
EN17 ภารกิจแจกรักของกามเทพพันธุ์พิลึก
คุณเชื่อเรื่องกามเทพไหม? แล้วถ้ากามเทพนั้นเป็นหนุ่มมาดร็อคสุดอินดี้แบกอาวุธสงคราม คุณยังจะเชื่อไหม? จงลืมทุกกามเทพที่คุณเคยรู้จัก เพราะนี่คือกามเทพพันธุ์พิลึกที่จะมาแจกรักให้กับพวกคุณ!
ตอน 3
นี่เหรอการแผลงศรแห่งศตวรรษที่ 21
“ฟู่ ทันเวลาพอดี” เรนัสเป่าปากอย่างโล่งอกขณะค่อยๆ ร่อนลงอย่างนิ่มนวลบนสนามหญ้าในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ในขณะที่กริชญะทันทีที่เท้าแตะพื้นเขาก็ทรุดตัวคุกเข่าเอามือยันพื้นไว้ด้วยใบหน้าที่ซีดจนเขียวราวกับเพิ่งผ่านประสบการณ์สุดสยองมา
“ไอ้บ้านี่มันกะแกล้งกันชัดๆ” กริชญะที่แม้สภาพจะย่ำแย่ขนาดนี้ก็ยังพยายามหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังยืนดูข้อมูลในเครื่องวัดอนุภาคอย่างเคียดแค้น พลางนึกถึงการเดินทางเมื่อครู่ที่มีไอ้บ้าบางตัวที่ปากบอกว่ารีบๆ แต่มันดันพาเขาทิ้งดิ่งลงมาจากยอดตึกก่อนจะเบรกกึกกลางอากาศจนตัวโก่งแล้วพุ่งทะยานซิกแซกไปตามซอกตึกด้วยความเร็วเฉียดนรกยิ่งกว่ารถไฟฟ้าเหาะเบรกแตกแถมยังหมุนควงสว่านอีกสิบรอบก่อนจะตบท้ายด้วยลังกาหน้าอีกสิบตลบแล้วลงจอดที่สวนแห่งนี้
นี่ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้แค่ยืนยังยากล่ะก็ กริชญะคงอยากจะฆ่าไอ้บ้าที่กำลังยืนเกาหัวอย่างหงุดหงิดอยู่ตรงหน้าเขาสักรอบ
“ข้อมูลจะเยอะไปไหนเนี่ย” เรนัสบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะแตะนิ้วไปที่หน้าจอสองสามทีแล้วสะบัดมือขึ้นไปในอากาศก็ปรากฏจอโปร่งใสลอยอยู่ตรงหน้าพร้อมกับภาพและข้อมูลต่างๆ ทั้งชายและหญิงระรานตาไปหมด
“อย่างนี้สิ ค่อยดูง่ายขึ้นหน่อย” และระหว่างที่เรนัสมัวแต่ดูข้อมูลของคนที่ต้องแผลงศรใส่จนไม่ได้สังเกตรอบข้าง กริชญะจึงได้โอกาสพักหายใจพลางสำรวจรอบๆ ไปด้วย
ตอนนี้ทั้งสองได้มาอยู่บนสนามหญ้าที่กว้างพอๆ กับสนามฟุตบอล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะกลางเมืองแห่งนี้ โดยรอบด้านจะมีทางเดินไว้สำหรับออกกำลังกายและปลูกต้นไม้น้อยใหญ่เพื่อให้ความร่มรื่น จนแค่เห็นก็รู้สึกเย็นสบายไปด้วยแล้ว
แต่ในสนามหญ้าที่ปกติน่าจะเป็นลานโล่งๆ นั้น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายชุมนุมกันอยู่ไม่ห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่นัก ขณะที่อีกมุมหนึ่งก็มีเวทีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่พร้อมกับพิธีกรที่กำลังเตรียมการต่างๆ อยู่ข้างเวที ส่วนฉากหลังของเวทีก็มีป้ายอันเบ้อเร่อติดเอาไว้ว่า ‘อภิมหึมามหาซูเปอร์มหกรรมงานนัดบอด 1000 คน’
กริชญะแค่เห็นชื่องานก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมที่ด้านล่างเวทีถึงได้เก้าอี้ตั้งเรียงรายเต็มไปหมด ทั้งยังถูกจับจองโดยเหล่าหญิงสาวหลากหลายวัยที่ชุมนุมกันอยู่นั้นเอง จนอดคิดไม่ได้ว่าใครกันมันช่างคิดงานนี้ขึ้นมาแถมเขายังรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ถึงเรื่องราวหลังจากนี้ชอบกล
ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่เรนัสพูดให้ฟังระหว่างทางมาที่นี้แม้เขาจะฟังแทบไม่รู้เรื่องก็ตาม ซึ่งจากที่จับใจความได้เห็นบอกว่าการแผลงศรนั้นไม่ใช่นึกอยากจะทำก็ทำได้ แต่มันต้องมีจังหวะและช่วงเวลาที่แต่ละคนเจอรักแรกพบด้วย ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ยังไงนั้นเครื่องวัดอนุภาคจะช่วยบอกเอง หรือง่ายๆ ก็คือต้องขึ้นกับโชคชะตาของแต่ละคนด้วย ก่อนกริชญะจะสะกิดใจบางอย่างจึงหันไปถามเรนัสที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“นี่ไอ้เทพหื่นกาม”
“กามเทพเว้ย! กามเทพเรนัส”
“เออๆ กามเทพก็กามเทพ” แต่เหมือนกริชญะจะขี้เกียจเถียงด้วยจึงได้ยอมง่ายๆ เพราะตอนนี้เขาสนใจเรื่องที่สงสัยอยู่มากกว่า ทางเรนัสเองเมื่อเห็นแบบนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อเช่นกันเพราะตัวเองก็กำลังวุ่นวายกับข้อมูลตรงหน้าเหมือนกัน
“มีอะไรก็รีบพูดมาฉันกำลังยุ่ง”
“ฉันสงสัยว่าคนเยอะๆ แบบนี้นายไม่มียิงพลาด เอ่อ ฉันหมายถึงแผลงศรพลาดมั่งเหรอ?”
“หึ ระดับท่านเรนัสแล้วไม่มีพลาดอยู่แล้ว” กริชญะที่ได้ยินคำตอบก็ได้หัวเราะแห้งๆ อย่างหน่ายใจกับคนตรงหน้า ก่อนอีกฝ่ายจะอธิบายต่อ
“ไม่ต้องห่วงนี่ชีวิตจริงนะไม่ใช่ในหนังที่จะมียิงพลาดแล้วเกิดเรื่องวุ่นวายแบบคู่รักสลับกันน่ะ อย่างมากถ้ายิงไม่ทันเวลา คนๆ นั้นก็แค่พลาดโอกาสได้เจอรักแรกเท่านั้นล่ะ”
“แล้วถ้ายิงผิดคนล่ะ?”
“ก็ไม่เป็นไร เพราะกระสุนแต่ละนัดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับคนๆ นั้นโดยเฉพาะ เพราะงั้นต่อให้ยิงพลาดก็ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น”
“ง่ายๆ งี้อ่ะเหรอ แบบไม่มีเงื่อนไขอะไรให้ยุ่งยากเลยเหรอ?” กริชญะถามซ้ำซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงแค่พยักหน้าแทนคำตอบ ทำให้เจ้าตัวได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“เฮ้อ เสียดายนึกว่าจะได้เจอเรื่องตื่นเต้นอะไรซะอีก”
“จริงๆ มันก็ไม่เชิงว่าไม่มีเรื่องยุ่งยากหรอกนะ...” เรนัสที่เห็นอีกฝ่ายหงอยไปอย่างชัดเจนจึงคิดจะอธิบายบางอย่างต่อ แต่ก็โดนขัดจังหวะด้วยเสียงของใครบางคนเสียก่อน
“อ้าว นึกว่าใครที่แท้ก็เรนัสนี่เอง” เสียงนุ่มนวลชวนฟังดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของบุรุษหนุ่มรูปงาม ผู้มีผิวพรรณเปล่งปลั่งขาวสะอาดตา เรือนผมสีทองเป็นประกายเจิดจ้าที่ยาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล รูปร่างราวกับนายแบบที่สูงยาวเข่าดีแถมยังอยู่ในชุดสูทสีขาวทั้งตัวที่สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงเข่า พร้อมกับปีกนกสีขาวขนาดใหญ่บนหลังกำลังกระพือเพื่อส่งให้ร่างนั้นลงมายืนบนพื้นอย่างช้าๆ ซึ่งกริชญะรู้สึกคุ้นตาชายตรงหน้าชอบกล
“เซรอสนายมาทำอะไรที่นี้?” เรนัสถามออกไปอย่างไม่พอใจ ทันทีที่รู้ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร
“แหมๆ ถามอะไรแบบนั้นล่ะเรนัสเพื่อนรัก” อีกฝ่ายเรียกเรนัสว่าเพื่อนรักอย่างเต็มปาก แต่ดูเหมือนเรนัสจะไม่ค่อยเห็นด้วยคำนั้นชักเท่าไหร่
“นายมาทำอะไรที่นี้ฉันก็มาทำอย่างเดียวกันนั้นล่ะ ต่างกันก็แค่...ฉันมาถึงก่อนนาย”
“มาถึงก่อน? อย่ามามั่วหน่อยเลยเซรอส คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่านายเพิ่งบินมาถึงน่ะ”
“งั้นนายจะบอกว่านายจองงานไว้ก่อนแล้วอย่างงั้นสิ?”
“ก็คงต้องตอบว่า ใช่!” เรนัสตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ ขณะคิดในใจอย่างรู้ทัน
‘หึ คิดว่าฉันรู้ไม่ทันล่ะสิ ตอนมาถึงที่นี้ฉันตรวจสอบแล้วว่าไม่มีกามเทพตนไหนอยู่แถวนี้สักตน’
แต่ระหว่างที่เรนัสเอาแต่เขม่นมองอีกฝ่ายราวแค้นกันมาแต่ชาติปานก่อนนั้น กริชญะที่มองทั้งคู่สลับไปมาก็ตัดสินใจถามสิ่งที่ค้างคาใจตัวเองอยู่ตอนนี้
“หมอนี่ใครเหรอ?”
“ไอ้หมอนี่คือ ‘เซรอส’ ก็แค่กามเทพกากๆ ที่สะเออะโผล่มาผิดที่ผิดทางเท่านั้นล่ะ” ทันทีที่ได้ยินคำตอบกริชญะก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองเป็นเพื่อนที่รักกันมากปานจะกลืนกินกันจริงๆ กลืนกินกันให้ตายไปข้างเลย แถมยังทำให้เขารู้ด้วยว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นตาเซรอสนัก เพราะอีกฝ่ายก็เหมือนเรนัสไม่มีผิดไม่ว่าจะสีผมหรือดวงตาอันเป็นเอกลักษณ์นั้น ถึงแม้นอกเหนือจากนั้นทุกอย่างจะต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ตาม
“หมอนี่คือกามเทพ?” กริชญะถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ใช่”
“แน่นะ?”
“แหงสิ ไม่เชื่อเหรอ? ก็สมควรอ่ะนะเพราะถ้ามาเทียบกันแล้วฉันน่าเชื่อถือกว่าเยอะ...”
“โอ้แม่เจ้าเว้ย!” แต่เรนัสพูดยังไม่ทันจบด้วยซ้ำ กริชญะก็ร้องขัดขึ้นมาเสียงดังลั่นซะก่อนพลางชี้นิ้วไปทางเซรอสอย่างตื่นเต้น
“นี่ล่ะ! มันต้องแบบนี้! กามเทพมันต้องดูดี หน้าตาดี แลดูมีสง่าราศีอย่างนี้แหละถึงจะสมเป็นกามเทพตัวจริงเสียงจริง ไม่ใช่ของก็อปเกรดบีจากจีนแดงอย่างไอ้เกรียนหัวตั้งนี่!!” กริชญะพ่นคำพูดที่อัดอั้นมานานทั้งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มเหลือล้นเพราะในที่สุดตนเองก็ได้พบกับกามเทพที่สมเป็นกามเทพจริงๆ สักที
เพราะตั้งแต่ได้เจอกับเรนัสยังไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ภาพลักษณ์อันดูดีของกามเทพในหัวเขาก็แทบพังทลายไม่เหลือซากแล้ว ขณะที่เซรอสเองก็จ้องมองกริชญะอย่างแปลกใจเช่นกัน
“ได้ทีล่ะใส่ไม่ยั้งเลยนะเจ้ายะ” เรนัสถึงกับคิ้วและแก้มกระตุกด้วยความโมโหพลางส่งสายตาคาดโทษคนข้างๆ แต่อีกฝ่ายก็เพียงส่งรอยยิ้มเยาะเป็นนัยกลับมาว่าทีใครทีมัน
“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมนายถึงมองเห็นพวกฉันล่ะ?” แต่กลับเป็นเซรอสที่ถามขัดขึ้นอย่างสงสัยก่อนจะตวัดไปมองหน้าเรนัสอย่างต้องการคำตอบ แต่มีหรือเรนัสจะยอมตอบง่ายๆ
“มันเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะกามเทพระดับท็อปเท่านั้น กามเทพระดับล่างอย่างนายจะไม่รู้ก็ไม่แปลกนี่นะ เพราะมันเกินตัวนายไปอ่ะนะเซรอส” และควรบอกว่าสมเป็นเรนัสที่ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปจริงๆ อีกฝ่ายพลาดปุ๊บเขาก็รีบตอกกลับไปอย่างเจ็บแสบถึงทรวงทันที
“นายคิดจะหาเรื่องกันสินะ”
“หรือนายอยากไฝว้ฉันก็ไม่ขัดนะ”
ทั้งสองจ้องตากันเขม่นปานจะกินเลือกกินเนื้อกันซะเดี๋ยวนั้นเลย แต่จากสายตาของกริชญะกลับมองว่าเหมือนนักเลงข้างถนนสองคนกำลังหาเรื่องฟาดปากกันมากกว่า
“ตกลงนายจะยอมถอยไหมเซรอส?”
“ถอยก็บ้าแล้ว ในเมื่อฉันมาถึงก่อนทำไมต้องถอยด้วย”
“เหอะพูดมาได้ไม่อายปาก งั้นก็ได้แต่ขอแนะนำว่านายควรจะไปซะตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่จะต้องขายขี้หน้าเพราะแพ้ฉัน”
“นายต่างหากอย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งตอนแพ้ฉันล่ะกัน”
“เอ่อ ขอโทษนะครับไม่ทราบว่าพี่ทั้งสองกำลังคุยเรื่องอะไรอยู่เหรอครับมีแพ้? มีชนะ?” กริชญะที่ฟังทั้งสองเถียงไม่รู้เรื่องก็อดที่ถามออกไปไม่ได้
“ก็เรื่องว่าใครจะเป็นคนแผลงศรในงานนัดบอดนี้น่ะสิ” เป็นเรนัสอีกเช่นเดิมที่ช่วยตอบข้อสงสัยให้ทั้งที่ยังเขม่นกับเซรอสไม่วางตา
“เรื่องแค่นี้แต่เถียงกันอย่างกับโลกจะแตก แค่ร่วมมือกันซะก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีทาง!!!” กริชญะถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อเขาถูกท่านกามเทพทั้งสองประสานเสียงตวาดกลับมา จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเห็นเถียงกันจะเป็นจะตายแต่ทีอย่างนี้ประสานเสียงกันได้
“ทะ ทำไมล่ะ?” กริชญะถามออกไปทั้งที่ยังตกใจไม่หาย เพราะตอนนี้นอกจากเสียงตวาดแล้วท่าทางของทั้งคู่ยังดูดุยิ่งกว่าเสือเสียอีก
“เพราะพวกฉันต้องการ ‘ยอดแผลงศร’ น่ะสิ”
“ยอดแผลงศร? มันคืออะไรอีกล่ะทีนี้” แต่กริชญะยังไม่ทันจะได้คำตอบเสียงจากพิธีกรบนเวทีก็ดังขึ้นเสียก่อน
‘เอาล่ะครับทุกท่าน ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยกับงานนัดบอดครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้คนทุกเพศทุกวัยได้มีโอกาสสานสัมพันธ์ไมตรี ซึ่งครั้งนี้เรามีผู้ร่วมงานกว่าหนึ่งพันคน!’
