
EN17 ภารกิจแจกรักของกามเทพพันธุ์พิลึก
คุณเชื่อเรื่องกามเทพไหม? แล้วถ้ากามเทพนั้นเป็นหนุ่มมาดร็อคสุดอินดี้แบกอาวุธสงคราม คุณยังจะเชื่อไหม? จงลืมทุกกามเทพที่คุณเคยรู้จัก เพราะนี่คือกามเทพพันธุ์พิลึกที่จะมาแจกรักให้กับพวกคุณ!
ตอน 4
สังคมกามเทพนั้นอยู่ยากขึ้นทุกวัน
หลังจากภาพแห่งโศกนาฏกรรมทะเลเพลิงกลับคืนสู่สภาพปกติ ผู้คนที่โดนแผลงศรใส่หลายสิบชีวิตก็ต่างนิ่งงันไปดื้อๆ ราวกับต้องมนต์สะกดให้หยุดอยู่กับภาพของชายหญิงตรงหน้าตนเอง จนผู้ร่วมงานคนอื่นพากันหันมามองคนกลุ่มนี้เป็นสายตาเดียว
แล้วฉับพลันนั้นก็มีก็มีชายคนหนึ่งแหกปากร้องตะโกนออกมาสุดเสียงก่อนจะตามมาด้วยเสียงของชายหนุ่มคนอื่นๆ จนดังระงมไปทั่วไม่ว่าจะเป็น ‘แต่งงานกันเถอะ’ ‘คุณนี่ล่ะคือแม่ของลูกผม’ ‘คุณหนึ่งเดียวในใจผม’ และอีกต่างๆ นานาที่มีความหมายไปในทางเดียวกันหมด
กริชญะที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าจากสุดขอบบริเวณงานได้แต่อ้าปากเหวองุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนได้เซรอสที่ยืนอยู่ด้วยกันช่วยไขข้อข้องใจให้ แม้จะด้วยน้ำเสียงที่แค่ฟังก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังโมโหจนตัวแทบระเบิดอยู่รอมร่อ
“เป็นผลจากการแผลงศรน่ะ ยิ่งรักแรกนั้นรุนแรงมากเท่าไหร่ ปฏิกิริยาที่เกิดหลังการแผลงศรก็จะยิ่งแสดงออกมารุนแรงเท่านั้น”
“เพราะงั้นก็เลยเป็นอย่างที่เห็น?” กริชญะถามย้ำ ซึ่งเซรอสแค่พยักหน้ากลับมาแรงๆ แทนคำตอบ ก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อเจ้าคนที่กำลังยืนหัวเราะร่าอยู่ตอนนี้
“เรนัส! ไอ้ขี้โกงเล่นสกปรก!” เซรอสตะคอกใส่หน้าเรนัสอย่างเหลืออด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรด้วยเลย แถมเจ้าตัวดีก็เพียงแค่ผายมือออกทั้งสองข้างเหมือนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้พร้อมแกล้งทำหน้ามึนหลบตาอีกฝ่าย
“โกง? ใครโกงกันเซรอสเพื่อนรัก นายอย่าเพิ่งเข้าใจผิดสิ”
“เข้าใจผิดบ้าอะไรล่ะ เห็นๆ กันอยู่ว่านายแกล้งโยนหมอนี่ใส่ฉัน!” เซรอสตะโกนกลับไปอย่างเกรี้ยวกราด
“ฉันช่วยหมอนั้นต่างหากล่ะ”
“ช่วย?” เซรอสขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะมุขไหนกัน
“ช่ายแล้ว เพราะหมอนี่มันขวางทางปืนอยู่ ฉันก็เลยต้องโยนหมอนี่ออกไปให้พ้นทางเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้ายะเองเลยนะเนี่ย” เรนัสตอบกลับเสียงใสที่โคตรจริงใจแบบสุดๆ ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่ขัดต่อจริยธรรมใดทั้งสิ้น
“แล้วนายจับเขาโยนมาแบบนี้ไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาอาจจะได้รับอันตรายก็ได้” แต่เซรอสก็ยังไม่ยอมแพ้พยายามไล่ต้อนคนที่กำลังพยายามแถต่อไป
“ไม่ได้มีกฏห้ามกามเทพทำร้ายมนุษย์นี่” แต่เรนัสก็ยังตอบกลับมาหน้าตาเฉยเหมือนเดิม
“แต่ยังไงกามเทพก็ไม่ควรทำร้ายมนุษย์เว้ย!” เซรอสถึงกับโวยลั่นเมื่อได้ยินคำตอบ
“ก็นั้นแหละฉันถึงมั่นใจว่านายต้องดูแลเจ้ายะได้และไม่ปล่อยให้เป็นอะไรไปแน่ๆ ฉันถึงวางใจฝากเขาไว้กับนายไง นี่ก็เพราะฉันเชื่อมั่นในตัวนายเลยนะเพื่อนรัก ถ้าไม่ใช่นายฉันคงไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก” แต่เรนัสก็ยังตอบกลับไปด้วยหน้าตาที่เจ้าตัวคงคิดว่าแสดงความจริงใจสุดๆ แล้ว ทั้งที่จากสายตาคนอื่นแล้วมันคือการแถแบบหน้าด้านๆ มากกว่า
ก่อนจะกลายเป็นเซรอสซะเองที่อับจนคำพูดได้แต่กัดฟันกรอดและบีบมือที่กำคอเสื้อไว้สั่นไปทั้งตัวแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ส่วนกริชญะที่มองอยู่ด้านข้างก็ทำได้เพียงคิดในใจเท่านั้นว่าโยนเขาออกไปให้พ้นทางปืนทั้งที่ตัวเองยิงกระสุนโค้งได้แท้ๆ เนี่ย มันช่างเป็นเหตุผลที่โคตรจะฟังขึ้นจนเขาอยากจะขอไปดูซี่โครงของเรนัสจริงๆ ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้างเพราะแถซะแหกโค้งขนาดนี้
“ฝากไว้ก่อนเถอะเรนัส เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่!” เซรอสที่เหมือนจะรู้ตัวว่าถึงอยู่ต่อไปก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้จึงตัดสินใจสะบัดคอเสื้อทิ้งก่อนจะหันมาตะคอกทิ้งท้ายแล้วกางบินจากไปอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆๆๆๆ ขนาดคำพูดทิ้งท้ายก็ยังเป็นแค่ตัวร้ายเกรดบีเลยนะเซรอส!” แล้วเจ้าตัวดีก็แหกปากหัวเราะดังลั่นอย่างสะใจอยู่ตรงนั้น จนกริชญะที่ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเอ่ยถามเรื่องคาใจของตัวเอง
“ว่าแต่ทำไมพวกนายถึงต้องแข่งกันจะเป็นจะตายขนาดนี้ด้วยเนี่ย แถมท่าทางจะไม่เหม็นขี้หน้ากันสุดๆ ซะด้วยแฮะ แล้วตกลงไอ้ยอดแผลงศรมันคืออะไรกันแน่?” กริชญะถามออกไปเสียงอ่อน เพราะตอนนี้ถึงเขาอยากจะเอาเรื่องคนที่จับเขาโยนไปมาแค่ไหน แต่หลังจากที่เห็นสภาพของเซรอสแล้วเขาคิดได้ว่าคงเสียเวลาเปล่าจึงตัดสินใจปล่อยเลยตามเลยไป
“ถามทีเป็นชุดเชียวนะ” เรนัสหันมาบ่นใส่กริชญะเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามที่ทั้งหมดให้ “เรื่องนั้นก็ไม่มีอะไรมากหรอกแค่ฉันกับไอ้บ้านั้นเป็นคู่แข่งที่คะแนนสูสีกันอยู่น่ะ”
“คู่แข่ง? คะแนนสูสี?”
“คืองี้จำที่ฉันบอกนายก่อนหน้านี้ได้ไหมว่าจริงๆ แล้วการแผลงศรมันไมได้ง่ายดายขนาดนั้น เพราะในหมู่กามเทพของพวกฉันเนี่ยมันมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ยอดแผลงศร’ อยู่ด้วย”
“จำได้ แล้วตกลงมันคืออะไรล่ะไอ้ยอดแผลงศรเนี่ย?” กริชญะถามต่อ
“มันคือการแข่งขันกันว่า กามเทพตนใดจะสามารถแผลงศรแห่งรักได้มากที่สุดในรอบปี ซึ่งผู้ชนะจะได้รับชื่อเสียงเกียรติยศและสิทธิพิเศษมากมายในแดนสวรรค์” เรนัสตอบพลางเกาหัวอย่างนึกรำคาญที่ต้องมาค่อยอธิบายเรื่องต่างๆ แต่กริชญะที่ฟังอยู่นั้นได้แต่อ้าปากค้างขณะปล่อยให้สมองประมวลข้อมูลที่ได้รับมาอย่างช้าๆ พลางคิดว่าไอ้กามเทพพวกนี้มันจะมีเรื่องอะไรให้แปลกใจได้มากกว่านี้อีกไหม ก่อนจะเอ่ยถามต่อไปอย่างเหนื่อยใจ
“ด้วยเรื่องแค่นี้พวกนายต้องแข่งกันปานโลกจะแตกเนี่ยนะ”
“ไม่ใช่เรื่องแค่นี้นะเฟ้ย แต่มันยังมีรางวัลทริปพักร้อนสุดหรูกับเหล่านางฟ้าแสนสวยบนทรวงสวรรค์ด้วยนะ แถมไอ้บ้านั้นก็กำลังทำคะแนนไล่ก้นฉันมาติดๆ เลย เพราะงั้นเรื่องอะไรจะยอมให้มันแซงไปได้กันล่ะ อุตส่าห์ขึ้นมาอยู่อันดับของตารางได้แล้วเชียว!”
กริชญะถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับสาเหตุสุดบรรเจิดที่ทำให้กามเทพทั้งสองต้องมากัดกันอย่างกับหมาแบบนี้ ทั้งยังไม่เข้าใจว่าสังคมกามเทพนี่มันเป็นยังไงกันถึงต้องให้กามเทพมาแข่งกันทำยอดแบบนี้ จนอดสงสัยไม่ได้นี่คือกามเทพหรือพนักงานขายตรงกันแน่!
แต่ถึงเขาจะบ่นอย่างนู้นอย่างนี่ก็ตาม ตัวเขาเองกลับเริ่มทำใจได้หน่อยๆ แล้วว่าจะลืมความเชื่อทุกอย่างเกี่ยวกับกามเทพที่เคยรู้มาให้หมด เพราะตั้งแต่ได้เจอกับเรนัสก็ดูเหมือนสิ่งที่เคยรู้มามันจะผิดไปหมด จนสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็มีแต่ถอนหายใจย่างปลงตกเท่านั้น
“เฮ้อ โลกนี้มันชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวันจริงๆ”
“อ่ะ เอานี่ไป” แล้วจู่ๆ เรนัสก็โยนเครื่องวัดอนุภาคให้เขาเสียดื้อๆ จนเจ้าตัวเกือบทำหลุดมือไปแล้ว
“มีอะไรสงสัยอีกก็อ่านเอาจากในนั้นล่ะกัน ฉันขี้เกียจอธิบายแล้วแถมยังมีเรื่องนายที่ต้องจัดการอีก” พูดจบเจ้าตัวก็หันไปอีกทางก่อนจะยกมือขึ้นมาแนบหูแล้วหลับตานิ่งราวกับกำลังทำสมาธิอะไรสักอย่าง
กริชญะที่เห็นดังนั้นจึงปล่อยอีกฝ่ายไปแล้วตัวเองก็ก้มมองเจ้าเครื่องวัดอนุภาคในมือ ซึ่งตอนนี้ทีหน้าจอกำลังแสดงหน้าเอกสารที่หัวกระดาษเขียนว่า ‘คู่มือแนะนำสำหรับกามเทพมือใหม่’ จนกริชญะอดจะหันไปมองเรนัสอย่างสงสัยไม่ได้ ซึ่งดูเหมือนคนถูกจ้องจะรู้ตัวจึงหันมาบอกอย่างรวดเร็ว
“นั้นฉันโหลดมาให้นายโดยเฉพาะต่างหาก ระดับฉันไม่จำเป็นต้องใช้หรอก” กริชญะพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารนั้นต่อไป
แล้วเรนัสก็หลับตานิ่งเพ่งกระแสจิตต่อไป ก่อนจะบ่นออกมาอย่างหัวเสียหลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ๆ
“ทำไมถึงติดต่อเจ้าแก่คิวปิดไม่ได้เลยนะ! เวลาอย่างนี้ทีไรล่ะติดต่อไม่เคยได้ แต่ทีเวลาสั่งงานล่ะสั่งเอาๆ ช่างทำตัวได้สมกับเป็นหัวหน้ากามเทพจริงๆ ไอ้เฒ่าทารก!” บ่นเสร็จเจ้าตัวก็หันกลับไปมองกริชญะพลางคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี ก่อนจะเป็นอีกฝ่ายที่เงยหน้ามาถามอย่างสนอกสนใจจนเขาต้องเลิกคิ้วสงสัย
“เรนัสไอ้ ‘บริการหลังการแผลงศร’ นี่คืออะไรเหรอ?”
“หืม? ไอ้บริการหลังการขายน่ะเหรอ”
“หลังการขาย?”
“อย่าสนใจเลยแค่ชื่อที่พวกฉันใช้เรียกกันเฉยๆ” เจ้าตัวบอกปัดอย่างขี้เกียจอธิบาย ก่อนจะบอกสิ่งที่กริชญะสงสัยต่อไป
“ก็ไม่มีอะไรนี่ แค่ติดตามดูผลการแผลงศรของตัวเองว่าคู่รักที่โดนศรปักอกไปจะสมหวังในความรักไหมเท่านั้น ทำไมเหรอ?”
“ก็เงื่อนไขต่อท้ายนี่ไง” กริชญะพูดพลางยื่นส่วนที่ว่าให้เรนัสอ่าน ก่อนเจ้าตัวจะเพ่งมองแล้วร้องอ้ออย่างเข้าใจ
“อ้อ ตรงที่ว่าถ้าคู่รักไหนสมหวังจะได้คะแนนพิเศษคูณสองน่ะเหรอ แล้วยังไง?” แต่เรนัสก็ยังไม่เข้าใจที่กริชญะต้องการสื่ออยู่ดี
“มันก็น่าสนใจดีออก นายเคยทำม่ะ?”
“ไม่เคยและไม่คิดจะทำด้วย”
“อ้าว ทำไมล่ะ?”
“ง่ายๆ ขี้เกียจ ยุ่งยาก เสียเวลาสู้เอาเวลาพวกนั้นไปตระลอนแผลงศรยังดีซะกว่าเลย”
“แต่ถ้าคู่รักนั้นไม่สมหวังก็จะไม่ได้คะแนนพิเศษนะ”
“นั้นก็แค่ไม่ได้คะแนนพิเศษและยอดแผลงศรก็ยังได้เหมือนเดิม” กริชญะที่ตอนนี้ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ เพราะไม่ว่าจะยกเหตุผลอะไรมาอีกฝ่ายก็แย้งได้ทั้งหมด จนเรนัสหรี่ตามองอย่างสงสัย
“ว่าแต่ทำไมจู่ๆ นายถึงสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาซะล่ะ” เรนัสถามออกไปอบ่างยิงตรงเข้าประเด็นจนกริชญะถึงกับสะอึก
“ไม่มี้” ก่อนกริชญะจะตอบกลับเสียงสูงอย่างมีพิรุธ เพราะจะให้เรนัสอยู่ได้ยังไงว่าตัวเขาแอบมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจแล้ว เขาจึงพยายามหาเหตุผลอื่นมาอ้างอย่างเร็วที่สุด
“นายต่างหากเป็นถึงกามเทพไม่คิดจะรับผิดชอบคนที่แผลงศรใส่ย่างคอยช่วยให้คนสมหวังเลยเหรอไง!” แต่เรนัสก็ยังจ้องอย่างสงสัยไม่วางตา กริชญะจึงรีบชิงพูดต่อไป
“แล้วนายต้องพาฉันไปด้วย!”
“ห๊ะ?” แล้วดูเหมือนครั้งนี้จะได้ผลเพราะเจ้าตัวดีรีบร้องถามกลับมาทันที “แล้วทำไมฉันต้องพานายติดสอยห้อยตามไปด้วยมิทราบ?”
“เพราะฉันมองเห็นนายและตราบใดที่นายยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมฉันถึงมองเห็นนาย นายก็สมควรจะต้องพาฉันไปด้วยทุกที่จริงไหม?”
“เฮ้ย เหตุผลบ้าอะไรฟ่ะนั้น! เดี่ยวนะแล้วชีวิตประจำวันของนายจะทำยังไง?” เรนัสพยายามหาข้ออ้างขึ้นมาทันที แต่ดูเหมือนคราวนี้จะเป็นทีของกริชญะบ้างแล้ว
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่คนเดียวอยู่แล้ว พ่อแม่ญาติพี่น้องก็อยู่ต่างจังหวัดหมดเพราะงั้นสบายมาก”
“สบายบ้าอะไรล่ะ แล้วนายไม่มีการมีงานต้องทำเหรอไงจะมาตามก้นฉันเนี่ย”
“ฉันเป็นนักเขียนนะ ปกติก็ทำงานอยู่บ้านอยู่แล้วเพราะงั้นจะไปไหนมาไหนหรือทำอะไรที่ไหนก็ได้ไม่มีเจ้านายมาคอยบ่นอยู่แล้ว แถมดีซะอีกเผลอๆ อาจจะได้ไอเดียใหม่ไปเขียนนิยายก็ได้” กริชญะยกมือขึ้นมาลูบคางด้วยรอยยิ้มนึกสนุก
“หรือว่านี่คือเหตุผลจริงๆ ของนาย?”
“ก็ไม่รู้สินะ” กริชญะตอบกลับพลางผายมืออย่างไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเรนัสออกมาแทน จนเจ้าตัวได้แต่กัดกรอดเพราะเหมือนกำลังโดนเอาคืนยังไงชอบกล
ซึ่งจริงๆ แล้วนั้นก็แค่หนึ่งในข้ออ้างของกริชญะเท่านั้น ถึงแม้เขาจะเริ่มรู้สึกสนุกไปกับประสบการณ์ใหม่ๆ หลังจากที่ได้เจอเรนัสก็จริง แต่เหตุผลลึกๆ แล้วเขาอยากจะลองไปเฝ้าดูความรักของคนอื่นดูว่าเป็นยังไง เผื่อว่าเขาเองจะได้เจอคำตอบของความรักที่ตัวเองกำลังตามหาก็ได้
แล้วเรนัสที่ตั้งท่าจะเถียงต่ออยู่นั้นก็ต้องชะงักไปก่อนจะเปลี่ยนมายืนกอดอกหน้ามุ่ยคิดถึงผลได้ผลเสีย เพราะถึงปกติแล้วเขาจะขี้เกียจทำเรื่องพวกนี้เพราะมันวุ่นวายก็เถอะ แต่ในเมื่อตอนนี้มีกริชญะอยู่ด้วยทำให้เขานึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
‘หมอนี่อาจจะใช้สิ่งนั้นได้ก็ได้’ เมื่อคิดได้ดังนั้นคราวนี้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นมาจนกลายเป็นกริชญะซะเองที่เริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่จะขอติดตามไอ้เจ้ากามเทพสุดเกรียนไปด้วย
“ก็ได้! งั้นตกลงฉันยอมให้นายติดสอยห้อยตามไปด้วย” เรนัสตอบกลับมาเสียงใสด้วยรอยยิ้มกว้างจนน่าสงสัย
“งั้นก็ขอฝากตัวด้วยนะครับท่านกามเทพ” แต่กริชญะเองก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้างจนผิดวิสัยเช่นกัน
“งั้นเริ่มจากใครดี นายชวนฉับแบบนี้แสดงว่าคิดไว้แล้วสินะยะ”
“แน่นอน เราจะเริ่มจากคนนี้” พูดจบกริชญะก็หันหน้าจอของเครื่องวัดอนุภาคให้เรนัสดู
“หมอนี่ดูคุ้นๆ แฮะ”
“ทำไมจะไม่คุ้นก็คนที่นายยิงใส่เมื่อเช้านี่ไง”
“อ้อ หมอนั้นเองเหรอ ดูแล้วก็น่าเป็นห่วงจริงๆ ด้วยแฮะ” เรนัสเกาคางพลางจ้องมองที่หน้าจอให้ชัดขึ้น ซึ่งตอนนี้ภาพที่ปรากฏอยู่ก็ภาพของชายร่างท้วมที่ถูกเรนัสยิงใส่จากดาดฟ้าก่อนหน้านี้นั้นเอง แถมตอนนี้ที่ใต้ภาพมีตัวเลขสีแดงสดจนน่ากลัวที่กำลังแสดงตัวเลข 8% อยู่อีกด้วย
<><><>
“องค์พระเจ้า ข้ามีเรื่องจะมารายงานขอรับ!” เสียงก้องกังวานจากชายหนุ่มผมทองที่ยาวถึงกลางหลังดังสะท้อนไปทั่วทั้งวิหารโบราณที่สร้างจากหินอ่อนสีขาวแบบโรมัน ซึ่งกำลังลอยอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆน้อยใหญ่และรายล้อมด้วยหมู่มวลนกน้อยมากมาย
“เจ้ามีเรื่องอะไรมารายงานล่ะเซรอส” เสียงทุ้มนุ่มนวลแต่แฝงไว้ซึ่งพลังน่าเกรงขามดังออกมาจากร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่ร่างกายส่องแสงสว่างไสวราวกับราวหลอดไฟแอลอีดีจนมองเห็นเพียงสัดส่วนโดยรวมของร่างกายเท่านั้น แถมยังเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘พระเจ้า’ ผู้นำสูงสุดของทวยเทพกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองด้านในสุดของวิหารซึ่งกำลังเท้าแขนกับที่วางด้านข้างของบัลลังก์อย่างสบายอารมณ์
“เรื่องของกามเทพเรนัสขอรับ ไอ้หมอนั้น...อ่า ข้าหมายถึงกามเทพเรนัส...” แต่เซรอสยังไม่ทันจะได้พูดจนจบประโยคก็ถูกพระเจ้าพูดขัดขึ้นเสียก่อน
“พูดตามสบายเถอะ ข้าไม่ถือ” และเสียงที่เอ่ยออกมานั้นก็แฝงไปด้วยความเป็นกันเองกันอย่างไม่น่าเชื่อ จนเซรอสได้แต่ทำตาม
“ขอรับ ไอ้หมอนั้นมันเล่นขี้โกงในการแผลงศรที่ผ่านมาขอรับ” เซรอสกล่าวพลางเปิดหน้าจอโปร่งใสที่กำลังแสดงภาพวิดีโอเหตุการณ์ในงานนัดบอดก่อนจะส่งไปให้คนตรงหน้าดู
“ถ้าเรื่องนั้นข้ารู้แล้วล่ะ แต่เท่าที่ดูก็ไม่ได้ขี้โกงอะไรเท่าไหร่นี่ น่าเรียกว่าแทคติกเฉพาะตัวมากกว่านะเซรอส” พระเจ้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยอารมณ์ขบขำ เมื่อท่านได้ดูวิดีโอที่ไม่รู้ว่าไปถ่ายมาตอนไหนอย่างสนุกสนาน ถึงแม้เจ้าตัวจะรู้เรื่องนี้ผ่านทางกระแสจิตของตนแล้วก็ตาม
“แต่อย่างนี้มันไม่แฟร์นะขอรับ ไอ้บ้านั้นเล่นโยนมนุษย์ใส่ข้าเฉยเลย ถ้าข้าไม่ต้องคอยรับมนุษย์ผู้นั้นป่านนี้ข้าคงชนะไปแล้ว”
“เอาน่าเซรอส ข้าว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยแบบนี้ก็ดูมีสีสันดีอีกต่างหากนะ” พระเจ้าเอ่ยออกมาอย่างอดขำไม่ได้ จนเซรอสเริ่มมั่นใจว่าพระเจ้าคงเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกมากกว่าเสียแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้จึงพยายามจะโต้แย้งต่อไป
“แต่ว่าพระเจ้า...”
“พอแล้วน่าเซรอส” แต่ก็โดนห้ามปราบด้วยเสียงแหลมเล็กราวกับเด็กน้อยเสียก่อน
“พวกเจ้าทั้งสองก็โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงล่ะ ยังกัดกันเป็นเด็กๆ อยู่อีก” ก่อนที่เสียงนั้นจะดังขึ้นอีกโดยยังไม่อาจหาได้ว่าเจ้าของเสียงอยู่ที่ไหนกันแน่
“กามเทพขอรับ ไม่ใช่หมาจะได้มากัดกันท่านคิวปิด”
“ฮ่าๆ ข้าว่ากัดกันนั้นล่ะถูกแล้ว เห็นเจอหน้ากันทีไรเป็นต้องแยกเขี้ยวใส่กันทุกที” แล้วเซรอสก็ได้แต่ทำหน้าบึ้งไม่พอใจหันไปทางอื่น เพราะต่อให้เถียงต่อไปยังไงก็คงแพ้เหมือนเดิม
“อย่าไปว่าแต่เด็กมันเลยคิวปิด เจ้าเองก็ไม่ได้แตกต่างกันนักหรอก อายุตั้งกี่พันปีแล้วแถมยังมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้ากามเทพก็ยังชอบอยู่ในร่างเด็กแบบนั้นอยู่เลย” และเป็นพระเจ้าที่เอ่ยทักเจ้าของเสียงด้วยท่าทางหยอกล้อและเป็นกันเองยิ่งกว่าเดิม จนการสนทนานี้เริ่มจะกลายเป็นการพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนไปแล้วมากกว่า
“อายุเป็นเพียงตัวเลขนะขอรับ เพราะจิตใจของข้ายังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่นะพระเจ้า” ก่อนที่เสียงแหลมเล็กนั้นจะดังออกมาจากหลังบัลลังก์พร้อมกับการบินออกมาของเด็กน้อยตัวเล็กน่ารักที่ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบด้วยซ้ำ แต่กลับแต่งตัวด้วยชุดสูทสีขาวทั้งตัว ผมสีทองเปล่งประกายยาวกำลังดีที่ถูกจัดทรงอย่างเรียบร้อยกับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่ยิ่งรวมกับปีกนกอันพอดีตัวที่กำลังกระพือส่งให้ร่างเจ้าของลงมายืนเบื้องหน้าบัลลังก์อย่างเหมาะเจาะแล้วกลับทำให้เด็กน้อยคนนี้ดูน่ารักน่าชังยิ่งขึ้นไปอีกได้อย่างไม่น่าเชื่อ และนี่ก็คือ ‘กามเทพคิวปิด’ หัวหน้าของเหล่ากามเทพทั้งมวลที่มีอายุมาหลายพันปีแล้วนั้นเอง
“เจ้าเองก็อย่าไปคิดมากเลยเซรอส เพราะจริงๆ แล้วควรจะโทษตัวเจ้าเองนะที่ไปพลาดท่าให้เรนัสแบบนั้น” คิวปิดเอ่ย
“แต่ว่า...” และเป็นอีกครั้งที่เซรอสโดนขัดจังหวะก่อนจะได้พูดจบ ซึ่งผู้ที่ขัดรอบนี้ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระเจ้านั้นเอง
“เอาน่า ข้าแบบนี้มันก็สนุกไปอีกแบบนะ นี่ถ้าแค่แข่งกันแผลงศรปกติข้าคงไม่ได้ดูอะไรที่สนุกแบบนี้หรอก”
“เฮ้อ พระเจ้าก็ทรงเห็นเป็นเรื่องสนุกอย่างนี้ทุกที” เซรอสได้ถอนหายใจอย่างตัดพ้อและปลงตกว่าต่อให้เถียงต่อไปยังไงผลก็คงเหมือนเดิม ก่อนเขาจะนึกได้ว่ายังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ต้องรายงาน
“ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานอีกเรื่องขอรับ”
“เรื่องอะไรอีกล่ะ?” คราวนี้เป็นคิวปิดที่ถามกลับมาแทน เนื่องจากตอนนี้ดูท่าแล้วพระเจ้าคงกำลังสนุกกับเทปบันทึกภาพตอนที่เรนัสทิ้งระเบิดนาปาล์มแบบปูพรมในงานนัดบอดอยู่
“เรื่องของมนุษย์คนที่ว่านั้นล่ะขอรับ”
“มนุษย์คนนั้นทำไมเหรอ?”
“เขามองเห็นพวกเราได้ขอรับ ข้าอยากทราบว่าเป็นไปได้ยังไง” ทันทีที่เซรอสพูดจบ หัวหน้ากามเทพอย่างคิวปิดถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองพระเจ้าของตนด้วยสายตาแปลกๆ
“ท่านเล่นพิเรนทร์อะไรอีกล่ะขอรับ มิน่าเมื่อกี้ถึงห้ามข้ารับการติดต่อจากเรนัส”
“อ้าว อย่ามาใส่ร้ายกันนะคิวปิดมันเป็นเรื่องของโชคชะตาต่างหาก ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยน่า” พระเจ้ารับตอบกลับพลางผายมือและส่ายหน้าไปมาว่าไม่ใช่ความผิดของตน
“เฮ้อ ท่านว่าไงก็ว่าตามกันล่ะขอรับ เป็นเรื่องของโชคชะตาก็โชคชะตาขอรับ” ชายชราในร่างเด็กถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันมาทางเซรอสแทน
“ก็อย่างที่ได้ยินล่ะนะ”
“แต่อย่างนี้มันก็ไม่ยุติธรรมแล้วยังผิดกฎ แถมเพราะเรนัสมีคนช่วยทำให้ข้าพ่ายแพ้แบบนี้นะขอรับ”
“สรุปคือที่เจ้าโวยวายอยู่แบบนี้เพราะยอมรับผลแพ้ชนะไม่ได้สินะ”
“ใช่ครับ...เอ้ย ไม่ใช่ครับ” และเป็นพระเจ้าที่เอ่ยออกมาได้ตรงจุดจนเจ้าตัวเผลอพลั้งปากตอบออกมาก่อนจะรีบกลับคำอย่างรวดเร็ว
“อืม ข้าก็พอเข้าใจความรู้สึกเจ้านะ แต่มันเป็นเรื่องของโชคชะตาก็ช่วยไม่ได้ แถมเจ้าเรนัสมันก็ใช้ประโยชน์จากสิ่งพวกนี้ดีซะด้วยสิ” พระเจ้าใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ทำให้เซรอสถึงกับยิ้มกว้างออกมา
“งั้นเอางี้ล่ะกัน ข้าจะให้สิทธิเจ้าเลือกมนุษย์ได้หนึ่งคนให้สามารถมองเห็นพวกเราได้เหมือนกัน ทีนี้จะได้เท่าเทียมกันตกลงไหม?”
“ตกลงขอรับ” เซรอสรีบตบปากรับคำอย่างรวดเร็ว จนคิวปิดที่บืนอยู่ต้องร้องออกมาอย่างตกใจ
“แบบนี้จะดีเหรอขอรับ”
“ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างข้าว่าแบบนี้มันก็น่าสนุกกว่าเยอะเลยด้วย หึๆ” พูดจบพระเจ้าก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบังสักนิด
“เอาที่ท่านสบายใจเลยล่ะกัน” คิวปิดได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
“คันศรของเจ้าเป็นอาวุธโบราณสินะ เลือกมาสักชิ้นสิ” เมื่อได้ยินดังนั้นเซรอสก็รีบแสกดาบเคลย์มอร์ด้ามยาวแบบของอัศวินทางแถบยุโรปสมัยก่อนออกมาจากละอองแสงทันที
ก่อนพระเจ้าจะชี้นิ้วไปที่ดาบเล่มนั้นแล้วฉับพลันดาบนั้นก็เปล่งแสงสว่างออกมาไม่หยุด
“หากเจอคนที่เลือกจะให้มองเห็นพวกเราแล้ว ก็จงใช้ดาบเล่มนั้นแทงทะลุหัวใจของคนผู้นั้น...ให้มิดด้าม!!”
“รับทราบขอรับ” เซรอสรับคำอย่างหนักแน่นโดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำสั่งเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ก่อนจะเก็บดาบแล้วบินออกจากวิหารไปทันที ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างรอคอยเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อย่างใจจดใจจ่อของพระเจ้าและสายตาเหนื่อยหน่ายใจที่หันไปมองพระเจ้าของตนจากคิวปิด พลางบ่นพึมพำอย่างหมดแรงกับคำสั่งเมื่อกี้ว่า...
“น่าสงสารคนผู้นั้นจริงๆ ถ้าไม่ช็อกตายไปซะก่อนก็คงจะดี”
<><><>
ภารกิจแจกรักของกามเทพพันธุ์พิลึก
ผู้แต่ง : เทียนหลง
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | กามเทพไม่มีจริงหรอก! | 14 ก.พ. 59 |
| 2 | กามเทพแบบนี้ก็มีด้วย? | 08 มี.ค. 59 |
| 3 | นี่เหรอการแผลงศรแห่งศตวรรษที่ 21 | 16 มี.ค. 59 |
| 4 | สังคมกามเทพนั้นอยู่ยากขึ้นทุกวัน | 23 มี.ค. 59 |
| 5 | บริการหลังการขายกับเหยื่อรายแรก | 30 มี.ค. 59 |





บทนี้อธิบายเกี่ยวกับระบบของนิยายเรื่องนี้ โผล่มาในจังหวะที่เหมาะสมแล้วคับ
คอมเมนท์ครั้งสุดท้ายนี้ อยากจะฝากในจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด
นั่นคือสำนวนการเขียนคับ
(ปล. พยายามโพสต์คอมเมนท์เกือบชั่วโมงแล้ว แต่ไม่ผ่าน คงเพราะยาวไป T T
พยายามตัดแล้วตัดอีกก็ยังไม่ผ่านครับ เพราะงั้นคงต้องตัดทิ้งไปเยอะ
อย่างไร ถ้ามีโอกาสจะส่งเวอร์ชั่นเต็มให้ทางหลังไมค์นะครับ)
ข้อดีของสำนวนการเขียนเรื่องนี้คืออารมณ์ขันนะคับ
แต่จุดบกพร่องคืออ่านแล้วให้ความรู้สึกเยิ่นเย้อ
แต่จะว่าไป ถ้าบก.แก้สำนวนนักเขียนคนไหนด้วย 'ความรู้สึก'
สุดท้ายงานทุกงานก็จะกลายเป็นสำนวนบก.คนนั้นไปหมดจริงมั้ยครับ
ดังนั้นจะยกหลักการมาให้ดูประกอบนะครับ ว่าเรื่องนี้สำนวนบกพร่องตรงไหนบ้าง:
[ใช้คำซ้ำ/ ใช้ประโยคซ้อนประโยคโดยไม่จำเป็น]
- กริชญะที่ฟังเหตุผลที่ดูไร้สาระแต่กลับฟังขึ้นชอบกลจนได้หัวเราะแห้งๆกลับไป
- ลองตัดคำซ้ำ(ที่)ออกไปนะครับ และพอลองแตกประโยคให้เป็นประโยคเดี่ยว จะเห็นว่าอ่านง่ายขึ้น
- แก้เป็น: เหตุผลนี้ดูไร้สาระ แต่กลับฟังขึ้นชอบกล กริชญะได้แต่หัวเราะแห้งๆกลับไป
[ใช้คำซ้ำ(คำว่า 'ทำไม')]
- ถ้านายหวงรถขนาดนี้แล้วทำไมตอนเจอกันทำไมนายถึงตกมาจากฟ้า
[จัดย่อหน้าไม่ถูกต้อง ทำให้สับสนว่าใครเป็นผู้พูด]
- "ก็ตอนนั้นฉันเพิ่งบินข้ามอ่าวไทยมา นายจะให้ฉันขี่ลูกรักฝ่าน้ำทะเลมาหรือไง นายโง่หรือบ้ากันเนี่ย?" กริชญะได้แต่หลับตาอย่างอดกลั้นที่โดนอีกฝ่ายหลอกด่าอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาต้องพึ่งพาเรนัสทำให้เถียงอะไรไม่ได้ --->ตรงนี้คำพูดเรนัส แต่พอพูดจบดันเอากริชญะตามหลัง ทำให้เข้าใจว่ากริชญะเป็นคนพูด
- แก้โดยการจัดย่อหน้าใหม่:
"ก็ตอนนั้นฉันเพิ่งบินข้ามอ่าวไทยมา นายจะให้ฉันขี่ลูกรักฝ่าน้ำทะเลมาหรือไง นายโง่หรือบ้านกันเนี่ย?"
กริชญะได้แต่หลับตาอย่างอดกลั้นที่โดนอีกฝ่ายหลอกด่าอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาต้องพึ่งพาเรนัสทำให้เถียงอะไรไม่ได้ "แต่อย่างนี้ก็สบายเลยล่ะสิ อยากได้อะไรก็เสกออกมาได้ถึงจะไม่ใช่ผู้วิเศษแต่แค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว" กริชญะพูดต่อ
แต่เรนัสที่ได้ยินกลับส่ายหน้าช้าๆ...
[ใช้คำผิดความหมาย]
- แก้เป็น: ครางในลำคอ
ปล.ต้องขออภัยนะครับ หากคอมเมนท์ละเอียดไป แต่หวังจากใจเลยว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวนักเขียนเองไม่มากก็น้อย > <
ดาวิษ ชาญชัยวานิช