EN12 OSTA SE ABRE
มีความผิดที่ลบล้างไม่ได้อย่างนั้นหรือ อำนาจในมือไม่พอที่จะต่อต้านกฎหมายสินะ หาพวกเราให้เจอสิ บานประตูไม้สีซีดที่ซุกซ่อนอยู่ เปิดประตูเข้ามาแล้วเอ่ยเรียกหาพวกเรา โอตร้า เซ อาเบร์ จะลบล้างความผิดให้เอง
บทที่ 4
โคลวิทยืนนิ่งอยู่กับที่ ภาพในหัวหมุนวนไปหมด เขาขบริมฝีปากแน่น พยายามครุ่นคิดหาทางหนีทีไล่ ตึกนี้สูงแปดชั้น เพราะเป้าหมายอยู่ที่ระดับดิน เขาจึงอยู่แค่ชั้น 5
"อลัน ได้ยินใช่ไหม" เขากรอกเสียงใส่เครื่องติดต่อ
'ได้ยินแล้ว ฉันกำลังเจาะกล้องวงจรปิดให้นายอยู่'
'นายบ้าหรือเปล่าอลัน ตึกนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด!' เสียงแววของเทเรซิน่ายิ่งทำให้คนฟังปวดหัว เขายกมือขึ้นกุมขมับ
หากวิ่งหนีออกไปตอนนี้จะมีโอกาสปะทะกับหญิงสาวได้ทุกเมื่อ เพราะเขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ทว่าให้ซ่อนอยู่ในห้องนี้คงโดนจับได้อย่างง่ายดาย
ช่วงที่รอการติดต่อมาจากโดสเขาเปิดหน้าต่างห้องชั้นสี่ และชั้นหก ไว้เพื่อกันผิดสังเกต ฟลอดิน่าที่มองอยู่ข้างนอกคงจะเห็นเช่นกัน ดังนั้นเธอน่าจะมุ่งตรงมาที่สามชั้นนี้ หากเขาซ่อนตัวอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับนั่งรอความตาย
คิ้วหนาขมวดมุ่น
"อลัน ดาวเทียมตรวจจับคลื่นความร้อนขององค์กรล่ะ"
'ห๊ะ?' น้ำเสียงงุนงงทำให้เขานึกอยากจะถีบเพื่อนคู่หูให้หน้าทิ่ม และหญิงสาวที่ประจำการอยู่คงจะทำให้แล้ว เพราะเสียงโครมครามดังลั่นมาจากปลายสาย
'ฉันจัดการเองโคล เดี๋ยวจะให้ดาวเทียมซูมเข้าไปที่ตัวอาคารนะ นายเชื่อมต่อสัญญาณเข้ามาที่เครื่องหลักได้เลย'
ร่างสูงแกร่งคว้าปืนของตัวเองขึ้นมาสะพายที่ไหล่ โกยอุปกรณ์ที่ตั้งไว้ทั้งหมดโยนลงกระเป๋าลวกๆ
ช่วงจังหวะที่กำลังตรวจสอบความเรียบร้อย สัญญาณเตือนก็ดังมาจากมือถือ เขาหยิบขึ้นมา หน้าจอแจ้งเตือนการเชื่อมต่อข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ขององค์กร ภาพที่ฉายอยู่คือภาพจากดาวเทียมตรวจจับความร้อน
หน้าจอถูกแบ่งเป็นสอง ฝั่งหนึ่งคือภาพจากมุมสูง อีกฝั่งเป็นภาพจากมุมด้านข้าง
บริเวณชั้นห้า มีคลื่นความร้อนอยู่หนึ่งจุด นั้นคือเขา
ส่วนบริเวณชั้นสาม มีคลื่นความร้อนอีกหนึ่งจุด กำลังเคลื่อนที่ผ่านบันไดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
...ชั้นไหน ฟลอดิน่าจะขึ้นมาชั้นไหน...
นัยน์ตาสีเหลืองทองหรี่ต่ำ พยายามรวบรวมความคิดให้กลับมาเข้าที่ การที่หญิงสาวได้ยินเสียงปืนเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ทว่าวันนี้รอบเรือนจำมีแต่ความเงียบสงัด หากอยู่ในระยะไม่ไกลมาก คนซึ่งไวต่อประสาทสัมผัสก็อาจจะได้ยินได้
และฟลอดิน่าคงเป็นคนประเภทนั้น
ได้ยินเสียงปืน สังเกตจนรู้ว่าเขาอยู่ในอาคารนี้ อีกทั้งยังตรงดิ่งขึ้นมาที่ชั้นบน หญิงสาวคนนี้ต้องมีความเชี่ยวชาญทางด้านปืนในระดับหนึ่ง
โคลวิทเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ร่างแกร่งปีนขอบหน้าต่าง พาตัวเองออกไปห้อยโหนอยู่ภายนอก มือข้างหนึ่งเกาะขอบหน้าต่างไว้ มืออีกข้างหนึ่งหยิบมือถือขึ้นมาดู
คลื่นความร้อนจากชั้นสี่ตรงดิ่งขึ้นมาที่ชั้นห้าแล้ว
หญิงสาวทราบว่าตำแหน่งไหนคือตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการยิงปืนระยะไกล
เขาเก็บมือถือเข้ากระเป๋าอีกครั้ง เมื่อเห็นคลื่นความร้อนเคลื่อนที่อยู่บริเวณทางเดิน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสมาธิ ใช้เท้าถีบกำแพงเหวี่ยงตัวเองผ่านหน้าต่าง พุ่งเข้าไปในห้องชั้นล่าง
นัยน์ตาสีเหลืองทองเบิกกว้าง ร่างทั้งร่างของเขาชนกับโต๊ะไม้ที่เรียงเป็นระเบียงอยู่ เสียงโครมครามดังลั่นไปทั่วอาคาร
'ชิบหายแล้ว!'
เขาหยิบมือถือขึ้นมาดู หญิงสาวอยู่ริมหน้าต่างห้องที่เขาอยู่เมื่อครู่ คาดว่าคงกำลังมองลงมาที่ห้องนี้ เมื่อเห็นคลื่นความร้อนคลื่นอย่างรวดเร็วไปที่ประตู เขาจึงขยับตัวไปที่หน้าต่างห้อง
เสียงสัญญาณดังมาจากด้านล่าง ใบหน้าคมคายชะโงกไปมอง ร่างแกร่งของโดสยืนอยู่ มือหนาแกว่งไปมาพร้อมกับชี้มาที่ปืน
เขาขมวดคิ้วมุ่น
แม้จะงุนงง แต่เขาก็ยอมปลดปืนออกจากไหล่ โยนอาวุธโปรดของตัวเองออกไปนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มรับไว้ ตัวแทนหมายเลขสองวิ่งไปหลบในเงามืดของตึก แหงนปืนขึ้นท้องฟ้า
เขาเข้าใจแผนการแล้ว
หากปืนที่ยิงในระยะค่อนข้างไกล หญิงสาวยังได้ยิน ดังนั้นปืนในระยะแค่นี้เธอก็จะได้ยิน
ภาพหน้าจอมือถือฉายคลื่นความร้อนที่กำลังวิ่งอยู่บริเวณทางเดินชั้นสี่ ทันทีที่เสียงปืนดังลั่นมาจากด้านล่าง จุดสีส้มก็ชะงัก เขาเห็นความลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะขยับตัวเข้าไปในห้องใกล้เคียง
เขาคว้ากระเป๋าของตัวเอง วิ่งพรวดไปที่ประตู ขายาวก้าวไปยังบันไดที่อยู่อีกฝั่งของอาคาร หญิงสาวยังคงยืนสังเกตการณ์อยู่ริมหน้าต่างห้องชั้นห้า
โคลวิทถอนหายใจยาว กระโดดขึ้นไปบนราวบันได ลื่นไถลลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
'ฟลอดิน่าอย่างนั้นหรอ...'
โคลวิทวางกระเป๋าปืนลงบนโต๊ะ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ เอนหลังผิงพนักด้วยอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง อลันมองท่าทางนั้นด้วยความขำขัน เพื่อนคู่หูวางกาแฟแก้วโปรดให้
"เพิ่งเคยเห็นนายโดนไล่ต้อนแบบนี้เป็นครั้งแรกนะ" เขาถอนหายใจยาว ยกกาแฟขึ้นซด
"จากผู้หญิงที่ตัวเองเลือกมาใส่แผนการด้วยนะ" เทเรซิน่าเอ่ยบ้างแม้ว่านัยน์ตาจะมองหลอดบรรจุแมลในกระเป๋าตรงหน้า
โดสยืนแอบยิ้มอยู่ไม่ห่าง
"เป็นยังไงบ้าง" เขาเปลี่ยนเรื่อง โบกมือไล่คนที่แสร้งทำเป็นหน้านิ่งแต่ยิ้มกว้างอยู่ ตัวแทนที่สองโค้งตัวลงก่อนจะออกจากห้องไป หญิงสาวหยิบหลอดขึ้นมาส่องกับหลอดไฟ ของหนืดภายในเป็นสีประหลาดไม่ต่างจากที่พวกเขาคิดไว้
สีใสขุ่น
"ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ หลังจากนี้ต้องรอผลในห้องทดลองแล้วล่ะ ว่าแต่นายเถอะ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเกิดเรื่องได้ล่ะ" คนถูกถามส่ายหัว
"ไม่รู้อะไรเลย ทำไมฟลอดิน่าไปอยู่ที่นั้นก็ไม่รู้ เตรสไม่ได้แจ้งอะไรมา แต่โดสบอกว่าหมอนั้นหน้าตาไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร ถ้ายังไงจะลองถามไปให้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น" นักวิจัยสาวพยักหน้า บรรจงวางหลอดในมือลงในกระเป๋า
เสียงร้องลั่นจากเจ้าขององค์กรเกือบทำให้ของสำคัญในมือเธอหล่นแตก
"เป็นอะไรของนาย! แมลเกือบตกแล้ว!"
"ปลอกกระสุน!" ร่างแกร่งลุกขึ้นมายืนตอนไหนไม่มีใครทราบ ใบหน้าคมคายซีดเผือด นัยน์ตาสีเหลืองทองฉายออกมาแต่ความเคร่งเครียด
"ห๊ะ?" อลันส่งเสียงออกมา
"ตอนที่ฟลอดิน่าเข้าอาคารมา ฉันรีบมาก ปลอกกระสุนยาสลบอันแรก ฉันไม่ได้เก็บมันกลับมา!"
วันนี้เรือนจำกลางค่อนข้างเงียบสงบ เพราะเป็นวันเกิดของเจ้าหน้าที่ขั้นสูงคนหนึ่ง เกือบทุกคนจึงแห่กันออกไปกินเลี้ยงฉลองวันเกิดในเวลางาน
ฟลอดิน่าขออยู่เฝ้าอยู่ที่ทำงาน ไม่มีใครคัดค้านในยามที่ทุกคนคิดแต่จะเที่ยวเล่นเช่นนี้ การที่มีคนยอมอยู่ดูแลงานให้เป็นเรื่องดีเสมอ
นิ้วเรียวควงปลอกกระสุนรูปร่างประหลาดไปมา นัยน์ตาเรียวสวยจ้องมองเงาสะท้อนประหลาดของมัน เธอยกมันขึ้นมาดมอีกรอบ
กลิ่นดินปืนอ่อนเจือมากับกลิ่นบางอย่างที่เธอไม่รู้จัก แต่ถ้าหากให้เธอคาดเดา เธอคิดว่าน่าจะเป็นกลิ่นยาบางอย่าง
เมื่อคืนเธอวิ่งวุ่นอยู่ในตึกนั้นเป็นชั่วโมง สิ่งเดียวที่บอกว่าเธอไม่ได้หูฝาดหรือเพ้อเจ้อไปเอง คือโต๊ะไม้ล้มระเนระนาดที่ชั้นสี่ และ ปลอกกระสุนที่ชั้นห้า
มีใครบางคนใช้อาคารนั้นเป็นที่ซุ่มยิง
ยิงอะไร? เป้าหมายคือสิ่งใด?
เธอวางปลอกกระสุนลง หมุนควงมันไปกับแผ่นกระจกปิดหน้าโต๊ะ ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย นัยน์ตาสวยหรี่ต่ำ
เธอไม่ได้แจ้งไปทางเรือนจำว่าเกิดอะไรขึ้น หลักฐานที่มีไม่ได้แน่นหนาเพียงพอที่จะทำอะไรได้ ระบบภายในที่เน่าเฟะคงแค่รับเรื่องของเธอไว้แล้วปล่อยให้สลายไปกับกองฝุ่นในห้องเอกสาร
เมื่อเช้านี้ หญิงสาวติดต่อไปทางเรือนจำตอนเหนือ หลอกถามผู้คุมเรือนจำอยู่พักใหญ่ถึงได้เบาะแสว่า เมื่อวานมีทหารคนหนึ่งแอบหลับยามอยู่ริมกำแพง รวมถึงหัวหน้าที่เป็นลมล้มหงายหลังไป
ไม่มีสิ่งใดร้ายแรง อีกฝ่ายเอ่ยราวกับเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ
ฟลอดิน่าถอนหายใจยาว
นายทหารเฝ้าเรือนจำหลับยาม...เธอก็เพิ่งรู้วันนี้แหละว่ามันเป็นเรื่องปกติ!
ทำไมเธอถึงทำงานอยู่ในองค์กรที่เน่าเฟะขนาดนี้ได้นะ!
ยิ่งคิด หญิงสาวก็ยิ่งโมโห ใบหน้าสวยเบนไปมองนาฬิกา เข็มยาวแจ้งเวลาพักเที่ยงแล้ว ร่างโปร่งลุกขึ้นยืน คว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมา ก้าวขายาวๆ ออกไปด้านนอก
ปวดหัวชะมัด ไปหากาแฟดื่มให้หายหงุดหงิดดีกว่า
ความหงุดหงิดที่มีอยู่เป็นทุนเดิมทำให้หญิงสาวเบื่อหน่ายกาแฟร้านประจำ เธอตัดสินใจเดินห่างออกมาจากที่ทำงานเล็กน้อย
ยังไงวันนี้ทุกคนก็กลับเข้ามาทำงานสายอยู่แล้ว เธอจะเข้าสายบ้างคงไม่เป็นไร
นิ้วเรียวหยิบปลอกกระสุนขึ้นมาดูอีกครั้ง เพราะเมื่อคืนไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ไม่มีใครเสียชีวิต ไม่มีของหาย นักโทษอยู่ครบทุกคน เธอจึงรู้สึกว่าการเจอปลอกกระสุนอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ทว่าบางสิ่งบางอย่างมันกวนหัวใจของเธอ
ถ้าหากว่ากระสุนนี้เคยบรรจุบางอย่างล่ะ อย่างเช่นยาสลบ แล้วยิงใส่ทหารเฝ้ายาม ไม่มีใครสงสัยคนที่นั่งฟุบหลับอยู่แล้วเพราะเป็นเรื่องปกติ
แต่จะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร ในเมื่อในเรือนจำไม่มีสิ่งใดหายไป ไม่มีนักโทษคนไหนแหกคุกออกไป
หรือจริงๆ ไม่ใช่ยาสลบ?
ภาพความทรงจำบางอย่างวิ่งวูบเข้ามาในหัว รอยเข็มเล็กๆ ที่หลังคอของนักโทษที่หนีไปหลับอยู่ในห้องพักผ่อน
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น
นักโทษที่แอบหลับในห้องพักผ่อนก็เป็นเรื่องปกติของเรือนจำ...สินะ?
ขาเรียวหยุดขยับ
ถ้าเรื่องที่ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ มันผิดปกติล่ะ นักโทษคนนั้นถูกใครบางคนทำให้หลับไป ทหารยามคนนั้นถูกทำให้สลบไป
เหตุการณ์ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมา เพียงเพื่อบางสิ่งบางอย่าง
รอยเข็มเล็กๆ นั้นสะกิดหัวใจของเธอ
หรือเด็กหนุ่มคนนั้นถูกฉีดบางสิ่งบางอย่างเข้าไปอย่างนั้นหรอ?
ใบหน้าใสสะบัดไปมา พยายามขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านเต็มหัวออกไปให้หมด มีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้นจนเธอไม่อาจเรียบเรียงความคิดได้แล้ว
ในช่วงที่ผ่านมานี้มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า
จริงสิ ก่อนหน้านี้คอมพิวเตอร์ของเธอระเบิด แล้วหลังจากนั้นเธอก็ได้พบกับใครคนหนึ่ง
ชายหนุ่มแจกใบปลิวคนนั้น ชายหนุ่มประหลาดซึ่งมีคำพูดแฝงไปด้วยการประชดประชัน คนที่เธอรู้สึกได้จากสัญชาตญาณว่า เขาไม่ได้ 'บังเอิญ' มาเจอเธอ แน่นอน
บางทีอาจจะต้องหาตัวเขาให้เจอ
กลิ่นที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก ฟลอดิน่าขมวดคิ้ว เธอเบนใบหน้ามองหาต้นกลิ่น ซอยไม่คุ้นตากำลังส่งกลิ่นหอมหวานออกมา
เธอเป็นคนติดกาแฟ เพราะฉะนั้นจมูกจึงไวต่อกลิ่นพวกนี้
แต่ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด กลิ่นนี้คือกลิ่นติดตัวชายหนุ่มที่เธอกำลังนึกถึง กลิ่นต้นหวานปลายขมซึ่งเป็นเอกลักษณ์
กลิ่นของโคลวิท
"คิดอะไรอยู่บอส" ชายหนุ่มที่อยู่ในภวังค์ขยับตัว นัยน์ตาสีเหลืองทองเบนจากฝ้าเพดานของร้านกาแฟมาหยุดอยู่ที่เพื่อนสนิท อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มกว้างมาให้
"ฉันรู้สึกแปลกๆ"
"หืม?"
"เรื่องของฟลอดิน่า"
"แปลกอะไร นายเพิ่งเจอเธอไม่กี่ครั้งเองไม่ใช่หรอ มีอะไรพิเศษหรือยังไง" อลันโซ่นั่งลงบนเคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม
"ตอนเริ่มแผนการฉันเลือกเธอเพราะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ของเคซิเมียนโต้จะเข้าไปอยู่ในเรือนจำกลางได้ต้องอาศัยคนเช่นนั้น ฉันจึงตัดสินใจเลือกเธอ" อีกฝ่ายพยักหน้ารับพร้อมกับผายมือให้เขาพูดต่อ
"เตรสแจ้งว่า เมื่อวานฟลอดิน่าไปที่เรือนจำทางตอนเหนือแล้วเรียกนักโทษทุกคนมารวมตัวกัน เขาบอกว่าไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทางนั้นจับจ้องสายตาอยู่ที่เตรสตลอดเวลา" คิ้วหนาของคนฟังเริ่มขมวดเป็นปม
"เสียงเรียกรวมพลนักโทษดังหลังจากเตรสปฏิบัติหน้าที่เสร็จไปได้ไม่นาน ทุกคนเห็นเป้าหมายหลับอยู่ในห้องพักผ่อน สำหรับพวกผู้คุมคงเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ฉันไม่คิดว่าฟลอดิน่าจะคิดเหมือนคนอื่น"
"อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น"
"สัญชาตญาณกับท่าทีของเธอ ผู้คุมเรือนจำกลางไม่มีความจำเป็นต้องไปที่อื่นเลยนะ แต่อยู่ดีๆ เธอก็ไปที่เรือนจำเหนือ เรียกทุกคนมาเจอและจ้องเตรสผิดปกติ นายไม่คิดว่าเธอกำลังสงสัยอะไรหรอ" คนตัวใหญ่ส่ายหน้าพรืด
"เธอต้องเป็นคนช่างสงสัย แล้วก็มีประสาทสัมผัสที่ไวมาก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางได้ยินเสียงปืน แล้วที่น่ากลัวที่สุดคือเธอได้ปลอกกระสุนไป นั่นคือหลักฐานที่ดีที่สุดนะ" อลันทำปากยื่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนแย้งออกมา
"แต่เธอไม่มีทางรู้ว่าปลอกกระสุนนั้นเป็นของใครนี่นา เทเรซเป็นคนวิจัยกระสุนพวกนี้ การผลิตก็มีไม่มาก แถมยังทำที่องค์กรของเราด้วย เธอสืบไม่เจออยู่แล้วว่าคือของๆ ใคร ฉันว่านายคิดมากไปนะ"
"แต่ฉันว่า..." มือใหญ่ยกขึ้นห้ามเขา
"ฟังฉันก่อนนะ อย่างแรก ฟลอดิน่าจะเริ่มสงสัยอะไรขึ้นมาได้ยังไง ต่อให้สงสัยอะไร นายคิดว่าเขาจะเชื่อมโยงปลอกกระสุนนี้เข้ากับเตรสอย่างนั้นหรอ ไม่มีจุดเชื่อมโยงกันเลยนะ" โคลวิทนิ่ง
"อย่างที่สอง เตรสอาจจะคิดมากไปเรื่องผู้คุมสาวคนนั้น นายลองหาเหตุผลที่เธอจะสงสัยสิ มีเรื่องอะไรล่ะ"
"แล้วก็อย่างสุดท้าย แมลกลับมาอยู่ในมือเรา สิ่งเดียวที่ทิ้งร่องรอยไว้คือรอยเข็มที่เล็กมาก ต่อให้ทางนั้นเชื่อมโยงปลอกกระสุนเข้ากับเตรส ก็ไม่รู้จุดประสงค์อยู่ดี ในเมื่อไม่มีอะไรในเรือนจำหายไปเลย"
"สรุปทั้งหมดแล้ว ฉันว่านายคิดมากไป ฟลอดิน่าเป็นแค่ผู้คุมเรือนจำธรรมดา ฉันไม่คิดว่าเธอจะเป็นอุปสรรคสำคัญของพวกเราหรอกนะ" เขาพยักหน้าตามคำพูดของเพื่อนแม้ยังคงคลางแคลงใจ
"ฉันอาจจะคิดมากเกินไปอย่างที่นายว่านั่นแหละ"
"นายน่ะ หยุดคิดมากได้แล้ว คิดเยอะคิดแยะไปหมด"
"แต่นายควรจะคิดให้เยอะๆ ขึ้นบ้างนะ ทำการใหญ่ต้องรอบคอบ นายจำให้ดี เรื่องเล็กที่เรามองข้ามมักจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำลายเราเสมอ" เพื่อนสนิทของเขาหัวเราะขึ้นจมูก
"ยังไงฉันก็ว่า นายคิดมากไปอยู่ดี" ยังไม่ทันที่เขาจะได้เถียงต่อ ประตูไม้หน้าร้านก็ถูกเปิดออก ทั้งสองหันไปมอง โคลวิทขยับรอยยิ้มเป็นทางการ
"สวัสดีครับ ร้านกาแฟของเรายิน..ดี...ต้อน......." เสียงทุ้มขาดหายเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่บานประตู นัยน์ตาสวยซุกซนมองไปรอบร้านก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เขา
ใบหน้าสวยฉายแววประหลาดใจ
"อ้าว โคลวิท?" เธอกวาดสายตามองเขาในชุดบาริสต้า "นายทำงานอยู่ที่นี่หรอ"
เขายังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาในร้านจะเป็นหญิงสาวคนนี้ เขาเบนสายตาลงต่ำ
หัวใจไหววูบ
มือเรียวบางกำลังควงปลอกกระสุนที่เขาเผลอเรอทิ้งไว้
นัยน์ตาสีเหลืองทองหันไปสบกับเพื่อนสนิท
...อลันโซ่ ไหนนายบอกว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญยังไงล่ะ...


OSTA SE ABRE
คอมเมนท์สุดท้าย ขออนุญาตแนะนำเรื่องสำนวนการเขียนซักหน่อยนะครับ : )
เรื่องนี้มีอยู่ 2 จุด ที่ถ้าแก้ไขแล้วสำนวนการเขียนจะดีขึ้นทันตาเห็น
1. พยายามใส่ประธานเข้าไปในประโยคด้วยนะครับ
เช่น:
[ได้ยินเสียงปืน สังเกตจนรู้ว่าเขาอยู่ในอาคารนี้]
- แม้ว่าถ้าอ่านต่อเนื่องมาจากย่อหน้าก่อนๆ ผู้อ่านย่อมรู้ว่านี่พูดถึงใคร
แต่อย่างไรก็ตาม ในการขึ้นย่อหน้าใหม่ ยังไงก็ควรใส่ประธานเข้าไปด้วยนะครับ
ไม่งั้นจะเกิด 'ภาพแหว่ง' ในหัวผู้อ่าน ทำให้สะดุด/ ติดขัด
[นัยน์ตาสีเหลืองทองหรี่ต่ำ พยายามรวบรวมความคิดให้กลับมาเข้าที่]
- ตรงนี้ก็เป็นช่วงขึ้นย่อหน้าใหม่เช่นกัน
กรณีเดียวกันเลยครับ
พอเราละประธานที่เป็นบุคคลไป
กลายเป็นว่า สิ่งที่ [พยายามรวบรวมความคิดให้กลับเข้าที่] นั้นก็คือ 'นัยน์ตา' ไม่ใช่เจ้าของนัยน์ตา
2. เป็นคนที่เขียนอากัปกิริยาของตัวละครละเอียดมากนะครับ
ซึ่งงานเขียนเป็นสิ่งที่ประหลาดอย่างหนึ่ง
ยิ่งเราเขียนน้อย ผู้อ่านจะได้ภาพมาก
แต่ถ้าเราเขียนมาก ผู้อ่านจะได้ภาพน้อย
> <
หวังว่าคอมเมนท์ครั้งสุดท้ายนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช