EN16 Kingdom Botanica อาณาจักรพฤกษา
พอลตัดสินใจเรียนต่อที่ศูนย์วิจัยพฤกษศาสตร์หลังจากเห็นต้นกุหลาบของตัวเองหนีออกจากบ้านในคืนหนึ่ง เมื่อต้นไม้ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว! เมื่อมันไม่แยแสมนุษย์และสัตว์! โลกจะเป็นเช่นไรเมื่อห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย!?
รูดี้อ้าปากค้าง เขารีบเข้าไปฉุดนักวิทยาศาสตร์ชุดหมีผู้กำลังทึ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แล้วลากเธอออกไปนอกห้อง
สุดโถงทางเดินที่มืดสลัว มีเงาตะคุ่มร่างใหญ่และเงาที่รูปร่างเล็กกว่า เสียงหนึ่งคล้ายคนเสียสติดังแว่วมา ส่วนอีกหนึ่งนั้นพยายามกดน้ำเสียงพูดให้เบาลง
“เอซร่า คุณเงียบเดี๋ยวนี้นะ” ชายหนุ่มร่างยักษ์กระซิบเสียงขู่ ดูคล้ายสั่งกลายๆ ก่อนจะเอ็ดหญิงสาวตรงหน้า
“จะบ้าไปแล้วรึไง! พูดอะไรออกไปในห้องน่ะ รู้ตัวไหม!!”
“ฮือ ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครเชื่อเรื่องแบบนั้นหรอก” เอซร่าพูดเสียงจ๋อยๆ
“เรื่องแบบนี้” รูดี้แก้ เขาปล่อยมือสาวชุดหมี ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“แล้ววิเวียน แบล็ก... เป็นญาติคุณเหรอ” รูดี้เอ่ยถาม เอซร่าผงกหัวที่กระเซอะกระเซิงตอบรับว่าใช่
“มันจะเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาเปรยพลางหรี่ตามองอย่างใคร่ครวญ ก่อนจะถามแบบระมัดระวังคำพูดเต็มที่
“ผมหมายถึง...พวกแม่มดอย่างคุณน่ะ นิสัยเลวร้ายเหมือนกันหมด...ขนาดนั้นเลยเชียว?”
“ไม่!” หญิงสาวตะโกนสวนกลับ ชายหนุ่มเอามือตะครุบปิดปากเธอทันทีที่โพล่งเสียงดังออกมาอย่างลืมตัว
“ชู่วว แล้วมันจะเลวร้ายยังไง กับการที่วิเวียน แบล็กจะเป็นประธานาธิบดีน่ะ”
เอซร่าส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ฉันรู้จักยัยนั่นดี เฮอะ! แม่มดผู้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์แห่งมนตรา...เด็กหญิงแห่งคำทำนายผู้จะนำพาความรุ่งเรืองมาสู่วงศ์ตระกูล...” เธอจีบปากจีบคอ ชักสีหน้าพูดอย่างใส่อารมณ์ ก่อนจะดัดเสียงล้อเลียน พูดประชดประชันต่อ
“ดูไว้ซะเอซร่า เธอควรทำให้ได้สักเศษเสี้ยวของวิเวียนบ้าง ยัยเด็กเหลือเดน”
“อะไรของคุณ เอซร่า ผมงงไปหมดแล้ว??” รูดี้ไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด แค่วันนี้เขาได้รู้ว่านักวิทยาศาสตร์สาวในศูนย์วิจัยคนนี้ คือแม่มดตระกูลเก่าแก่ชื่อดัง นี่มันก็ชวนตกใจมากพออยู่แล้ว
“เออ ช่างมันเถอะ แต่วิเวียนน่ะ...ยัยนั่นนิสัยเหมือนหมาป่า--”
“คุณว่าอะไรนะ...” ชายหนุ่มขัดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เอซร่าชะงัก ก่อนจะรีบแก้ใหม่
“ฉันหมายถึง หมาป่าที่หิวโซ...เอ่อ ยัยนั่นทั้งทะเยอทะยาน โลภมาก ฉวยโอกาส... แถมยังเจ้าเล่ห์ ทั้งๆ ที่ตัวเองมีพร้อมทุกอย่างในมือ คิดดูสิว่า--”
“นั่นมันนิสัยแบบจิ้งจอก” รูดี้พ่นลมหายใจอย่างขุ่นเคืองราวกับไม่พอใจที่ถูกพาดพิง
“จ้ะๆ ขอโทษด้วย คุณหมาป่าผู้แสนดี” เธอยกมือปรามให้รูดี้สงบลง ก่อนจะพูดต่อ
“เอาเป็นว่า คนแบบยัยนั่นคือตัวแบบแม่มดผู้ชั่วร้ายที่คนทั่วไปมักเข้าใจกัน... แต่คราวนี้มันคือความเข้าใจที่ถูกต้อง ฉันรับไม่ได้หรอก! ถ้าเราจะมีประธานาธิบดีเป็นแม่มดที่ร้ายกาจจริงๆ น่ะ” เอซร่าบ่นด้วยท่าทีหงุดหงิดก่อนจะพึมพำราวกับพูดกับตัวเอง
“ยัยบ้านั่นคิดอะไรอยู่นะ ถึงได้ไปสมัครเลือกตั้ง...”
“ทีคุณยังเป็นนักวิทยาศาสตร์เลย...” รูดี้ออกความเห็นบ้าง
“ทีมนุษย์หมาป่ายังมาเรียนล่าผักเลย!” หญิงสาวสวนกลับ
“เฮ้ย ผมไม่ได้จะล่าผักมากินนี่ แล้วก็นะ ต่อให้กิน... ผมคือมนุษย์หมาป่านะ! ...มนุษย์! คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าผมก็เป็นมนุษย์! ไม่ใช่หมาจริงๆ ที่กินแต่เนื้อสักหน่อย”
“โอเคๆ” เอซร่าตัดบท
“เราต่างก็เป็นคนปกติธรรมดา ไม่ได้เป็นแบบที่คนทั่วไปจินตนาการไว้...แต่ไอ้การที่ลงไปเล่นการเมืองนี่มันเกินไปหน่อยไหม!? ถ้าโดนขุดจนเรื่องตระกูลแตกขึ้นมาจะทำยังไง? ครอบครัวแม่มดนี่ปกติมากเลยสิ ครอบครัวบ้าอะไรมีแต่ผู้หญิง...” เอซร่าร่ายยาวราวกับอัดอั้น ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้ รูดี้ นั่นนายรึเปล่า?” เสียงหนึ่งตะโกนทักมาจากอีกฟากของโถงทางเดิน พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แม่มดสาวในคราบนักวิทยาศาสตร์เลิ่กลั่ก ก่อนพุ่งตัวไปแอบด้านหลังชายหนุ่มผู้มีสายเลือดมนุษย์หมาป่า
“ไง กาย” รูดี้ยิ้มเจื่อนๆ รับสหาย เขาได้แต่หวังว่าหุ่นคิงคองของตัวเองจะบังแม่มดสาวมิด และภาวนาให้กายไม่ได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านั้น
“ฉันเตรียมของพวกเราไว้พร้อมแล้วนะ รูดี้” กายขมวดคิ้วอย่างหนักใจ ก่อนจะถามย้ำเพื่อนสนิทอีกครั้ง
“รูดี้ นายจะเอาจริงๆ เหรอ? นั่นมันเสี่ยงไปนะ...อย่างน้อยที่สุดเรื่องวันนี้ก็บอกได้เป็นอย่างดี ว่าเรายังไม่พร้อม--”
“พอแล้วกาย! ไว้ค่อยคุยกัน ฉัน...ฉันจะไปเตรียมตัวอีกหน่อย ไม่...ฉันหมายถึง...เอ้อ! ไปตามซิดมาสิ หมอนั่นอยู่ที่ห้องนั่งเล่นแน่ะ แล้วเจอกันที่ห้องนอนนะ ค่อยคุยกัน!” รูดี้พูดรัวก่อนขยับจะเดินหนี
บ้าชะมัด! ยังไปตอนนี้ไม่ได้นี่นะ!
“เอ้อ...โทษนะกาย นายขวางทางฉันอยู่” รูดี้พูดเพื่อให้เพื่อนเดินกลับไป แต่ชายหนุ่มผมทองทำหน้างง ก่อนจะหลีกทางให้แทน
“เฮ้ ไปตามซิดสิ เราจะได้รีบประชุม เอ๊ย จะได้รีบคุยเรื่องนั้น...กันต่อ” รูดี้อ้อมแอ้ม ก่อนที่กายจะยอมเดินจากไป
รูดี้หันกลับมาพบกับแม่มดสาวยืนเท้าเอว เธอจ้องเขาเขม็ง
“อะ...อะไร!?” ชายหนุ่มร่างใหญ่มองไม่เห็นดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าหรอก แต่รู้สึกได้ว่าภายใต้แว่นสีดำอันใหญ่นั่น แม่มดสาวกำลังจ้องเขาเขม็งเชียว
“พวกนายวางแผนจะทำอะไรพิเรนทร์กันอีกล่ะ?”
“ปะ...เปล่านี่” รูดี้ทำไก๋ ปฏิเสธ
“ฮ้า! ที่เขาบอกว่า พวกหมาป่าไม่มีพิษภัยหรอก...เพราะมันโกหกไม่เป็นสินะ หรืออีกนัยหนึ่ง...โกหกไม่เนียน!” เอซร่าจ้องรูดี้อย่างเอาเรื่อง เธอเชื่อว่าพวกตัวแสบก๊วนนี้กำลังวางแผนอะไรแผลงๆ อยู่แน่นอน
“บอกมา!” เธอคาดคั้นต่อ
“ถ้าไม่บอก เดี๋ยวปั๊ดสาปให้เป็นคางคกซะนี่!” เธอขู่อีก
“เฮ้ย ไม่เอา! สาปมา กัดกลับนะเออ!” รูดี้ผงะ ยกมือ ยกแขน ทำท่าป้องกันตัวพัลวัน
แต่ท้ายที่สุด เอซร่าก็คาดคั้นให้รูดี้ยอมคายแผนการออกมาจนได้ แทนที่เธอจะโกรธ เอซร่ากลับนิ่งเงียบราวกับครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะนัดพวกรูดี้เจอกันอีกทีที่ห้องเก็บของในโกดังสีฟ้า สถานที่ทำงานส่วนตัวของเธอ
“นายบอกยัยเอซร่าทำไมฮะ!?” ซิดบ่นอย่างหัวเสีย ขณะที่ทั้งสามคนแอบย่องมาที่โกดังต้องห้าม ปรกติแล้วพวกเขาได้รับอนุญาตให้มาเตร็ดเตร่แถวนี้เสียเมื่อไร
“มันล็อกไว้นี่ ต้องมีรหัส” กาย ชายหนุ่มหัวทองพยายามผลักบานประตูห้องเล็กๆ ในมุมโกดัง ถึงแม้ที่บานประตูจะมีเครื่องใส่รหัส แต่เขาก็ขอลองเปิดเสียหน่อย ก็ถูกนัดมานี่นะ
“สวัสดีก๊วนซ่า ท้าความตาย” สาวชุดหมีสีฟ้าอ่อนอันคุ้นตาเดินเข้ามาทักทาย พลางหัวเราะหึหึในลำคอ
“พวกนายนี่แส่ดีจริงๆ อยากตายนัก เจ๊จัดให้” แม่มดสาวในชุดช่าง ผู้สวมแว่นประหลาดปิดบังใบหน้าตลอดเวลาเดินมาใส่รหัสที่ประตูห้องเก็บของ ก่อนจะเปิดให้ แล้วผายมืออย่างเชื้อเชิญ
เมื่อเสียงของบานประตูอันหนักอึ้งปิดลง จากความมืดสนิทก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวสว่างวาบจากเพดานไฟอัตโนมัติ
“ว้าววววว” สามหนุ่มอุทานพร้อมกันก่อนจะผิวปากเสียงเซ็งแซ่ เมื่อพบกับภาพของคลังแสงขนาดย่อมล้อมรอบตัวพวกเขาอยู่
สี่ฟากผนังสีขาวเต็มไปด้วยอุปกรณ์น้อยใหญ่รูปทรงคล้ายปืนแต่มันกลับแปลกตาออกไป รูดี้ถลาเข้าไปจ้องอาวุธประเภทปืนสีดำเงากระบอกหนึ่ง มันมีทรงกลมเทอะทะคล้ายพวกปืนใหญ่แต่กลับมีด้ามจับทั้งหมดสี่ด้าม โดยอีกสองด้ามที่ยาวกว่านั้นอยู่ชิดกันอย่างน่าพิศวง ที่สำคัญคือมันไม่มีที่เหนี่ยวไก มีเพียงสิ่งที่คล้ายๆ หลอดไฟทรงรีสีฟ้าแซฟไฟร์ฝังอยู่ที่ส่วนท้ายเท่านั้นเอง
“เฮ้ย นี่มันปืนแช่แข็งรุ่นหายากของบริษัทเรย์เธียนนี่! อ๊าก นี่มันเลิกผลิตไปแล้วนะเนี่ย!” รูดี้วี้ดว้ายอย่างตื่นเต้น ก่อนเข้าไปลูบคลำวัตถุคล้ายปืนกระบอกมหึมาที่เอซร่ารับมาซ่อมเมื่อไม่กี่วันก่อน
“เฮ้ๆ ไอ้หมาบ้า วางอันนั้นลงเลย อันนั้นเอาไปไม่ได้” เอซร่ารีบเข้าไปดุรูดี้ที่ถลาเข้าไปลูบคลำ และจัดแจงจะยกปืนแช่แข็งในตำนานซึ่งมีเจ้าของแล้วขึ้นมา
“โน่น พวกแกไปทางด้านโน้นเลย ชิ่ว เอาของบริษัทฮอปป์ไป พวกนี้รุ่นเก่าๆ ใช้งานยากทั้งนั้น” เอซร่าโบกมือไล่พวกรูดี้จากฟากผนังที่มีแต่ปืนประหลาดรูปทรงค่อนข้างคลาสสิก
“บู่ว ขี้งก” รูดี้หันมาแลบลิ้นใส่ ก่อนจะเดินมองอย่างเคลิบเคลิ้มไปรอบๆ ห้อง
นอกจากนี้รอบๆ ห้องนี้ก็เต็มไปด้วยตู้กระจกใสที่มีปืนสั้นทรงกลมบ้าง แผ่นกระดานโลหะเรียบสีเงิน ถุงมือที่เห็นปุ่มแผงวงจรชัดเจน บูตส้นหนาที่มีพื้นรองเท้าด้านและเรียบไร้รอยหยัก ไปจนถึงวัตถุทรงยาวที่มีขนาดใกล้เคียงกับกิ่งไม้ผอมๆ หรือดินสอวางเรียงรายอยู่ด้านใน
“มา ให้ฉันช่วยเลือกม่ะ! ไหนพวกนายถนัดอะไรกันบ้าง อ๋อ แล้วก็เอาของที่ขโมยจากคลังกองทัพไปเก็บซะล่ะ ขืนจ่าแม็คเจอว่าหายไปพร้อมกับพวกแก พวกแกโดนเล่นหนักแน่ๆ”
กายกลืนน้ำลายดังเอื๊อก นี่เธอรู้ด้วย?
“ขอรองเท้าเจ๋งๆ ให้ผม! ทีนี้แหละ ใครคือผู้ที่บินได้ เดี๋ยวได้รู้กัน!” ซิดชูกำปั้นประกาศก้อง
“โทษทีนะ ซิด ฉันคิดว่านี่ไม่ใช่การแข่งกระโดดไกล หรือเขย่ง ก้าว กระโดด! นายจะมีแค่รองเท้าดีๆ แล้วโดดตัวลอยไปทั่วทุ่งข้าวโพดไม่ได้ ข้าวโพดสายพันธุ์ย่อย C4 ร้ายกว่าที่พวกนายคิดนะ ใบของพวกนั้นคมยิ่งกว่าดาบญี่ปุ่นชั้นดี ที่สำคัญ...มันอาจจะกลายพันธุ์มีใบที่หนาและแข็งขึ้นไปแล้วก็ได้” เอซร่าพูดพลางเดินไปเปิดตู้กระจก ล้วงหยิบแผ่นกระดานโลหะสีเงินขนาดใหญ่ขึ้นมา ก่อนจะจิ้มๆ อะไรที่ผิววัตถุจนมันมีแสงสีขาวสว่างวาบเป็นเส้นริ้วๆ ไปทั่วพื้นผิว เมื่อเธอโยนมันลงพื้น เปลวไฟสีขาวพร้อมควันก็พุ่งออกมาเล็กน้อยจากพื้นกระดานด้านล่าง ทำให้มันลอยอยู่บนอากาศเหนือพื้นไม่กี่เซนติเมตร
มันคือบอร์ดหรือกระดานลอยได้ที่ชื่อ โฮเวอร์บอร์ด!
เอซร่าล้วงถุงมือและรองเท้าคู่หนาออกมาจากตู้กระจก เธอจัดแจงใส่มันทั้งสองอย่างก่อนกระโดดขึ้นไปทรงตัวด้านบน หญิงสาวกำมือให้ปลายนิ้วสัมผัสด้านในฝ่ามือ โฮเวอร์บอร์ดพาเธอบินฉวัดเฉวียนไปรอบห้องทันที เธอควบคุมการหักเลี้ยวด้วยถุงมือแผงวงจรสีดำที่ใส่อยู่ บอร์ดลอยไต่เพดานห้องพาเอซร่าห้อยหัวไปรอบๆ
ที่เป็นแบบนั้นได้เพราะรองเท้าบูตสีดำนั้นฝังวัสดุที่ดึงดูดอีกชิ้นชนิดเดียวกันด้านในโฮเวอร์บอร์ดเอาไว้
เธอเร่งเครื่องไอพ่นให้ไฟสีขาวพุ่งออกมาเป็นทางยาว แล้วหักเลี้ยวตีลังกากลับมาพร้อมกับมีใบมีดทรงครึ่งวงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ ครึ่งเมตร! ใบมีดกว้างที่บางเฉียบและคมกริบโผล่ออกมาจากด้านข้างบอร์ดอย่างน่าเสียวไส้ เอซร่าบังคับให้มันร่อนลงอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเก็บใบมีดน่ากลัวนั่นเข้าไปด้วยการงอนิ้วมาสัมผัสที่ฝ่ามืออีกครั้ง
“เอาล่ะ สวัสดีการบินได้ที่แท้จริงสิ ซิด! โฮเวอร์บอร์ดรุ่นพิเศษตัวทดลองของบริษัทฮอปป์ ผลิตเพื่อใช้ในการล่าพวกธัญพืช ตระกูลข้าวทั้งหลายแหล่ และข้าวโพดโดยเฉพาะ!” เอซร่าพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจนำเสนอ
ซิด มอร์แกนจ้องวัสดุแผ่นเรียบสีเงินวาวด้วยดวงตาเป็นประกาย ราวกับเด็กน้อยได้รับของเล่นชิ้นใหม่ที่รอมาทั้งปีในเช้าวันวันคริสต์มาส!
แต่กายก็ท้วงขึ้นทันที
“ตัวทดลอง? แล้วจะไม่เป็นอะไรรึ?”
“ที่ยังทดลองอยู่ เพราะฉันยังไม่ส่งรายงานสรุปการทดลองใช้ว่ามันผ่านแล้วอะนะ นี่ชิ้นตัวแม่แบบน่ะ ฉันเอามาใช้เนียนๆ อยู่ ยังไม่ได้ส่งคืนซะที เลยยังผลิตตัววางจำหน่ายไม่ได้” เอซร่าพูดด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
“โห เอซร่า คุณนี่อย่างเจ๋ง! บริษัทฮอปป์ส่งสินค้ามาให้คุณเป็นคนทดลองใช้ก่อนเลยเหรอ” รูดี้กล่าวอย่างนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปลูบคลำพาหนะสีเงินที่เป็นอาวุธปราบปีศาจด้วยความอิจฉา
“หืม? ก่อนฉันจะเข้ามาทำงานที่ศูนย์วิจัย ฉันอยู่ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทฮอปป์มาก่อนตะหากล่ะ” เธอเบ้ปาก เดินกลับไปเคาะมุมผนังด้านหนึ่ง ผนังสีขาวเคลื่อนตัวออกมาช้าๆ ราวกับลิ้นชัก เธอเขย่งล้วงหาอะไรในนั้น ก่อนจะเขวี้ยงมันส่งมาทางรูดี้ รูดี้คว้ามันได้กลางอากาศ ก่อนจะคลี่มันออกดู
มันเป็นเสื้อที่ทำจากวัสดุสีดำวาว มีความแข็งคล้ายโลหะแต่กลับยืดหยุ่นแบบแปลกๆ รูดี้ลองยืดดู พบว่าเสื้อเกราะนี่สามารถยืดตามการออกแรงของเขาได้ เขาเงยหน้าสบตากับเอซร่า เธอพยักหน้าให้เขาราวกับรู้กันดี ก่อนจะเดินมาส่งถุงมือโลหะหนาที่ยาวจนหุ้มได้จนเกือบถึงข้อศอกให้
“ลองใส่แล้วกำมือ” เธอสั่ง
รูดี้ลองทำตาม พอเขากำมือปุ๊บ ใบมีดเรียวยาว ที่มีปลายโค้งงอดั่งกรงเล็บก็โผล่พรวดออกมาจากทางด้านหลังถุงมือ แต่พอเขาคลายมือที่กำอยู่ออก กรงเล็บเหล่านั้นก็ถูกเก็บเข้าไป เอซร่าเดินเข้ามากระซิบแก่เขา
“เวลานายอยากวิ่งสี่ขา...จะได้ไม่มีปัญหา พอกลายร่างแล้วคงไม่อยากเป็นหมาสะพายปืนแช่แข็งใช่ไหมล่ะ?”
รูดี้ยิ้มร่าอย่างปลื้มปริ่ม
เอซร่าหันไปมองกายที่เดินดูอาวุธสุดล้ำไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“เอาล่ะ เรามีหมาบ้าตัวหนึ่งที่พร้อมวิ่งไปรอบๆ และไอ้บ้าอีกตัวที่อยากบินชนปีศาจข้าวโพด เรามาพูดถึงการล่าพรุ่งนี้แบบจริงจังดีกว่าไหม?” เธอล้วงกระเป๋าชุดหมีแล้วมองกายผ่านแว่นกันลมสีดำ
“จุดประสงค์ของการออกล่าในวันพรุ่งนี้คือ เนื่องจากเราได้รับรายงานว่ามีการรวมกลุ่มของข้าวโพด...ลักษณะค่อนข้างชัดเจนว่าสายพันธุ์ย่อย C4 ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันในลักษณะพฤติกรรมการเกษตร...คือรวมตัวเป็นทุ่งข้าวโพด จากการบินสำรวจโดยเฮลิคอปเตอร์ พวกมันกินเนื้อที่ราวๆ 5 เอเคอร์ ที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี” เอซร่าหยุดพูดมองสามเด็กหนุ่มที่ยืนฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ทางรัฐบาลจึงมีคำสั่งให้ออกล่า นั่นหมายถึงการตามจับ ไม่ใช่ทำลายให้เหี้ยน...” เธอหรี่ตามองรูดี้ก่อนจะพูดต่อ
“โดยแผนการคือ ว่าจ้างนักล่าพฤกษาที่เชี่ยวชาญลงพื้นที่ กวาดล้อม ไล่ต้อน และตรึงพื้นที่เอาไว้ แล้วดักจับกวาดล้างด้วยโดมตาข่ายยักษ์...จะใช้วิธีไหนคงต้องแล้วแต่พวกนั้นแหละนะ บางทีก็แบ่งอาณาเขตดักจับ...แต่ละครั้งก็ไม่เท่ากันหรอก แล้วแต่สถานการณ์และอุปกรณ์” เอซร่ายักไหล่
“ในมาตรการฉุกเฉินจริงๆ หากว่าล่าเป็นผลข้าวโพดดิบมาไม่ได้ ให้ใช้โดมแผ่ความร้อน...รังสีไมโครเวฟจัดการได้” เธอเอียงคอนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา
“ทีนี้ ปกติเราก็จะแบ่งเป็นสองทีมหลักๆ ประสานงานกันแหละนะ ทีมหน่วยหน้า กับทีมสนับสนุน พวกหน่วยหน้ากล้าชนปีศาจใบมีดเขียวก็จะคอยหลอกล่อและสู้ตรึงพื้นที่ไว้ แล้วแจ้งไปทางหน่วยสนับสนุนให้ยิงโดมตาข่ายดักจับ... เอาล่ะ ฉันคิดว่าพวกนายมีหน่วยหน้าแล้ว” เอซร่าหันไปมองรูดี้กับซิด ก่อนจะหันมามองหน้ากาย
“กาย แชปแมน ฉันว่านายก็เหมาะแล้วล่ะที่จะทำหน้าที่ของฝ่ายกองหลังหรือหน้าที่สนับสนุนแทน ดูนายจะมีสติมากกว่าเจ้าบ้าสองตัวนี้” เอซร่าหยิบสายสะพายคาดเอว และสายสะพายบ่าขนาดยาวมาให้ เธอหยิบวัตถุทรงกลมเป็นแท่งยาวสีขาวเงินที่เสียบอยู่ตามร่องของสายสะพายออกมาให้ดู หญิงสาวกดปุ่มที่ปลายข้างหนึ่งของมันก่อนจะโยนออกไป
ฟึ่บ แก๊ง
แท่งเหล็กสีเงินดีดตัวออกกลายเป็นตาข่ายสีเงินที่มีปลายเป็นเหล็กถ่วงสีเดียวกันกระทบพื้นโกดัง
“ว้าว” ซิดอุทานอย่างชื่นชมก่อนจะเดินเข้าไป ทำท่าจะจับ
“อย่าจับ!! มันกำลังจะปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูง” เอซร่าดุ ก่อนจะโยนถุงมือสีเงินคู่หนาให้กาย
“และยิ่งวัตถุที่สัมผัสผิวด้านในตาข่ายเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ กระแสไฟฟ้าจะยิ่งถูกปล่อยออกมามากยิ่งขึ้น จะไหม้มากไหม้น้อยก็ตามแต่ไอ้ตัวข้างในดีดดิ้นแค่ไหนล่ะนะ ใส่ถุงมือของมันไว้ล่ะกาย เวลาจะจับน่ะ...อ่อ! รองเท้าพวกนายมีฉนวนกันไฟฟ้าแล้ว ไม่ต้องห่วง” นักประดิษฐ์สาวชี้แจงต่อสีหน้ากังวลใจของพวกลูกเจี๊ยบ ก่อนจะหันไปกำชับกับกายโดยเฉพาะ
“มีราวๆ สามสิบอันมั้ง? แค่นี้ก็น่าจะเกินพอแล้วสำหรับมือใหม่ อย่าทะลึ่งโยนสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ อย่าไปใช้โดยเปล่าประโยชน์ ตาข่ายกางแล้วมันหุบกลับคืนไม่ได้นะเฮ้ย” เอซร่าเสียบแท่งเงินเพิ่มให้ แล้วยื่นสายสะพายให้กับกาย
“ควรมีคนหนึ่งถือปืนแช่แข็ง...ไม่ล่ะ ซิด นายอยู่กับการเคลื่อนไหวไล่ฟันดะพวกข้าวโพดแหละดีแล้ว ปืนควรถือด้วยคนที่มีเวลาหยุดนิ่งเพื่อเล็งก่อนจะยิง...รูดี้? นายก็อาจจะพกปืนไม่ได้ตลอด...เอ้อ! พวกนายมีกันแค่สามคนเรอะ? แล้วฝาแฝดยัยไพธ์ล่ะ...พอล เอดิสันน่ะ?”
ปืนแช่แข็งกระบอกหนักสิบกิโล สายสะพายพาดบ่าเหน็บแท่งตาข่ายไฟฟ้า และกับดักโดมรังสีไมโครเวฟพกพาจึงกลายเป็นของที่กายต้องพก สิริรวมน้ำหนักยุทโธปกรณ์ที่เขาต้องแบกวิ่งไปมาน่าจะเฉียดยี่สิบกิโลกรัมได้
“เอาล่ะ พรุ่งนี้เช้าตอนตีสี่ มาเจอกันที่นี่อีกที ฉันจะเอาปลอกคอติดตามตัวมาให้ อย่ามองแบบนั้น พวกนายควรมีคนรับรู้สัญญาณชีวิต...ปลอกคอนั่นจะเป็นวิทยุสื่อสารระหว่างทีม แต่ฉันอาจจะปรับให้ตัวหูฟังรับคลื่นการสื่อสารจากทีมนักล่าได้ด้วย ในรูปแบบดักฟังน่ะนะ! เผื่อจะแจมกับทางนั้นได้ ไม่ขัดแข้งขัดขากันหรือไปทำแผนเขาเสีย และแน่นอน อย่างน้อยๆ ที่สุด ควรมีหมอรึใครสักคนคอยรับฟังเสียงขอความช่วยเหลือของพวกนาย... ไว้ฉันจะจัดการให้”
เอซร่าไล่พวกรูดี้ออกจากห้อง เธอชะงักก่อนคว้าอะไรบางอย่างมาหนึ่งกำมือ แล้วยัดใส่มือรูดี้ มันเป็นแท่งทรงกลมสีค่อนข้างดำเรียวเล็กคล้ายแท่งเหล็กขนาดเท่าดินสอ ราวๆ สิบกว่าแท่ง
“ธนู...เอาไปติดตัวไว้ แต่ถ้าใช้ไม่เป็น...ไม่ต้องใช้!”
“เดี๋ยว เอซร่า” รูดี้ปล่อยให้ซิดกับกายล่วงหน้าไปก่อน แล้วจึงคว้ามือแม่มดสาวนักประดิษฐ์เอาไว้
“พรุ่งนี้คุณจะไม่อยู่ที่นั่น?”
“ถ้าตามกำหนดการน่ะต้องอยู่...แต่ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการด่วน ไม่ต้องห่วงน่า มีนักประดิษฐ์เป็นแบ็กอัพ ยังสู้มีหมอไม่ได้หรอก เอ้อ! เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะฝากยาสมานแผลให้พวกนายพกไปด้วย”
สาวชุดหมีจัดแจงดูแลความเรียบร้อยในโกดังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดล็อก เธอแวะไปส่องแถวๆ โกดังเก็บยุทโธปกรณ์ของกองทัพในค่ายก่อน
ค่อยยังชั่วที่เจ้าพวกตัวดีเอาของมาคืนแล้ว
“อือ เอซร่า...ทำงานเสร็จแล้วเหรอ” ภายในห้องเล็กๆ ที่มีเพียงตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้และโต๊ะเครื่องแป้งติดกระจก ที่อีกฟากหนึ่งเป็นเตียงสองชั้นอยู่ชิดผนัง หญิงสาวบนเตียงนอนชั้นสอง ผงกหัวขึ้นมาเอ่ยทักเสียงงัวเงีย
นักประดิษฐ์สาวชุดหมีเหยียบหัวเตียงตัวเองขึ้นไปชะโงกหน้าพูดเสียงกระซิบใส่เพื่อนร่วมห้อง
“แอชลีย์ พรุ่งนี้ออกภาคสนามแทนฉันหน่อยนะ...”
“หือ!! ไหงงั้นเล่า!!” หญิงสาวเด้งตัวลุกจากที่นอน แหวใส่
“ชู่วว เบาๆ สิ เดี๋ยวพวกห้องข้างๆ ก็ตื่นกันพอดี...น่านะ จะได้เจอหมอเคนไง นานๆ ทีได้เจอแฟน...ไปทำงานร่วมกันก็ดีออก”
แต่เพื่อนร่วมห้องของเธอกลับพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจ
“เออน่ะ แลกเวรห้องแลบหนึ่งสัปดาห์...โอเคมั้ย?” เอซร่าตื๊อต่อพร้อมยื่นข้อเสนออย่างจนใจ
หญิงสาวบนเตียงฉีกยิ้มกว้างแล้วยื่นมือมาจับเป็นอันตกลง เอซร่าแอบเบะปาก
“เอ้อ...ฉันจะเตรียมปลอกคอติดตามไว้ให้นะ...สามชุด” สาวชุดหมีอ้ำอึ้งบอกเพื่อน
“หืม? เธอจะเอาปลอกคอไปให้ใคร พวกนักล่าพฤกษาไม่ใส่กันหรอก” หญิงสาวบนชั้นสองของเตียงหยิบมือถือมาดูเวลา เพื่อตั้งนาฬิกาปลุกสำหรับงานพรุ่งนี้ที่มาแบบกะทันหัน
“อ๋อ...เหมือนจะมีทีมสนับสนุนมาสมทบน่ะ พวกนั้นเป็นคนของศูนย์วิจัย เลยไม่เหมือนพวกนักล่าพฤกษา เอ้อ พวกนั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเธอนะ” เอซร่าพยายามตอบแบบเลี่ยงๆ
แอชลีย์ขมวดคิ้วใส่คำพูดแปลกๆ ของเธอทันที
“พวกนี้ว่าง่าย ไม่เหมือนพวกนักล่าหรอก เอาน่า...” เอซร่าพยายามพูดให้เพื่อนของเธอสบายใจ ก่อนจะรีบปีนลงมาเตรียมชิ่งไปอาบน้ำ
“เดี๋ยวสิ แล้วพรุ่งนี้เธอจะไปไหน”
“...ไปจัดการปัญหาระดับชาติ” นักประดิษฐ์สาวสายเลือดแม่มดพูดเสียงเครียด ก่อนจะเดินไปรื้อชุดนอนจากตู้เสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำที่อยู่ห้องติดกัน
ในห้องนอนรวมของนักเรียนชายประจำศูนย์วิจัย บนเตียงในสุด เด็กหนุ่มผมสั้นเกรียนกำลังนอนกระสับกระส่าย พลิกตัวไปมา
พอลนอนไม่หลับ คำพูดของวิลเลี่ยมที่คุยกันหลังคาบของศาสตราจารย์ด็อจยังคงรบกวนจิตใจเขาอยู่
นายกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่กันแน่พอล?
นายไม่เคยเผชิญหน้า...กำจัด...หรือล่าพวกข้างนอกนั้นเลยอย่างงั้นเหรอ?
นายได้ความรู้จากที่นี่...มากเลยสินะ
ตอนที่ฉันได้ยินข่าวว่านายไปเรียนต่อที่เบอร์มิ่งแฮม ฉันคิดว่านายมีอุดมการณ์เดียวกันเสียอีก แต่เหมือนของฉันจะรุนแรงกว่านายมาก...
พอล...ข้างนอกนั้น พวกนั้นไม่เหมือนพวกโง่เง่าในเรือนกระจกของนายหรอกนะ
พยายามในเส้นทางของนายก็แล้วกันเพื่อน...
ช่วงเวลาที่แยกจากกันหลายปีที่ผ่านมา พอลคิดมาตลอดว่าเขากำลังมุ่งสู่เส้นทางที่เข้าใกล้ความลับของอสูรพฤกษามากที่สุด
แต่เมื่อเขาพบวิลเลี่ยมในวันนี้ เขาจึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เลยสักนิด
ในขณะที่เขาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่รายล้อมด้วยหลอดทดลองและอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ กับบทเรียนวิเคราะห์เนื้อเยื่อเซลล์ของพืช วิลเลี่ยมไม่มานั่งทดสอบและท่องชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชวงศ์ต่างๆ เพื่อนของเขาจับอาวุธแล้วออกไปสู้กับพวกนั้น...พวกที่เคยทำร้ายวิลเลี่ยมอย่างสาหัสเสียจนปางตาย ในขณะที่พอลฝึกร่างกายทุบสถิติของพวกทหารไปวันๆ
เขาใช้ชีวิตเรียนรู้อยู่ในรั้วอันปลอดภัย ในขณะที่แม้แต่เด็กสาวอายุไม่ถึง 15 อย่างซินเธียออกไปล่าปีศาจร่างยักษ์เป็นอาชีพ!
เขาชักไม่แน่ใจในเส้นทางของตัวเองแล้วตอนนี้
นั่นสิ...เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
พอลรู้สึกตัวตื่น เมื่อเตียงที่เขานอนลั่นเสียงเอี๊ยดอ๊าด เขาเห็นเงาร่างใหญ่ของรูดี้ค่อยๆ แอบย่องออกจากห้องนอนออกไป ไม่สิ ไม่ใช่แค่รูดี้ เงาอีกสองคนไกลๆ นั่น...ซิด? กาย?
เจ้าพวกนี้จะไปไหนกัน?
แล้วพอลก็นึกถึงที่วิลเลี่ยมบอกขึ้นมาได้ การออกปฏิบัติการล่า...ทุ่งข้าวโพดที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี
พอลเด้งตัวลุกจากเตียงทันที
“นี่เพิ่งจะตีสามเอง” ซิดบ่นพลางดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
“เอาน่า ยังไงก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับกันอยู่แล้วนี่” กายว่าพลางเดินไปรอบๆ โกดังที่เอซร่านัดพวกเขาอีกครั้ง
“โกดังก็เปิดแล้ว แต่ยัยเอซร่าไม่อยู่แฮะ เฮ้ ใช่ไอ้กองนั้นมั้ยน่ะ? ที่ยัยเอซร่าเตรียมไว้ให้” รูดี้ตะโกนชี้ให้เพื่อนผมทองดูกล่องลังเครื่องมือบางอย่างที่วางกองอยู่บนโต๊ะริมโกดัง
กายเดินไปปลดล็อกเปิดมันออกดู
ข้างในมีหลอดที่บรรจุของเหลวใสๆ อยู่ ตัวหลอดทำจากวัสดุคล้ายพลาสติกที่มีความยืดหยุ่น กายพลิกดูฉลาก
“คลอเฮกซิดีน ไดไฮโดรคลอไรด์...โซลโคเซริล... ฆ่าเชื้อ? สมานแผล? ฉันว่านี่แหละยาที่เธอเตรียมไว้ให้” กายสรุปแล้วแจกจ่ายให้เพื่อนเหน็บพกไว้ที่สายคาดเอวกันคนละสี่ห้าหลอด
กายคาดสายรัดเอวที่เสียบหลอดยาที่เอซร่าให้ไว้เต็มเอว ก่อนจะสะพายสายคาดไหล่ที่สอดแท่งตาข่ายเงินไว้เต็มพิกัด เขาหันไปมองปืนแช่แข็งกระบอกโตแล้วถอนหายใจ นี่เขายังต้องสะพายปืนหนักสิบกิโลนี่ด้วยเหรอเนี่ย เขาจัดแจงให้สายรัดทั่วตัวทั้งหลายแหล่เข้าที่เข้าทางให้กระชับ
“เฮ้ ใส่เสื้อเกราะสักหน่อยไหม” รูดี้เดินไปค้นเสื้อที่ทำจากวัสดุคล้ายเหล็กเบาชิ้นเล็กๆ ต่อกันมากมายนับไม่ถ้วนราวกับเกราะโซ่ของนักรบโบราณ ก่อนทำท่ายื่นมาทางกาย
“ไม่ล่ะ แค่นี้ก็ขยับตัวลำบากพอแล้ว อาจจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ฉันคงต้องอยู่แนวหลัง...งั้นขอแค่นี้ดีกว่าเพื่อน” กายพยายามสื่อคำขอบคุณอย่างจริงใจ ในขณะเดียวกันก็มีสีหน้ารู้สึกผิด ก่อนที่เขาจะเดินไปเปลี่ยนรองเท้าเป็นซีซาร์ของลอล่า
รูดี้พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะโยนเสื้อเกราะให้ซิดแทน เพื่อนร่างเล็กที่อีกมุมห้องรับไปใส่อย่างเก้งก้าง
“เฮ้ ซิด มอร์แกน” เสียงผู้หญิงตะโกนทักดังขึ้น
“นายต้องยื่นแขนออกมาทรงตัวบ่อย เพราะงั้นใส่พวกเกราะแขนด้วย อ๋อ เกราะขาเหมือนกัน ขานายจะยึดติดอยู่กับบอร์ด มันหลบลำบากอยู่แล้ว คงไม่อยากขาขาดคาบอร์ดหรอกใช่ไหม” เอซร่าพูดติดตลกขณะเดินก้าวขาข้ามลังระเกะระกะ เธอโผล่ออกมาจากด้านหลังซากโครงเหล็กตรงมุมมืดของโกดัง พร้อมกับมีวัตถุสีขาวหลายชิ้นติดมือมายื่นให้ซิด
ทั้งสามคนเงียบกริบ เพราะรู้ซึ้งดีว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ ความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกำลังรอพวกเขาอยู่จริงๆ
เอซร่าเดินมาใกล้รูดี้ก่อนกระซิบเบาๆ
“รอดกลับมาล่ะ ฉันไม่อยากเข้าคุกโทษฐานสนับสนุนคนไปตาย...แล้วก็หนหน้าฉันจะเตรียมชุดเกราะดีๆ ที่เข้ากับรูปร่างนายตอนแปลงกายไว้ให้...” เอซร่าเอียงคอมองสำรวจแขนขาของรูดี้ ก่อนจะทัก
“ทำไมไม่ใส่รองเท้าสำหรับ-- อ๋อ ใส่ไม่ได้นี่นะ โอเค ดีแล้ว แบบนี้แหละ” เธอลูบคางตัวเองยืนพิจารณา รูดี้ บราวน์ ที่ใส่ถุงมือสนับซ่อนกรงเล็บ เสื้อเกราะและรองเท้าบูตเดินป่า ก่อนจะย้ำอีกที
“รูดี้ นายจำไว้นะ อย่าถลำตัวเข้าไปสู้กับพวกมันซึ่งๆ หน้าเด็ดขาด นายต้องเป็นตัวหลอกล่อ ไม่ก็พยายามไล่ต้อน หรือคุมพื้นที่...ใบมีดกรงเล็บนั่นไม่ได้ออกแบบมาให้เข้าไปลุยตัดอะไรแบบซิด” เอซร่าย้ำถึงจุดอ่อนสำคัญไม่ให้รูดี้หลงระเริง ก่อนจะบุ้ยหน้าไปที่ซิด
เธอหันไปมองซิด มอร์แกนซึ่งใส่ถุงมือแผงวงจรควบคุม และรองเท้าสำหรับยึดโฮเวอร์บอร์ดสีดำเงาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขามีเกราะอ่อนสีขาวรูปทรงแปลกตาอยู่ที่แขนขา มันดูบางและโค้งมนกระชับเข้ากับข้อต่อสรีระเป็นอย่างดี เพียงแต่ดูขัดๆ กับเกราะเหล็กเบาหน้าตาโบราณที่อยู่กลางลำตัวไปหน่อย
“ซิด นายไปเอาเครื่องไอพ่นสะพายไว้อีกที ฉันเชื่อว่ายังไงๆ นายก็คงฉวัดเฉวียนอยู่เหนือดงข้าวโพด และหากเกิดอะไรฉุกเฉิน นายจะได้ไม่ต้องร่อนลงจอดกลายเป็นซากเศษเนื้อที่โดนปีศาจ C4 ฟันเละ”
แล้วเอซร่าก็หันมาที่กายอีกครั้ง
“หน้าที่สำคัญสุดคือนาย กาย แชปแมน รูดี้มีหน้าที่ไล่ต้อนข้าวโพด นายมีหน้าที่จับกุม ส่วนซิดนั้น อย่าไปคาดหวังให้หมอนั่นไล่ตัดข้าวโพดให้ พวกนายไม่มีคนตามเก็บกลับมาอยู่ดี...ฟังนะ ภารกิจพวกนี้ จริงๆ ต้องเก็บตัวอย่างกลับมาด้วย ตัวอย่างที่ว่าคือส่วนต่างๆ ของพืชกลายพันธุ์ ดังนั้นอย่าหวังแต่จะเอาฝักข้าวโพดกลับมา”
“...จริงๆ รูดี้ไม่ควรอยู่ภาคพื้นดิน ฉายเดี่ยววิ่งไล่ต้อนไปทั่วนะ” เอซร่าพึมพำต่อคนเดียว ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นเงาใครบางคนข้างประตูโกดัง
“เฮ้! ใครน่ะ?” มีดลึกลับโผล่ออกมาจากแม่มดสาวพุ่งเข้าใส่กรอบประตูทันที ก่อนที่มันจะระเบิดออกเมื่อสัมผัสกับขอบประตู
รูดี้อ้าปากค้าง นี่จำเป็นต้องโหดขนาดนี้เลยเหรอ?
เอซร่ารีบวิ่งไปคว้าตัวชายหนุ่งร่างสูงโย่งคนหนึ่งที่โดนแรงระเบิดจนล้มกลิ้งขึ้นมาได้ เมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มคนนั้น เธอก็อุทานออกมา
“พอล เอดิสัน!?”
เสียงใบพัดกระหึ่มของเฮลิคอปเตอร์ดังอยู่ตลอดเวลา พอลนั่งงอขาเก็บแขนจนเหน็บกินทั้งตัว เขาเอามือแตะแท่งทรงกลมเรียวยาวราวๆ 17 อัน ที่เสียบไว้รอบสายสะพายบ่า
โอเค ปาร์ตี้ครบแล้วล่ะ ลงดันได้!
เมื่อเช้ามืด เอซร่าพูดอย่างเริงร่า แล้วเอาธนูประหลาดจากรูดี้ที่อยู่ในรูปแบบคล้ายแท่งดินสอกำเบ้อเร่อยัดใส่มือเขา ก่อนจะบอกที่ตั้งของเฮลิคอปเตอร์ให้พวกเขารีบมาซ่อนตัว
พอลไม่แน่ใจนักว่านี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องไหม เขาก้มมองแท่งเหล็กสีดำอันที่ยาวที่สุดจนคางชิดอก พลางนึกทบทวนสิ่งที่เอซร่าพูด
“จำไว้นะ อันยาวสุดคือคันธนู นายก็แค่ทำแบบนี้... นี่ไงกลายร่างแล้ว ทะด้า! ส่วนพวกสั้นๆ ที่เหลือ คือลูกธนู สังเกตสีปลายครึ่งหนึ่งของมันให้ดีๆ อันที่ครึ่งหนึ่งของมันมีสีดำแดง คือระเบิด หรือจำง่ายๆ ‘ไฟ’ นายต้องหันด้านสีออกเล็ง เมื่อยิงไปสัมผัสกับผิววัตถุ มันจะระเบิดออกเผาไหม้รัศมีราวๆ สองเมตร ส่วนอันสีกรมนี่เป็นรังสีแช่แข็ง แต่มันสู้ปืนแช่แข็งไม่ได้หรอก แต่ก็พอให้พวกนั้นเคลื่อนไหวช้าลงบ้าง... ส่วนสีเขียวทึบๆ นี่จะแพร่กระจายเชื้อโรคศัตรูพืช อันนี้จะได้ผลช้าหน่อย...กว่าพวกข้าวโพดจะอ่อนแรง ส่วนอันสุดท้ายนี่ค่อนข้างอันตราย...สีม่วงทึบนี่พัฒนามาจากสปอร์เห็ดพิษ นายต้องยิงไกลมากๆ เข้าใจไหม! ห้ามยิงใกล้เจ้ารูดี้ รึใครคนไหนเด็ดขาด! มันจะเข้าไปขัดขวางการทำงานของระบบประสาทการเคลื่อนไหวในสิ่งมีชีวิต ทำให้เป็นอัมพาตชั่วคราว สีมันเข้มไปหน่อยขอโทษที อาจจะดูยากหน่อย คล้ายๆ สีดำไปหมด...สิ่งสำคัญ ห้ามยิงใกล้เจ้ารูดี้เกินไป! จะลูกไหนก็!”
พอลเหล่มองรูดี้ที่ต้องนั่งตัวงอเก็บคอซ่อนอยู่กับสัมภาระน่าอึดอัด ทุกคนต่างตัวแข็งเป็นหิน เงียบกริบ และมีสีหน้าเคร่งเครียด
หลังจากที่ต้องทนทุกข์กับการขดตัวแข็งบนเฮลิคอปเตอร์ราวๆ ครึ่งชั่วโมง มันก็ลงจอดในที่สุด พวกนักล่าทวนแผนการกันเสียงดังขันแข็ง พวกพอลยังคงเก็บตัวซ่อนเงียบเชียบ พลางเงี่ยหูฟังแผนการทุกขั้นตอนอย่างละเอียด และชัดเจน!
พวกนั้นจะวางกับดักแม่เหล็กขนาดใหญ่ตามจุดต่างๆ และต้อนข้าวโพดให้อยู่ในบริเวณกึ่งกลาง ก่อนที่จะปล่อยโดมตาข่ายขนาดใหญ่ที่มีปลายแม่เหล็กแรงสูงจากเครื่องบินรบลำเล็ก แล้วจับกุมในท้ายที่สุด พอลพยายามตั้งสมาธิฟังว่าหน่วยสนับสนุนที่คอยดูแลเรื่องการติดต่อสื่อสารนั้นประจำอยู่ที่ไหน รวมถึงพวกเขาต้องติดต่อหมอแอชลีย์ก่อนด้วย
ไปถึงแล้วไปหาหมอแอชลีย์ซะ! พวกนายต้องเอาปลอกคอติดตามตัวและหูฟังสื่อสาร แล้วคอยติดต่อกันเองและปรึกษายัยนั่นเป็นระยะ เข้าใจไหม!!
คำสั่งสุดท้ายของเอซร่าพอลจำได้ดี
Kingdom Botanica อาณาจักรพฤกษา
ผู้แต่ง : Esta Em Maho
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | บ๊ายบาย เลโอน่า | 13 ก.พ. 59 |
| 2 | บนถนนแห่งความบ้าคลั่ง | 09 มี.ค. 59 |
| 3 | ชั่วโมงเรียนที่ 1 | 16 มี.ค. 59 |
| 4 | ชั่วโมงท้าดวล | 23 มี.ค. 59 |
| 5 | กระโจนสู่สมรภูมิ | 30 มี.ค. 59 |




บทนี้อ่านแล้วแอบขำไปหลายครั้ง > <
เรื่องนี้ค้นพบแล้วว่าชอบพวกเรื่องเกี่ยวกับไอเท็มต่างๆนะคับ
ชอบเรื่องการนำเสนอเกี่ยวกับพืช ดูรีเสิร์ชมาดี
ชอบธีมที่มนุษย์จะไปต่อสู้กับพืช
ดาวิษ ชาญชัยวานิช