EN14 Time Trip : Zodiac Theme
เมื่อสมาชิกผู้เป็นตัวแทนของแต่ละราศี ต้องเข้ามาแข่งขันเกมไหวพริบ โดยมีเป้าหมายคือเดินทางข้ามเวลาไปทำสิ่งที่อยากทำ พวกเขาต้องชิงไหวชิงพริบ และทำทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่การหักหลังเพื่อนร่วมทีม!
ตอนที่ 3
ก่อนสิงโตจะคำราม
ต่อให้เป็นผู้ถูกล่า... ก็ไม่ได้แปลว่าต้องหนี
ฟอราส ราชสีห์ ทีม B
“นี่ อีกไกลไหมกว่าจะถึง” ซีเรส่งเสียงเรียกทอรัสที่เดินนำอยู่ไม่ไกล
เจ้านั่นพาเธอเดินมาก็ตั้งไกล มองไปมองมาก็ไม่เห็นจะมีสิ่งมีชีวิตซักตัว นี่พามาหลงทางรึเปล่าก็ไม่รู้
แล้วดูทางที่มันพามาสิ รกซะยิ่งกว่ารก ต้องลอดเถาวัลย์ กระโดดข้ามขอนไม้ ก้อนหิน อุปสรรคต่างๆ นานา จนตัวเธอเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้งเต็มหัวไปหมด
“อดทนอีกนิดนึงนะขอรับ กระผมพามาทางที่ลัดที่สุดของที่สุดแล้ว แต่ถ้านายหญิงไม่อยากเดิน สามารถกระโดดขึ้นมาขี่หลังกระผมได้ทุกเมื่อเลยนะขอรับ ทอรัสคนนี้ยินดีและเต็มใจบริการอย่างถึงที่สุด~”
“ไม่!”
คำตอบที่ออกมาจากปากซีเรแทบไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดใดๆ เลยด้วยซ้ำ
เธอหักกิ่งไม้ขนาดพอดีมือมาจากต้นไม้ใกล้ๆ ฟาดไปในอากาศสองสามทีอย่างไม่ถนัดนักเพราะกิ่งไม้ขวางหน้าเต็มไปหมด เมื่อเห็นว่าน้ำหนักพอเหมาะก็เร่งฝีเท้าให้ทันทอรัสที่เดินอยู่
เมื่อเดินมาจนขนาบข้าง เจ้าทอรัสก็พูดขึ้นว่า
“เจ้าซาจิ เอ่อ กระผมหมายถึงตัวแทนราศีธนูน่ะ ถึงจะไม่อยากยอมรับเท่าไร แต่ไอ้ขี้เก๊กนั่นมันเก่งนะขอรับ นายหญิงมีแผนการแย่งมายังไงเตรียมกับกระผมไว้ก่อนก็ได้ กระผมยินดีที่จะช่วยนายหญิงอย่างเต็มที่ ถึงจะโคตรเกลียดขี้หน้ามัน แต่เพื่อนายหญิงกระผมจะยอมมองหน้ามันซักสามวิก็ได้!” ทอรัสพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ซีเรหัวเราะหึในลำคอ เจ้าตัวยักไหล่ก่อนจะพูดสั้นๆ
“ไม่มีแผน แย่งก็คือแย่ง ถ้าไม่ให้ก็แค่สู้”
คำตอบของซีเรช่างเรียบง่าย
อาจจะเป็นเพราะว่าเธอต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ซีเรจึงมักจะมีวิธีการที่จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการเสมอ เธอในตอนนั้นเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พร้อมๆ กับน้องชายที่อายุน้อยกว่าสองสามปี แล้วก็อยู่ที่นั่นจนอายุย่างเข้าสิบสามจึงขอออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาซีเรก็กลายเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของน้องชาย
เธอต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ไม่ควรแสดงความรู้สึกใดๆ ออกไป
นั่นคือสิ่งที่เธอคิดมาตลอด
และความต้องการจะแข็งแกร่งนั้นก็ทำให้เธอได้เจอกับใครบางคนที่ดึงเธอเข้าสู่สังเวียนแกรนด์การีน่าซึ่งเป็นเวทีการประลองกำลังของฝ่ายหญิง แลกกับการที่คนคนนั้นจะสอนการต่อสู้ให้เธอ นอกจากนี้ถ้าได้เป็นแชมป์แกรนด์การีน่าเธอจะได้เงินรางวัลทั้งหมดไป ตอนนั้นเธอไม่มีเงิน ทางเลือกหนึ่งเดียวจึงเป็นการตอบตกลง
เพื่อให้น้องชายได้สบาย เธอจึงยังคงเดินอยู่บนเส้นทางนี้จนถึงปัจจุบัน แต่ถ้าเลือกได้อีกครั้ง... เธอคง...
ซีเรสะบัดหัวสองสามทีเพื่อเรียกสติให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
“นายหญิงเป็นโรคชักกระตุกหรือขอรับ...”
ซีเรมองหน้าทอรัสนิ่งจนเจ้านั่นลอบกลืนน้ำลายดักอึก
“เงียบๆ แล้วหาซาจินั่นให้เจอ ถึงเวลาฉันจะจัดการเอง”
ทอรัสพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้น มันพาเธอเดินบุกป่าฝ่าดงที่รกกว่าตอนแรก จนเดินมาได้ซักพักเธอก็โผล่ออกมาสู่ลานกว้างของป่า เจ้านั่นหยุดเดินก่อนจะมองไปยังโขดหินขนาดประมาณห้าคนโอบที่ตั้งตระหง่านรับแสงจันทร์อยู่ตรงกลางของลานกว้าง
“นั่นขอรับ”
เธอมองตาม บนโขนหินนั้นปรากฏร่างของมาร์บัสนั่งอยู่ ไอ้เด็กนั่นกำลังสนทนา ไม่สิ ภาพที่เห็นตอนนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าสนทนาเลย เพราะมีก็แต่ไอ้เด็กนั่นแหละที่พูดพล่ามน้ำลายแตกฟองอยู่คนเดียว ไม่ได้สนใจเลยว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าทรมานที่หนีไปไหนไม่ได้มากแค่ไหน!
และจากการวิเคราะห์ คู่สนทนาของมาร์บัสก็น่าจะเป็นซาจิ คาดการณ์ได้จากรูปร่างที่ครึ่งล่างเป็นม้า ครึ่งบนเป็นคนที่มีผมสีน้ำตาลยาว ในมือของซาจิถือคันธนูไว้ นั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงสถานะของเทพประจำราศีธนูได้ดีทีเดียว
“มาร์บัส”
ซีเรส่งเสียงเรียก แต่มาร์บัสไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่เอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับการจ้อแบบไม่ลืมหูลืมตา ดูจากสีหน้าของซาจิ หมอนั่นก็คงอยากจะเอาธนูยิงปากเด็กตรงหน้าไม่แพ้กัน
“มาร์บัส!” คราวนี้ซีเรเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้นไปอีก เจ้าเด็กนั่นเลยหันซ้ายหันขวา พอประสบพบเจอเข้ากับเธอก็โบกมืออย่างเริงร่าเป็นการทักทาย
“พี่ซีเรๆ แปปนึงนะพี่ ผมกำลังเล่าเรื่องที่บ้านให้ซาจิฟังอยู่ ซาจิ อย่าหันไปทางอื่นสิ หันมาฟังผมเล่าก่อนๆ เนี่ยผมเล่าถึงไหนแล้วนะ ลืมเลย เอาตั้งแต่ตรง บลาๆๆ”
ซีเรนึกขำผู้โชคร้ายอย่างซาจิที่พอมีโอกาสได้เบือนหน้าหนี เจ้าเด็กมาร์บัสก็อุตส่าห์ยืนมือไปสะกิดให้หันกลับมาฟังมันพล่ามอะไรไม่รู้ยาวเหยียด
ช่างไม่รู้ตัวเองสมกับที่เป็นไอ้เด็กนี่จริงๆ!