“ซวยแล้ว!” กามเทพทั้งสองอุทานขึ้นก่อนจะผละออกจากกัน
“เดี๋ยวก่อนสิ ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน แล้วไอ้ยอดแผลงศรที่ว่ามันคืออะไร?” กริชญะถามอย่างตื่นตกใจไปกับท่าทางของทั้งสอง
“เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยเล่า ตอนนี้เอาเป็นว่ายิ่งใครแผลงศรได้เยอะก็ยิ่งจะได้รับรางวัลพิเศษไงล่ะ เพราะงั้นตอนนี้นายหลบไปก่อนอย่ามาเกะกะ” กริชญะที่โดนออกปากไล่ขนาดนี้ก็มีเหรอที่เขาจะหน้าด้านอยู่ จึงได้แต่เดินหลบออกไปเพื่อรอดูว่าทั้งสองคิดจะทำอะไรกันแน่
“งั้นงานนี้มือใครยาวสาวได้สาวเอาล่ะกันนะเซรอส!” เรนัสร้องบอกเสียงดัง ส่วนอีกฝ่ายก็เพียงแสยะยิ้มออกมาเท่านั้น ในขณะที่ตอนนี้ละอองแสงได้ลอยฟุ้งล้อมรอบตัวของทั้งสองเต็มไปหมด
“เอาล่ะครับผู้มาเข้าร่วมงานนัดบอดทุกท่าน กติกาของงานในครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรมาก โดยเราจะให้สาวๆ ทุกคนนั่งบนเก้าอี้ที่จัดไว้ หลังจากนั้นจะให้หนุ่มๆ ไปยืนเรียงกันข้างหน้าพวกเธอ ซึ่งตอนแรกนั้นเพื่อความเท่าเทียมเราให้ชายหนุ่มหันหลังไว้ก่อนนะครับ หลังจากนั้นพอให้สัญญาณทุกท่านจะมีเวลาเพียงหนึ่งนาทีในการทำความรู้จักคู่ตรงหน้าของท่าน พอหมดเวลาจะต้องทำการขยับไปหาคนถัดไปทันทีและเราจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบทุกคู่ครับ” พิธีกรชายบนเวทีอธิบายกติกาพลางหันไปมองผู้เข้าร่วมงานโดยทั่วกัน
“งั้นถ้าพร้อมกันแล้ว รอบแรก...เริ่มได้!” ทันทีที่สิ้นเสียงพิธีกรเหล่าชายหนุ่มมากหน้าหลายตาก็พร้อมใจหันกลับมาทำความรู้จักหน้าสาวๆ ตรงหน้าอย่างไม่รอช้าเพราะเวลาทุกวินาทีมีค่า
และไม่ใช่แค่เหล่าผู้ร่วมงานเท่านั้นที่เวลาทุกวินาทีมีค่า เพราะท่านกามเทพทั้งสองของเราเองก็เช่นกัน ทันทีที่สิ้นเสียงพิธีกรก็มีข้อความเด้งขึ้นมาจากเครื่องวัดอนุภาครักแรกของทั้งสองพร้อมกัน
‘มีผู้พบรักแรก 5 ราย’
ปังๆๆๆๆ เสียงลั่นไกดังรัวห้านัดซ้อนจากปากกระบอกปืนพกกึ่งอัตโนมัติเบเร็ตต้า 92 เอฟเอส (Beretta 92FS) ในมือเรนัสพุ่งตรงเข้าใส่กลางอกของชายหญิงห้าคนที่นั่งอยู่มุมหนึ่งอย่างแม่นยำ ซึ่งบังเอิญทั้งหมดวัดระดับอนุภาคได้ปืนพกแบบเดียวกันพอดี ทำให้เรนัสสามารถสาดกระสุนออกไปได้อย่างรวดเร็วก่อนที่เซรอสจะทันได้ขยับตัวด้วยซ้ำ
พร้อมกับที่ปืนในมือสลายกลายเป็นละอองแสงและชายหญิงทั้งห้าหงายหลังล้มลงไปกับพื้นด้วยแรงปะทะจากการโดนยิง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตาที่ปรากฏออกมาพร้อมรอยยิ้มมุมปากของเรนัส
“หมดเวลา!” สิ้นเสียงพิธีกรเหล่าชายโสดก็ขยับตัวไปสาวคนถัดไปทันที และเช่นเดียวกันเครื่องวัดอนุภาคส่งข้อความขึ้นว่า
‘มีผู้พบรักแรก 7 ราย’
ฉึบๆๆๆๆๆๆ แต่คราวนี้เป็นทีของเซรอสบ้าง เมื่อสิ่งที่เครื่องวัดอนุภาควัดได้นั้นคือมีดสั้นแบบโบราณที่ออกแบบอย่างวิจิตรถึงเจ็ดเล่ม ก่อนเซรอสจะปาเข้าปักกลางใจหนุ่มสาวทั้งเจ็ดคนอย่างแม่นยำไม่แพ้กัน และแน่นอนว่าพริบตาต่อไปทั้งหมดก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง ส่งผลให้เซรอสหันไปยิ้มเยาะใส่เรนัสบ้าง
“หึ ยังชอบใช้แต่ของโบราณๆ ไม่เปลี่ยนเลยนะ” แต่เรนัสก็เพียงส่งเสียงในลำคอและพูดออกไปลอยๆ ขณะชำเลืองมองอีกฝ่าย
“นายเองก็ยังใช้ปืนผาหน้าไม้เหมือนเดิม” เซรอสย้อนกลับบ้าง แต่เรนัสก็ไม่ตอบโต้อะไรกลับไป เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องสนใจคือเป้าหมายตรงหน้ามากกว่าเรื่องรสนิยมของกามเทพแต่ละตน ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบคันศรแห่งรักเป็นอะไรนั้นก็ขึ้นกับความชอบของแต่ละตนว่าอยากได้แบบไหนนั้นเอง
และทันทีที่รอบต่อไปเริ่มขึ้นก็เหมือนเป็นสัญญาณเปิดฉากสงครามนองเลือดจากน้ำมือของสองกามเทพ ละอองแสงก็ได้ก่อตัวเป็นปืนหลากหลายประเภทลอยอยู่รอบตัวเรนัส ทางเซรอสเองก็มีทั้งมีด ดาบ หอกและอีกมากมายลอยอยู่รอบตัวเช่นกัน
ทั้งสองพุ่งทะยานออกไปพร้อมกัน เรนัสคว้าปืนกลเบา วี 61 สกอร์เปี้ยน (V61 Scorpion) ขนาดพอมือแล้วอีกข้างก็คว้าเอาปืนกลเอ็ม 16 (M16) ก่อนจะหมุนตัวควงสว่านกลางอากาศสาดกระสุนออกไปเข้าใส่บรรดาหนุ่มใหญ่ทั้งหลายอย่างแม่นยำ ก่อนจะปล่อนปืนทั้งสองทิ้งไปแล้วคว้าเอาระเบิดมือ เอ็ม 26 (M26) ขนาดเท่ากำมือแล้วจับยัดใส่มือหญิงสาววัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าในจังหวะเดียวกับที่ตัวเองลงมายืนบนพื้นได้อย่างพอดิบพอดี แล้วเจ้าตัวกระโดดตัวลอยออกมาพร้อมกับดึงสลักระเบิดออกมาด้วย ในขณะเดียวกันก็จับเอาปืนลูกโม่ขนาดจุด 357 (.357) สีเงินเงางามแล้วจ่อยิงเข้าใส่ชายหนุ่มที่ยิงใกล้ๆ กันในระยะเผาขน
ทางเซรอสเองก็ไม่แพ้กันขณะพุ่งตัวไปในอากาศ เขาก็คว้ามีดสั้นขนาดเล็กสองเล่มรวดแล้วปาตรงเข้าปักกลางอกของชายหญิงคู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวคว้าดาบคาตานะที่ลอยยู่ด้านหลังแล้วลงมายืนตรงหน้าหญิงสาววัยกลางคนแล้วแทงคาตานะทะลุหัวใจของเธอจนมิดด้ามอย่างเลือดเย็นคาเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ซ้ำร้ายเจ้าตัวยังบิดดาบทำให้แผลเปิดกว้างขึ้น จากนั้นก็กระโดดจ้ามหัวมาคว้าสามง่ามที่ยาวกว่าสองเมตรซัดเข้าใส่ชายที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้าจนกระเด็นไปตามแรง
“ไอ้บ้านี่” เมื่อเห็นดังนั้นเรนัสก็กระโดดสูงขึ้นไปบนอากาศแล้วคว้าเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี (RPG) ซึ่งลอยอยู่รอบตัวเขานับสิบกระบอกแล้วเริ่มบรรเลงการสาดจรวดเขจ้าใส่กลุ่มชายหญิงเบื้องล่างไม่ยั้ง แล้วตามติดมาด้วยปืนยิงลูกระเบิดเอ็ม79 (M79) กระบอกโตต่อด้วยปืนลูกซองก่อนจะปิดท้ายปืนกลหนักเอ็ม61 วัลแคน (M61 Vulcan) เรียกได้ว่าเรนัสขนมาทั้งคลังแสงของกองทัพไหนสักกองทัพเลยก็ว่าได้
จนตอนนี้บริเวณงานราวกับกลายเป็นนรกที่ถูกถล่มด้วยอาวุธสารพัด ทั้งเลือดที่สาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องดังระงมปะปนกับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว ทำให้กริชญะถึงกับคลื่นไส้ขึ้นมาแต่ยังโชคดีที่พริบตาต่อมาทุกอย่างก็กลับเป็นปกติด้วยผลจากมโนภาพรักแรก จนเขาได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าไอ้มโนภาพนี่มันออกจะสมจริงเกินเหตุไปหน่อยแล้วหรือเปล่า
“เอาล่ะครบสิบนาทีแล้วเราจะมาพักกันสักครู่นะครับ” เสียงพิธีกรชายดังขึ้นอีกครั้ง
“ร้ายเหมือนกันนี่เรนัส” เซรอสเอ่ยขึ้นขณะกอดอกมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับรอต่อไป แม้จริงๆ แล้วเจ้าตัวจะแอบหอบหายใจเล็กๆ อยู่ก็ตาม
“นายเองก็ร้ายพอตัวเลยนี่ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันยังไม่ได้เอาจริงเลยสักนิด” แถมทางเรนัสเองถึงปากจะพูดข่มอีกฝ่าย แต่ตัวเองก็ยังแอบหอบใจเช่นกันแถมอาจจะหนักกว่าซะด้วย
จนกริชญะที่เห็นท่าทางของทั้งคู่ก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘ไอ้พวกนี้ก็ขี้เก๊กพอๆ กันเลย’
แล้วจากนั้นพิธีกรก็กระกาศเริ่มรอบถัดไป เซรอสที่รออยู่แล้วคว้าง้าวอันโตแล้วปาออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เรนัสกลับเร็วกว่าจังหวะหนึ่ง เขากระโดดตามง้าวที่ถูกปาออกไปแล้วคว้าปืนพกเบเร็ตต้าขึ้นมาเล็ง แต่สิ่งที่เขาตั้งใจยิงคราวนี้กลับไม่ใช่กลางอกของเป้าหมาย แต่เป็น...
ปัง!
กระสุนพุ่งใส่ง้าวนั้นจนเปลี่ยนทิศทาง ก่อนเจ้าตัวจะพลิกตัวแล้วลั่นไกส่งกระสุนอีกนัดพุ่งเข้าใส่กลางหน้าอกของคนที่เป็นเป้าหมายของง้าวนั้นแทน
“คิดจะเล่นแบบนี้เหรอก็ได้เรนัส” เซรอสพูดพลางกัดฟันกรอด
หลังจากเรนัสก็ทิ้งปืนในมือแล้วหันไปคว้าปืนกลเบาพร้อมกับสาดกระสุนเข้าใส่เหล่าคนตรงหน้าทันที แต่กลับมาห่ามีดสั้นถูกปาเข้ามาขวางทางกระสุนไว้ได้หมดในขณะที่มีดเหล่านั้นกลับอาศัยการชิ่งจากดระสุนที่ไปขวางไว้พุ่งเข้าปักกลางใจของคนรอบข้างนั้นแทน
เรนัสกระโดดหลบออกมาพลางหันไปมองคนนที่ปามีดเหล่านั้นอย่างเจ็บใจ ซึ่งขณะนี้เซรอสเองก็กระโดดเข้ามากลางวงเพื่อแทงหอกในมือเข้าใส่หญิงสาวคนหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
ทันทีที่เรนัสลงมาถึงพื้นเขาก็คว้าปืนพกกึ่งอัตโนมัติอีกกระบอกไว้ได้ก่อนจะวิ่งตรงดิ่งเข้าใสเซรอส พร้อมกับปล่อยแขนให้สะบัดไปด้านหลังแล้วเหวี่ยงกลับมาลั่นไกส่งกระสุนพุ่งตรงเข้าใส่เซรอส แต่ในวินาทีที่กระสุนจะปะทะกับหน้าของกามเทพหนุ่มนั้น มันกลับเบนวิถีออกเป็นเส้นโค้งอ้อมออกด้านข้างลอดผ่านช่องว่างระหว่างอาวุธมากมายที่ลอยอยู่แล้วพุ่งตรงเข้าใส่ชายหนุ่มด้านหลังเซรอสแทน ราวกับกระสุนโค้งของภาพยนตร์แอ็ดชั่นเรื่องดังฮอลลีวู้ดอย่างไรอย่างนั้น
เซรอสที่เหมือนโดนหยาบเข้าเต็มๆ ก็กัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจก่อนจะกระโดดลอยสูงขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับเรียกอาวุธทั้งหมดให้มาลอยรวมอยู่ด้านหลังของตนเองก่อนจะตวัดมือชี้ลงมาเบื้องล่างแล้วอาวุธทั้งหมดก็พร้อมใจกันพุ่งตรงดิ่งเข้าฝูงชนด้านล่างอย่างรุนแรงราวกับป้อมปราการที่สาดอาวุธออกมาได้ จนเรนัสเองยังต้องกุมหัววิ่งหลบคมหอกคมดาบอย่างหัวซุกหัวซน
แต่กริชญะที่มองภาพดังกล่าวอยู่กับรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมาก เพราะไอ้การโจมตีเมื่อกี้มันดันไปคล้ายกับท่าโจมตีของตัวละครในการ์ตูนดังเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่นเลย จนเขาอดที่จะร้องตะโกนบอกทั้งสองไม่ได้ว่า
“พวกเพ่ช่วยระวังเรื่องลิขสิทธิกันหน่อยได้ไหมมมมม!!”
แล้วก็เข้าสู่ช่วงพักเบรกอีกครั้งซึ่งครั้งนี้ก็เป็นเบรกสุดท้ายก่อนจะเริ่มรอบสุดท้ายของงานนัดบอดนี้ และสภาพกามเทพทั้งสองของเราก็ต่างหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
“ไอ้เซรอสเล่นแรงงี้ งั้นอย่าหาว่าฉันโหดร้ายไม่ได้นะเว้ย” เรนัสพุดอย่างเหนื่อยหอบ ก่อนจะประเมินสถานการณ์ตอนนี้ที่ออกมาสูสีอย่างไม่น่าเชื่อแล้วถ้ายังขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อได้ผลคงออกมาว่าทั้งคู่เสมอกันแน่ๆ ซึ่งผลแบบนั้นเขาไม่ยอมรับเด็ดขาด
เรนัสจึงพยายามคิดหาทางพลิกสถานการณ์ตอนนี้ก่อนจะหันไปเห็นกริชญะที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากตนนักก็เกิดไอเดียบางอย่างจนเจ้าตัวดีจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากประจวบเหมาะกับข้อความที่เด้งขึ้นมาจากเครื่องวัดอนุภาคที่ทำให้เรนัสฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ได้ของดีมาแล้ว เซรอสงานนี้นายได้เจอชุดใหญ่แน่”
และในที่สุดรอบสุดท้ายก็เริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงประกาศของพิธีกรอีกเช่นเดิม เป้นจังหวะเดียวกับที่อาวะมากมายได้ปรากฏขึ้นมารอบตัวของเซรอส ทางเรนัสเองก็เช่นกันแต่สิ่งที่ปรากฏออกมากลับเป็นวิทยุสื่อสารเครื่องหนึ่งกับวัตถุบางอย่างที่คล้ายกับกล้องส่องทางไกล แต่มีขนาดใหญ่กว่า
แต่สิ่งที่ละอองแสงก่อตัวขึ้นรอบตัวเรนัสนั้นกลับไม่ได้มีแค่นั้น เพราะตอนนี้ในอ่าวไทยละอองแสงกลุ่มใหญ่ได้ก่อตัวขึ้นเป็นเรือประจัญบานชั้นมิสซูรี่ของสหรัฐอเมริกาที่บรรทุกจรวดโทมาฮอวืคไว้เต็มลำก่อนจะดำเนินการยิงจรวดเหล่านั้นออกมาจนหมด
ไม่เพียงแค่นั้นบนน่านฟ้าเหนือสวนสาธารณะยังปรากฏเฮลิคอปเตอร์เอเอส-64 อาปาเช่ (AH-64 Apache) และเครื่องบินทิ้งระเบิดบี-2 สปีริท (Northrop Grumman B-2 Spirit) ที่บรรทุกระเบิดนาปาล์มมาเต็มพิกัด
เพราะฉะนั้นย่อมแน่นอนแล้วว่าสองสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเรนัสนั้นคืออะไร สิ่งหนึ่งก็คือวิทยุสื่อสารและอีกอย่างก้คือ เครื่องชี้เป้าด้วยเลเซอร์ (Laser Target Designator) ที่ใช้เพื่อนำวิถีให้กับขีปนาวุธต่างๆ
“รู้อะไรไหมเซรอส บางครั้งคนๆ หนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องโดนกระสุนแห่งรักแค่นัดเดียวหรอกนะ” เซรอสหันมาวองเรนัสอย่างงุนงงว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไรกันแน่ ก่อนเจ้าตัวจะเบิกตาโพลงราวกับนึกอะไรบางอย่างได้
“เพราะบางคนอาจจะรู้สึกว่ารักแรกนั้นรุนแรงราวกับโดนขีปนาวุธรุมถล่มไม่ยั้งก็ได้!” พูดจบไม่พูดเปล่าเรนัสพุ่งตัวเข้าไปคว้าคอเสื้อขอกริชญะท่ามกลางความงุนงงของทุกฝ่าย
ก่อนเจ้าตัวแสบจะออกแรงแล้วเขวี้ยงกริชญะเข้าใส่เซรอสอย่างแรง
ด้านเซรอสที่ไม่ทันตั้งตัวก็เผลอกางแขนรับตัวกริชญะไว้ได้พอดิบพอดี แต่นั้นก็ทำให้จังหวะการปาอาวุธของเขาเสียไปแล้วเช่นกัน และนั้นแหละคือสิ่งที่เรนัสเล็งเอาไว้
“ถึงทุกหน่วยเป้าหมายคือกลางกลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีพรรคเราอยู่ในบริเวณนี้ให้ใส่ทุกอย่างที่มีไม่ต้องยั้ง ถล่มให้แหลกไปเลย!!!!” เรนัสร้องตะโกนคำสั่งไปยังวิทยุในมือ ขณะที่อีกมือก็ถือเครื่องชี้เป้าเด้วยเลเซอร์ส่องไปทางกลางฝูงชนในงานนัดบอดนั้น
แล้วการโจมตีล้างบางก็เริ่มขึ้นด้วยเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่ที่มาสาดจรวดและปืนใหญ่เข้าใส่ไม่ยั้ง ตามาติดๆ ด้วยจรวดโทมาฮอว์คนับสิบๆ ลูกก่อนจะปิดท้ายด้วยระเบิดนาปาล์มที่ถูกทิ้งลงปิดฉากแบบปูพรม จนสวนสาธารณะแห่งนี้กลายเป็นทะลเพลิง
ส่วนกามเทพที่แสนซื่อตรง ใจดีมีเมตตาอย่างเรนัสก็กำลังยืนกางแขนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและพอใจในผลงานของตัวเองอย่างที่สุด ขณะเฝ้ามองภาพแห่งความพินาศตรงหน้าตน
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่ล่ะเขาถึงจะเรียกว่าการแผลงศรแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง!!!”
<><><>
ภารกิจแจกรักของกามเทพพันธุ์พิลึก
ผู้แต่ง : เทียนหลง
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | กามเทพไม่มีจริงหรอก! | 14 ก.พ. 59 |
| 2 | กามเทพแบบนี้ก็มีด้วย? | 08 มี.ค. 59 |
| 3 | นี่เหรอการแผลงศรแห่งศตวรรษที่ 21 | 16 มี.ค. 59 |
| 4 | สังคมกามเทพนั้นอยู่ยากขึ้นทุกวัน | 23 มี.ค. 59 |
| 5 | บริการหลังการขายกับเหยื่อรายแรก | 30 มี.ค. 59 |





บทนี้อธิบายเกี่ยวกับระบบของนิยายเรื่องนี้ โผล่มาในจังหวะที่เหมาะสมแล้วคับ
คอมเมนท์ครั้งสุดท้ายนี้ อยากจะฝากในจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด
นั่นคือสำนวนการเขียนคับ
(ปล. พยายามโพสต์คอมเมนท์เกือบชั่วโมงแล้ว แต่ไม่ผ่าน คงเพราะยาวไป T T
พยายามตัดแล้วตัดอีกก็ยังไม่ผ่านครับ เพราะงั้นคงต้องตัดทิ้งไปเยอะ
อย่างไร ถ้ามีโอกาสจะส่งเวอร์ชั่นเต็มให้ทางหลังไมค์นะครับ)
ข้อดีของสำนวนการเขียนเรื่องนี้คืออารมณ์ขันนะคับ
แต่จุดบกพร่องคืออ่านแล้วให้ความรู้สึกเยิ่นเย้อ
แต่จะว่าไป ถ้าบก.แก้สำนวนนักเขียนคนไหนด้วย 'ความรู้สึก'
สุดท้ายงานทุกงานก็จะกลายเป็นสำนวนบก.คนนั้นไปหมดจริงมั้ยครับ
ดังนั้นจะยกหลักการมาให้ดูประกอบนะครับ ว่าเรื่องนี้สำนวนบกพร่องตรงไหนบ้าง:
[ใช้คำซ้ำ/ ใช้ประโยคซ้อนประโยคโดยไม่จำเป็น]
- กริชญะที่ฟังเหตุผลที่ดูไร้สาระแต่กลับฟังขึ้นชอบกลจนได้หัวเราะแห้งๆกลับไป
- ลองตัดคำซ้ำ(ที่)ออกไปนะครับ และพอลองแตกประโยคให้เป็นประโยคเดี่ยว จะเห็นว่าอ่านง่ายขึ้น
- แก้เป็น: เหตุผลนี้ดูไร้สาระ แต่กลับฟังขึ้นชอบกล กริชญะได้แต่หัวเราะแห้งๆกลับไป
[ใช้คำซ้ำ(คำว่า 'ทำไม')]
- ถ้านายหวงรถขนาดนี้แล้วทำไมตอนเจอกันทำไมนายถึงตกมาจากฟ้า
[จัดย่อหน้าไม่ถูกต้อง ทำให้สับสนว่าใครเป็นผู้พูด]
- "ก็ตอนนั้นฉันเพิ่งบินข้ามอ่าวไทยมา นายจะให้ฉันขี่ลูกรักฝ่าน้ำทะเลมาหรือไง นายโง่หรือบ้ากันเนี่ย?" กริชญะได้แต่หลับตาอย่างอดกลั้นที่โดนอีกฝ่ายหลอกด่าอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาต้องพึ่งพาเรนัสทำให้เถียงอะไรไม่ได้ --->ตรงนี้คำพูดเรนัส แต่พอพูดจบดันเอากริชญะตามหลัง ทำให้เข้าใจว่ากริชญะเป็นคนพูด
- แก้โดยการจัดย่อหน้าใหม่:
"ก็ตอนนั้นฉันเพิ่งบินข้ามอ่าวไทยมา นายจะให้ฉันขี่ลูกรักฝ่าน้ำทะเลมาหรือไง นายโง่หรือบ้านกันเนี่ย?"
กริชญะได้แต่หลับตาอย่างอดกลั้นที่โดนอีกฝ่ายหลอกด่าอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาต้องพึ่งพาเรนัสทำให้เถียงอะไรไม่ได้ "แต่อย่างนี้ก็สบายเลยล่ะสิ อยากได้อะไรก็เสกออกมาได้ถึงจะไม่ใช่ผู้วิเศษแต่แค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว" กริชญะพูดต่อ
แต่เรนัสที่ได้ยินกลับส่ายหน้าช้าๆ...
[ใช้คำผิดความหมาย]
- แก้เป็น: ครางในลำคอ
ปล.ต้องขออภัยนะครับ หากคอมเมนท์ละเอียดไป แต่หวังจากใจเลยว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวนักเขียนเองไม่มากก็น้อย > <
ดาวิษ ชาญชัยวานิช