตู กลไกจะทำงานขยับพื้นทั้งผืนเคลื่อนตัวลงมาสู่เบื้องล่าง กับอีกทางหนึ่งคือลงลิฟต์ที่อยู่หลังประตูร้าน
แม้หน้าร้านโอตร้า เซ อาเบร์จะมีตำแหน่งในแต่ละวันที่ต่างกัน ทว่าลิฟต์ที่พาลงไปสู่พื้นที่ใต้ดินของเมืองจะพาไปยังที่ตั้งขององค์กรเสมอ
เขาลากเพื่อนคู่หูมาจนถึงห้องประชุม เมื่อผลักบานประตูออกก็เห็นชายหนุ่มสองคนที่มีรูปร่างและหน้าตาคล้ายคลึงกันนั่งอยู่ที่โซฟา ทั้งสองลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นเขา
"สวัสดีครับคุณโคลวิท" เขาโบกมือไปมา ก่อนจะเดินไปนั่งลงหลังโต๊ะทำงาน
"อลันแจ้งเรื่องงานหมดแล้วใช่ไหม" ชายหนุ่มผู้สูงกว่านิดหน่อยพยักหน้า นัยน์ตาสีเทาหม่นมองตรงมา
"ครับ ไม่ผมก็เตรสที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำทางตอนเหนือ ผู้ว่าจ้างคือคุณวิลเฮมนักการเมืองคนหนึ่งของบลังกา ส่วนเป้าหมายคือแมลสีใสขุ่นกับสีเหลืองอมส้มครับ"
"ทั้งสองคนตกลงกันหรือยังว่าใครจะเป็นตัวแทน" คนที่ตัวเล็กกว่ายกมือขึ้น ใบหน้าทะเล้นส่งรอยยิ้มยียวนมาให้ ต่างจากอีกคนที่มีใบหน้าเงียบขรึม
"ผมครับคุณโคลวิท ดูจากรูปร่างของวิลเฮมแล้ว ผมน่าจะใกล้เคียงกว่า ถ้าเป็นพี่โดสเข้าไปอาจจะต้องฉีดยาลดความสูง" คนฟังหรี่ตาลงเล็กน้อย
โอตร้า เซ อาเบร์ เป็นองค์กรขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มานานหลายปี บางครั้งบางคราการแฝงตัวเข้าไปในเรือนจำก็ยากลำบาก ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต้องปลอมแปลงให้เหมือนกับผู้ว่าจ้าง เทเรซิน่าใช้เวลาอยู่ประมาณหนึ่งปีวิจัยยาเพิ่มลดความสูงขึ้นมาได้ ทว่ากระบวนการหลังจากฉีดยาเข้าไปนั้นเต็มไปด้วยความทรมาน ถ้าเลือกได้ทางองค์กรจะไม่ใช้
"นายคิดว่าฝีมือตัวเองสามารถจัดการเรื่องทั้งหมดได้อย่างนั้นหรือ" คนฟังพยักหน้า
"ครับ แมลสีใสขุ่นจากนักโทษที่เป็นแพะรับบาปในเรือนจำ กับแมลสีเหลืองอมส้มจากนักโทษอุกฉกรรจ์"
"รู้ใช่ไหมว่ามันยาก" โคลวิทย้ำอีกครั้ง ร่างสูงขยับตัวนั่งหลังตรง ทอดสายตาสีเหลืองทองไปยังคนที่มองอยู่ สร้างบรรยากาศหน่วงขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมเล็กนี้
"ครับ ยาก แต่ผมทำได้ครับ" เขาจงใจเงียบ เว้นจังหวะคำพูด กดดันอีกฝ่ายด้วยท่าทางเคร่งขรึม
"ประเมินพลังตัวเองสูงไปหรือเปล่า"
"ผมเชื่อมั่นครับ"
"ถ้าหากมีข้อผิดพลาดล่ะ เทเรซแจ้งว่าสามารถรอได้แค่สองเดือนเท่านั้น หากภายในเวลาที่กำหนดไม่สามารถนำแมลออกมาได้ นายจะทำอย่างไร"
"ผมไม่มีทางทำผิดพลาด ขอให้คุณโคลวิทเชื่อใจ" นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่ง เด็กหนุ่มไม่เบนสายตาหนี ยังคงมองกลับมาด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่ ต่างจากบุคลิคทะเล้นเมื่อครู่ราวกับฟ้ากับเหว
หัวหน้าองค์กรขยับรอยยิ้มมุมปาก เขาเอนตัวลงพิงเก้าอี้ด้วยท่วงท่าที่สบายขึ้น เปลี่ยนบรรยากาศอึดอัดในห้องให้กลับมาเป็นปกติ
"ดีมาก เข้มแข็ง แน่วแน่ให้ได้เท่านี้ตอนที่อยู่ในเรือนจำ นายออกสนามมาบ่อยแล้ว ฉันเชื่อมั่นในตัวนาย ทว่า งานนี้ เป็นงานหิน นายอยู่ในเรือนจำ พี่ชายนายจะคอยสนับสนุนอยู่ข้างนอก ร่วมกันทำงานสองคน เส้นตายคือสองเดือน"
"ครับผม!"
"แมลทั้งสองสีจำเป็นต่อการวิจัยของเรามาก ห้ามมีข้อผิดพลาดนะ"
"ครับ!"
"ส่วนเรื่องการออกจากเรือนจำ ภายในวันพรุ่งนี้คอมพิวเตอร์จากเคซิเมียนโต้จะไปตั้งอยู่ที่เรือนจำกลางของบลังกา คนของเราจะจัดการเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้วิลเฮมออกมาอยู่นอกเมืองได้โดยไร้มลทินทันทีที่ครบสองเดือน มีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่า"
"ไม่มีครับ!"
"ดีมาก" โคลวิทหยุดคำพูดไปชั่วขณะ เขาขยับรอยยิ้มแบบเดิมที่ทำทุกวัน รอยยิ้มที่ทุกคนในองค์กรเห็นจนชินตา
"จงจำเอาไว้ นับจากนี้ไป นายไม่ใช่เตรส นายคือ วิลเฮม เรมเบิร์ก นักโทษแห่งเรือนจำทางตอนเหนือ" นิ้วเรียวชี้ที่ขมับของตัวเอง "อย่าลืมล่ะ"
"โอ๊ะ เทเรซ" เสียงทุ้มเรียกให้ร่างโปร่งบางชะงัก นัยน์ตาสวยหวานหันไปมอง เห็นโคลวิทกับอลันโซ่เพิ่งออกมาจากห้องประชุม เธอเอียงคอลงเล็กน้อย
"คุยกับโดสและเตรสเสร็จแล้วหรอ"
"เรียบร้อยแล้ว นี่ โคลแกล้งเตรสอีกแล้วล่ะ"
"ไม่ได้แกล้งสักหน่อย ไม่ทำแบบนั้นจะมั่นใจได้ยังไงว่าหมอนั่นจะไม่สติแตกไปก่อนตอนเจอเจ้าของแมลสีเหลืองอมส้มน่ะ" อลันทำท่าจะเถียงแต่คิดคำพูดไม่ทัน จึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆ หญิงสาวส่ายหัวกับท่าทางนั้น
"พวกนายมีอะไรหรือเปล่า พอดีฉันวุ่นๆ อยู่"
"ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เธอกำลังทำอะไรอยู่น่ะ"
"ที่ห้องทดลองกำลังจะแยกโครงสร้างแมลสีเหลืองที่ได้มาจากเซอิสน่ะ พวกนายสนใจจะไปดูหรือเปล่า" คนตัวใหญ่กว่าส่ายหัวดิก
"เธอก็รู้ว่าฉันไม่ถูกกับวิทยาศาสตร์พวกนี้"
"ฉันต้องไปจัดการแผนต่อจากนี้น่ะ ถ้าได้ผลก็มารายงานด้วยนะ" หญิงสาวพยักหน้า โบกมือให้ทั้งสองก่อนจะเดินแยกมา
ห้องทดลองขององค์กรขนาดไม่ใหญ่ แต่อุปกรณ์ครบครัน
เมื่อเธอผลักประตูกระจกเข้าไป นักวิจัยสามคนก็หันมามองเธอ พวกเขาโค้งหัวให้เธอเล็กน้อย นัยน์ตาสวยตวัดไปมองหลอดแก้วที่อยู่กลางห้อง แมลสีเหลืองถูกเก็บไว้ภายใน ของหนืดนั้นกำลังโดนไฟฟ้ากระแสอ่อนกระตุ้นให้แตกตัว
"ได้เรื่องอะไรบ้างหรือเปล่า" เธอนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ โปรแกรมประมวลผลมากมายปรากฏขึ้นมาเต็มหน้าจอขนาดใหญ่
"ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรครับ แต่ว่าโมเลกุลในแมลสีเหลืองน่าจะไปกระตุ้นระบบปฏิบัติการส่วนสมองซีกขวาได้" เธอพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะขยับตัวไปดูหน้าจอทางด้านขวา นัยน์ตาจดจ้องปฏิกิริยาตอบโต้ของสมองกลตรงหน้า
'แมล' สีต่างๆ ที่องค์กรลักลอบนำออกมาจะถูกนำมาแยกโครงสร้างที่ห้องทดลองนี้ โมเลกุลที่ถูกแยกออกมาจะถูกนำมาคิดวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปเป็นฐานข้อมูลให้กับสมองกลที่องค์กรกำลังวิจัย
เป้าหมายที่แท้จริงขององค์กรนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การนำ 'แมล' ออกมาจากเรือนจำ
แต่เป็นการนำ 'แมล' ออกมาเพื่อสร้างสมองกลที่ยิ่งใหญ่ โมเลกุลที่ถูกคิดวิเคราะห์นั้นส่งผลต่อความคิดและการสร้างพลังกายของหุ่นยนต์
ศัตรูหลักขององค์กรคือ รัฐบาลที่เน่าเฟะ สมองกลถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายรัฐบาลนี้ให้สิ้นซาก สถาปนาองค์กรให้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงหนึ่งเดียวของประชาชน ปลุกปั่นให้เมืองทั้งเมืองตกอยู่ภายใต้ลัทธิที่ตัวเองเป็นผู้สร้าง
เทเรซิน่าถอนหายใจยาว
ดูเหมือนว่าจะต้องรออีกสักพักใหญ่ถึงจะเห็นผล
เสียงกระแอมไอดังมาจากเบื้องหลัง เธอสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าสวยหันไปมอง นัยน์ตาเรียวเล็กกำลังมองมาที่เธอนิ่ง เสียงเนิบเอื่อยเป็นจังหวะขึ้นลงเอ่ยถาม
"คุณเทเรซิน่า ว่าอย่างไรบ้างครับ การวิจัยไปถึงไหนแล้ว" รอยยิ้มประหลาดที่มาพร้อมกับบรรยากาศที่แสนอึดอัดทำให้เธอได้แต่ขยับตัว
"ลัทธิเคซิเมียนโต้ของผม จะสำเร็จภายในกี่ปีหรือครับ คุณเทเรซิน่า"


OSTA SE ABRE
คอมเมนท์สุดท้าย ขออนุญาตแนะนำเรื่องสำนวนการเขียนซักหน่อยนะครับ : )
เรื่องนี้มีอยู่ 2 จุด ที่ถ้าแก้ไขแล้วสำนวนการเขียนจะดีขึ้นทันตาเห็น
1. พยายามใส่ประธานเข้าไปในประโยคด้วยนะครับ
เช่น:
[ได้ยินเสียงปืน สังเกตจนรู้ว่าเขาอยู่ในอาคารนี้]
- แม้ว่าถ้าอ่านต่อเนื่องมาจากย่อหน้าก่อนๆ ผู้อ่านย่อมรู้ว่านี่พูดถึงใคร
แต่อย่างไรก็ตาม ในการขึ้นย่อหน้าใหม่ ยังไงก็ควรใส่ประธานเข้าไปด้วยนะครับ
ไม่งั้นจะเกิด 'ภาพแหว่ง' ในหัวผู้อ่าน ทำให้สะดุด/ ติดขัด
[นัยน์ตาสีเหลืองทองหรี่ต่ำ พยายามรวบรวมความคิดให้กลับมาเข้าที่]
- ตรงนี้ก็เป็นช่วงขึ้นย่อหน้าใหม่เช่นกัน
กรณีเดียวกันเลยครับ
พอเราละประธานที่เป็นบุคคลไป
กลายเป็นว่า สิ่งที่ [พยายามรวบรวมความคิดให้กลับเข้าที่] นั้นก็คือ 'นัยน์ตา' ไม่ใช่เจ้าของนัยน์ตา
2. เป็นคนที่เขียนอากัปกิริยาของตัวละครละเอียดมากนะครับ
ซึ่งงานเขียนเป็นสิ่งที่ประหลาดอย่างหนึ่ง
ยิ่งเราเขียนน้อย ผู้อ่านจะได้ภาพมาก
แต่ถ้าเราเขียนมาก ผู้อ่านจะได้ภาพน้อย
> <
หวังว่าคอมเมนท์ครั้งสุดท้ายนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช