EN01 The Huntsman Way - วิถีนักล่า
เมื่ออาชีพนักล่าสัตว์ร้ายเป็นอาชีพที่มีเกียรติและเดิมพันสูง คาวินทร์บุตรแห่งราวินทร์ จากตระกูลนักล่าแห่งไซย์แอมรอดจากเหตุเรือแตก โชคชะตาพาเขาสู่เส้นทางใหม่ และการล่าคือหนทางเดียวที่จะพาเขากลับบ้าน
ปีกที่ถูกตรึง
เสียงล้อเกวียนบดก้อนหินดังสะท้อนไกลไปในความมืดเวิ้งว้าง ถี่กระชั้นสลับกับทิ้งจังหวะให้ถอยไกลออกไป เป็นเช่นนั้นอยู่นานราวกับว่ามันจะไม่มีวันสิ้นสุด
คาวินทร์เผยอเปลือกตาทีละน้อยและมันยากลำบากเหลือเกินเพราะมันร้อนผ่าว แสงสว่างจ้าจากบนฟ้าสาดลงมากระทบดวงตาทำให้รู้สึกแสบ นอกจากนั้นนหัวของเขายังปวดหนึบอีกด้วย
“แล้วเจ้าจะดีขึ้น”
คาวินทร์มองเห็นคนพูดเป็นเพียงเงาเลือนราง เขาไม่อาจทนสู้แสงตะวันได้ ทุกอย่างหนักอึ้งเกินกว่าจะครองสติให้ตื่นพร้อมแล้วลุกขึ้นมาพบกับโลกรอบตัว ทุกอย่างมืดลงอีก
เกวียนมุ่งหน้าไปตามทางขรุขระ ทุกคนที่อยู่ในเกวียนโยกไปโยกมา มือเท้าถูกล่ามด้วยโซ่เส้นโต ข้างหลังเกวียนที่ล้อมด้วยกรงไม้ มีคนอีกนับสิบเดินตามมา ทุกคนอ่อนระโหย ปากแห้งผาก เนื้อตัวมอมแมม มือเท้าถูกล่ามด้วยโซ่ยาวซึ่งปลายด้านหนึ่งเกี่ยวติดกับเกวียน
“เมื่อเจ้าหายดีกว่านี้ เราทั้งคู่อาจจะถูกส่งลงไปเดินอยู่ข้างล่าง”
คาวินทร์ยันกายลุกขึ้นพิงลูกกรง มองออกไปยังภูมิประเทศแปลกตา ทั้งต้นสนสูงลิ่วที่ขึ้นดาษดื่น อากาศค่อนข้างเย็นและภูเขาสูงที่อยู่รอบตัวตอนนี้บ่งชี้ชัดว่าเขาไม่ได้อยู่บนเกาะแฝดอีกแล้ว
“เจ้าอยู่แหลมวอลส์บนแผ่นดินยูโรกาแล้วคนไซย์แอม ถ้าเผื่อเจ้าอยากรู้”
คาวินทร์หันไปยังคนพูด ชายผิวสีน้ำตาลเข้ม ตาหรี่เล็ก หน้าแหลมเหมือนจิ้งจอก มองผาดเดียวก็รู้ว่ามาจากภูมิภาคเดียวกันกับเขา หากแต่ยังไม่รู้ว่ามาจากแคว้นไหน นักล่าหนุ่มหันมองคนอื่นและถูกสายตาชิงชังตอบกลับมา เขาหันกลับมาที่เดิม ในขบวนเดินทางนี้ มีเพียงเขากับชายที่นั่งตรงข้ามเขาเท่านั้นที่เป็นคนอาร์เซียเหนือ นอกนั้นเป็นคนผิวดำตาฟ้า คนผิวขาวซีดที่มีผมสีทองและดวงตาเขียว มีบ้างที่คล้ายจะมาจากอาร์เซียเช่นกันแต่ไม่ใช่จากทางเหนือ คนพวกนั้นเดินตามเกวียนมาอย่างสิ้นไร้ความหวัง เลื่อนลอยไร้วิญญาณ
“เรากำลังจะไปไหน”คอของเขาแห้งผาก เสียงพูดแหบปร่า
“ตลาดค้าทาส ที่ไหนสักแห่งในยูโรกา หรืออาจเป็นทุกที่ซึ่งข้าไม่แน่ใจนัก”ชายผู้นั้นพิงลูกกรง “เราสองคนเป็นทาสชั้นดี เลยไม่ได้ลงไปเดินข้างล่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรแน่นอนนักหรอก”
แม้แต่ทาสยังมีชั้นสูงต่ำ ด้วยมาจากดินแดนเสรี เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าคนที่ทำธุรกิจกับทาส คนรวยตามแว่นแคว้นต่าง ๆ ที่มีทาสมากมายแบ่งแยกชนชั้นทาสด้วยอะไร ทำไมถึงต้องมีการแบ่งชนชั้นและย่ำยีกันถึงเพียงนี้ พอเห็นสภาพตัวเองและเพื่อนร่วมทางแล้วคาวินทร์ก็ได้แต่ถอนใจ
มนุษย์ช่างโหดร้าย ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่มีค่าหัว เป็นสัตว์ร้ายเถื่อนดิบไร้สำนึกในคราบเผ่าพันธุ์ที่เจริญแล้วทางความคิด
“มอนทักค์”ชายร่วมห้องขังยื่นมือมา คาวินทร์จับมือชายผู้นั้นพร้อมกับแนะนำตัวเอง
“เจ้าเป็นคนไซย์แอมรึ”
มอนทักค์ส่ายหน้า คาวินทร์สำรวจการแต่งตัวของชายที่นั่งตรงข้ามจนถี่ถ้วนเพราะไม่ได้สนใจสังเกตเลยก่อนหน้านี้
“มาจากเบอร์มันโลว์ซินะ”คาวินทร์ถามลอย ๆ
มอนทักค์พยักหน้า “ใช่ ข้ามาจากเบอร์มันโลว เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
“ข้าอยู่ทางเหนือของไซย์แอม แถบเขาลังกามีคนเบอร์มันโลวข้ามมาล่าสัตว์บ่อย นุ่งผ้าสีแปลก ๆ ทับกางเกงขาสั้น เคียนหัวด้วยผ้าสีต่าง ๆ คล้ายกับของเจ้า ข้าเลยเดาเอา”
“อย่างนี้นี่เอง”มอนทักค์เอามือสัมผัสผ้าเคียนหัวตัวเอง ลูบมันอย่างรักใคร่หวงแหน “ว่าแต่เจ้ามาอยู่เกาะแฝดได้อย่างไรกัน”
คาวินทร์เหยียดขาออกไปมากที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อยืดเอ็นและกล้ามเนื้อ หลับตาลง ปล่อยให้ความวุ่นวายของขบวนค้าทาสเงียบหายไป
ร่างของพ่อสงบนิ่งอยู่ใต้กองหิน ตรงลานโล่งหน้าหอส่งสัญญาณไฟเก่าที่พ่อสละซึ่งลมหายใจสุดท้ายเพื่อเดินทางไปหาแม่ หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งคืนไปกับการขุดหลุม หลุมฝังศพที่ไม่เหมาะกับความยิ่งใหญ่ของจอมพรานเช่นพ่อเอาเสียเลย เขาวางร่างพ่อลงด้วยมือสั่นระริกซึ่งเขายังมองเห็นได้ทุกครั้งที่หลับตา เขากลบปากหลุมทั้งน้ำตานองหน้า รู้สึกว่าแขนขาตัวเองหนักกว่าก้อนหินที่หยิบวางทับพูนดินบนหลุมศพทีละก้อน ลมตะวันออกผ่านยอดเนิน แมกไม้โบกใบไหวกิ่งสวดส่งวิญญาณก่อนความเงียบจะโอบกอดรอบ ๆ เนิน ที่เหลือเพียงเขาเพียงลำพัง
ที่นั่น ตรงข้างหลุมศพ เขายืนสนทนากับพ่อในใจ หวังว่าจะได้ยินคำตอบอีกหลายอย่างที่พ่อไม่เคยตอบ จนดึกดื่นค่อนคืนเมื่อเขาทิ้งกายลงนอนข้างหลุมศพ ใครสักคนตีเขา ชีวิตมืดบอดไปชั่วขณะตั้งแต่ตอนนั้น
“พวกเราถูกจับลงเรือ เจ้านอนไม่ได้สติตั้งแต่ก่อนนั้นแล้ว ทั้งยังซมเพราะพิษไข้ พวกนั้นเอายาบางอย่างกรอกปากเจ้าเพื่อจะให้หลับไป ที่เจ้ามึนหัวค้างอยู่ก็เพราะยานั่น”
คาวินทร์มองหน้าคนเบอร์มันโลว เจ้านั่นดูจะรู้ดีไปเสียหมด หากคุยกันดี ๆ เขาอาจได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นอีก
นักล่าหนุ่มมองไปรอบ ๆ “แล้วในขบวนนี้มีชาวไซย์แอมอีกไหมนอกจากข้า”
มอนทักค์ส่ายหน้า “ไม่มี”
“คนของข้าสามคนพลัดหลงกันบนเกาะแฝด ข้าต้องตามหาพวกเขา”
เจ้าคนเบอร์มันโลวหัวเราะ “จะตามอย่างไรเล่า เจ้าถูกตีตรวนแบบนี้ เห็นไหม ข้าเองก็เช่นกัน”มอนทักค์ยื่นแขนที่มีโซ่ล่ามให้ดู
“ถ้าพวกเขาถูกจับเหมือนข้า ข้าอยากรู้ข่าวพวกเขาจากเจ้าหรือจากพวกทาสคนอื่น หากไม่มีข่าวใดเลย ข้าจะแหกออกไปแล้วตามหาพวกเขา”
เจ้าคนเบอร์มันโลวหัวเราะ มันทำให้คาวินทร์ฉุนกึก ยิ่งมองยิ่งหงุดหงิดที่มันดูไม่ทุกข์ร้อนกับชะตากรรมของตัวเองตอนนี้เอาเสียเลย
“แหกออกไปหรือพ่อคนเก่ง พูดมันง่ายอยู่หรอก”
“ก็ยังดีกว่าถูกขังเป็นทาส”
มอนทักค์ยื่นหน้ามาหา แสยะยิ้มอวดฟันดำ “คิดให้ดีคนไซย์แอม ที่นี่ไม่ใช่อาร์เซียที่เจ้าคุ้นเคย”
คาวินทร์มองไปรอบ ๆ เพิ่งฉุกคิดขึ้นได้เพราะคำพูดนั้น คำพูดของมอนทักค์สะกิดใจเขา ที่นี่คือต่างบ้านต่างเมือง ต่างทวีป เป็นดินแดนที่เขาไม่รู้จัก แม้จะพูดและฟังภาษาชาวยูโรกาออกพอควรเพราะได้เรียนจากพวกนักบวชต่างชาติ แต่เขาไม่รู้จักภูมิประเทศหรือวัฒนธรรมของชาวยูโรกาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าไปทำอะไรที่เกาะแฝดรึ”บทสนทนาถูกเปิดขึ้นอีกโดยมอนทักค์หลังจากทั้งคู่เงียบไปครู่หนึ่ง
คาวินทร์เลิกคิ้วพลางถอนใจเฮือก หลับตาลง
“ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง”
เป็นเวลาห้าวันที่ขบวนค้าทาสเดินทางจากแหลมวอลส์ไปยังแคว้นบริต แคว้นซึ่งทรงอิทธิพลและเจริญรุ่งเรืองที่สุดแคว้นหนึ่งของยูโรกา บริตเป็นแคว้นที่อยู่บนเกาะกว้างใหญ่ รายล้อมด้วยปราการแน่นหนาและท้องทะเล ที่นั่น ทุกคนจะถูกขายในตลาดค้าทาสเมืองลองโดว์ ชะตากรรมที่ทุกคนมีร่วมกันตอนนี้จะจบสิ้นลงในไม่ช้า
ลุยส์ซ่าหรือที่ทุกคนเรียกว่านายตามคำสั่งของเขา สั่งทุกคนแวะพักตรงชายป่าก่อนถึงจุดตรวจคนเข้าแคว้น พวกทาสที่เดินเท้ามาถูกจับมัดรวมกันที่ใต้ต้นไม้ มียามเฝ้าแน่นหนา ทั้งขบวนจะต้องรอจนกว่าจะมีจดหมายจากข้างในมาเรียกให้เข้าซึ่งไม่รู้ว่านานเท่าใด ซึ่งมันทำให้ลุยส์ซ่าหงุดหงิด
เจ้าของขบวนค้าทาสชื่อลุยส์ซ่านี้เป็นชายร่างเล็กผอม หน้าย่นยับและมีริ้วรอยการกรำงานหนัก มีผมสีแดงที่เห็นเด่นชัด ชอบสอดส่ายสายตาเจ้าเล่ห์ไปมา ทั้งคาวินทร์และมอนทักค์ที่อยู่ในกรงขังมักนั่งมองลุยส์ซ่าเดินไปเดินมา สั่งการไปพลางบ่นไปพลาง พวกเขาเก็บความไม่พอใจไว้เงียบ ๆ เช่นเดียวกับทุกคนที่เบื่อหน่ายการวางอำนาจมากจนน่ารำคาญ แถมยังจุกจิกของลุยส์ซ่า มีหลายครั้งลุยส์ซ่าจะแวะมาที่กรงของพวกเขา ลากไม้เท้าตามซี่กรงพร้อมรอยยิ้มหยามเหยียดก่อนเดินจากไป
“ยิ่งความเจริญตะกายไปยังจุดสูงสุดมากเท่าใด โลกเจริญนั้นยิ่งไร้มนุษยธรรม”มอนทักค์เอ่ยพลางแค่นหัวเราะ หลังละสายตาจากลุยส์ซ่าที่เดินเฉียดมา คนเบอร์มันโลวหันมามองคาวินทร์ที่นั่งเงียบอยู่ “ที่ไซย์แอมมีการค้าทาสไหม”
“มีทุกที่นั่นแหละ ไม่ว่าแคว้น ไหนในโลกก็มีทาสกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าทาสถูกแปรเปลี่ยนไปในรูปแบบใด”
“ก็จริงของเจ้า คาวินทร์”
แสงจากคบปักดินส่องวูบวาบ นักล่าหนุ่มทอดสายตาออกไปยังความมืดนอกเขตแสงไฟ นึกย้อนไปถึงตอนที่อยู่บ้าน ตอนที่ออกล่าสัตว์กับพ่อ พาเด็กวัยรุ่นแถวบ้านไปดูขวากดัก นึกถึงงานฉลองหลังล้มสัตว์ร้ายลงได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มคิดถึงตัวเองยามไม่ได้เป็นนักล่าอีกแล้ว โซ่ตรวนที่มือที่เท้าตอนนี้จะอยู่กับเขาอีกนานเท่าใด เขาจะได้กลับบ้านไปเป็นนักล่าอีกหรือไม่ ทุกอย่างอัดแน่นในความคิดและหัวที่กำลังจะระเบิดเป็นเสี่ยง
“เจ้าถูกจับมาได้อย่างไรกันมอนทักค์”
สหายทาสชาวเบอร์มันโลวหัวเราะแค่นเสียงเช่นเคย คาวินทร์ละสายตาจากทุกสิ่ง หันไปมองคนที่ตัวเองเพิ่งยิงคำถามใส่
“เจ้าไม่เล่าทั้งที่ข้าถาม แต่กลับอยากรู้เรื่องของข้า น่าขำดีนี่”
คาวินทร์ยักไหล่นิดหนึ่ง “ถ้าเจ้าเล่ามา ข้าจะเล่าของข้า”
มอนทักค์เลียริมฝีปากแห้งผาก เงยหน้ามองฟ้าไปครู่หนึ่ง
“ข้าหนีทหารมาตอนถูกเจ้าพวกนี้จับตัว ข้าเป็นทหารเรือของกองเรือที่ ๒ แห่งเบอร์มันโลว”
คาวินทร์ค่อนข้างแปลกใจที่ได้รู้คำตอบ เพราะท่าทีของของมอนทักค์ไม่มีเค้าเหมือนคนเป็นทหารแม้แต่น้อยเลย
“ยศอะไรรึมอนทักค์”
“รองผู้บังคับการกองเรือ”
คาวินทร์แทบไม่เชื่อที่ได้ยิน “อย่างเจ้านี่นะรองผู้บังคับการกองเรือ”
“เออ ใช่แล้ว จะตกใจไปทำไม”แววตาของมอนทักค์ฉายแววเศร้าลึกชั่วครู่
“แล้วหนีมาทำไม”
“เรื่องมันยาว”อดีตรองผู้บังคับการพยายามตัดบท
“ข้ามีเวลาฟังจนถึงเช้าเลย ก่อนเราจะถูกเอาไปขายข้ามีเวลาอีกถม”
“ดูเจ้าไม่ได้ยินดียินร้ายกับการถูกเอาไปขายเหมือนวันก่อน ๆ เลยนะคาวินทร์”
นักล่าหนุ่มเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม “ตอนนี้ถึงรู้สึกอะไรกับมัน เราก็ยังถูกจับเอาไปขายอยู่ดี อย่างน้อยก็จนกว่าจะหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นไทได้”
“ไอ้น้องชาย การจะเป็นไทคงไม่ยากนัก โดยเฉพาะทาสค่าตัวแพงอย่างเรา”มอนทักค์กอดอก “ข้าจะบอกให้ฟัง ค่าตัวทาสแต่ละคนถูกวัดตามรูปร่างและประวัติของแต่ละคนที่พวกพ่อค้าเค้นถาม ผู้ชายวัยไม่เกินห้าสิบส่วนใหญ่จะราคาดีกว่าผู้หญิงเพราะพวกนี้ทำงานหนักได้ เว้นเสียแต่ว่าหญิงทาสนางนั้นจะหน้าตางามกว่าคนอื่น ๆ นี่ก็จะราคาแพงลิบ พวกราคาสูงพวกนี้จะมีสิทธิพิเศษกว่าคนอื่นด้วย เช่นอยู่สะดวกสบายกว่า ได้รับการประคบประหงมจากนายทาสหากทำงานได้ดีหรือเป็นที่ถูกใจของผู้คน เพราะราคาจะสูงตามไปด้วยเมือมีการประมูลในตลาดค้าทาส”
“อย่างเราคือค่าตัวแพงสุดซินะ”
มอนทักค์พยักหน้า “ใช่ เพราะเราคือพวกที่จะถูกส่งไปเป็นนักสู้ในสังเวียน”
ในคืนอันหนาวเหน็บ มอนทักค์ใช้เวลาก่อนนอนเล่าเรื่องของตัวเองให้คาวินทร์ฟัง เริ่มตั้งแต่ตอนยังเป็นรองผู้บังคับการกองเรือจวบจนถูกจับมาเป็นทาส ถ่ายทอดการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์และปวงชนที่ตัวเองยึดมั่น ซึ่งขัดกับหน้าที่ของทหาร
สงครามกลางเมืองปะทุขึ้นในเบอร์มันโลวขณะที่รองผู้บังคับการกองเรือมอนทักค์อยู่กลางทะเล ลูกเมียของเขาที่อยู่ฝ่ายประชาชนถูกจับตัวเช่นเดียวกับฝ่ายประชาชนอีกจำนวนมาก ด้วยความรักของคนเป็นสามีและพ่อนั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง รองผู้บังคับการตัดสินใจละทิ้งหน้าที่และเกียรติยศทุกอย่าง ขโมยเรือบดจากเรือรบตัวเองพร้อมอาวุธ หนีจากกองทัพเพื่อกลับบ้าน
“เรือของข้าถูกปืนใหญ่ยิง สะเก็ดระเบิดทำให้เรือคว่ำ ข้าว่ายน้ำหนีสุดชีวิต โชคดีที่มีเศษไม้จากเรือให้เกาะพักจนน้ำคลื่นพามาถึงเกาะนอกเขตปกครองของเบอร์มันโลวได้ แต่พอถึงตอนนั้นทุกอย่างสายเกินไปแล้ว สงครามรุนแรงจนถึงขีดสุด ในขณะที่ข้าไม่อาจกลับบ้านได้”
คาวินทร์รู้ข่าวเรื่องสงครามในเบอร์มันโลวอยู่บ้างเหมือนกันจากพวกพ่อค้าที่ผ่านเขาลังกา อีกทั้งยังมีชาวเบอร์มันโลวจำนวนมากหนีข้ามพรมแดนมายังไซย์แอมหลังทหารจับประชาชนมาขังและฆ่าทิ้งจำนวนมาก
“ลูกเมียข้าถูกยิงเป้า ส่วนข้าหนีตายเพราะมีค่าหัว กองทัพออกประกาศจับข้าพร้อมให้รางวัลนำจับข้าไม่ว่าเป็นหรือตาย ซึ่งมันสูงพอ ๆ กับค่าหัวของหัวหน้ากองทัพประชาชนเลยเชียว”พูดจบมอนทักค์ก็หัวเราะ ทั้งเจ็บแค้นและขมขื่น
คาวินทร์วางมือลงบนบ่าสหายจากแคว้นเพื่อนบ้าน “ข้าเสียใจด้วย”
“ข้าไม่มีอะไรให้กลับไปหาอีกแล้วพ่อหนุ่ม ข้าไม่เหลืออะไรที่นั่น”
“มีซิ มันมี”
มอนทักค์มองหน้าคาวินทร์ด้วยใคร่รู้ “มีอะไรรึ”
"เกียรติของบุรุษและเกียรติของครอบครัว อย่าให้ผู้ใดย่ำยีได้ เจ้าต้องกู้มันคืนมา"
อดีตรองผู้บังคับการกองเรือหัวเราะเยาะ "ใครมันพูดคำพูดดูดีนั่นรึคาวินทร์"
"พ่อของข้าเอง"
คาวินทร์มองไปยังคบเพลิงตรงลาน หวังลึก ๆ ว่าจะมองเห็นใบหน้าพ่อผู้ล่วงลับในเปลวไฟช่วงโชตินั้น แต่มันไม่มีอะไร มีแต่ความเงียบที่คลานคืบมาโอบกอดพวกเขาทีละน้อย
“เจ้าเคืองข้ารึคาวินทร์”มอนทักค์เอ่ยขึ้นมาหลังจากเงียบกันไปนาน
คาวินทร์สะดุ้ง ละสายตาจากคบไฟ หันไปหาคนถามที่รออยู่
“อะไรนะ”
“ข้าถามว่าเจ้าเคืองข้ารึ เห็นเงียบไปนาน”
นักล่าหนุ่มขยี้ตา “เปล่า ข้าเปล่า ข้าแค่คิดถึงพ่อ”
“เจ้าจะได้กลับไปหาเขาคาวินทร์”
คาวินทร์ยักไหล่
“เจ้ายังไม่ได้เล่าเรื่องของเจ้า”มอนทักค์ทวง
คาวินทร์มองไปยังกลุ่มทาสที่นอนก่ายกองกันอยู่ ผิวสีน้ำตาลเข้มและดำเมื่อมของคนพวกนั้นกลืนกับความมืด ยุงตัวเป้งกำลังยกฝูงมาวนเวียนรอบตัวทุกคน ตอมไต่และดูดกินเลือดอย่างสนุกสนาน อากาศเย็นผลักพวกทาสที่นอนกองกันให้ขดตัวหากันมากขึ้นเพื่อแบ่งปันไออุ่นแก่กัน เขากับมอนทักค์ยังโชคดีที่มีพื้นไม้กับฟางเก่า ๆ ช่วยให้ไม่เย็นกายมากนัก
“ข้าเป็นนักล่าสัตว์ร้าย มาล่าจระเข้ยักษ์”
มอนทักค์เบิ่งตากว้าง “ฮ่า อย่าบอกนะว่าจระเข้ยักษ์ที่ฆ่าคนมาเกือบร้อยคนตัวนั้น”
“ใช่ ไอ้จระเข้นั่นล่ะที่เราไปล่า”
“ได้ตัวมันไหม”
แทนคำตอบ คาวินทร์ส่ายหน้าและไม่พูดอะไร ภาพจระเข้ตัวนั้น ภาพตอนอยู่ในปากของมัน ภาพคนที่ถูกมันเอาชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ทุกภาพไหลมาเหมือนจะไม่มีวันหยุด และภาพของพ่อที่ถูกงับจนจมเขี้ยว ชัดเจนยิ่งกว่าภาพใด ๆ
“พวกนี้ตาแหลมจริง ๆ ที่โยนเจ้ามาใส่ในกรงนี่ ที่แท้ก็เป็นนักล่านี่เอง หวังว่าเจ้าจะเอาตัวรอดไปได้หลังจากวันนี้นะ”
“เจ้าด้วยมอนทักค์”
สองทาสราคาแพงนั่งพิงกรงขัง ลูกสมุนของลุยส์ซ่าคนหนึ่งกำลังเดินมาพร้อมแส้ แต่ไม่ทันได้ยินเสียงสนทนาสุดท้ายของทั้งคู่ที่เงียบหายไปพร้อมความสงัดของยามดึก
ในแคว้นบริต การค้าทาสยังเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในบางที่ แม้จะมีคนต่อต้าน แต่การสร้างสิ่งต่าง ๆ ต้องการแรงงาน ทาสเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับสิ่งเหล่านี้เพราะไร้ค่าจ้างและทำงานจนตายได้โดยที่พวกเจ้าของทาสไม่รู้สึกผิด ทาสจำนวนมากถูกใช้งานจนตาย ถูกกดขี่จากอำนาจผู้มั่งมี แม้จะมีการต่อต้านแต่กษัตริย์แห่งแคว้นบริตก็ปราบปรามได้หมดด้วยกำลังทหาร การใช้แรงงานทาสหลากหลายวิธีเลยยังมีอยู่ทั่วไป
ขบวนทาสของลุยส์ซ่าล่วงผ่านจุดตรวจการณ์ที่สี่เข้ามาถึงเมืองลองโดว์ เมืองหลวงของแคว้นบริตได้ในที่สุด หลังใช้เวลาเดินทางนานถึงสามวัน จากถนนที่สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าเขียวและทุ่งดอกไม้สีเหลืองแซมฟ้า สามารถมองเห็นกำแพงเมืองสูงทะมึนและอาคารบ้านเรือนทรงสูงที่ก่อสร้างด้วยหินและอิฐ เห็นหอคอยและพระราชวังใหญ่โตบนเนินเขาสูง ในกำแพงนั้นคือศูนย์กลางความเจริญทั้งหมดของแคว้น
ตอนนี้ขบวนพ่อค้าทาสจากทั่วทุกสารทิศกำลังมุ่งหน้าไปยังตลาดค้าทาสซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากนัก ที่นั่นทุกคนจะถูกจับล่ามและโดยจับมายืนเรียงกันก่อนถูกประมูลเยี่ยงสัตว์ คาวินทร์กับมอนทักค์ต่างเคยเห็นตลาดค้าทาสมาแล้วที่เมืองบ้านเกิด พอขบวนยิ่งเข้าใกล้ตลาดค้าทาสมากขึ้นเท่าใด พวกเขาทั้งคู่เริ่มรู้สึกตึงเครียด คนหนึ่งเป็นนักล่า อีกคนเป็นทหาร และทั้งคู่เป็นอิสรชนที่ต่างต่อต้านระบบทาส
“ทำตัวดี ๆ ล่ะ พวกแกมีราคาสูง ถ้าเกิดวันนี้ข้าขายพวกเจ้าไม่ได้ เตรียมตัวเจอดีได้เลย”ลุยส์ซ่าถ่มถุยเสมหะ เหน็บแส้ไว้กับรักแร้แล้วเดินจากไป
ไม่นานหลังจากนั้น คาวินทร์กับมอนทักค์ถูกจับไปรวมกับทาสชายร่างกำยำอีกสิบคน ในจำนวนนั้นมีเพียงเขาทั้งคู่ที่เป็นคนอาร์เซีย นอกนั้นเป็นคนจากตะวันออกตัวดำหรือพวกยูโรกาผมทองและถักเปีย พวกนี้ตัวใหญ่เหมือนยักษ์ บางคนเป็นทาสนักสู้จากที่อื่นที่ลุยส์ซ่าได้มาแล้วเอามาขายต่อ
“พวกเราต้องขึ้นสังเวียนจริง ๆ รึ”คาวินทร์มองทาสคนอื่น ๆ ที่ล้วนแต่รูปร่างสูงใหญ่ทะมัดทะแมง
“เป็นนักสู้ อย่างพวกเราต้องเป็นนักสู้ พวกราคาแพงที่ทำงานก็ได้และส่งลงสนามได้ด้วย ทำเงินให้เจ้าของทาสได้ ยิ่งมีฝีมือมากยิ่งราคาแพงมาก”มอนทักค์ตอบโดยไม่มองคนถาม
“เจ้าดูรู้ดีนะ”
มอนทักค์แค่นยิ้มอย่างเคย คาวินทร์ไม่ทันถามอะไรเพิ่มเติมอีก ประตูทางเข้าตลาดค้าทาสเปิดกว้างออกแล้ว และผู้คนกำลังหลั่งไหลเข้ามา การค้าแถบนั้นคึกคักขึ้นทันตาเห็น และเขตค้าขายของลุยส์ซ่าก็เต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งล้วนแต่เป็นพวกมั่งมี แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างดี มีเกราะอ่อน เกราะไหล่สีทองสลักลายงดงาม
“ข้าไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย”มอนทักค์เปรยขณะมองไปที่ขบวนผู้ซื้อที่เข้ามาออกันเต็มลานประมูล
“พวกที่มีชุดเกราะ สะพายดาบทั้งหลายนั่นคงเป็นพวกที่มาหานักสู้”คาวินทร์ตั้งข้อสังเกตเมื่อคนใส่เกราะเดินผ่านมา “ข้าไม่อยากทำงานให้คนพวกนี้ ข้าจะกวนโมโหพวกมันทุกคน”
ทาสหลายคนถูกลากตัวจากไป ถูกพรากลูกพรากแม่ ภรรยาถูกพรากจากสามี พวกพ่อค้าและลูกสมุนยืนมองทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไร้ความรู้สึกใด ๆ ความเป็นมนุษย์ไม่มีในที่แห่งนี้ มีแต่ความเถื่อนถ่อยเจ้าเล่ห์ดาษดื่นอยู่ทั่วทุกย่างก้าว
“เจ้าคนนี้ราคาเท่าไหร่ลุยส์ซ่า”ปลายด้ามแส้เชยคางมอนทักค์ขึ้นจากการมองพื้น
“ท่านดาร์รีส ทาสคนนี้เป็นถึงอดีตทหารเรือ หนีทหารมาถูกข้าจับได้ ราคาจะสูงสักหน่อยเพราะเป็นทหารมียศเสียด้วย”ลุยส์ซ่าลูบมือไปมาขณะเดินตามชายชื่อดาร์รีสอย่างประจบประแจง
ท่านดาร์รีสของลุยส์ซ่าเป็นชายรูปร่างสูง ผมยาวสีทอง หน้าตาเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา สวมเกราะสีแดงขลิบทองคำ ดวงตาดุดันและคิ้วที่เข้มเสริมให้ดูน่าเกรงขาม คาวินทร์ไม่ชอบแววตาหมิ่นแคลนและเย็นชานั้นสักเท่าใดนัก พอเจ้าคนสูงศักดิ์นั่นมองมาที่เขา เขาก็หลบสายตาเสียให้พ้น ๆ
“เจ้าเสนอราคามาซิลุยส์ซ่า”
“เจ้าคนเบอร์มันโลวนี่ข้าให้แปดร้อยเหรียญทอง ท่านเอาไปเป็นหัวหน้าทาสได้สบาย ๆ ข้าคิดว่าท่านคงเอาไปใช้ประโยชน์ได้อีกมาก”
คนชื่อดาร์รีสนิ่งคิดก่อนหันไปถามความเห็นกับชายอีกคนที่มาด้วย ดูเหมือนมอนทักค์จะได้เจ้านายเสียแล้ว และตอนนี้ถึงตาของเขาบ้าง
“ข้ารับรองว่าท่านจะถูกใจคนพวกนี้”ลุยส์ซ่ายังคงทำการขายต่อ เดินนำดาร์รีสมาหยุดตรงหน้าทาสคนสุดท้าย “นี่ก็นักสู้ ข้าได้มาจากเกาะแฝด ข้าไปเจอตัวบนหอส่งสัญญาณไฟเก่า รอบตัวมีแต่กองโคตัวใหญ่ตายเต็มไปหมด”
ผู้ซื้อร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้าคาวินทร์ด้วยท่าทีสนใจอย่างที่สุด
“เจ้าล่าสัตว์เป็นรึ”
คาวินทร์นิ่งเงียบ
“ตอบซิวะไอ้โง่”ลุยส์ซ่าตีเขาด้วยแส้
“ข้าจะให้โอกาสเจ้ากลับไปล่าอีกครั้ง ตอบมาว่าล่าสัตว์เป็นไหม”
“ไม่”คำตอบมาพร้อมกับหน้าตายด้านของคาวินทร์
ลุยส์ซ่าหวดแส้ใส่เขาอีก ครั้งนี้หนังของเขาไหม้เป็นรอยและเลือดไหลซิบ
“ช่างเถอะลุยส์ซ่า ถ้ามันอยากโกหกก็ปล่อยมันไป ข้าจะเอาคนเบอร์มันโลวกับไอ้มืดตัวยักษ์ที่ยืนติดกันนี่ ราคาพันสาม”
“ไม่ได้หรอกท่านดาร์รีส ข้าต้องไปเอาไอ้มืดนี่ถึงตะวันออกเชียวนา อย่างน้อยก็ให้ค่าเหนื่อยยากที่ไปเอาตัวมันมาบ้างเถิด นี่ท่านได้มันไป เอาใช้สู้ ใช้ล่าสัตว์สบาย ๆ เลยนา ข้าให้พันหก”
“พันสี่ห้าสิบ”
“อย่าเหนียวนักเลยน่าท่าน ท่านเป็นถึงทายาทตระกูลนักล่าอันดับหนึ่งของแคว้นเชียวนา แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก”
“เราค้าขายกันมาหลายปีแล้วลุยส์ซ่า อย่าขี้เหนียวกับข้าซิ”ดาร์รีสชี้นิ้วไปที่หน้าพ่อค้าทาสตัวดี “ครั้งก่อนเจ้าขายคนไซเพนให้ข้า เจ้านั่นก็ดันเป็นไข้ตายก่อนออกป่า ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย”
ลุยส์ซ่าอึกอัก มองมอนทักค์กับคนผิวดำพลางขบเคี้ยวฟันอย่างเสียดาย “ก็ได้ เห็นเป็นท่าน ข้าถึงขายราคานี้ให้”
ดาร์รีสสั่งคนมาลากทาสใหม่ของตนก่อนเหนี่ยวปุ่มอานขึ้นนั่งบนหลังม้า
“ไปได้”สั่งเสร็จทายาทตระกูลนักล่าก็ขี่ม้านำออกไป
“ขอให้โชคดีสหายข้า”อดีตรองผู้บังคับการกองเรือแห่งเบอร์มันโลววางมือลงบนบ่านักล่าจากไซย์แอม คาวินทร์วางมือลงบนบ่ามอนทักค์เช่นกัน
“ขอให้โชคดีสหาย”
ลุยส์ซ่าลากตัวคาวินทร์ออกจากแถว ในขณะที่มอนทักค์เดินตามหลังคนของดาร์รีสออกจากตลาดค้าทาสไปไม่หันกลับมาอีก
“แกมันน่านัก”ลุยส์ซ่ากระชากเสื้อคาวินทร์เข้าไปหา ก่อนผลักออกแล้วหวดด้วยแส้ “ถ้าไม่ใช่วันค้าขาย ข้าจะเฆี่ยนให้ตัวลาย จะได้รู้จักฐานะตัวเอง”พ่อค้าทาสตัวดีผลักคาวินทร์กลับเข้าแถว “ที่นี่ข้าใหญ่ อย่าคิดมาเล่นตลกกับข้า”
คาวินทร์ยักไหล่ ข้างหลังลุยส์ซ่า หญิงสาวผมสีน้ำตาลในชุดเกราะอ่อนสีทองหยุดยืนมองมาทางเขา คาวินทร์หลบตาเป็นประกายสีเทาหวานเยิ้มที่ชายใดเห็นก็ต้องละลายคู่นั้นเพราะแววตาของนางแฝงพลังอำนาจที่ไม่อาจหยั่งได้ มันน่าพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูก
“ลุยส์ซ่า”หญิงสาวสะกิดไหล่พ่อค้าทาสตัวแสบ
“ท่านหญิงอามีเลีย”ลุยส์ซ่าประกบมือเข้าหากัน ถูไปมาอย่างประจบประแจง อาการเดียวกันกับที่ทำกับชายชื่อดาร์รีสไม่มีผิดเพี้ยน
“ข้าเอาคนนี้”หญิงสาวชี้ทาสผมทองที่ยืนปลายแถวอีกด้าน “ท่านเห็นด้วยกับข้าไหมคารัค”
ชายชื่อคารัคเป็นคนหนุ่มร่างสูง สวมเกราะหนา ท่าทางขรึม คิ้วคมเหยียดตรงกับผมยาวสลวยเป็นสีทองสว่าง ชายหนุ่มสำรวจทาสที่อามีเลียชี้ให้ดูอย่างถี่ถ้วนอยู่นานก่อนพยักหน้าแทนคำตอบ
“ข้าเอาคนนี้กับคนอาร์เซียที่เจ้ากระชากคอเมื่อครู่นี้”
“ท่านแน่ใจหรือท่านหญิงอามีเลีย เมื่อก่อนหน้านี้ท่านดาร์รีสก็หวังจะได้ตัวมัน แต่มันไม่ไป”
“เขาอาจไปกับข้า”หญิงสาวหันมามองคาวินทร์ที่ยืนนิ่งอยู่
ท่านหญิงเดินย้อนกลับมาพร้อมองครักษ์ร่างสูงที่เป็นดั่งเงาตามตัว สายตาของนางทะลวงลึกเข้ามาในตัวนักล่าหนุ่มจากแดนไกล ก่อนใบหน้างามของนางจะมีรอยยิ้มหวานปรากฏ คาวินทร์ไม่หลงสายตานั้น ไม่หลงรอยยิ้มนั้น เขารู้ดีว่าถ้าเผลอไผลหลงไป เขาอาจเป็นทาสของนางไปตลอดชีวิต
“ข้าไม่ทำงานให้ผู้หญิง”คาวินทร์รีบชิงตัดบท
“ไอ้ทาสเลว แกไม่มีสิทธิพูด แกคือสินค้าของข้า”ลุยส์ซ่าเดือดดาล
คาวินทร์หันเข้าเผชิญหน้ากับลุยส์ซ่า “ข้าไม่ใช่สินค้า เจ้าจับข้ามา”
แส้ในมือลุยส์ซ่าสะบัดรวดเร็ว ปลายแส้บาดแก้มขวาคาวินทร์ เลือดไหลซิบ “แกเป็นของข้าแล้วตอนนี้”
คาวินทร์ถลึงตา ชั่วแวบนั้นความกลัวแล่นปลาบเข้าไปยังทุกส่วนของพ่อค้าทาส ลุยส์ซ่าถอยกรูดไปปะทะกับองครักษ์ของอามีเลีย
“ท่านคารัค”พ่อค้าทาสอ้ำอึ้ง
“เอามันไปเลยท่านหญิง มันเป็นนักล่า มันจะเป็นประโยชน์กับท่านมาก สองคนนี้ข้าให้ท่านพันเหรียญทอง ข้าไม่อยากเก็บไว้แล้ว”
“ข้าให้ตัวข้าเองสองพัน หากท่านไม่เอาข้าจะขอไปกับท่านผู้นั้น”คาวินทร์ผายมือไปทางชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมคนของตนอีกสามคน
“อย่างเจ้าหรือค่าตัวสองพันเหรียญทอง”หญิงสาวหัวเราะเยาะ
“สองพัน หนึ่งพันค่าตัวของข้า อีกหนึ่งพันค่าจ้างของข้า ถ้าหากท่านจ่ายราคานี้ ข้าจะช่วยท่านล่าทุกอย่างจนกว่าจะใช้หนี้ครบ แล้วข้าจะขอเป็นไทเหมือนเดิม”
การต่อรองค่าตัวด้วยภาษายูโรกาที่ค่อนข้างฉะฉานผิดจากทาสอาร์เซียทั่วไปของคาวินทร์ทำให้อามีเลีย มองนักล่าหนุ่มอย่างสนใจมากขึ้น หญิงสาวซ่อนท่าทีที่จะแสดงให้เห็นชัดว่านางสนใจเขาด้วยการส่งสายตาหยามเหยียดกลบเกลื่อนความรู้สึก
“แพงเกินไปสำหรับคนที่ข้าไม่เคยเห็นฝีมือ แถมยังเป็นคนต่างทวีป”
“อันที่จริงข้าไม่เคยทำงานภายใต้คำสั่งผู้หญิง” คาวินทร์ส่งสายตาไปทางคารัคแวบหนึ่งก่อนหันกลับมาทางอามีเลีย “จนกว่าจะได้เห็นท่านล่า คนอาร์เซียต้องเห็นฝีมือกันก่อนจึงจะทำงานด้วย นั่นถือเป็นสิ่งที่นักล่าชาวเรายึดมั่นถือมั่น ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำได้ “ข้ายอมเสนอตัวทำกับท่านนี้ ข้าลดตัวลงมามากแล้ว”
อามีเลียเหมือนเลือดขึ้นหน้า นางพยายามระงับอารมณ์โกรธไว้สุดตัวเพื่อไม่ให้เสียมาดหญิงแกร่ง“เจ้านี่ปากดีจริง”
“ถ้าไม่เอา ข้าจะไปกับเขา”คาวินทร์หันไปทางชายชรา “ท่านเสนอราคาค่าตัวมาเถิด ข้าจะไปกับท่าน ข้าทำงานหนักได้ ล่าสัตว์เป็น”
“ข้าให้หกร้อยสำรับคนอาร์เซียปากดีนี่”ชายชราเสนอ
“ถ้าท่านไม่เอา ท่านอาจขายข้าถูกกว่านี้นะลุยส์ซ่า”
ลุยส์ซ่ามองอามีเลียสลับกับชายชรา
“เจ็ดร้อยนี่สูงมากแล้วสำหรับทาสอาร์เซียนี่”
“ราคามันยืนพื้นที่แปดร้อยนะท่านดัชคลิน”
“ข้าให้ได้แค่นี้ ไม่เอาก็ไม่เอา”ชายชราชื่อดัชคลินยืนกราน
ลุยส์ซ่าตอบตกลง รับเงินจากชายชราอย่างเสียไม่ได้
“เอาตัวมันไป”ดัชคลินสั่งคนของตนมาลากเอาตัวคาวินทร์ออกจากแถว
นักล่าหนุ่มมองหน้าหญิงสาวที่พลาดการได้ตัวเขา รับรู้ได้ถึงความขุ่นเคืองใจที่ถูกหยามเอาหน้าตาเฉย“แล้วเราจะได้พบกันอีกท่านหญิง”คาวินทร์ขยิบตาให้นางก่อนถูกลากตัวจากมา
จากตลาดค้าทาส คาวินทร์ถูกล่ามติดกับท้ายเกวียน ผู้เฒ่าดัชคลินสั่งให้ขบวนเกวียนรีบเดินทางให้เร็วที่สุด ส่งผลให้ทาสห้าคนที่ถูกล่ามต้องเร่งฝีเท้ากันจนขาแทบทรุดเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกลากไปกับพื้น ขบวนเกวียนมุ่งหน้าไปตามทางเลี่ยงเมือง ทิ้งเมืองหลวงลองโดว์ไว้ข้างหลัง เป้าหมายของขบวนคือเมืองท่าเรือเมอร์ไซด์ ซึ่งต้องใช้เวลาสามวันจึงจะเดินทางมาถึง
ขบวนเกวียนของดัชคลินพาทาสเดินผ่านตัวเมืองที่มีคลองมากมายหลายสายตัดผ่านกันไปมา บ้านเรือนเมืองเมอร์ไซด์และชีวิตทุกคนเกี่ยวข้องกับแม่น้ำ บ้านก่อจากหินสีหม่น ดูคล้ายว่าบ้านนั้นเปียกชุ่มน้ำตลอดเวลา ในคลองทุกคลองที่ตัดไปมามากมายแข่งกับถนนมีเรือบ้านจอดเทียบท่าทำเป็นชุมชน มีคนหาปลาตามลำน้ำที่ผ่าไปยังใจกลางความเจริญของเมือง ขบวนของเฒ่าดัชคลินพาทุกคนออกไปนอกเมือง มุ่งหน้าสู่ริมทะเล ที่นั่นเป็นที่ตั้งของสถานที่ใหม่ที่นักล่าหนุ่มจากอาร์เซียกำลังจะถูกจับไปขัง
“แกเป็นนักสู้ แต่นักสู้ก็ต้องทำงานเมื่ออยู่กับข้า”ชายชราทิ้งท้ายกับคาวินทร์ก่อนจะให้คนของตนเอาทาสทุกคนแยกไปยังโรงนอน
พวกทาสเดินผ่านท่าเรือและแพปลาตามหลังชายหัวโล้นรูปร่างสูง เจ้านี่ดูเหมือนจะเป็นสมุนมือซ้ายของผู้เฒ่า ถนนพาทาสทุกคนห่างออกมาจากบริเวณคฤหาสน์ผู้เฒ่าดัชคลิน หลังจากแยกมาแล้ว ทาสถูกแยกกันอีกครั้งเมื่อพ้นเขตแพปลา มีเพียงคาวินทร์คนเดียวที่เดินมาทางนี้กับเจ้าหัวโล้น พวกนั้นแยกไปอีกที่โดยมีสมุนของผู้เฒ่าอีกคนพาไป
“จนกว่าจะมีประกาศเปิดสังเวียน แกต้องทำงานตามคำสั่ง”ชายหัวล้านผลักคาวินทร์เข้าไปในสถานที่ซึ่งดูคล้ายกับโรงนา “เข้าไป แกนอนที่นี่ นอนตรงซอกไหนก็เลือกเอา”คนคุมปลดโซ่ข้อเท้าของเขา
คาวินทร์รู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือโรงนอนของพวกทาส เขาถูกคนที่เฝ้าหน้าโรงนอนลากเข้าไปข้างใน มีคนนับสิบรอคอยเขาอยู่ในนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนยูโรกา มีบ้างที่เป็นคนตะวันออกผิวดำ ทุกคนดูบึกบึนและทรหด หากเอาตัวเขาไปเทียบกับคนพวกนั้น เขาไม่ต่างจากหนูตัวเล็ก ๆ ที่ยืนเทียบกับเสือ
คนคุมประตูโรงนอนผลักเขาเข้าไปข้างใน ประตูปิดดังสั่นตามหลัง โซ่ถูกคล้องจากข้างนอก บัดนี้ดวงตาทุกคู่ที่มองมาล้วนแล้วแต่อยากจะฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ
ทาสที่อยู่ข้างในล้อมรอบตัวคาวินทร์ก่อนตีวงแคบเข้ามา คาวินทร์รู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
“ซัดมันให้หมอบ”คนที่อยู่หลังสุดสั่ง
การรับน้องเริ่มขึ้น คาวินทร์ยิงหมัดขวาเข้าใส่คนแรก เจ้านั่นฉากหลบแล้วเหวี่ยงขาใส่เขา นักล่าผู้เป็นทาสหน้าใหม่สอดแขนเข้าไปใต้ขาแล้วงัดเจ้านั่นหงายหลังฟาดพื้น คนที่สองที่สามพุ่งเข้าใส่อีก หมัดขวาของคาวินทร์ซัดคนที่มาก่อนคว่ำไป อีกคนถูกเตะตัวงอ ตอนนั้นเองที่หมัดของใครสักคนกระแทกเข้าตรงแก้มขวา แรงหมัดส่งร่างเขาถอยไปชนกับลังใส่ของ พวกที่เหลือดาหน้ากันเข้ามา สงครามหมัดอันวุ่นวายปะทุขึ้น
“ลากตัวมันมาให้ได้”
คาวินทร์เหนี่ยวลังใส่ของที่ตั้งเป็นชั้นสูงให้ล้มใส่พวกที่ตามมา วงล้อมแตกเป็นเสี่ยง นักล่าหนุ่มทุ่มลังใส่คนที่ขยับเข้ามา แต่ต้านได้ไม่นานก็มีคนมาถึงตัว มันโถมใส่เขาเต็มตัว คาวินทร์ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าคว้าขอมือของเจ้านั้นแล้วทิ้งตัวลง ร่างของอีกฝ่ายลอยข้ามตัวเขาไปตกกลางกองลัง
“เอาตัวมันมา”
คาวินทร์กระโดดย่ำไหล่เจ้าคนที่ตามมา ส่งตัวเองขึ้นไปยังกองลังไม้เปล่าอีกกอง ยังมีขื่อที่เห็นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเหมาะพอจะใช้หนีได้ แต่เขาต้องปีนไปให้สูงกว่านี้
“ไอ้พวกกระจอก แค่นี้ก็จับมันไม่ได้”
คาวินทร์หันขวับไปยังคนพูด ชายผิวสีน้ำตาลแดงรูปร่างบึกบึน แต่ยังเตี้ยกว่าคนยืนประกบข้างสองคน คนหนึ่งผิวดำ คนหนึ่งผิวขาว เจ้าคนผิวแดงชี้ที่เขาพร้อมส่งสายตาโกรธไล่หลังมา
“อย่าให้หนีไปได้”
นักล่าหนุ่มกระโดดจากกองลัง คว้าวงกบหน้าต่าง หลังพยายามยกเท้ายันมันเพื่อส่งตัวเองขึ้นไปบนขื่อโรงนอนอยู่อึดใจ ในที่สุดเขาก็ขึ้นมาถึงจนได้
“เดี๋ยวมันก็ต้องลงมา”ใครสักคนข้างล่างพูดอย่างหัวเสีย
ฟ้ากำลังมืด พวกทาสหน้าเก่าของแพปลาแยกย้ายกันไปจับจองที่ของตัวเอง คาวินทร์อยู่บนขื่อมองลงไปยังคนพวกนั้นที่จับกลุ่มนั่งคุยกันบ้าง เล่นพนันกันบ้าง มีอยู่สองสามคนนั่งเฝ้าอยู่ตรงกองลังที่เขาใช้ปีนขึ้นมา เยาะเย้ยถากถางให้โมโห ยั่วให้ลงไปหาพวกมัน แต่ทั้งหมดทั้งมวลกิจกรรมที่เกิดขึ้นในโรงนอน ล้วนตกอยู่ใต้คำสั่งและการควบคุมของคนผิวแดงที่นอนอยู่บนแคร่อันเดียวตรงมุมใกล้ประตู
พวกทาสที่นี่มีการแบ่งระดับชั้นตามฝีมือ คนที่อยู่เหนือสุดคงเป็นเจ้าหัวโจกผิวแดงไม่มีผิดพลาด สมุนซ้ายขวาคงเป็นรอง คาวินทร์พินิจดูพวกนั้นทีละคน เขาจะไม่ประมาทใคร ๆ ในนี้ ในเมื่อเจ้าคนผิวแดงที่เหมือนจะตัวเล็กกว่าคนอื่น ๆ เป็นตัวหัวโจกได้ทั้งที่พวกข้างล่างก็ไม่ได้ธรรมดาสักคน ในนี้จะต้องมีพวกฝีมือฉกาจอยู่อีก แม้จะไม่ได้เท่าเจ้าหัวโจกนั่น ระหว่างที่มองไปรอบ ๆ เขาเองก็ได้แต่สงสัยในตัวเจ้าผิวแดงนั่นอยู่ครามครัน
การคุมเชิงยาวนานไปจนดึก พวกที่ทนไม่ไหวเริ่มนอนเอาแรง คาวินทร์ที่เหนื่อยเต็มทีถอดเสื้อออก ลิวมันเป็นเกลียวต่างเชือกแล้วมัดเอวตัวเองกับขื่อก่อนเอนหลังพิงตั้งหลังคา
อากาศเย็นเล็ดลอดมาทางช่องลมที่อยู่เหนือบานหน้าต่างโรงนอน พวกทาสไม่มีผ้าผวยห่มนอนกอดตัวเองหนาวสั่น พวกที่สนิทกันหน่อยก็ยืมไออุ่นจากเพื่อนฝูง คาวินทร์ซึ่งนอนเดียวดายบนขื่อหนาวสั่นจนทนไม่ไหว เขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองหลับไปนานเท่าใด แต่ตื่นมาเพราะอากาศที่หนาวมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาแก้มัดตัวเองแล้วเอาเสื้อมาสวม
เขาจะต้องออกไปข้างนอกโรงนอน หาทางหนีออกจากที่นี่ หาเงินให้มากพอจะเดินทางไปเกาะแฝดพร้อมกับอุปกรณ์ล่าจระเข้ยักษ์ หลังจากนั้นเขาจะขุดร่างพ่อไปฝังในแผ่นดินไซย์แอม
“ไอ้หนู...”เสียงกระซิบกระซาบแว่วมาจากในความมืดใกล้ตัวเขา มันใกล้จนน่ากลัว เสียงกระซิบตบท้ายด้วยการเป่าลมออกจากปาก เขาหันมองไปรอบ ๆ มองข้างล่างเพื่อดูว่าใครตื่นอยู่แต่ไม่พบเจ้าของเสียง
“ใครกัน”เขาถามตัวเองหลังจากแน่ใจว่าไม่เห็นคนพูด
ไม่มีสัญญาณการขยับเขยื้อนเลยในโรงนอน ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกตนอกจากเสียงนั้น บางอย่างซุ่มอยู่ประหนึ่งภูตผี คาวินทร์สลัดมันทิ้งแล้วปีนไปตามขื่อ ข้างหน้าเขามีรอยรั่วของไม้กระดานสองแผ่น ตรงนั้นอาจจะพองัดออกไปได้
คาวินทร์หย่อนก้นนั่งลงกับขื่ออีกครั้งหลังจากปีนมาถึงหน้าจั่ว หลังจากมองดูพวกที่หลับข้างล่างแล้วไม่เห็นใครตื่น เขาค่อย ๆ ออกแรงผลักมันเพื่อหยั่งความแข็งแรง เพียงสองสามครั้งก็พอรู้ว่ามันเก่าใกล้พังเต็มทีและงัดได้ไม่ยากเย็นนัก สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือไม้ที่แข็งพอจะงัดกับตำแหน่งที่เป็นรูกว้างพอ แล้วเขาก็พบช่องที่มีปลวกแทะเป็นรอยทิ้งไว้
คาวินทร์ค่อย ๆ แกะช่องนั้นให้กว้างพอสำหรับล้วงแขนออกไปข้างนอก เขาจำได้ว่าข้างนอกเป็นหลังคาแป้นเกล็ดเก่า ๆ เขาอาจหาเศษแป้นเกล็ดแตก ๆ หรือแป้นเกล็ดที่หลุดจากที่มาใช้งัดมุมอื่น ๆ ต่อได้
“พยายามเข้าไอ้หนู”เสียงประหลาดดังมาจากข้างหลัง
คาวินทร์ไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ในความเงียบเสียงลมอาจทำให้เกิดอุปาทานไปเอง เขายังงัดต่อไป แป้นเกล็ดที่ได้มาแม้จะหลุดเพราะเวลาที่ผ่านมานาน แต่เนื้อไม้ยังแข็งแรงดี จากมุมที่เขางัดเป็นช่อง คาวินทร์ค่อย ๆ สอดแป้นเกล็ดเข้าในรอยต่อระหว่างหน้าจั่วกับจันทันแล้วงัดไปเรื่อย ๆ ตะปูที่ตอกเอาไว้ห่าง ๆ เริ่มหลุด จนสุดท้ายเขาก็งัดหน้าจั่วออกมาได้ทั้งแผ่น
“สำเร็จแล้ว หนีไปเลย”
คาวินทร์ยกหน้าจั่วออก โผล่หน้าออกไปข้างนอก ลมเย็นตีเข้ามาที่โรงนอน เขารีบยกหน้าจั่วปิดไว้จากด้านนอก พอแน่ใจว่ามันจะไม่ตกก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาโรงนอน จากตรงนั้น เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัว แป้นเกล็ดส่งเสียงแอด ๆ เมื่อเขายืนขึ้นมองไปรอบ ๆ ฟ้ายามใกล้รุ่งสางช่วยให้เขามองเห็นอาคารบ้านเรือนที่ล้วนดับไฟมืดสนิท เมืองยังหลับใหล อย่างน้อยก็อีกพักใหญ่ ๆ
“ปีนลงไปเลยไอหนู ปีนแล้วหนีไปเลยซิ เดี๋ยวพวกทาสนั่นก็ตื่นกันแล้ว”
“เจ้าเป็นใคร พูดอยู่ข้างหลังข้านานจนข้ารำคาญแล้วนะ ผีรึ”เขารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหว ว่องไวและเงียบเชียบ ทางด้านหลัง อาจเป็นอุปาทาน ภูตผี และเพื่อให้แน่ใจ นักล่าหนุ่มท่องคาถาขจัดภัย แม้จะอยู่ต่างแดนแต่เขาก็ยังหวังว่ามันจะได้ผลเหมือนที่เคยเป็นมา จากนั้นก็หันขวับไป
แต่มันไม่มีใครอยู่เลยสักคน ไม่มีแม้แต่เงา เลยหันกลับไปสำรวจเมืองที่อยู่ข้างหน้าต่อ
“ใครบอกว่าข้าอยู่ตรงนั้นกันเล่า ไอ้เจ้าโง่”
คาวินทร์หันไปตามเสียง ค่อนข้างแน่ใจว่าได้ยินจากข้างหลัง แต่มันไม่มี ซึ่งมันทำให้ยิ่งสงสัย
“ข้าอยู่ตรงนี้”
บางอย่างสัมผัสหลังเท้าของเขา มันนุ่มเหมือนลมพัดผ่านผิวเพียงชั่วครู่
“อย่ามองสูงซิ เจ้ามองสูงทุกอย่างไม่ได้หรอก”
คาวินทร์แทบผงะเมื่อเมื่อมองลงไปที่เท้าแล้วเห็นคนพูดนั่งนิ่งเงียบเป็นเงาดำ หางวาดไปมาก่อนพาดลงแถว ๆ เท้าของเขา ดวงตาวาวมองตาเขาเหมือนจะสะกดด้วยมนตร์ เจ้าของตาคู่นั้นหรี่ตาลงเหมือนง่วงนอน
“ภูตแมว”นักล่าหนุ่มแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงปลายเท้า
“อะไร เจ้าเรียกใครภูตแมว”
“ก็เจ้าอย่างไรเล่า”
นี่คือภูตแมว ที่ไซย์แอมเจ้าพวกนี้อาศัยอยู่ในป่าลึก หาตัวยากและไม่พูดกับมนุษย์ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยพบมันแบบประชิดเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
“พวกเราคือเผ่าแคเทน แมวนักล่า”เจ้าแมวเหยียดกายบิดขี้เกียจ ครางครืดคราดในคอ “ไม่ใช่ภูตแมวอย่างที่เจ้าเรียก”
แม้จะยังเกร็งที่ได้คุยกับแมว แต่คาวินทร์ก็ไม่แสดงอาการใดที่จะทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าตัวเองรู้สึกเช่นนั้น เพราะเกรงว่าจะถูกเจ้าแมวหัวเราะเยาะเอาได้
“ข้าชื่อชาลี เป็นแมวนักล่าประจำแพปลา หากให้พูดกันตามจริง ข้าก็เป็นเจ้านายเจ้าด้วย”
คาวินทร์รู้สึกเหมือนมีก้อนบางจุกอยู่ที่คอเมื่อได้ยินคำพูดเจ้าแมว เพราะตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นทาสของแมวและโดนช่วงใช้ตามคำสั่ง
“ข้าไม่เหมือนเจ้านายคนอื่นหรอกน่า ไม่ต้องกลัวไป”เจ้าแมวเหมือนได้ยินเสียงในใจเขา มันหยิบขวดเล็ก ๆ จากเข็มขัดของมันออกมาเปิดจุกก๊อก กบิ่รเครื่องดื่มผลไม้บ่มกรุ่นจางในอากาศอยู่ครู่หนึ่งก่อนหายไป มันยื่นขวดให้เขาแต่เขาปฏิเสธ มันเลยกระดกพรวด ๆ แล้วเรออกมาเป็นกลิ่นผลไม้ผสมปลาทะเล
“สดชื่อ”เจ้าแมวแพปลาทำตาเยิ้ม หันมองมาทางคนที่นั่งใกล้ ๆ “เจ้ามาจากไหนรึ เล่าให้ข้าฟังหน่อยซิเจ้าทาส
“ทำไมถึงอยากรู้”
เจ้าแมวแพปลากระดกเครื่องดื่มในขวดอีก จากนั้นยกขาหลังของมันเกาคางขยิก ๆ ทำหน้าพอใจสบายคางอยู่สักพักก็ส่งสายตาวาวมาทางทาสมนุษย์อย่างพินิจพิเคราะห์
“ข้าเห็นฝีมือเจ้าเมื่อตอนเย็น ไม่ธรรมดาเลยสำหรับคนต่างชาติตัวเล็กอย่างเจ้า”
คาวินทร์มองกลับที่แมวแพปลา “เจ้าก็ตัวเล็กนี่”
“เรามันคนละสายพันธุ์กันโว้ยไอ้เจ้ามนุษย์”แมวแพปลาขู่ฟ่อเมื่อถูกย้อนเอา
คาวินทร์ทำเฉย ปล่อยให้เจ้าแมวบ่นงึมงำเมี้ยวม้าวลำพังโดยไม่กลัวจะโดนสั่งไปลงโทษแม้แต่น้อย เขากำลังเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ภูมิประเทศรอบตัว พยายามจำสถานที่ทั้งหลายรอบเออร์ติงตันและจุดสังเกตต่าง ๆ เพื่อใช้สำหรับการวาดแผนที่ใช้หนีออกไป
“ไม่หนีไปเลยล่ะ”
คาวินทร์หันมองเจ้าแมว มันพูดเหมือนรู้ใจเขาซึ่งดูจะไม่ค่อยเข้าท่านัก
“อันที่จริงนายใหญ่ดัชคลินก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะพ่อหนุ่ม เพียงเจ้าทำงานและต่อสู้เป็น นำชัยชนะและเงินทองกลับมาให้นาย เจ้าก็ได้อยู่อย่างสุขสบายแล้ว”
คาวินทร์ขมวดคิ้วมองเจ้าแมว “แล้วทำไมเจ้าคนไซเพนนั่นยังอยู่ในโรงนอนรวมนั่นล่ะ”
“เจ้านั่นมันยังสู้ไม่ครบ ก็แค่นั้น”
“หะแรกก็นึกว่าจะได้ทำงานอย่างเดียวเสียอีก นี่ข้าต้องสู้ด้วยรึ”
เจ้าแมวส่ายหน้า “ผิดแล้ว ๆ เจ้ามาที่นี่ด้วยค่าตัวแพง เจ้านายย่อมหวังให้เจ้าทำงานคุ้มค่าตัวเจ้า”
“ข้าไม่ชอบฆ่าคนเสียด้วยซิเจ้านาย”คาวินทร์มองขอบฟ้าที่แสงแรกของวันใหม่กำลังมาก่อนย้อนกลับมาที่ตัวเอง มองหาทางลงจากหลังคา
“ไม่ชอบฆ่าก็ต้องฆ่า”เจ้าแมวกระดกเจ้าสิ่งที่อยู่ในขวดจนถึงหยดสุดท้าย เลียปากแผลบแล้วเรอกลิ่นผลไม้ผสมปลาทะเลออกมาอีก “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากหนี แต่เจ้ามีฝีมือและพูดยูโรกาได้ดีพอสมควร ข้าแนะนำให้เจ้าลงสังเวียนรบร่วมกับคนที่อยู่ในโรงนอนนั่นเสียก่อน ถ้าทำได้ดี ทุกคนในนั้นจะอยู่ฝ่ายเจ้า”
คาวินทร์ยักไหล่ “ไอ้คนพวกนั้นแทบจะฉีกทึ้งข้าให้แหลก จะมาทำตามข้าทำไมกัน”
“ก็กำราบมันซิ ปราบเจ้าคนไซเพนนั่น ปราบได้ก็ได้ครองฝูง”
“เจ้าเป็นแมว เจ้าคงรู้เรื่องครองฝูงดีซินะ”
“ข้าเป็นแคเทน แมวนักล่าที่มีเกียรติโว้ย ไม่ใช่แมวที่เจ้าเห็นจับหนู ไอ้เจ้ามนุษย์โง่”
“ขอโทษที”คาวินทร์หัวเราะแค่น ๆ กระตุกยิ้มตรงมุมปาก
“กำราบฝูงก็ครองฝูงได้ แค่นี้เอง”
“ข้าจะไปกำราบอย่างไรเล่า มันมีลูกสมุนเป็นโขยง”
เจ้าแมวแพปลาหัวเราะ “ลืมไป เจ้าเป็นคนต่างชาติมาใหม่ ไม่รู้อะไร นี่แน่ะเจ้าทาส ข้าจะบอกอะไรให้เจ้ารู้ไว้เป็นวิทยาทาน”เจ้าแมวเดินเอียง ๆ ไปมา สองขาปัดเหมือนจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ “ที่นี่มีกฎของทาสอยู่ กฎที่พวกเจ้านายไม่ยุ่ง”
“กฎอะไร”
“ประลองในสังเวียนไงเจ้าโง่ ใครที่ลงสังเวียน จะไม่มีเจ้านายมายุ่มย่ามได้จนกว่าจะได้รับผลตัดสินจากคนดู”
“ก็ไม่เลวนี่”
เจ้าแมวยิ้ม ตาของมันหรี่มองมาอย่างมีเลศนัย
“ถ้าเจ้าได้ลงสังเวียนสู้เมื่อไหร่ ข้าจะพาไปหาคนที่จะพาเจ้าออกไปจากที่นี่พร้อมเงินตั้งตัว”
The Huntsman Way - วิถีนักล่า
ผู้แต่ง : หมอกเหนือ
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | ปัจจุบัน | 25 ม.ค. 59 |
| 2 | นักล่า | 07 มี.ค. 59 |
| 3 | หนี | 14 มี.ค. 59 |
| 4 | ปีกที่ถูกตรึง | 21 มี.ค. 59 |
| 5 | ทาส | 28 มี.ค. 59 |



สวัสดีค่ะ
รู้สึกว่างานคุณดียิ่งขึ้นกว่าปีก่อน การเล่าเรื่องกระชับขึ้น เสียงก็มั่นคง คุณเป็นคนมีฝีมือค่ะ และคิดว่าจะเขียนต่อไปเรื่อยๆ ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก
ต่อจากนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น คือพูดเพราะรู้สึกอย่างนี้ คุณไม่ต้องทำตามก็ได้ คือเรารู้สึกว่าสามตอนแรกที่เป็นเปิดเรื่องในเมือง เริ่มล่า ไปจนย้อนความถึงพ่อตายนั้นยังจับคนอ่านติดสู้สองบทหลังที่เป็นทาสแล้วไม่ได้ เราจึงคิดว่าถ้าขึ้นด้วยอีเวนท์มาเป็นทาสเลย แล้วแฟลชแบ็คกลับไปที่ล่าจระเข้กับพ่อตาย เรื่องน่าจะมีอิมแพ็คแรงขึ้น (ส่วนบทนำให้กลับไปอยู่ที่ลำดับเวลาปรกติ) คือคนอ่านเปิดมาก็เฮ้ยทันที สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอจับติดแล้ว คนอ่านเห็นบุคลิกตัวเอกแล้ว คุณจะเล่าอะไรก็ได้ค่ะ
ลวิตร์