“มาร์บัส ขอเวลาแปปนึง ฉันมีเรื่องอะไรจะคุยด้วย” คราวนี้ซีเรเริ่มใช้น้ำเสียงเข้าข่มขู่
เธอมีเวลาไม่มาก อย่างน้อยก็ต้องได้ธนูก่อนฟอราสจะไปไกลกว่านี้ ไม่งั้นเธออาจจะพลาดโอกาสกำจัดราชสีห์ผู้เป็นกำลังหลักของทีม B ไปอย่างน่าเสียดาย
เด็กมาร์บัสเมื่อเห็นว่าซีเรมีท่าทีจริงจังก็ยอมที่จะหยุดคุย แต่กว่าจะหยุดได้ก็เล่าเรื่องหมู่บ้านของตัวเองจบไปเรียบร้อย เด็กนั่นวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางเริงร่าพร้อมกับซาจิที่เดินตามมาอย่างไม่เต็มใจนัก เมื่อมาใกล้มันก็มองหน้าทอรัสก่อนส่งเสียงเหอะออกมา ทอรัสเลยสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง
“มีอะไรเหรอฮะพี่ซีเร เอ หรือว่าพี่เห็นประโยชน์จากการมีผมอยู่ข้างๆ แล้ว ก็บอกแล้วถ้ามาเล่นเกมนี้ยังไงพี่ก็ต้องการคนอย่างผม มีอะไรว่ามาเลยฮะ ผมตอบพี่ได้ทุกเรื่องงงงง”
โอ้ย! จะมีอะไรหยุดความพูดมากของไอ้เด็กนี่ได้บ้างนะ ซีเรอยากอุดหู แต่สิ่งที่เธอทำคือการยื่นมือไปจับไหล่มาร์บัสอย่างอ่อนโยน แม้เจ้าเด็กนั่นจะมีท่าทีแปลกใจ แต่เชื่อเถอะคนอย่างมาร์บัสซื่อเกินกว่าจะรู้ตัวแน่ๆ ว่าตอนนี้กำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“ฉันไม่ได้มาถาม ฉันมาขอ”
“มาขอ? ขออะไรเหรอฮะ?” มาร์เอียงคอถามอย่าง (พยายาม) น่ารัก
ซีเรไม่สนใจท่าทีนั่น เธอมองไปที่ซาจิก่อนจะพูดขึ้นว่า “...ธนู”
“ฮะ?”
“ฉันมาขอธนู...”
“เฮ้ย! ธนูไหนพี่ ของผมไม่มีหรอกนะ แต่ถ้าเป็นธนูของซาจิคงให้ไม่ได้หรอกครับ พี่เพี้ยนรึเปล่าเนี่ย จู่ๆ มาขออาวุธของคนอื่นเฉย เอ หรือว่า...” มาร์บัสมองซีเรราวกับนึกอะไรออก เจ้านั่นไล่สายตาตั้งแต่เท้าขึ้นไปจนถึงส่วนหัว จากนั้นก็ไล่จากหัวกลับลงมาอีกครั้งแล้วหยุดนิ่งตรงบริเวณเอวที่มักจะมีดาบเหน็บไว้ตลอดเวลา
... แต่ตอนนี้มันไม่มีไง
“นี่พี่ไม่มีดาบ ก็เลยมาแย่งธนูของซาจิใช่ไหมครับเนี่ย!”
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ซีเรอยากจะเอาไม้ในมือฟาดมาร์บัสให้ขาดเป็นสองท่อน แต่ติดตรงที่ไม้ท่อนเท่าหางหมาแค่นี้ฟาดให้ตายก็ไม่ขาด แล้วเธอก็ไม่นิยมการลงแรงโดยเปล่าประโยชน์ด้วย
แต่ถ้าฟาดปากก็น่าคิดอยู่
“ฉันมีทางเลือกให้สองทาง” ซีเรชูนิ้วขึ้นมาตรงหน้า “หนึ่งให้มาดีๆ หรือสอง... จะให้ใช้กำลัง”
“เฮ้ยเดี๋ยวดิพี่! พี่เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า เราทีมเดียวกันนะ อ่านปากผมดิ ทีมเดียวกัน แล้วเราจะมาสู้กันเพื่ออะไรเนี่ยยยย เราควรจะกำจัดทีมอื่นไม่ใช่หรือไง! ผมงง ผมงง ผมงงงงงงง” เด็กนั่นเริ่มสติแตก ทึ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่งเมื่อโดนกดดันอย่างหนัก
“ก็นี่ไง นายให้อาวุธฉันแล้วที่เหลือฉันจัดการเอง”
“ถ้าผมให้พี่แล้วผมจะเอาอาวุธที่ไหนสู้ล่ะ” มาร์บัสหยุดการทึ้งหัวก่อนจะหันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว! “ไม่เอาไม่ให้ ยังไงก็ไม่ให้เด็ดขาด!”
“แน่ใจ?” ซีเรถามอีกครั้งก่อนสองขาจะค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเด็กหนุ่มผู้โชคร้าย
“นะ... แน่ใจ” แม้จะรับรู้ได้ถึงหายนะที่กำลังจะมาเยือน แต่มาร์บัสก็ยังคงยืนยันคำเดิม สองขาของเขาค่อยๆ ก้าวถอยหลัง เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามไรผมอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ยะ...ยังไงผมก็เป็นฝ่ายล่า พะ... พี่กำจัดผมไม่ได้หรอก พะ... พี่ พี่อย่าเข้ามาใกล้ดิ!!”
“ขอถามครั้งสุดท้าย จะให้ไม่ให้”
“ไม่!”
ซีเรหักนิ้วดังกรอบ ตอนแรกก็ว่าจะมาเจรจาอย่างสันติ แต่ถ้าการเจรจาพังพินาศไม่เป็นท่าแบบนี้ก็มีทางเลือกเดียวที่เหลือ
ขอโทษนะมาร์บัส
“ม่ายยยยยยยยย”
“นอกจากบีเทลจูสที่อยู่ตรงหัวไหล่นายพราน แล้วยังมีซิริอุสในกลุ่มดาวหมาใหญ่ แล้วนั่นก็โปรซิออนในกลุ่มดาวหมาเล็ก ถ้าลากเส้นดวงสามดวงนี้จะเห็นเป็นสามเหลี่ยม เค้าเรียกกันว่าสามเหลี่ยมฤดูหนาว...”
“ไหนหมาฮะลุง” เด็กน้อยเจที่นอนอยู่ข้างขวาของไพมอนถามอย่างสงสัย ต่างจากมินี่ที่นอนอยู่ด้านซ้าย รายนั้นหลับไปตั้งแต่ที่เขาเริ่มพูดประโยคแรกเลยด้วยซ้ำ!
“นั่นไง ตรงที่สว่างๆ ตรงนั้น ลองจินตนาการดีๆ”
เจมองไปที่กลุ่มดาวหมาใหญ่อีกครั้ง เด็กน้อยมองมันอยู่นานก่อนจะส่ายหัวรัวๆ “ไม่เห็นเหมือนตรงไหนเลยฮะลุง หัวก็ไม่มี ขาก็ไม่มี หางก็ไม่มี...”
“นั่นไงหัว นั่นไงขา นั่นไงหาง”
“ไม่เอาแล้วๆ ไม่เห็นเหมือนหมาตรงไหนเลย ทำไมคนแก่ชอบจินตนาการแปลกๆ” เจเกาหัวก่อนจะหันมามองไพมอนด้วยสายตาออดอ้อน “ลุงมีเรื่องเล่าอีกมั้ยฮะ เล่าอีกๆ ผมอยากฟัง”
ไพมอนหัวเราะ ลองให้เขาอยู่กับเด็กน้อยเจทั้งคืนมีหวังไม่ได้ออกล่าแน่ๆ ลำพังแค่นอนอยู่นี่ก็กินเวลาไปเป็นสิบนาทีแล้ว เป็นสิบนาทีที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนเล่านิทานจริงๆ
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร เพราะคนที่เขาอยากประลองด้วยก็มีแค่เพื่อนสนิทอย่างเฟรเซอร์เท่านั้น อีกอย่างในทีมก็มีทั้งซีเร มีทั้งซัลลอส สองคนนั่นก็คงจะจัดการแทนเขาได้... ละมั้งนะ
“มีตำนานกลุ่มดาวคนคู่ สนใจฟังไหม”
“มีกลุ่มดาวของพวกเราด้วยเหรอฮะ ฟังฮะ ฟังๆ” เจพูดอย่างตื่นเต้น
ตึก ตึกๆๆๆ
ไพมอนชะงัก เขาส่งสัญญาณให้เจเงียบก่อน พอทุกอย่างเงียบหูก็จับความผิดปกติบางอย่างได้ มันเป็นเสียงฝีเท้าหนักๆ เหมือนกับเสียงฝีเท้าของสัตว์ชนิดหนึ่ง
เจ้าของเสียงนั้นกำลังวิ่งอยู่ไม่ไกล...
ไพมอนกระตุกยิ้มก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
“มีสิ แต่ตอนนี้ลุงคงเล่าไม่ได้แล้ว”
“ทำไมฮะ” เจถาม
“มีคนกำลังมา...” ไพมอนลุกขึ้นยืน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มินี่ตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย “ตอนแรกก็ไม่ค่อยจะอยากจะลุกเท่าไรหรอกนะ แต่ถ้ามีเหยื่อมาถึงที่แบบนี้... ก็คงต้องออกแรงซักหน่อย เจ มินี่ ลุกขึ้น”
“ไปไหนฮะ” เจถาม เพราะมินี่ยังไม่ทันได้สติดี
“... ไปเล่นวิ่งไล่จับกัน!”
ไพมอนไม่รู้ว่าคนที่กำลังวิ่งอยู่ตรงหน้าเขาไม่ไกลเป็นใคร
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าเจอหน้าแล้วจะทำยังไง
รู้เพียงแต่ว่าตามสิทธิ์ของผู้ล่าอย่างน้อยก็ต้องตามให้ทัน เมื่อเจอตัวก็คงจะรู้เองละมั้งว่าต้องทำยังไง ... ละมั้งคือแปลว่าไม่แน่ใจน่ะนะ ฮ่ะๆ
ไพมอนวิ่งตามเสียงฝีเท้ามาติดๆ โดยมีเจที่จูงมินี่วิ่งตามมา เขารู้สึกได้ว่าเสียงฝีเท้าดังอยู่ไม่ไกล แต่พอจับเสียงอีกครั้งก็ดูเหมือนจะห่างออกไปทุกที
“ลุงฮะ เรากำลังเล่นวิ่งไล่จับกับใครเหรอฮะ” เด็กน้อยเจถามเมื่อวิ่งมาทันไพมอน เป็นเพราะร่างแปลงที่ทำให้ขายาวขึ้น ไม่งั้นไม่มีทางวิ่งทันแน่ๆ
“ลุงไม่รู้”
“อ้าว”
“ถ้าอยากรู้ ก็คงต้องตามให้ทัน J” ไพมอนตอบพลางเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก
วิ่งไปได้ซักพักก็รู้สึกได้ว่าเสียงฝีเท้านั่นเงียบหายไป ไพมอนหยุดวิ่งพลางมองไปพื้นที่รอบๆ อย่างสำรวจ แถวนี้ต้นไม้เยอะ... เสียงฝีเท้าก็หายไปแถวๆ นี้ ถ้าคนคนนั้นไม่หายตัวได้ ก็น่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งไม่ไกล
ชายหนุ่มเงียบ พยายามใช้ประสาทสัมผัสจับความเคลื่อนไหวอีกครั้ง
สวบ สวบ ~
ไพมอนหันขวับไปมองยังพุ่มไม้ด้านซ้ายที่สั่นไหวเล็กน้อย เขาไม่รับรู้ถึงลมที่พัดมา แต่พุ่มไม้กลับขยับได้เอง ไพมอนหันมาบอกให้เด็กน้อยทั้งสองเงียบ ก่อนตัวเขาจะค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ที่พุ่มไม้แห่งนั้นอย่างระมัดระวังตัว
สวบ สวบ สวบ ~
ยิ่งเข้าไปใกล้เท่าไร พุ่มไม้นั้นก็ยิ่งสั่นแรงขึ้น ไพมอนมั่นใจ... มีใครกำลังอยู่ตรงนั้นแน่ๆ!
เขาเดินเข้าไปใกล้ขึ้น... ใกล้ขึ้น
พอมาหยุดใกล้ๆ พุ่มไม้นั่นก็หยุดสั่น แต่นั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีเท่าไรนัก เขาว่ากันว่าก่อนพายุจะมาทะเลมักเงียบสงบเสมอ และเขาก็เชื่อว่ามันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ!
ฟึ่บ
ไพมอนหมุนตัวหนีทันทีเมื่อรับรู้ว่ามีอะไรบางอย่างกระโจนออกมาจากพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว!
แต่เขาเข้ามาใกล้เกินไป...
กว่าจะรู้ตัว เจ้าสิ่งนั้นก็พันธนาการร่างเขาไว้เรียบร้อยแล้ว!
“ฮืออ ลุงงงงง ไม่น่าเลย ฮึก ผมยังฟังนิทานไม่จบเลยนะ ฮึก ฮืออออ”
เด็กน้อยเจร้องไห้คร่ำครวญ ปาดน้ำตาออกจากแก้มป่องๆ ของตัวเองอย่างลวกๆ ในขณะที่มินี่วิ่งไปเด็ดดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ไม่ไกลมาวางไว้ตรงหน้าไพมอนราวกับต้องการไว้อาลัยรักครั้งสุดท้าย
“ถึงจะเจอกันไม่นาน แต่หนูก็รักลุงนะ ฮือออออ” มินี่ปล่อยโฮก่อนจะหันไปกอดเจที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างให้กำลังใจกันและกัน
“ฉันยังไม่ตาย แล้วก็ยังไม่ได้ออกจากเกมด้วย”
ไพมอนพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ มองดูเด็กน้อยทั้งสองกอดกันกลมดิ๊กด้วยสายตาเวทนา เวทนาตัวเองน่ะนะ
“ไม่จริง ลุงออกจากเกมแล้ว ลุงโดนจู่โจม”
โว๊ะ ยังมีหน้ามาเถียงอีกไอ้เด็กพวกนี้ เอาตรรกะไหนมาคิดว่าแค่โดนจู่โจมก็ต้องออก เชื่อเขาเลย
“ถ้าออกแล้วจะมายืนพูดอยู่ตรงนี้ได้ไหมเนี่ย” ไพมอนว่าก่อนหันไปมองใครบางคนที่กำลังกอดเขาไว้จากทางด้านหลัง เป็นเจ้านั่นที่กระโจนใส่เขาเมื่อกี้ แล้วก็เป็นเจ้านั่นที่ทำให้เขาต้องมาโดนไว้อาลัยแบบนี้ด้วย!
“ปล่อยได้แล้วมาร์บัส ฉันหายใจไม่ออก!”
ถ้ารู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้นะ จ้างให้ก็ไม่ตามมาให้เหนื่อยฟรีหรอก เหนื่อยกายยังไม่เท่าไร แต่เหนื่อยใจนี่สิ ที่สุดของที่สุดความซวย
“พี่ไพมอนนนนนนน ผมตามหาพี่ตั้งนาน พี่ไปอยู่ไหนมา” มาร์บัสที่กอดอยู่ทางด้านหลังคลายอ้อมกอดก่อนจะพลิกตัวเขาแล้วกระโดดกอดหมับจากทางด้านหน้าราวกับลูกลิงเกาะแม่
เอออ เกาะแน่นซะด้วย
“ว่าแต่ทำไมมีพี่ไพมอนหลายคน” มาร์บอสมองซ้ายมองขวาเห็นเจกับมินี่ในร่างแปลง “ฮืออออ เยอะแยะไปหมด ผมงง งั้นกอดหมดเลยแล้วกัน”
ว่าจบไอ้ตัวแสบก็รวบไพมอนทั้งสามร่างมากอดอย่างโหยหา พอกอดจนพอใจแล้วเจ้าเด็กแสบก็ปล่อยก่อนจะหันมาหาไพมอนตัวจริง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมวิ่งมาแบบนี้” ไพมอนถามก่อนจะขยับออกมาสองก้าว ป้องกันมาร์บัสกระโดดเกาะอีกครั้ง
“พี่! ผมมีอะไรจะฟ้อง พี่ต้องจัดการให้ผมนะ!” มาร์บัสกวักมือยิกๆ เรียกซาจิที่ยืนอยู่ไม่ไกลเดินเข้ามา พอร่างของซาจิปรากฏต่อสายตา ไพมอนก็รู้ได้ทันทีว่าเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ได้ยินเมื่อกี้น่าจะเป็นฝีเท้าของซาจินั่นเอง
มาร์บัสเขย่าแขนไพมอนเป็นเด็กๆ “พี่ๆ ฟังผมก่อน เนี่ยยย พี่ดูดิ ผมได้ผู้ช่วยเป็นนักธนู แต่ผมโดนแย่งธนูไปอ่ะ พี่ต้องจัดการให้ผมนะ! พี่ต้องไปลากคอคนผิดมาลงโทษ ทวงถามความอยุติธรรมคืนมาให้ได้!!”
ต้องทวงความยุติธรรมรึเปล่าวะ?
ไพมอนแก้ในใจแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น... เยอะ
“ใครแย่งธนูนายไป”
มาร์บัสรอคำถามนี้มานาน เจ้านั่นเงยหน้าขึ้นอย่างเด็ดเดียว ก่อนจะชี้นิ้วไปบนฟากฟ้า “คนที่แย่งธนูผมไปก็คือ...”
“อย่าลีลา พูดมาซักที” ไพมอนดับความเด็ดเดี่ยวของมาร์บัสไปหมดสิ้น เจ้านั่นเลยกระแอมเก้อๆ
“คนที่แย่งธนูของผมไปคือพี่ซีเร!”
“ซีเร?”
“ใช่!! พี่ซีเรนั่นแหละ ก็ระบบเขาไม่ให้เอาอาวุธเข้ามา ที่นี่พอไม่มีดาบพี่เขาก็เลยมาแย่งผม เนี่ยย พี่ไพมอน ตอนแรกผมก็ต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมยกให้เพราะผมใช้กระแสจิตจับอะไรไม่ได้ตั้งแต่เข้ามาในนี้ก็เลยว่าจะเอาไว้ป้องกันตัว อีกอย่างก็ไม่คิดว่าพี่เขาจะทำอะไรผมจริงๆ ที่ไหนได้กระโดดถีบผมหน้าคว่ำเลย แถมยังให้วัวของตัวเองผายลมอัดหน้าซาจิ แล้วชิงธนูไปหน้าตาเฉย พี่ดูเขาทำสิ มันโหดร้ายต่อสมองน้อยๆ ของผมกับซาจิมากแค่ไหน ยังดีที่ซาจิบอกว่าธนูนั่นเป็นของเขา พี่ซีเรเอาไปก็ใช้ไม่ได้ เดี๋ยวก็เอามาคืนเอง แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นนะ ประเด็นคือพี่เขาใช้กำลังข่มขู่ผม ผมไม่ยอมมมม โอ้ย เหนื่อยอ่ะพี่ ขอกอดหน่อย”
ไพมอนกระโดดหนีมาร์บัสที่กระโจนเข้ามา แต่เพราะระยะห่างไม่มากจึงยากที่จะหลบพ้น ไอ้เด็กนั่นเลยกระโดดเกาะหนึบอยู่ตรงแผงอกเขา แกะยังไงก็แกะไม่ออก
“ปล่อยก่อนมาร์บัส”
“ไม่เอาพี่ ผมรักพี่ อย่าผลักไสผมเลยยยยย” มาร์บัสร้องลั่น ไพมอนไม่รู้จะทำยังไงกับไอ้เด็กตรงหน้าก็เลยหันไปหาเจกับมินี่ที่หยุดร้องไห้ไปซักพักเพราะรู้แล้วว่าเขายังไม่ได้ออกจากเกม
“เจ มินี่”
“ฮะ / ค่ะ”
“จับไว้” ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือทั้งสองข้างของมาร์บัสก็ถูกดึงโดยเด็กน้อยคนละข้าง พอโดนลากห่างจากไพมอนพอสมควร เด็กน้อยทั้งสองก็กระโดดเกาะขาไอ้เด็กพูดมาก ไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหนได้อีก!
แล้วก็จบด้วยการโวยวายตามสเต็ป
“เฮ้ยพี่ ไม่เอาแบบนี้ดิ พี่ปล่อยผมมมมม”
มาร์บัสดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการของเจกับมินี่ แต่เพราะถูกยึดขาไว้ ดิ้นไปดิ้นมาก็เลยล้มหน้าทิ่มลงพื้น แต่เด็กน้อยทั้งสองก็ยังคงทำตามคำสั่งไพมอนอย่างเคร่งครัด มินี่บอกให้เจจับขาทั้งสองข้างของมาร์บัสที่นอนคว่ำหน้าไว้ ก่อนเจ้าตัวเล็กจะปีนขึ้นไปนั่งกลางหลังมาร์บัส เป็นอันขยับไม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
“อั้กๆ พี่ เห็นพี่หุ่นบางๆ ทำไมตัวพี่มันหนักอย่างนี้อ่ะ ปล่อยผมๆๆๆ” มาร์บัสใช้กำปั้นทุบพื้นด้วยสีหน้าเหยเก พยายามไขว้คว้าหาอากาศที่จะหายใจ “อั้ก! พี่ผมยอมแล้วๆ ผมจะไม่กอดพี่อีกแล้ว จะไม่เข้าใกล้เกินหนึ่งเมตร”
“จริง?”
“จริงจริ๊งงงง พี่อย่าคิดนานดิ ตัวพี่โคตรหนักเลยเนี่ย ไส้ผมจะทะลักออกมาทางปากอยู่แล้ว โอ้ยๆ อย่าขย่มดิวะ มันหนักโว้ยยยยยย พี่ไพมอนน”
“เจ มินี่ ปล่อยได้แล้ว”
มินี่หันมามองไพมอนก่อนจะพยักหน้า แม้จะยังสนุกกับการแกล้งมาร์บัส แต่มินี่ก็ยอมคลานลงมาแต่โดยดี จากนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็เดินกลับมายืนข้างๆ ไพมอนราวกับเป็นบอดี้การ์ดปกป้องเจ้าชาย
ด้านมาร์บัสที่ถูกปลดปล่อยก็ลุกขึ้นยืนอยากยากลำบาก พอลุกขึ้นมาได้ก็หอบหายใจราวกับว่าขาดอากาศมาเป็นชาติ ตอนที่ไอแค่กๆ ก็นึกเวทนาตัวเองในใจ คิดว่าได้คนในทีมเก่งจะสบาย ทีไหนได้ หนีวัวเถื่อนปะเด็กลิงชัดๆ
“พี่แม่งโคตรใจร้ายอ่ะ แค่ก ผมอุตส่าห์มีอะไรมากบอก แค่กๆ ดูที่พี่ทำกับผมสิ”
“มีอะไรก็ว่ามา”
“ผมไม่บอกพี่แล้ว ผมงอน โป้งงงงงง”
ไพมอนหัวเราะน้อยๆ เขามองหน้ามาร์บัสด้วยรอยยิ้มอบอุ่นแบบที่ชอบทำเสมอ
“ฉันมีทางเลือกให้สองทาง...”
“ผมไม่เลือก ไม่เอาแล้ว ผมบอกหมดแล้วๆๆ” มาร์บัสรีบส่ายหัวทั้งที่ไพมอนยังพูดไม่จบประโยคเลยด้วยซ้ำ! คำพูดเหมือนกันเป๊ะกับที่ได้ยินมาจากซีเรเลย แล้วดูผลที่ได้ดิ โดนถีบหน้าคว่ำมาสภาพไม่เหลือชิ้นดี เขาจึงไม่คิดจะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคำพูดประเภทนี้อีก
มาร์บัสรีบหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ซ่อนไว้ออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้าไพมอน
“ตอนนี้ผมจะเข้าโหมดจริงจังแล้วนะ” มาร์บัสว่าก่อนจะแอมสองสามที “ก่อนไปเจอพี่ซีเร ผมไปเจอกระดาษนี่มา”
ชายหนุ่มรับมันมาก่อนพลิกหน้าพลิกหลังอย่างสำรวจก่อนจะขมวดคิ้ว
กระดาษเปล่า?
“ไม่เห็นมีอะไร”
“ตอนนี้น่ะไม่มี แต่ก่อนหน้านั้นมันมีข้อความเขียนอยู่” มาร์บัสว่าก่อนจะจิ้มๆ ไปที่กระดาษ “ก่อนหน้านี้ระบบไม่ได้พูดถึงว่าผู้ล่าจะทำให้ผู้ถูกล่าออกจากเกมยังไงใช่ไหมพี่ ผมเลยคิดว่าข้อความที่เขียนไว้น่าจะเป็นเงื่อนไขการกำจัดใครซักคน คือพอผมอ่านจบข้อความมันก็หายไปเลยอ่ะ”
“แล้วข้อความในนั้นเขียนว่าอะไร”
ทันทีที่ถามไพมอนก็รับรู้ได้ว่าท่าทางของมาร์บัสเปลี่ยนไปแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม เด็กนั่นใช้สายตาที่ไม่บ่งบอกความหมายมองมายังเขา แล้วแสร้งทำเป็นปกติก่อนจะพูดออกมาว่า
“มันเป็นคำใบ้ ในนั้นเขียนว่า...”
“...”
“... สี่เหลี่ยม”
“สี่เหลี่ยม?”
“ใช่ มันเขียนไว้แค่นั้น พอผมอ่านจบข้อความมันก็หายไปเลยอ่ะ ผมนี่โคตรตกใจ” มาร์บัสเล่าด้วยน้ำเสียงดังกว่าปกติเพื่อปกปิดความประหม่าของตัวเองไว้ ไพมอนมองกระดาษแผ่นนั้นอย่างครุ่นคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมองมาร์บัส “เฮ้ย! เดี๋ยวดิพี่ มองผมแบบนั้นหมายความว่าไงอ่ะ”
“เปล่า” ไพมอนยักไหล่ยิ้มๆ “ว่าแต่ มีอะไรจะบอกฉันอีกไหม?”
มาร์บัสมองสายตาไพมอนก่อนจะลอบกลืนน้ำลาย แม้ว่าเจ้าตัวจะยิ้มแต่รัศมีบางอย่างที่แผ่ออกมาพร้อมคำถามก็ทำให้เหงื่อเริ่มซึมตามฝ่ามือตามวิสัยคนโกหกไม่เก่งแต่ก็อยากจะโกหก
“ผมก็รู้แค่นั้นอ่ะพี่”
“จริง?”
“จริงดิ เราทีมเดียวกันนะ ผมจะโกหกไปเพื่ออะไรอ่ะ”
ไพมอนยักไหล่พลางส่งกระดาษแผ่นนั้นให้กับมาร์บัส
“เรื่องที่มาฟ้องถ้าเจอกันจะจัดการให้ แต่ตอนนี้ฉันไปตามหาคำใบ้บ้างดีกว่า เผื่อจะเจออะไรบ้าง ไปล่ะ” ไพมอนโบกมือลาก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง มาร์บัสมองตามแผ่นหลังนั้นอย่างงุนงง
การที่ไพมอนทำเหมือนสงสัยแต่ไม่ได้เค้นคอถามทั้งๆ ที่ทำได้ ก็แปลได้อย่างเดียว
...เขากำลังมีแผนการบางอย่างในใจ
มาร์บัสก้มลงมองกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้งก่อนจะโยนทิ้งไปในพุ่มไม้ข้างๆ เขารู้ข้อความข้างในแล้ว รู้แม้กระทั่งว่าคำใบ้นั่นใช้เพื่อกำจัดใคร เพราะงั้นกระดาษแผ่นนี้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เด็กหนุ่มหยิบลูกแก้วลูกหนึ่งที่บังเอิญเจอพร้อมประดาษออกมาจากกระเป๋า แน่นอนว่าคนอย่างเขาย่อมไม่เปิดเผยสิ่งที่รู้ออกมาทั้งหมด แม้ไพมอนจะสงสัยเกี่ยวกับคำใบ้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่รู้...
ป่านี้มีลูกแก้วซ่อนอยู่ด้วย
แม้จะไม่รู้ความหมายของลูกแก้วนั้น... แต่ก็ให้ใครรู้ไม่ได้
มาร์บัสเก็บลูกแก้วนั้นลงกระเป๋า ช่างใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจสะกดรอยตามไพมอนไปเงียบๆ
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นภายในป่า แสงจันทร์สาดส่องเผยให้เห็นเงาของคนสองคนปรากฏเดินเคียงคู่กันมา ข้างๆ นั้นมีสิงโตตัวใหญ่ที่เดินด้วยท่วงท่าน่าเกรงขามเป็นการบ่งบอกว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรเข้าใกล้... ไม่ว่าจะในเวลาไหนก็ตาม
“เมื่อไรเราจะเจอที่ซ่อนดีๆ ซักที ฉันเดินมาจนปวดขาไปหมดแล้วนะ” ผู้หญิงที่เดินเคียงข้างฟอราสแห่งราศีสิงห์บ่นขึ้นพลางเตะก่อนหินที่ขวางหน้าให้กระเด็นออกไปในความมืด
เธอคือไอม์ หญิงสาวตัวแทนของราศีกันย์ มีเอกลักษณ์คือผมสีทองที่ยาวมาจนถึงเอว ใบหน้าหวานแสดงถึงความลงตัวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาได้เป็นอย่างดี แต่อย่าถามถึงนิสัยนะ บอกได้เลยว่าขัดกันลิบโลก!
“ถ้าถึงคราวล่าเมื่อไรนะ แม่จะลากคอมากองรวมกันให้หมด ให้มาซ่อนนี่มันไม่ใช่เลย หงุดหงิด!”
“เกิดมาเพื่อบ่นรึไงเนี่ยแม่คุณ” ฟอราสที่เดินอยู่ข้างๆ หันมาเหน็บ “ซวยจริงๆ เดินมาเจอผู้หญิงพูดมากอย่างเธอเนี่ย”
ไอม์มองค้อน
“แล้วนายจะมาเดินด้วยกันทำไมล่ะ จะไปไหนก็ไปสิ!”
“ก็ถ้าไม่ใช่ว่าอยู่ทีม B เหมือนกันนะ ให้ลีโอตะปปตายคาที่ไปนานแล้ว!” ฟอราสส่งเสียงหึในลำคอ หันไปมองลีโอหรือสิงโตที่เดินอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันมาหาไอม์ “คิดอีกที ถ้าเธอออกตอนนี้ก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องมาติดหนึบอยู่ด้วยกันแบบนี้”
“กล้าก็ทำสิ!” ไอม์ยื่นมือไปผลักหัวฟอราสก่อนจะเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ เขาปัดมือเธอออกอย่างไม่ชอบใจ
“อย่าเล่นหัวดิ”
ฟอราสดุไอม์ ก่อนจะชะงักเมื่อลีโอที่เดินข้างๆ กัดเขาเบาๆ เป็นการเรียก พอก้มลงไปมองด้านล่างข้อความทางกระแสจิตของลีโอก็ถูกส่งมายังเขา ไอม์เห็นฟอราสแปลกไปก็ขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ลีโอได้ยินเสียงฝีเท้า...” ฟอราสว่าก่อนจะใช้หูจับเสียงนั้น แล้วเขาก็ได้ยินเหมือนกับที่ลีโอได้ยิน “ดูเหมือนจะมีใครบางคนแอบตามเรามาแฮะ”
“ใคร?”
ฟอราสหันมามองหน้าไอม์ “จะไปรู้ไหมแม่คุณ ได้ยินแค่เสียง ไมได้เทพขนาดนั้น”
“เออ! แล้วจะเอายังไงล่ะ พ่อคนเก่ง ออกไปสู้เลยไหมล่ะ เดี๋ยวฉันเสียสละหนีไปก่อน” ไอม์กระแทกเสียงใส่ก่อนจะพูดประชด แต่ฟอราสกลับพยักหน้าเห็นด้วยซะอย่างนั้น
“เดี๋ยวเดินไปถึงข้างหน้านั่นแล้วเราแยกทางกันนะ ถ้าเป็นทีมล่าฉันจะสู้ถ่วงเวลาให้แล้วเธอก็หนีไปก่อน ถ้าโชคชะตามีจริงก็คงได้พบกันใหม่ แม้ว่าจะไม่ค่อยอยากเจอก็ตาม”
ไอม์เบ้ปากหมั่นไส้
“อย่ามาทำเท่ไปหน่อยเลยน่า ถ้าจะหนีก็หนีไปด้วยกันดิ ออกไปสู้แบบนั้นถ้าแพ้ขึ้นมานี่ออกคนแรกเลยนะ เข้าเกมมายังไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ โคตรอับอายอ่ะขอบอก”
“นี่ใคร ดูด้วย” ฟอราสชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “นี่ฟอราส นี่ราชสีห์นะ แล้วที่นี่ก็คือป่า เป็นบ้านของราชสีห์ ไม่มีราชสีห์เจ๋งๆ ที่ไหนแพ้ในบ้านของตัวเองหรอก”
“มั่นหน้าขนาดนั้น ถ้าแพ้ขึ้นมาฉันจะขำให้ดู” ไอม์หัวเราะเหอะ
ฟอราสกระตุกยิ้มกวนๆ จริงๆ การถ่วงเวลามันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ เรื่องจริงคือเขาอยากลองฝีมือคู่แข่งซักหน่อย วิสัยของเจ้าป่าถ้าให้เอาแต่หนีก็คงเสียชาติเกิดแย่ ว่าไหมล่ะ J
“ถ้าฉันแพ้ เธอก็เอาคำใบ้กำจัดราศีพฤษภที่เจอไปหาเรลาเจละกัน แม้ตอนนี้จะใช้ไม่ได้ แต่ถึงเวลาก็คงได้ใช้มัน...” ฟอราสพูดทีเล่นทีจริงก่อนจะชี้ไปตรงป่าทึบข้างหน้า “ถ้าถึงตรงนั้น ฉันนับถึงสาม แล้ววิ่งแยกกันเลยนะ”
ไอม์พยักหน้า แม้จะแอบห่วงฟอราสหน่อยๆ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ถึงจะทำว่าไม่ชอบขี้หน้า แต่เธอก็เชื่อมั่นในตัวฟอราส เชื่อเหมือนกับที่ความรู้สึกของเธอบอกให้เชื่อตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
พอเดินไปถึงจุดที่ตกลงกันไว้ ฟอราสก็หันมาเลิกคิ้วเป็นสัญญาณว่าพร้อมไหม พอไอม์พยักหน้าอีกครั้งเจ้าตัวก็เริ่มนับ
“สาม”
“...” เธอเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้
“สอง”
“...” ทั้งสองรู้สึกถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมาจากทางด้านหลัง
“หนึ่ง!”
วิ่ง!
ทันทีที่นับจบฟอราสก็วิ่งแยกออกมาทางซ้ายมือทันที! เป็นแบบที่คิดไว้ไม่มีผิด เสียงฝีเท้านั่นวิ่งตามเขามาอย่างรวดเร็ว คาดการณ์ได้ทันทีเลยว่าคนที่ตามมาต้องมีฝีมือ ไม่ก็ต้องมั่นใจในตัวเองมากๆ ไม่งั้นคงจะเลือกตามไอม์ที่น่าจะกำจัดง่ายกว่าแทนที่จะมาตามเขาแบบนี้!
แต่ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าเลือกที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาก็ยังเร็วไปร้อยปี!
... คิดง่ายไปไอ้น้อง!
ฟอราสยิ้มอย่างนึกสนุก เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นไปอีก และแน่นอนว่าความเร็วระดับจ้าวป่าไม่ทางที่ใครจะตามทัน ใช้เวลาไม่นานเสียงฝีเท้านั่นก็เบาลงเรื่อยๆ ฟอราสหยุดวิ่ง มองไปรอบๆ อย่างสำรวจ เมื่อเห็นที่ที่เหมาะสมเขาก็เดินไปยังพุ่มไม้ไม่ไกล... เพื่อใช้เป็นที่ซ่อนตัวเฉพาะกิจ
ถ้าอยากเล่นกับเขาขนาดนั้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขัด
...
ตามมาให้ทัน... แล้วมาเล่นกันเถอะ!
กึก
ซีเรหยุดฝีเท้าลงเมื่อเสียงฝีเท้าของคนที่วิ่งไล่ตามหายไป เธอมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนซ่อนตัวอยู่แถวๆ นี้ แต่เพราะความมืดมิดจึงทำให้มองเห็นได้ไม่ถนัดนัก
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านหลัง เรียกให้ซีเรหันขวับไปมอง มือยกธนูขึ้นพร้อมยิงอย่างอัตโนมัติ!
“เฮ้ ใจเย็นๆ ก่อนก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย” ผู้มาเยือนยกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ แต่ปากกลับกระตุกยิ้มราวกับผู้ชนะ “ยังไม่ทันรู้จักกันเลยนะ จะยิงกันแล้วเหรอ โหดเอาเรื่องเลยแฮะ”
“นายคือฟอราส?”
“นี่ฉันโด่งดังขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฟอราสแสร้งเลิกคิ้วกวนๆ แสดงท่าทางสบายๆ โดยไม่ได้สำเหนียกเลยว่าตัวเองอยู่ในสถานะผู้ถูกล่าที่ควรต้องหนี “แต่น่าเสียดายที่ฉันยังไม่รู้จักเธอเลย”
“ฉันชื่อซีเร สถานะตอนนี้เป็นฝ่ายล่า”
“โอเค จะจำไว้”
ซีเรขมวดคิ้ว ตอนแรกเธอคิดว่าที่คนตรงหน้าไม่หนีเพราะอาจจะไม่รู้ว่าเธอเป็นสมาชิกทีมล่า แต่ตอนนี้รู้แล้ว แล้วไอ้ท่าทางสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งสิ้นของหมอนั่นมันหมายความว่ายังไง
ก็ถ้าไม่ใช่ว่าเก่งมาก ก็คงจะมั่นใจในตัวเองมากๆ สินะ...
“นายไม่หนี?” ซีเรขมวดคิ้ว
“ทำไมต้องหนี?” ฟอราสถามหน้าตาเฉย
“เพราะนายเป็นฝ่ายถูกล่า”
“ก็ถูก” ฟอราสยักไหล่ “แต่เป็นผู้ถูกล่า ไม่ได้แปลว่าต้องหนี มันคงจะสนุกพิลึกถ้าฝ่ายถูกล่าจะลุกขึ้นมาล่าบ้าง ว่างั้นไหม” ไม่หนีเปล่าเจ้าตัวยังเลิกคิ้วถามอย่างลองเชิง “ไม่รู้ว่าเธอรู้หรือเปล่า แต่เกมนี้ผู้ล่าจะกำจัดใครออกได้ก็ต่อเมื่อเจอคำใบ้จุดอ่อนของคนนั้นๆ แล้วจนถึงตอนนี้ฉันก็เชื่อว่าเธอไม่มีคำใบ้ของฉัน ถูกไหม?”
ซีเรเหยียดยิ้ม เธอล้วงมือลงไปในกระเป๋า
“แล้วคิดว่าฉันจะมาตามล่าโดยไม่รู้วิธีกำจัด?”
“งั้นก็มาเสี่ยงดวงกันว่าสิ่งที่ฉันคิดกับสิ่งที่เธอพูด อันไหนจะเป็นความจริง” ฟอราสเหยียดยิ้มก่อนจะสั่งให้ลีโอกระโจนเข้าใส่ซีเร แต่เพราะเธอกระโดดหลบทัน คมเล็บของลีโอจึงกระแทกไปโดนต้นไม้ด้านหลังแทน
โครม!
ต้นไม้ทั้งต้นหักโค่นทันทีที่โดนคมเล็บของลีโอจู่โจมเข้าไป ซีเรหันไปมองต้นไม้นั่นก่อนจะหันกลับมา ง้างธนูขึ้น เป้าหมายคือหัวของฟาราส
“ก็มาลองดูกัน!”
ฟึ่บ!
แล้วลูกธนูก็ถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็ว!
มาร์บัสเดินตามไพมอนอย่างเงียบๆ เขาเดินตามมาพักใหญ่ๆ แล้ว ก็ไม่เห็นว่าพี่ท่านจะจริงจังกับการหาคำใบ้ตามที่บอกไว้ซักเท่าไร ถ้าบอกว่าเดินตามหาที่นอนเหมาะๆ ยังจะน่าเชื่อซะกว่า
ไพมอนหยุดกึกอยู่ตรงขอนไม้ขอนหนึ่งที่ถูกล้มไว้ ก่อนจะนั่งลงบนขอนไม้โดยมีเจกับมินี่ที่ตอนนี้แปลงร่างเป็นไพมอนอีกครั้งนั่งขนาบข้างซ้ายขวา
“เหนื่อยรึยัง”
ไพมอนพูดด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย ดูเหมือนเจ้าตัวจะพูดเพื่อให้คนรอบข้างได้ยินด้วย แต่เขาซ่อนดีแล้วนะ! พี่ไพม่อนไม่มีทางเห็นแน่ๆ
“ฉันหมายถึงนายนั่นแหละมาร์บัส! ถ้าเหนื่อยก็มานั่งด้วยกันก่อน”
คราวนี้ชัดเจน! ไพมอนรู้จริงๆ ด้วยว่าเขาสะกดรอยตามมาถึงนี่
มาร์บัสกรอกตา เกาหัวน้อยๆ ก่อนจะเดินออกไปแต่โดยดีเมื่อรู้ว่าซ่อนไปก็เท่านั้น พอออกไปก็เห็นไพมอนที่มองมาด้วยรอยยิ้ม ตอนแรกเขาก็มองว่ารอยยิ้มนี้อบอุ่น แต่ที่ไหนได้... รอยยิ้มปีศาจชัดๆ!
“พี่รู้ได้ไงว่าผมตามมา”
“ซาจิของนายไม่ได้เดินเสียงเบาเลยนะ เสียงฝีเท้าม้าใครบ้างจะไม่ได้ยิน” ไพมอนเฉลย เจ้าตัวชี้ไปยังขอนไม้อีกอันใกล้ๆ มาร์บัสจึงเดินเข้าไปนั่ง
“มีอะไรจะบอกฉันไหม”
“ไม่มีครับ”
“ถามครั้งสุดท้าย... มีอะไรจะบอกไหม?”
ความกดดันนั่นทำให้เหงื่อของมาร์บัสซึมออกมาอีก แม้ว่าจะคิดต่อว่าตัวเองในใจที่ดันซวยเดินเข้ามาหาเรื่องอีกครั้ง แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากการชั่งใจว่าควรจะพูดความจริงออกไปดีไหม
“ผม...”
โครม!
โครม! โครม! โครม!
ยังไม่ทันที่มาร์บัสจะพูดอะไรออกไป เสียงต้นไม้ที่ล้มโครมครามก็เรียกความสนใจของไพมอนไป ชายหนุ่มมองมาร์บัสก่อนจะยิ้มแบบที่ชอบทำเสมอ
“เรื่องนั้นช่างก่อนก็ได้ สนใจที่มาของเสียงก่อนดีกว่า”
“...?”
“ดูเหมือนจะมีใครคิดทำลายป่าแฮะ ไปดูกันไหม”
ไม่ทันรอคำตอบไพมอนก็วิ่งออกไปจากตรงนั้น มาร์บัสที่ตั้งสติได้ก็ลุกขึ้นยืนมอง เห็นเด็กน้อยในร่างไพมอนทั้งสองก็เรียกให้ขึ้นบนหลังของซาจิจากนั้นเขาก็ขึ้นปิดท้าย แล้วสั่งให้ซาจิวิ่งตามไพมอนไปติดๆ
ใช้เวลาไม่นานทั้งหมดก็มาถึงที่เกิดเหตุ มาร์บัสกระโดดลงมา เขามองเห็นไพมอนยืนดูอะไรบางอย่างอยูไม่ไกลจึงลงจากหลังซาจิแล้วเดินตามไปยืนข้างๆ
โครม!
“นั่นมัน...!”
มาร์บัสมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ
ท่ามกลางต้นไม้รอบข้างที่หักโค่นอย่างระเนระนาด เขาเห็นพี่ซีเรที่เสียท่าโดนคมเล็บของลีโอโจมตีจนกระแทกต้นไม้แล้วล้มลงไปกองบนพื้น ด้านตรงข้ามนั้นมีชายคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าเป็นฟอราสแห่งทีม B ยืนอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ
มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง!
มาร์บัสไม่เคยคิดมาก่อนว่าทีมผู้ล่าจะมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้ แถมคนคนนั้นยังเป็นพี่ซีเรผู้เก่งกาจอีกด้วย เขาหันไปมองไพมอนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะมีคำถามผุดขึ้นในใจ
“พี่จะไม่เข้าไปช่วยพี่ซีเรหน่อยเหรอ?”
“หมอนั่นมันเก่ง” ไพมอนว่า “เข้าไปโดยไม่รู้วิธีกำจัด เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ รอดูสถานการณ์ไปก่อน จังหวะเหมาะๆ ค่อยเข้าไป”
มาร์บัสหันไปมองภาพซีเรที่กำลังเพลี่ยงพล้ำด้วยสีหน้ากังวล เขากำมือแน่น ในใจร้อนรนจนไพมอนจับสังเกตได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะรู้ดี
ขึ้นชื่อว่าความลับ... ถ้ายังไม่ถึงเวลาถูกเปิดเผยก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปรู้มัน ตรงกันข้าม... ถ้ามันถึงเวลา...
“พี่ไพมอน!”
เขาเลิกคิ้ว
“ตอนนี้ผมมีบางอย่างจะบอกพี่...”
“...?”
“คำใบ้ที่ผมบอกอ่ะ สี่เหลี่ยม... ความหมายของมันคือความมั่นคง... ถ้าใช้กับสิ่งมีชีวิตก็หมายถึงความแข็งแกร่ง...”
“...”
“ผมโกหกพี่ว่าไม่รู้ แต่ความจริงคำใบ้นั้น...”
“...”
“เป็นคำใบ้ของราศีสิงห์!”
“ก็เท่านั้นแหละ” ไพมอนดีดนิ้วดังเป๊าะก่อนจะตบบ่าของมาร์บัสสองสามทีอย่างถูกใจ ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปในลานประลองที่มีฟอราสยืนอยู่ พอรู้ว่ามีผู้มาเยือนเจ้าของฉายาราชสีห์ก็หันกลับมามอง
“สวัสดี” ไพมอนเอ่ยทัก
ซีเรที่นอนอยู่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น เธอพยุงตัวเดินเข้ามาด้านหลังของฟอราสในระยะห่างที่ใกล้เคียงกับไพมอน และเมื่อมาร์บัสเดินเข้ามาจากอีกด้าน ทั้งสามก็ล้อมรอบฟอราสเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าแบบพอดิบพอดี
ไพมอนยิ้มก่อนจะพูดขึ้นว่า
“หมดเวลาสนุกแล้ว...”
(จบตอน)
# บันทึกพิเศษ
ฉันเกลียดชีวิตของตัวเอง...
เกลียด...ที่ต้องดิ้นรนไขว้คว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการเสมอ
ฉันเคยคิดว่าถ้าตัวเองตายไป โลกคงจะน่าอยู่กว่านี้เยอะ
“พี่ซีเร กลับมาแล้วเหรอครับ”
แต่เสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็ทำให้ฉันล้มเลิกความคิดนั้นไปโดยสิ้นเชิง
ฉันจะต้องเข้มแข็ง ฉันจะต้องปกป้องเขา
เพราะโลกนี้มันโหดร้าย... โหดร้ายเกินกว่าที่ฉันจะปล่อยให้เขาเผชิญโลกกว้างเพียงลำพัง
“ใครๆ ก็บอกว่าตอนพี่ต่อสู้ในสังเวียนนะพี่เจ๋ง พี่เท่สุดๆ ไปเลย”
ฉันยิ้มรับทุกครั้งที่น้องชายเอ่ยชื่นชม
“ซักวันผมจะเป็นเหมือนพี่ให้ได้...”
ฉันยิ้มเพราะคิดว่าเขาพูดเล่นตามประสาเด็กๆ
แต่แล้ววันหนึ่ง... เขาก็วิ่งเข้ามาหาฉันพร้อมกระดาษในมือ
“ผมจะไปสมัครสังเวียนแบล็คอารีน่านะพี่ ถ้าชนะผมจะได้เป็นฝ่ายดูแลพี่บ้าง”
น้ำเสียงที่พูดฟังดูตื่นเต้น แต่ฉันกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลย
“ไม่ได้! ที่นั่นไม่เหมาะกับเด็กอย่างเธอ...”
ฉันห้ามเพราะรู้ดีว่ามันโหดร้ายมากแค่ไหน แต่เด็กคนนั้นดื้อรั้นเกินกว่าจะฟังใคร
หลังจากนั้นเราก็ทะเลาะกันทุกวัน... ทุกวัน...
วันหนึ่งฉันเดินเข้าไปในห้องพักของสังเวียนเพื่อทำการต่อสู้อีกครั้ง
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าฉัน มันเป็นใบสมัครอะไรซักอย่าง
“เป็นห่วงเขามากไม่ใช่เหรอ ถ้างั้นก็ไปดูเขาที่อนาคตสิ...”
ฉันเงยหน้ามองคนที่ฝึกสอนการต่อสู้ให้ฉันมาตลอดสี่ปีเต็ม สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
“ไปดูให้เห็นกับตา ถ้าอนาคตมันเลวร้ายอย่างที่เธอคิด จะกลับมาห้ามตอนนั้นก็ยังไม่สาย...”
ฉันมองกระดาษแผ่นนั้นอย่างครุ่นคิด
หากคุณเชื่อมั่น... ปาฏิหาริย์มีให้คุณเสมอ J
และนั่นก็คือเหตุผล ที่ทำให้ฉันมายืนที่นี่ ตอนนี้...
- ซีเร –
(จบบันทึกพิเศษ)
@ถ่ายทอดสด
“เอาล่ะครับงานนี้ราชสีห์ฟอราสของเราโดนล้อมไว้ซะแล้ว! ก็ไม่รู้ว่าความมั่นใจในความเก่งของตัวเองจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้โดนเชือดรึเปล่านะครับ ใครที่เป็นแฟนคลับสิงโตผู้หล่อเหลาก็อย่าลืมส่งกำลังใจให้เยอะๆ หน่อยนะครับบบบบ บอกแล้วว่าซีเรของเรานั้นล่าอย่างหนักหน่วงจริงๆ แม้จะเพลี่ยงพล้ำในตอนแรก แต่ก็ยังดีที่กำลังเสริมตามมาได้ทัน
โดยเฉพาะหนุ่มไพมอนที่กว่าจะยอมลุกขึ้นมาได้ ก็เล่นนิทานจบไปหลายเรื่อง ส่วนซัลลอสจอมระเบิดของเราถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปซ่องสุมขุมกำลังอยู่ส่วนไหนของป่า จะเปิดตัวอย่างอลังการหรือไม่ต้องคอยชมกันครับ ส่วนคนที่เหลือจะได้เปิดตัวตอนไหนนั้นก็คงต้องคอยลุ้น แต่บอกเลยว่ามีเซอร์ไพรซ์แน่ๆ ครับ สำหรับตอนนี้พักชมสิ่งที่น่าสนใจซักครู่ แล้วกลับมาพบกันในตอนหน้าครับ!”
พบกันตอนต่อไป...
ตอนที่ 4 ก่อนผู้ถูกล่าจะรวมทีม
Time Trip : Zodiac Theme
ผู้แต่ง : Pacemaker
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | ก่อนออกเดินทาง | 12 ก.พ. 59 |
| 2 | ก่อนจะเริ่มล่า | 09 มี.ค. 59 |
| 3 | ก่อนสิงโตจะคำราม | 15 มี.ค. 59 |
| 4 | ก่อนออกจากการแข่งขัน | 24 มี.ค. 59 |
| 5 | ก่อนใครบางคนจะกลับมา | 31 มี.ค. 59 |




ข้อเสียเปรียบของเรื่องนี้นะครับ คือเรื่องนี้มีตัวละครเยอะ และเป็นธีมการต่อสู้หักเหลี่ยม
ดังนั้นความจริงแล้วต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างเยอะทีเดียว ในการปูพื้นตัวละครแต่ละตัว หรือการพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกฎ/ระบบในการต่อสู้
ซึ่งพอเป็นการประกวดที่จำกัดมาแค่ 5 ตอน มันทำอย่างที่ว่ามาไม่ได้
จุดที่ต้องชมเชยเลยนะครับ คือบทบรรยายและไดอะล็อกมีความมันส์อะไรบางอย่าง
กระชับและมีพลังดี
การสะกดก็เช็กมาอย่างละเอียด หาคำผิดไม่ค่อยเจอเลย : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช