EN12 OSTA SE ABRE
มีความผิดที่ลบล้างไม่ได้อย่างนั้นหรือ อำนาจในมือไม่พอที่จะต่อต้านกฎหมายสินะ หาพวกเราให้เจอสิ บานประตูไม้สีซีดที่ซุกซ่อนอยู่ เปิดประตูเข้ามาแล้วเอ่ยเรียกหาพวกเรา โอตร้า เซ อาเบร์ จะลบล้างความผิดให้เอง
บทที่ 3
"คุณลอเรนน์เทียส สวัสดีค่ะ" เทเรซิน่าเอ่ย ใบหน้าสวยพยายามปั้นยิ้มไปให้ เขายังคงมีรอยยิ้มประหลาด
"สวัสดีครับ การวิจัยไปถึงไหนแล้วหรือครับ" น้ำเสียงเนิบชวนอึดอัดถูกส่งมา
"กำลังค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เราเพิ่งได้แมลสีเหลืองมา ฉันคิดว่าน่าจะได้ผลที่น่าพึงพอใจในระดับหนึ่งค่ะ"
"ดีครับ ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีเช่นนี้ ทั้งเงินทั้งแรงที่ผมทุ่มเทให้กับ โอตร้า เซ อาเบร์คงไม่สูญเปล่า" เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง นัยน์ตาเล็กเรียวจ้องเข้ามาในนัยน์ตาของเธอ "ลัทธิเคซิเมียนโต้ของผมคงเกิดขึ้นได้ในไม่ช้าสินะครับ"
ประโยคที่คล้ายจะเป็นคำถาม แต่รังสีความกดดันที่ถูกส่งมานั้นราวกับเป็นประโยคคำสั่ง เทเรซิน่ากลืนน้ำลายลงคอ เสนัยน์ตาหนี
"รัฐบาลที่เน่าเฟะไม่ควรดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว หากสมองกลนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี พวกเราก็จะกุมใจประชาชนได้ทั่วเมือง" ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้แมลที่อยู่กลางห้อง
"แล้วลอเรนน์เทียสผู้นี้ก็จะอยู่เหนือทุกคน คุณเทเรซิน่าก็ว่าเช่นนั้นใช่ไหมครับ" เธอพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปถึงผู้ช่วยภายในห้อง ทว่าไม่มีใครหันมาสบตาเลย
"...ใช่ค่ะ" สุดท้ายเธอก็ได้แต่ตอบเสียงอ่อยๆ ออกไป
วันนี้ภายในเมืองบลังกายังคึกคักเช่นเดิม บทสนทนาหลักยังคงเป็นเรื่องของวิลเฮมซึ่งถูกส่งตัวเข้าเรือนจำทางตอนเหนือไปเมื่อต้นอาทิตย์
นัยน์ตาคมดุกวาดมองคนที่เดินขวักไขว่ไปมา เงี่ยหูฟังบทสนทนาที่เริ่มพูดถึงความยุติธรรมซึ่งมีมากขึ้นทีละน้อยในบลังกา
'ความยุติธรรมไม่มีจริงบนโลกนี้เสียหน่อย!!!'
ขายาวก้าวพรวดไปยังจุดหมายปลายทาง มือหนาผลักบานประตูเปิดออก ภายในร้านกาแฟโทรมอัดแน่นไปด้วยผู้คน หลายคนเงยหน้าขึ้นมาส่งเสียงมาทักทาย เขาส่งใบหน้าบูดบึ้งกลับไป
ปฏิกิริยาตอบโต้นั้นทำให้เสียงในร้านค่อยๆ เงียบลง
"เกิดอะไรขึ้นหรอ ทำไมนายทำหน้าตาแบบนั้น" ชายหนุ่มสูงวัยที่อยู่ใกล้สุดเอ่ยถาม เขาถอนหายใจยาว ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้
"ก็ความยุติธรรมบ้าบออะไรกันเล่า! ในเมืองกำลังชื่นชมตำรวจที่ลากวิลเฮมเข้าเรือนจำได้ แต่พวกนั้นไม่รู้อะไรเลย ถึงเอาแต่พูดว่ายุติธรรมๆ!!!" ชายหนุ่มซึ่งนั่งฟังอยู่มุมห้องขยับตัว นัยน์ตาคมกริบเบนไปมองนัยน์ตาอีกคู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
"แล้วมีเบื้องหลังอะไรอีกหรือไง"
"มีน่ะสิ!"
"อะไรละ รีบๆ พูดมา"
"เมื่อวาน มีหมายศาลส่งไปถึงนักการเมืองอีกคน ทำเรื่องเลวร้ายกว่าวิลเฮมอีก แต่เมื่อเช้าหมายศาลถูกถอนไปแล้ว!" คนที่แอบฟังอยู่ลอบถอนหายใจยาว
"เกิดอะไรขึ้น!!??"
"หมอนั่นเอาผู้หญิงสวยกับเงินก้อนยักษ์ไปไถ่ตัวน่ะสิ! ที่เลวร้ายกว่าคือผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ยินยอมเลยด้วยซ้ำ ถูกไอเลวนั่นใช้อำนาจบีบบังคับให้ครอบครัวขายลูกสาวเพื่อชดใช้หนี้สิน แล้วผู้หญิงคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ยังไง จะต้องทรมานมากแค่ไหน เรื่องแบบนี้จะต้องเกิดไปถึงเมื่อไร" มือหนาตบโต๊ะเสียงดัง
"พวกเราจะรวมตัวกันไปทำไมน่ะ! ตัวแทนประชาชนต่อต้านรัฐบาลหรอ ไม่เห็นทำอะไรได้สักอย่าง ความยุติธรรมจอมปลอมที่อยู่ทั่วเมือง พวกเรายอมรับได้อย่างนั้นหรอ นี่เราต้องทนมองเห็นผู้หญิงดีๆ คนแล้วคนเล่าถูกทำให้เป็นบ้าหรือไง!!" ชายหนุ่มซึ่งแอบฟังมานานถอนหายใจยาว เขาขยับตัวลุกขึ้น
"เฮ้ย บอส!" คนตรงข้ามพึมพำด้วยความตกใจ
"ที่เรือนจำไหน" คำถามสั้นๆ เรียกความไม่เข้าใจจากทุกคนทั่วห้อง
"ฉันหมายความว่านักการเมืองคนนั้นถูกหมายศาลเรียกไปยังเรือนจำไหน การที่ถอนคำสั่งศาลได้ แสดงว่าต้องกลับไปติดสินบนทางเรือนจำ เพื่อให้ทางนั้นแจ้งเรื่องถอนคำสั่งใช่ไหมล่ะ" เขาถามย้ำอีกครั้ง
"เรือนจำทางตอนเหนือน่ะ นายมีอะไรหรอ"
"พวกเราเป็นกลุ่มคนที่มีปากมีเสียงแทนประชาชนซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น เราก็ต้องตอบโต้สิ" นัยน์ตาสีเหลืองทองทอประกายยามเอ่ยคำพูด
"นายจะทำอะไร" ไม่มีคำตอบจากคนที่ถูกถาม ร่างสูงเพียงแต่ขยับรอยยิ้มมุมปาก มือหนาคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายก่อนจะก้าวเดินออกไปหน้าร้าน
"เห้ย บอส!" ชายหนุ่มอีกคนโวยวาย ร่างใหญ่ผลุนผลันรีบตามออกไป
กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูกผู้คนในร้าน กลิ่นขมเบาบางฟุ้งไปทั่ว
"นั่นใครน่ะ" เจ้าของเรื่องถามคนสูงวัย อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอยกมือขึ้นโยกหัวเด็กหนุ่ม
"เพิ่งเคยเจอเขาสิท่า หนึ่งในแกนนำหัวกะทิของกลุ่มน่ะ วันนี้นายมาโวยวายได้ถูกวันพอดี มีคนช่วยรับเรื่องร้องเรียนไปแล้ว อีกไม่กี่วันน่าจะมีอะไรเกิดขึ้น นายคอยดูไว้ละกัน"
ร่างโปร่งบางยืนมองป้ายเรือนจำทางตอนเหนือ บรรยากาศรอบข้างหมองหม่นกว่าที่ทำงานของเธอมากนัก
ฟลอดิน่าถอนหายใจยาว
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน คราแรกเธอตั้งใจจะนอนพักผ่อนอยู่บ้าน ทว่าไม่อาจสลัดความคิดมากมายออกไปจากหัวได้ ตั้งแต่เจอกับโคลวิทเมื่อวันก่อน สัญชาตญาณบางอย่างในตัวก็ถูกปลุกขึ้นมา เธอระแวงสิ่งรอบข้างมากขึ้น ใส่ใจและรอบคอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมากขึ้น
สำหรับเจ้าหน้าที่เครือข่ายของเรือนจำหลัก นักโทษจะต้องมารายงานตัวก่อนส่งไปยังสถานที่อื่นเสมอ
เมื่ออาทิตย์ก่อน วิลเฮมถูกส่งตัวมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เขาคนนี้เป็นที่โจษจันทั้งในหมู่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ ชั่ววินาทีแรกที่สบนัยน์ตานั้นเธอรู้สึกราวกับว่าเขาไม่ใช่วิลเฮม ทว่าเมื่อกระพริบตากลับรู้สึกว่าใช่
เรื่องนี้วนเวียนอยู่ในหัวมาหลายวันแล้ว จนวันนี้เธอทนไม่ไหว ตัดสินใจมาตรวจสอบดูที่เรือนจำนี้อีกครั้ง
หวังว่าผู้คุมเรือนจำจะไม่ตกใจที่เห็นเธอปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้านะ
ทางเดินริมระเบียงเงียบกริบในเวลานี้ แสงพระอาทิตย์สลัวส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ฉาบทางเดินให้เป็นสีส้มอ่อนน่าจับจ้อง ร่างแกร่งก้าวขาเดินอย่างมั่นคง เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอทำให้คนตัวเล็กที่เดินหลังคุ้ดคู้อยู่เบื้อหน้าสะดุ้งเฮือกทุกครั้ง
นัยน์ตาคมกริบมองแผ่นหลังห่องุ้ม เขาขยับรอยยิ้มเย็น
นับตั้งแต่วันที่เข้ามาอยู่ในเรือนจำ ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็หาเจ้าของแมลสีใสขุ่นพบ นักโทษตัวเล็กขี้กลัวที่มักโดนทุกคนกลั่นแกล้งเสมอ
เด็กหนุ่มซึ่งเพิ่งบรรลุนิติภาวะได้ไม่นาน พอเรียนจบกลับโดนยัดเยียดข้อหา ยังไม่ทันได้ร้องเรียนอะไรก็ถูกส่งตัวเข้ามาอยู่ในเรือนจำ
คนตรงหน้าหยุดเดินแล้ว คงกำลังสงสัยว่าเขามาเดินตามตัวเองทำไม
'เตรส' ขยับรอยยิ้ม
เมื่อคืน 'โดส' ติดต่อเข้ามาว่า ทางองค์กรต้องการ แมลสีใสขุ่น อย่างเร่งด่วน เขาจึงต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วกว่าแผนที่วางไว้
ขายาวก้าวเข้าไปหาเด็กหนุ่ม มือหนายกขึ้นกอดคอ
"พี่วิลเฮม มีธุระอะไรกับผมอย่างนั้นหรือครับ"
"ฉันแค่อยากมาคุยด้วยเฉยๆ"
"จะมาคุยกับผมในฐานะอะไรหรือครับ ผมเป็นแค่แพะในเรือนจำ คนสูงส่งอย่างพี่ไม่ควรลดตัวลงมาคุยกับผมหรอก" เขาหัวเราะลั่น กอดคออีกคนแน่นขึ้น
"ปากดีจริงๆ เลยนะ"
"จะทำร้ายผมหรอครับ ผมไม่สู้คนนะ" เตรสระบายรอยยิ้มอีกครั้ง คลายอ้อมแขนของตัวเองลง ลดมือลงต่ำ
"พระอาทิตย์สวยดีนะ" แม้คนฟังจะหวาดระแวง แต่ก็เบนใบหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง แสงสีส้มสะท้อนใบหน้าคมกริบของเด็กหนุ่ม เขาซึ่งรอคอยจังหวะอยู่แล้วเริ่มลงมือทันที
มือหนาบีบที่หลังคอ สัมผัสเย็นเฉียบนั้นเรียกให้คนโดนกระทำสะดุ้งเฮือก
"พี่จะทำอะไร!"
"นายรู้ไหม ว่าถ้าโดนบีบตรงนี้เป็นเวลาระยะหนึ่งสติจะค่อยๆ เลือนหาย ครู่หนึ่งนายจะหลับไป แล้วพอตื่นมา นายจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่ามาคุยอยู่ตรงนี้กับฉัน"
"พี่เป็นใคร...!" คนอ่อนวัยกว่าพยายามกัดฟันพูด เตรสยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ภาษากายที่ส่งมากลับเปลี่ยนไป ชั่วขณะหนึ่งที่คนมองรู้สึกราวกับว่าคนๆ นี้ไม่ใช่ วิลเฮม ที่เขารู้จักมาหนึ่งอาทิตย์
"จะรู้ไปทำไม เดี๋ยวนายก็ลืมแล้ว" เสียง 'ฉึก' ดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสปวดแปลบใกล้บริเวณสันหลัง เด็กหนุ่มหลับตาแน่น แสบที่แผ่นหลังราวกับกำลังโดนไฟลวก ภายในร่างกายร้อนผ่าว รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างซึ่งกำลังถูกดูดออกไป
ความรู้สึกคลื่นเหียนประเดประดังเข้ามาจนเกือบจะสำรอก
"พี่ เป็น ใคร" มือสั่นระริกยกขึ้นบีบต้นแขนของเขา แต่แรงที่ส่งมานั้นก็เบาเสียจนแทบไม่รู้สึกอะไร
"ถ้าอยากรู้....ก็ตามหาบานประตูสีเทาซีดในบลังกาให้เจอเสียสิ เด็กน้อย" เตรสพึมพำข้างหู ออกแรงบีบอีกครั้ง สติสัมปชัญญะของคนอ่อนวัยก็ดับวูบ
ร่างเล็กทิ้งตัวลงมาในอ้อมแขนเขา เข็มฉีดยาถูกดึงออกมาจากแผ่นหลัง ของหนืดสีใสขุ่นไหลเวียนอยู่ในกระบอก
แมลสีใสขุ่น...ตัวแทนของความใสบริสุทธิ์ในความชั่วร้าย
เด็กน้อยที่น่าสงสาร
เสียงกริ่งดังลั่นเรียกให้เขาหลุดจากภวังค์ ใบหน้าคมคายหันไปมาเลิ่กลั่ก เสียงเรียกยาวเหยียดเป็นจังหวะสามทีคือสัญญาณแจ้งรวมพล
เขาหันซ้ายหันขวา ใช้แรงที่มีแบกคนตัวเล็กขึ้นบ่า วิ่งตรงดิ่งไปยังห้องพักผ่อนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางเดิน ตัดสินใจโยนเด็กหนุ่มไว้บนเตียง แล้ววิ่งออกมา
ระหว่างทางเดินไปจนถึงจุดรวมพล เขาปีนขึ้นไปบนช่องระบายอากาศ ซ่อนหลอดเข็มฉีดยาบรรจุแมลสีใสขุ่นไว้บนนั้น
...หวังว่าจะไม่มีใครเห็นนะ...
ร่างสูงใหญ่แฝงตัวมาตามเงามืด เวลานี้เรือนจำปิดไฟแล้ว เขาต้องอาศัยแสงจันทร์จากหน้าต่างเป็นตัวนำทาง ในขณะเดียวกันก็ต้องหลีกหนีแสงเหล่านั้นด้วย
เรือนจำทางตอนเหนือมีกล้องวงจรปิดเกือบทุกตำแหน่ง หากผู้คุมพบว่าเขามาเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกคงโดนลงโทษหนัก
นัยน์ตาซุกซนมองไปรอบด้าน พอเห็นว่าไม่มีใคร เขาก็กระโดดขึ้นไปเกาะตะแกรงระบายอากาศ ออกแรงเพียงนิด พาตัวเองเข้าไปในอยู่ในช่องทางเดินใต้ฝ้า
แมลสีใสขุ่นยังถูกซ่อนอยู่บริเวณนั้น
เสียงเรียกรวมพลเมื่อตอนเย็นเกิดขึ้นเพราะเจ้าหน้าที่เครือข่ายของเรือนจำกลางเข้ามาตรวจสถานที่ หญิงสาวร่างบางที่เต็มไปด้วยความสงสัยคนนั้น ดูท่าเขาจะเผลอทำอะไรให้เธอคาใจ นัยน์ตาสวยถึงจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากการหายตัวไปของ 'แพะ' แต่เรื่องก็จบลงด้วยดีเมื่อค้นหาแล้วพบเด็กหนุ่มหลับปุ๋ยอยู่ในห้องพักผ่อน
เขาถอนหายใจยาว เก็บหลอดฉีดยาเข้ากระเป๋าแล้วคลานเข่าไปตามทาง
นี่ก็ดึกมากแล้ว เขาปล่อยให้พี่โดสกับคุณโคลวิทรออยู่ด้านนอกนานไปแล้ว ต้องรีบส่งแมลออกไปนอกเรือนจำสักที
โคลวิทนั่งลงบนขอบหน้าต่าง มือหนายกกล้องส่องทางไกลยามกลางคืนขึ้นมามอง กำแพงเรือนจำทางฝั่งเหนือเป็นตำแหน่งที่มีการตรวจตราน้อยที่สุด ดังนั้นบริเวณนี้จึงเป็นจุดนัดพบของโดสและเตรส
ทว่าแม้จะละหลวม ยังมีทหารเฝ้าสังเกตการณ์อยู่คนหนึ่ง
เขามีหน้าที่จัดการชายในเครื่องแบบคนนั้น
โอตร้า เซ อาเบร์ เป็นองค์กรไม่ใหญ่มาก อีกทั้งเกินครึ่งยังเป็นนักวิจัยที่ทำงานอยู่ในห้องทดลอง ดังนั้นเขาซึ่งเป็นหัวหน้าองค์กรจึงมีความจำเป็นต้องลงพื้นที่ด้วย
ไม่มีใครเชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกลเท่าเขาอีกแล้ว ตัวแทนขององค์กรมีความสามารถโดดเด่นต่างๆ กันไป แต่เป็นความสามารถในระยะประชิด
มือหนาจัดวางปืนสไนเปอร์ไรเฟิลในตำแหน่งที่ถูกที่ควร ส่องกล้องไปยังเป้าหมายซึ่งยืนอยู่ใต้ช่องระบายอากาศขนาดเล็ก
เสียงสัญญาณถูกส่งมาตามสาย เขายกมือขึ้นกดหูฟังแนบหู โดสแจ้งมาว่าเตรสกำลังคลานมาตามท่อระบายอากาศ โคลวิทย่อตัวคุกเข่า ประทับท้ายพานปืนลงกับหัวไหล่ แนบใบหน้ากับเลนส์ระยะไกล
ระยะประมาณ 1,000 เมตร เป็นระยะที่ไม่ไกลมาก ทว่าเขาไม่อาจไปไกลกว่านี้ได้แล้วเนื่องด้วยประสิทธิภาพของกระสุนยาสลบที่ใช้
นัยน์ตาสีเหลืองทองหรี่ต่ำ นิ้วแกร่งจับอยู่บริเวณไกปืน เครื่องหมายกลางเลนส์กล้องประทับอยู่ที่ลำคอของนายทหารผู้โชคร้าย
เมื่อสัญญาณจากโดสดังมา เขาเหนี่ยวไกทันที
ที่เก็บเสียงสามารถกักเก็บเสียงดังลั่นไว้ได้ ทว่าในยามค่ำคืนซึ่งเงียบสงบ เสียงนี้ยังดังเพียงพอที่จะได้ยิน
ร่างแกร่งในชุดเครื่องแบบกระตุกเมื่อกระสุนปักเข้าที่ลำคอ เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีร่างทั้งร่างก็ล้มหงายลงไปบนพื้น
โคลวิทปลดปลอกกระสุนออก พร้อมกับขยับรอยยิ้มด้วยความพึงพอใจ
"วันนี้ขอโทษจริงๆ นะคะ ที่มาโดยไม่บอกก่อน" ฟลอดิน่าเอ่ยกับผู้คุมเรือนจำ อีกฝ่ายปัดมือไปมาพร้อมกับก้มหัวหลายที
"ไม่เป็นไรครับ ผมดีใจมากกว่าที่คุณฟลอร์แวะมาที่นี่"
"ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ ฉันคลายสงสัยไปได้หลายเรื่องเลย"
"สอบถามมาทางเราได้เสมอเลยครับ"
"ขอบคุณค่ะ ถ้าเช่นนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ" เธอโค้งให้อีกฝ่ายหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินออกมาจากเรือนจำ
ตอนนี้ดึกมากแล้ว อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะล่วงเข้าสู่วันใหม่
เธอได้สอบถามเรื่องของนักโทษหลายคนกับผู้คุมเรือนจำทางตอนเหนือ พยายามพูดกว้างๆ ก่อนจะวกกลับมาที่ประเด็นของวิลเฮม อีกฝ่ายให้ความร่วมมือกับเธอเต็มที่จึงกดสัญญาณเรียกรวมพลนักโทษทุกคนมา
ทว่ายังไม่ทันได้ตรวจสอบสิ่งใด กลับพบว่านักโทษคนหนึ่งหายตัวไป พวกเธอตามหาตัวกันสักพักใหญ่จึงเจอเขาหลับสนิทอยู่ในห้องพักผ่อน ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดสงสัย เธอก็เช่นกัน แต่จังหวะที่นักโทษตัวเล็กถูกแบกผ่านหน้าไป เธอเห็นรอยเข็มใกล้หลังคอ
ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้านักโทษจะเล่นยาเสพติดกัน แต่บริเวณนั้นไม่ใช่ตำแหน่งที่ฉีดสารเหล่านั้นเข้าร่างกาย
คงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้พิจารณาวันอื่น
สำหรับวิลเฮม เมื่อมาเจอตัวจริงอีกครั้งกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ นอกจากความลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ซึ่งนักโทษทุกคนมีอาการเช่นเดียวกัน เพราะการปรากฏตัวของเธอ
ฟลอดิน่าถอนหายใจยาว
บางทีเธออาจจะคิดมากไป
เสียง 'ฟิ้ว' แผ่วเบา ดังสนั่นในความสงัด ร่างโปร่งบางสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาสวยตวัดไปมองโดยรอบ เธอรู้จักเสียงนี้ดี เสียงยิงปืนผ่านกระบอกเก็บเสียง
ใครสักคนเพิ่งยิงปืนท่ามกลางความสงบนี้
เสียงยิงนี้ คงไม่พ้นปืนยิงระยะไกล
เธอมองไปโดยรอบ บริเวณนี้ห่างจากเรือนจำไม่ไกล เป้าหมายของมือปืนคงไม่พ้นสถานที่แห่งนี้ ใบหน้าสวยตวัดไปมา ระยะปืนอยู่ที่หนึ่งถึงสองกิโลเมตร รอบข้างมีตึกสูงอยู่สองสามแห่ง
เธอต้องตรวจสอบ
โคลวิทเปิดกระเป๋าข้างเอว หยิบลูกกระสุนสีม่วงประหลาดออกมา บรรจงบรรจุใส่ปืนระยะไกลประจำตัวเขา ร่างสูงย่อตัวลง
ผ่านมาได้เกือบห้านาทีแล้วนับจากที่ยิงไปเมื่อครู่ ยังไม่มีสัญญาณส่งมาจากโดส แสดงว่าการส่งของมีปัญหาเล็กน้อย
เขาประทับท้ายพานขึ้นบ่า เบนปลายปืนไปบริเวณสูงขึ้น บนยอดของกำแพงเรือนจำ มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ทุกวันของเวลานี้ หัวหน้าเรือนจำทางตอนเหนือจะออกมาสูดอากาศรับลมพร้อมกับสอดส่องเข้าไปในเมืองเพื่อตามหาหญิงสาวสวยที่ตัวเองต้องการ
โคลวิทซูมกล้องเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มน่ารังเกียจผู้นั้นกำลังใช้กล้องส่องทางไกลในมือมองกลับเข้าไปในเมือง
เขาขยับรอยยิ้มมุมปาก
เทเรซิน่าคัดค้านการส่งผู้หญิงไปเป็นนางบำเรอมาตลอด เธอใช้เวลาว่างที่มีในแต่ละวันวิจัยลูกกระสุนพิเศษมาให้เขาโดยเฉพาะ ลูกกระสุนสีม่วงซึ่งอัดแน่นไปด้วยสายเคมีที่มีผลต่ออารมณ์ภายในร่างกาย ทันทีที่สารนี้เข้าสู่กระแสเลือด อารมณ์ทั้งหมดจะสลายหายไปในพริบตา
นี่คือการแก้แค้นที่นักวิจัยสาวคิดค้น และเขาก็ยินดีจะรับหนทางนี้มาเพื่อจัดการกับพวกนายทหารที่มีความคิดต่ำช้า
'เรียบร้อยครับคุณโคลวิท' เสียงโดสดังผ่านหูฟัง
เขาขยับรอยยิ้มอีกครั้ง นิ้วแกร่งจับอยู่ที่ไกปืน กลั้นหายใจ จดจ่อสมาธิอยู่กับเป้าหมาย
'เดี๋ยวครับ คุณโคลวิท!!' โดสห้ามเสียงดังลั่น ทว่าไม่ทันเสียแล้ว นิ้วของเขาเหนี่ยวไกส่งกระสุนพุ่งเข้าสู่ต้นคอของเป้าหมาย ร่างท้วมล้มหงายหายตัวไป
"มีอะไรโดส" เขาถามกลับไปเสียงเครียด
'ผู้คุมเรือนจำกลางได้ยินเสียงปืนนัดแรกครับ แล้วเมื่อครู่เธอก็รู้แล้วว่าคุณโคลวิทอยู่ที่ตึกนั้นเพราะเสียงปืนนัดที่สอง!! เธอเข้าตึกไปแล้วครับ!!'
"ว่ายังไงนะ!! ผู้คุมเรือนจำกลาง!? ฟลอดิน่าอย่างนั้นหรอ!!"


OSTA SE ABRE
คอมเมนท์สุดท้าย ขออนุญาตแนะนำเรื่องสำนวนการเขียนซักหน่อยนะครับ : )
เรื่องนี้มีอยู่ 2 จุด ที่ถ้าแก้ไขแล้วสำนวนการเขียนจะดีขึ้นทันตาเห็น
1. พยายามใส่ประธานเข้าไปในประโยคด้วยนะครับ
เช่น:
[ได้ยินเสียงปืน สังเกตจนรู้ว่าเขาอยู่ในอาคารนี้]
- แม้ว่าถ้าอ่านต่อเนื่องมาจากย่อหน้าก่อนๆ ผู้อ่านย่อมรู้ว่านี่พูดถึงใคร
แต่อย่างไรก็ตาม ในการขึ้นย่อหน้าใหม่ ยังไงก็ควรใส่ประธานเข้าไปด้วยนะครับ
ไม่งั้นจะเกิด 'ภาพแหว่ง' ในหัวผู้อ่าน ทำให้สะดุด/ ติดขัด
[นัยน์ตาสีเหลืองทองหรี่ต่ำ พยายามรวบรวมความคิดให้กลับมาเข้าที่]
- ตรงนี้ก็เป็นช่วงขึ้นย่อหน้าใหม่เช่นกัน
กรณีเดียวกันเลยครับ
พอเราละประธานที่เป็นบุคคลไป
กลายเป็นว่า สิ่งที่ [พยายามรวบรวมความคิดให้กลับเข้าที่] นั้นก็คือ 'นัยน์ตา' ไม่ใช่เจ้าของนัยน์ตา
2. เป็นคนที่เขียนอากัปกิริยาของตัวละครละเอียดมากนะครับ
ซึ่งงานเขียนเป็นสิ่งที่ประหลาดอย่างหนึ่ง
ยิ่งเราเขียนน้อย ผู้อ่านจะได้ภาพมาก
แต่ถ้าเราเขียนมาก ผู้อ่านจะได้ภาพน้อย
> <
หวังว่าคอมเมนท์ครั้งสุดท้ายนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช