EN01 The Huntsman Way - วิถีนักล่า
เมื่ออาชีพนักล่าสัตว์ร้ายเป็นอาชีพที่มีเกียรติและเดิมพันสูง คาวินทร์บุตรแห่งราวินทร์ จากตระกูลนักล่าแห่งไซย์แอมรอดจากเหตุเรือแตก โชคชะตาพาเขาสู่เส้นทางใหม่ และการล่าคือหนทางเดียวที่จะพาเขากลับบ้าน
ทาส
แพปลาเออร์ติงตันเป็นแพปลาและท่าขนส่งสัตว์ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในเมอร์ไซด์ ที่นี่เป็นธุรกิจประจำตระกูลผู้เฒ่าดัชคลินมายาวนานตั้งแต่รุ่นทวด ที่เออร์ติงตันทุกคนจะหาปลาที่ทุกคนต้องการได้ไม่ยาก ทั้งแบบเป็นๆและแบบชำแหละแล้ว ยิ่งช่วงที่มีการล่าสัตว์ร้ายจากทะเล ธุรกิจชำแหละชิ้นส่วนจะยิ่งทำเงิน ด้วยมีมือชำแหละชิ้นส่วนมีฝีมือมากมายทำงานกับแพปลามายาวนาน
สินค้ายอดนิยมของเออร์ติงตันคือเนื้อฉลามหัวเหล็กและเนื้อปลางูไบโซไทน์ ปลาเนื้อนุ่มตัวยาวเหมือนงูที่ต้องใช้อวนหนักลากจากน้ำลึกขึ้นมา เนื้อของสัตว์น้ำทั้งสองชนิดนี้ทำให้เออร์ติงตันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมอร์ไซด์และโค่นแพอื่น ๆ พังพินาศ
ความรุ่งเรืองของธุรกิจขนส่งสัตว์ทะเลของครอบครัวผู้เฒ่าเริ่มพังทลายลงเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำเพราะการทำรัฐประหารของแม่ทัพเจราลแห่งกองพลทหารราบที่หนึ่งซึ่งต่อมาขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นบริตแทนราชวงศ์เดิมและปกครองมาจนถึงทุกวันนี้
ในช่วงที่ทหารยึดอำนาจ ธุรกิจค้าทาสกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่การค้าขายและส่งออกมีปัญหาหนักด้วยไม่มีเงินเข้ามากนัก กองทัพคัดคนเข้าหน่วยรบจากสังเวียนและเอาคนงานมากมายไปจากเหล่าพ่อค้าและเจ้าของกิจการต่าง ๆ ไม่นานแคว้นบริตก็หยุดทำการค้ากับแคว้นอื่นเพื่อปิดบังข่าวสารและสะสมกำลังทหาร มีจัดการแข่งขันหาผู้กล้าบ่อยขึ้นเพื่อเฟ้นหาแม่ทัพนายกองมีฝีมือ
สงครามกำลังก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ ใต้ปีกของกษัตริย์เจราล
คาวินทร์ยังไม่รู้จักทุกอย่างในเมืองเมอร์ไซด์ แม้แต่ที่เออร์ติงตันเขาเองยังไปไม่ทั่วตลอดสัปดาห์ที่ทำงานอยู่ รู้แต่เพียงบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นอาคารทรงสูงติดกันเป็นแถวยาว จำได้ว่ามีคลองมากมายเพราะเจอตั้งแต่วันแรก
ทุกวันเขากับทาสคนอื่นจะอยู่ที่แพปลา ขนลังใส่ปลาจากในเรือมาลงที่รถเข็น ปลาบางส่วนจะถูกนำไปตากแห้ง บางส่วนเอาไปขายเป็นปลาสดในตลาด
“ระวังตัวไว้ให้ดี จนกว่าเจ้าจะถูกซัดจนหมอบ พวกนั้นจะจ้องเจ้าอยู่”นี่คือคำเตือนของชาลีก่อนลงมาจากหลังคาคืนนั้น และมันเป็นจริงดังคำเจ้าแคเทน ตลอดหลายวันที่เขาอยู่ที่นี่ เขาต้องหาทางหลบเลี่ยงไม่ให้ตัวเองปะทะกับเจ้าพวกที่ตามตัวเขาอยู่ เขาต้องรีบปีนขึ้นไปนอนบนขื่อและลงมาทางหลังคาทุกเช้า โดยมีปลาแห้งจากแพเป็นค่าตอบแทนให้ชาลีผู้คอยเป็นหูเป็นตาให้ขณะนอนพัก รวมถึงการสอนภาษายูโรกาเพิ่มเติมให้อีกด้วย
หลังจากลงมาจากหลังคาตอนใกล้รุ่งสาง คาวินทร์จะปะปนกับพวกทาสชาวยูโรกาของแพปลาเออร์ติงตันซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ผิวขาว ในจำนวนทาสทั้งหมดมีไม่มากนักที่เป็นพวกผิวดำ พวกนี้ตัวใหญ่และทรหด ทำงานทนและไม่พูดมาก นอกจากสองพวกนี้มีคาวินทร์คนเดียวที่ชาวอาร์เซีย ซึ่งมันทำให้เขาหนีพวกที่ตามหาตัวเขาลำบากอย่างที่สุด
“ตราบใดที่เจ้ายังซัดไอ้คนไซเพนนั่นให้ล้มไม่ได้ เจ้ายังเป็นลูกไล่ให้มันเพราะเจ้าเป็นอาร์เซีย เชื่อข้าซิเมี้ยว”
คาวินทร์เชื่อคำพูดของชาลี ตราบใดที่เขายังไม่ได้ตัดสินกับเจ้าคนผิวแดงหัวโจกของโรงนอน เขาจะอยู่ไม่เป็นสุข
“รีบขนเข้าไปไอ้พวกปวกเปียก ข้าไม่ได้มีเวลามาเฝ้าพวกแกทั้งวัน”
เสียงแส้ตวัดขวับ ๆ ตามคำสั่งนั้นมา ชายที่สั่งคือราฟ ชายวัยต้นสี่สิบรูปร่างสูงใหญ่ หัวล้านเลี่ยน จมูกงุ้มเหมือนนกแก้ว คิ้วชนกันตลอดเวลาจนหน้าผากเป็นรอยย่น ราฟเป็นมือขวาของดัชคลิน และเป็นมือชำแหละชิ้นส่วนสัตว์ทะเลมือหนึ่งของเออร์ติงตัน เมื่อเฒ่าดัชคลินแก่ชราจนไม่สามารถควบคุมคนงานได้ดีอย่างก่อนหน้านี้ ราฟจึงเป็นคนดูแลงานแทนทุกอย่าง ทั้งยังได้แต่งงานกับหลานสาวของเฒ่าดัชคลินอีกด้วย ทุกคนที่นี่ไม่มีใครอยากยุ่งกับคนคนนี้สักเท่าใดนัก แม้แต่เจ้าคนไซเพนที่เป็นหัวโจกผู้ได้รับอภิสิทธิ์เหนือทาสคนอื่นมากมาย
คาวินทร์มองราฟก่อนจะเร่งฝีเท้าหลบแส้ที่เหวี่ยงมา
นกนางนวลบินโฉบเข้ามาใกล้แพปลา รอขโมยเศษซากปลาน้อยที่ตายขณะเรือนำมาส่งที่ท่า คาวินทร์มองการโผบินของพวกมันอย่างอิจฉา นึกอยากมีปีกสักคู่เพื่อจะได้ใช้หนีไปจากที่นี่ ลังใส่ปลาบนบ่าของเขาหนักอึ้งและเหม็นคาว เขาต้องแบกมันไปบนท่าแคบ ๆ ที่ยื่นออกมาจากฝั่ง เพราะพ่อค้าปลาจะมารอรับปลาที่แพเออร์ติงตันแต่เช้า และพวกเขาจะไม่ได้หยุดงานจนกว่าพ่อค้าคนสุดท้ายจะกลับหรือมืดค่ำ ทุกอย่างดูน่าเบื่อ ทั้งวันมีแต่การขนปลาและมองเรือหาปลาขาเข้ากับขาออกสวนกันไปมาวันละหลายสิบเที่ยว
หลังจากขนลังปลาไปมาบนท่าอยู่หลายเที่ยว โดนแส้เฆี่ยนเร่งหลายหน ในที่สุดเขาก็ได้พักตอนใกล้เที่ยงวัน แต่มันเป็นการพักเพียงชั่วครู่ สัมผัสที่ไวของเขาเตือนว่ามีภัยกำลังใกล้เข้ามา และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง
พวกนักสู้ที่พยายามเอาตัวเขามาหลายวันกำลังจ้องมาที่เขา เวลาพักหมดแล้ว
การทำงานรอบบ่ายของคาวินทร์เริ่มเร็วกว่าคนอื่นเพราะการถูกจับตาจากพวกของเจ้าคนไซเพน โชคดีของเขาที่มีทาสอีกกลุ่มกำลังเร่งทำงานส่วนของตนให้เรียบร้อยก่อนขนปลาเที่ยวสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงจากแพปลาไปยังโรงชำแหละชิ้นส่วน ซึ่งเขาสามารถปะปนกับคนพวกนี้เพื่อจะหลบเร้นไปก่อนพวกนั้นจะกลับมาได้ และมันจะดียิ่งกว่านี้หากเขาตีสนิทกับพวกทำงานโรงชำแหละแล้วไปทำงานที่นั่นเสียให้พ้นหน้าพ้นตากันไป
แต่ทุกอย่างไม่เป็นดังที่คาดการณ์ หลังจากขนปลาได้สองลัง เจ้าพวกนั้นก็มาล้อมเขาไว้ คนหนึ่งขวางทางไปเอาปลา คนหนึ่งขวางทางออกจากท่า คนหนึ่งขวางทางไปใต้ซุ้มพัก ทุกคนพร้อมโจนเข้าซัดกับเขาทุกเมื่อ
โดยไม่บอกกล่าว เจ้าคนยูโรกาผมทองที่ยืนขวางทางเข้าซุ้มพักพาร่างใหญ่โตของมันย่างสามขุมเข้ามา หมัดขวาของคาวินทร์เลยยิงก่อนที่มันจะทันได้ออกอาวุธ สันหมัดของนักล่าจากไซย์แอมกระแทกเข้าตรงดั้งจมูกของเจ้าคนยูโรกา เลือดพุ่งกระฉูด เขากรากเข้าไปอีกแต่พวกทาสที่ล้อมอยู่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย หมัดลุ่น ๆ ของคนที่โดนหมัดไปหมาด ๆ รัวตอบมา คาวินทร์ยกแขนขึ้นกันใบหน้า ฮึดทนอยู่สามสี่หมัดก่อนใช้ศอกตำเข้าที่ท้องแขนของคู่ชก เก็บเล็กเก็บน้อยทุกครั้งที่ถูกโจมตี จนเจ้าคนยูโรกาถอยไปตั้งหลัก แขนอันอุดมด้วยกล้ามแข็งของมันช้ำเป็นจ้ำเพราะศอกของเขา และมันก็โถมมาอีก
คาวินทร์ขยับเท้าเข้าไปชิดก่อนเบี่ยงตัวหลบออกทางด้านข้างแล้วเตะตัดที่เข่าของเจ้าคนยูโรกา ร่างสูงใหญ่นั้นหน้าคว่ำ เขาฉวยเอาจังหวะนั้นสับศอกลงตรงหลังคอเจ้านั้น คนยูโรกาหน้าคว่ำลงกับพื้น ไม่ลุกขึ้นมาอีก นั่นทำให้เจ้าพวกที่ล้อมโจนเข้ามาทันที ท่าขนปลาบัดนี้วุ่นวายจนไม่อาจหยุดได้
“พอก่อนโว้ย”หัวหน้าคนงานของราฟที่อยู่บนเรือหวดแส้กระหน่ำลงมาที่ทาสซึ่งบัดนี้กำลังจะเปิดฉากตะลุมบอนกัน พวกที่ทำหน้าที่คุมทาสอีกห้าคนลงมาจากเรือพร้อมพลองยาว กระหน่ำตีทุกคนที่ขวางพอพวกทาสถอย สองคนก็แยกไปเอาร่างที่นอนนิ่งกับพื้น สามคนมาลากตัวคาวินทร์ที่หลบออกมาข้างนอกตะลุมบอน
“ไอ้ตัวการ ไปเดี๋ยวนี้นะเอ็ง”เจ้าคนที่เหมือนจะมีตำแหน่งสูงสุดในห้าคนลากคอคาวินทร์ออกจากท่าเรือ
“ข้าอยากเจอเจ้า”คาวินทร์หันไปทางคนไซเพนที่ยืนอยู่กับลูกสมุน
“หุบปาก”พลองในมือผู้คุมซัดเขาที่ท้อง จุกจนตัวงอ
นักล่าหนุ่มได้แต่มองสายตาหยามเหยียดของคนไซเพนอย่างขัดใจขณะถูกลากตัวออกมาจากแพปลา ท่ามกลางสายตาคนงานและทาสทั้งหมดในละแวกนั้น
จากแพปลา คาวินทร์ถูกลากตัวผ่านโรงนอนไปที่ชายป่าละเมาะหลังแนวอาคารบ้านเรือน ที่นั่นมีเสาต้นหนึ่งตั้งเด่นอยู่ มันคงอยู่ที่นั่นมานานมากแล้ว เจ้าเสาต้นนั้นมีโซ่ห้อยยาวลงมา มองเพียงปราดเดียว เขาก็รู้ได้ถึงชะตากรรมของตัวเอง
“แกเก่งได้ไม่นานหรอก”คนของราฟที่พาเขามาถ่มน้ำลาย มันเปรอะเต็มหน้าเขา มันทำให้อยากโจนเข้าซัดเสียให้หมอบ เจ้าจอมถุยส่งสายตาหยัน ใส่ตรวนที่ข้อมือทั้งสองข้างของเขา อีกสองคนดึงปลายโซ่อีกด้านไปมัดกับหลักตรงพื้นซึ่ง มันพาร่างของเขาไปด้วย เจ้าพวกนั้นหัวเราะลั่นขณะดูเขาเซไปกระแทกกับเสา จากนั้นเจ้าคนหนึ่งมาเอาตัวเขากลับมาที่เดิมแล้วใส่ตรวนข้อเท้า เกี่ยวสลักคล้องกับห่วงที่ฝังดิน ตรึงเขาให้ยืนเหยียดแขนขาอยู่เช่นนั้น
แล้วพวกมันก็เดินจากไป
“ยังดีไม่พอพ่อหนุ่ม ยังดีไม่พอ”
คาวินทร์จำเสียงของเจ้าตัวช่างยุได้ เพราะเจ้านั่น เขาถึงพร้อมมีเรื่องกับทุกคนแทนที่จะรีบหนีไปเสียตั้งแต่คืนแรก
“ชาลี”นักล่าหนุ่มตกอับเรียกชื่อเจ้าแคเทนตัวดี มันตะกุยเสาเรือนใกล้กับที่เขาถูกตรึงเสียงแกรก ๆ คล้ายจะบอกตำแหน่งให้เขารู้
“เจ้ายังทำดีไม่พอ เจ้าคนไซเพนนั่นถึงไม่ชกกับแก เจ้าน่าจะลองยุให้คนอื่นต่อยกันเสียก่อน จะได้เรียนรู้กฎของที่นี่ ข้าไม่อยากสอนเพราะมันไม่ซึ้งเท่าเห็นเอง เจ้าน่าจะรอคาวินทร์ เจ้าน่าจะรอก่อน รอให้คนอื่นซัดกันให้เจ้าดูก่อน ไม่ใช่ไปซัดคนอื่นเสียเอง”
“เจ้านั่นมันหาเรื่องข้าก่อน”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เจ้าก็ต้องใจเย็น อย่าเอาตัวเข้าไปต่อยกับคนสิบคนเพื่อจะไปให้ถึงไอ้ตัวหัวโจกนั่นได้ เก็บแรงไว้รอต่อยเจ้าหัวโจกที่เดินลงมาหาเจ้าเองจะดีกว่า”เจ้าแมวตะกุยเสาไม้อีก “หัดใช้สมองเสียบ้างซิพ่อหนุ่ม”
คาวิทร์ไม่ตอบคำ ได้แต่เงียบฟังเจ้าแมวแพปลาบ่นงึมงำอยู่ที่ไหนสักที่ใกล้ ๆ ตัวเขา
เป็นเวลาหนึ่งคืนเต็ม ๆ ที่คาวินทร์ถูกมัดอยู่ที่เสาต้นนั้น เขาทั้งอ่อนแรงและหิวตอนที่คนของราฟมาปลดโซ่แล้วผลักไสให้ไปทำงานต่อ นักล่าหนุ่มจากไซย์แอมเดินไปที่แพปลา พยายามครองสติตัวเองให้ได้ขณะที่สายตาของผู้คนมองมายังเขา เสียงท้องก่อการประท้วงกราดเกรี้ยวหิวโหยจนแทบจะกัดกินตัวเองได้ ไม่มีข้าวตกถึงท้องเขาสักเม็ดเลยตั้งแต่เช้าวานนี้ แต่ละก้าวของเขาช้าลง คาวินทร์รู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินเซไปมา
พวกนักสู้ที่อยู่โรงนอนเดียวกันเข้ามาขวาง โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เจ้าคนหนึ่งชกเขาล้มคว่ำ พวกทาสที่อยู่ทั่วแพปลาร้องเฮ ละงานมามุงดู พวกหัวหน้าคนงานยืนดูอยู่วงนอก ไม่มีใครมาหยุด ไม่มีใครมาเฆี่ยน การต่อสู้นี้ไม่มีคนห้ามอีกแล้ว
“ลุกขึ้นมาซิไอ้ลิงต่างชาติ”
คาวินทร์ไม่เห็นหน้าคนพูด ยันกายลุกขึ้นได้ก็มีมือแข็งแรงเหมือนคีมเหล็กหิ้วเขาขึ้น ก่อนจะมีแขนอีกข้างมาสอดใต้ขาเขา รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ลอยละลิ่วลงมาในกองลัง เจ็บยอกไปทั้งตัว
“ไม่เห็นเก่งอย่างเมื่อวานเลยว่ะ”
คาวินทร์ตะกายออกจากกองลัง คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายยูโรกาตัวใหญ่ยักษ์พอ ๆ กับคนเมื่อวาน ไว้ผมสีน้ำตาลถักเปีย ตาสีฟ้ามองมาที่เขาอย่างชังน้ำหน้า เสียงไม้กระดานลั่นราวกับจะพังลงให้ได้เมื่อเจ้าคนยูโรกาพาร่างสูงใหญ่เข้ายืนค้ำเป็นเงาทะมึนแล้วเตะเขาเต็มแรง
คาวินทร์กลั้นอาการจุก รวบเอาขาข้างที่เตะเข้ามาไว้แน่น เจ้าคนยูโรกาพยายามเหยียบด้วยเท้าอีกข้าง เขาเลยฉวยโอกาสนั้นดึงมันเสียหลักแล้วยันกายลุกขึ้น ทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างหน้าบิดหักขาข้างที่รวบอยู่
ร่างสูงใหญ่ลอยข้ามเอวเขาไปฟาดกับพื้น คาวินทร์ยังไม่ยอมปล่อยขาที่หักอยู่ ใช้น้ำหนักตัวกดขาข้างนั้นไปชิดตัวเจ้ายูโรกาจอมหาเรื่อง มือจับที่เท้าเหม็นโฉ่แล้วบิดทั้งเข่าทั้งข้อเท้าข้างนั้น เพียงครั้งเดียวเจ้านั่นก็ร้องลั่นหมดสภาพ เขาเตะหน้ามันซ้ำครั้งเดียวก็นิ่งไป
คาวินทร์ยังไม่ทันปล่อยมือจากขาที่เพิ่งจับหักทุ่มเมื่อครู่ เขาก็ถูกกระชากเสื้อขาดควาก ไอ้คนยักษ์ผิวดำที่เป็นสมุนมือซ้ายของเจ้าผิวแดงเหวี่ยงเขาไปกลางท่าก่อนจะตามเข้ามา นักล่าผู้บัดนี้ไม่ต่างจากหมาจนตรอกยืนขึ้นตั้งหมัด ร่างดำทะมึนโถมเข้าใส่ คาวินทร์เบี่ยงหลบออกขวาตัวเอง สันมือสับเข้าตรงท้ายทอยเจ้าคนตะวันออก การสับเพียงครั้งเดียวส่งร่างที่สูญเสียการทรงตัวร่วงจากท่าลงไปแหวกว่ายอยู่ในน้ำทะเล
“แน่หรือวะ!”
คาวินทร์หันไปเจอคู่ต่อสู้อีกคน เจ้านี้ก็เป็นพวกตัวกลั่นในกลุ่มของเจ้าคนไซเพน เขาจำได้เพราะมันเป็นคนเดียวที่หัวเถิกและมีแผลน่าเกลียดตรงหน้าผาก
หมัดขวาตรงยิงเข้ามา คาวินทร์หลบหมัดนั้นได้แต่มีหมัดซ้ายเสยเข้าที่ท้อง
“ไอ้ลิงอาร์เซีย!”
หมัดขวาของเจ้าหัวเถิกซัดเปรี้ยงลงที่กรามของเขา โลกหมุนติ้ว เขาถูกกระชากขึ้นยืนตรง หมัดขวาหนักหน่วงกำลังจะพุ่งเข้ามาอีก คาวินทร์ยื่นมือเข้าไปยันตรงไหล่ขวาของคู่ต่อสู้ เข่ากระทุ้งเข้าตรงกล่องดวงใจ พอร่างคู่ต่อสู้โน้มลงมาก็สับศอกลงที่กกหู ครั้งเดียวเจ้านั่นก็เงียบอยู่กลางท่า
“อยากเจอข้าใช่ไหมไอ้หนู”
“มาซิวะ”คาวินทร์ขบกราม ในที่สุดคนที่รอคอยมานานก็เดินเข้ามา เส้นเลือดปูดทั้งมือและขมับด้วยความโกรธที่ปะทุถึงขีดสุด หน้าของเจ้านั่นแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าด้วยโกรธจนควันแทบออกหู
ปัง !
เสียงปืนพกกัมปนาทก่อนหมัดของทั้งคู่จะพุ่งเข้านัวเนียกัน ทุกอย่างและทุกคนบนแพปลาตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
“พอได้แล้ว ไอ้พวกสวะ”
เป็นตาเฒ่าดัชคลินนั่นเองที่ยิงปืนนัดนั้นขึ้นฟ้า ไม่มีใครรู้ว่าผ็เฒ่ามาถึงที่แพตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่น่าจะนานพอได้เห็นทุกอย่าง
“เอาไอ้คนอาร์เซียนั่นไปขังไว้ ไอ้ฝูงนี่ของเอโนสด้วย เอาไปให้หมด”
คาวินทร์ถูกลากตัวออกจากแพปลามาก่อน ส่วนพวกที่มีเรื่องกับเขาถูกราฟนำตัวตามหลังมาโดยทิ้งระยะห่างพอประมาณ ครั้งนี้คงไม่ใช่เป็นการถูกตรึงแขนขาอย่างเมื่อวานนี้ คาวินทร์มองไปยังอาคารหินสูงสองชั้นเก่าแก่ที่อยู่เยื้องโรงนอนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ มันโผล่มาให้เห็นแวบ ๆ หลายวันแล้วแต่เขาไม่เคยได้สนใจ จนวันนี้เขาถูกพาเดินผ่านโรงนอนมาตามทางรกทึบด้วยพุ่มไม้ดอกสีม่วงและมีหนามแหลมมุ่งหน้าไปหามัน ท่ามกลางหมู่แมกไม้หนาและมีรั้วรอบขอบชิดเป็นพิเศษ ที่นั่นคงเป็นห้องขังทาสไม่ผิดแน่
ชายที่เฝ้าหน้าประตูถ่มเสมหะรดทางเดินก่อนจะถือหอกตรงเข้ามา
“มีเรื่องกันเรอะ”เจ้าคนเฝ้าประตูลูบคางที่เครารกครึ้ม
“เอโนสมันรับน้องใหม่”
“อีกแล้วเรอะ”คนเฝ้าประตูคงระอาเต็มทนถึงได้พูดมาอย่างนั้นก่อนเดินไปเปิดประตู
คาวินทร์ถูกลากตัวเข้าไปก่อน พอผ่านประตูมาแล้ว ชายผู้มีเครารกก็จุดคบข้างวงกบประตู ไฟสว่างพรึบส่งแสงวับแวม จากอาคารมืดมิดและบรรยากาศอึดอัดเหม็นอับ ทุกอย่างมองเห็นได้ชัดและดูน่าอึดอัดน้อยลงอักโข
“เดินไป”
ชายมีเคราดันหลังเขาเข้าไปข้างในด้วยด้ามหอก ผ่านห้องขังที่อยู่สองข้างทางเดิน สายตานักโทษในห้องขังจับจ้องมา บ้างตื่นกลัว บ้างอาฆาต คาวินทร์รู้สึกได้ถึงรังสีความจงเกลียดจงชังที่แผ่ซ่านไปทั่ว กำแพงหินส่งเสียงและหลั่งน้ำตาผ่านออกมาตามรอยร้าวอันเกิดจากกาลเวลา คาวินทร์ได้กลิ่นเหม็นสาบซากเน่า แต่ไม่รู้ว่าต้นตอมันอยู่ที่ใด ชายเครารกใช้ด้ามหอกกระทุ้งหลังเขาไปที่บันได เขาถูกพาเดินอ้อมไปทางใต้บันไดขึ้นชั้นบนที่น่าจะเป็นห้องพักพวกผู้คุม ตรงใต้บันไดนั้นมันมีทางลงมืดมิดรอต้อนรับเขาอยู่ ด้ามหอกดันหลังเขาให้เดินลงบันไดยาวเหยียดนั้นไป
เสียงฝีเท้าของเขากับผู้คุมดังสะท้อนไปทั่วห้องใต้ดิน แม้การขยับเพียงแผ่วเบาก็สามารถส่งเสียงดังไปทั่วได้ ทั้งยังน่ากลัวอย่างประหวาด บรรยากาศวังเวงโอบปีกของมันเข้ามา แม้จะฝึกฝนตัวเองมามาก เฝ้าสัตว์ร้ายกลางดึกลำพังในป่าบ่อย ๆ คาวินทร์ก็ยังอดที่จะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไม่ได้
ผู้คุมดันเขาไปยังห้องข้างห้องสุดท้ายฝั่งซ้ายมือที่ประตูเปิดอ้าไว้อยู่แล้ว
“เข้าไป”
คาวินทร์ได้ยินเสียงพวกของคนชื่อเอโนสดังมาจากชั้นบน พูดคุยหัวเราะกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้สึกผิด ไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ เลย พวกนั้นดูสนิทกับพวกหัวหน้าคนงานและผู้คุมที่ทำหน้าที่เฝ้าแทนเจ้าคนเครารกนี่
แม้แต่ทาสยังมีชนชั้น มันชวนให้เขาหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
“เข้าไปซิโว้ย”
คาวินทร์ถูกด้ามหอกกระแทกหลังเซเข้าไปข้างในห้องขังมืด ๆ และเหม็นซากเน่า ประตูห้องขังปิดตามด้วยเสียงคล้องโซ่ เจ้าผู้คุมหน้ารกเคราเดินจากไปพร้อมแสงสว่างจากคบ ที่เหลือในคุกใต้ดินมีเพียงกลิ่นเหม็นซากเน่าที่อยู่ห้องขังฝั่งตรงข้าม ใครสักคนถูกขังจนตายเมื่อไม่นานมานี้ และห้องขังห้องอื่นยังมีคนอยู่ พวกนั้นขยับตัวช้า ๆ เมื่อแสงไฟกลับขึ้นสู่ชั้นบนแล้ว
ตอนนี้คาวินทร์ไม่ชอบสายตาที่ฝึกมามองกลางคืนของตัวเองเลย มันทำให้เขาเห็นใบหน้าเหยเกกับซากเหี่ยวย่นแห้งกรอบมากกว่าห้าร่างกองพะเนินอยู่ในห้องขังสองห้องที่อยู่ตรงข้ามห้องของเขา
“ปีกของเจ้าเป็นของเจ้า จงบิน อย่าให้สิ่งใดมาพันธนาการเจ้า”พรานใหญ่พยายามตัดบท
คาวินทร์มองพ่อ ใต้แสงดาวพราวพร่างพ่อนั่งเล็งหน้าไม้ไปยังดินโป่ง ใกล้ ๆ นั้นมีซากแกะถูกผูกติดกับหลักเพื่อล่อเสือขนทอง
คืนเหน็บหนาวเงียบสงัด เจ้าเสือที่ขนเปล่งประกายเรืองรองเมื่อต้องแสงจันทร์ยังไม่เข้าซาก คาวินทร์ดึงปกเสื้อขนแกะให้กระชับร่าง เมื่ออากาศอันเลวร้ายของฤดูหนาวซึมแทรกไปทั่วทั้งร่างและเขาไม่อาจขยับตัวไล่ความหนาวได้ระหว่างการนั่งซุ่ม เสื้อขนแกะที่สวมนี้เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด
“ปีกของข้าคงแข็งและกรอบเพราะอากาศหนาวแบบนี้”คนเป็นลูกชายบ่น
พรานใหญ่ราวินทร์ยังเล็งหน้าไม้ค้างไปที่ซาก ในคืนที่ไร้แสงจันทร์นี้ การล่าเสือร้ายสุดแสนจะยากลำบาก และเขาไม่อาจละสายตาหรือเสียสมาธิกับการบ่นของลูกชายได้
คาวินทร์บีบกระชับคันธนูที่ถืออยู่ มือของเขาเริ่มชาและปวดเพราะความเย็นที่เสียดแทงเข้าไปในผิว ทุกอย่างเงียบเชียบแม้แต่พวกนกและแมลงยังไม่ส่งเสียงเพราะความหนาวเย็นที่ปกคลุมไปทั่ว ในไม่ช้ายามเช้าจะมาถึง อากาศจะอุ่นขึ้น และหากเจ้าเสือตัวนั้นจะเข้าซาก มันจะต้องเข้าช่วงเวลานี้ นี่อาจเป็นช่วงเวลาสุดท้าย เพราะหลังจากฟ้าสว่าง มันคงเร้นตัวหายไปกับผืนป่า
พ่อขยับตัว พานท้ายหน้าไม้ประทับในท่าพร้อม คาวินทร์หยิบลูกธนูขึ้นพาดคัน
เสือร้ายกำลังเข้าซาก ห่างจากเขากับพ่อไม่กี่หลา การรอคอยดูเหมือนจะยืดเวลายาวนานออกไปอีก เจ้าสัตว์ร้ายเดินเข้าไปที่ซาก มันหยุดมองไปรอบตัว เสียงเพียงเล็กน้อยอาจทำให้มันตื่นหนี
“ให้วิญญาณของเจ้าได้โบยบินเถิด”
สิ้นคำพ่อ สายหน้าไม้ดีดผึง ลูกดอกปังลงบนตัวเสือร้าย มันกลิ้งไปตีแปลงในพงหญ้า พอตั้งหลักได้ก็หันมาทางพวกเขา กระโจนขึ้นมายังห้างพร้อมแสงในตัวมันที่สว่างวาบขึ้น คาวินทร์ยิงธนูสวนออกไปทั้งอย่างนั้น
“ตื่น”
คาวินทร์ผงะกายถอย แสงจากคบเพลิงทำให้เขาแสบตาจนต้องหลบไปอยู่ในมุมมืดเพื่อตั้งหลัก เขาไม่รู้ว่าใครคือคนที่ถือคบเพลิงเข้ามาในห้องขัง
“ไม่ต้องออกมาจากตรงนั้น”
คาวินทร์จำเสียงของเฒ่าดัชคลินได้ น้ำเสียงกึ่งหยามเหยียด แหบปร่าเหมือนคนป่วยอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ในเออร์ติงตันมีแค่ผู้เฒ่าเท่านั้นที่มีน้ำเสียงและลักษณะการพูดแบบนี้ นักล่าผู้ตกเป็นทาสเริ่มมองเห็นรอบตัว เขาเห็นชายร่างสูงคนหนึ่งลากเก้าอี้มาให้ดัชคลิน แต่ดัชคลินยังยืนเหน็บไม้เท้าเดินไปเดินมาด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง ผิดกับทุกครั้งที่เห็นงกเงิ่นเดินไม่สะดวก
“ถ้าเจ้าอยากสู้ ข้าจะให้สู้”ดัชคลินสืบเท้าเข้ามาหา ไม้เท้าทิ่มลงบนหน้าอกเขา
คำพูดของผู้เฒ่าทำให้คาวินทร์หูผึ่ง ผู้เฒ่ากระแอมนิดหนึ่ง ชายร่างสูงคนเดียวกับที่ลากเก้าอี้มารับไม้เท้าของผู้เฒ่าไปขณะผู้เฒ่านั่งลง
“เอโนสมันเหิมเกริมเกินกว่าที่ข้าต้องการ ถ้าเจ้าอยากเจอมันในสนามประลอง ข้าจะจัดการให้”
“ท่านจะใช้ข้ากำจัดเอโนสอย่างนั้นซิ”คาวินทร์ไม่ใคร่ไว้ใจผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์นัก
“หรือเจ้าไม่ต้องการ”
“ข้าต้องการ แต่ข้าสงสัย”
“สงสัยอะไร”ดัชคลินโน้มกายลงมามองเขา
“คาวินทร์ยักไหล่ก่อนตอบซึ่งติดเป็นนิสัย
“ในเมื่อท่านจับพวกเราได้ เฆี่ยนตีพวกเราได้ ทำไมท่านไม่ลงโทษเอโนสเสียเองเล่า”
ผู้เฒ่าแห่งเออร์ติงตันหัวเราะ “ข้าไม่โง่ทำอย่างนั้นกับตัวทำเงินของข้าหรอกไอ้คนอาร์เซีย” ดัชคลินพยักหน้าให้คนของตน สมุนสี่คนที่ยืนอยู่ข้างนอกเดินเข้ามาล้อมรอบผู้เฒ่าเอาไว้
“เจ้าจะได้สู้ และข้าให้คำมั่นเจ้า ถ้าเจ้าทำดี เจ้าจะได้พ้นจากที่นี่ในเร็ววัน”
ดัชคลินชี้ไม้เท้ามาที่เขาพร้อมกับทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากคุกใต้ดิน คาวินทร์ถูกทิ้งให้อยู่ในความมืดอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะนานเท่าใด
เรื่องของคาวินทร์กับพวกของเอโนสกลายเป็นที่โจษจันในหมู่คนงานและทาสในเออร์ติงตัน ผนวกกับการต่อสู้ที่ผู้เฒ่าลงมาจัดการเปิดสนามให้สะสางกัน มีการตั้งบ่อนพนันในหมู่คนงานในเออร์ติงตัน ไม่นานก็ลามไปถึงคนข้างนอก มีการบิดเบือนเรื่องราวไปต่าง ๆ นานา บ้างว่าเอโนสกับคาวินทร์เคยมีความแค้นกันมานานแต่เพิ่งมาจับเหมาะเจอกันที่นี่และเริ่มเปิดศึกกันอีก บ้างว่าคาวินทร์กับเอโนสเป็นทหารรับจ้างคนละฝ่าย เคยปะทะกันในสงครามเลิกทาสครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในยูโรกาเมื่อสิบปีก่อน
ไม่มีใครรู้ว่าศึกตัดสินของทั้งคู่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และที่ไหน การพนันขันต่อยังมีการแตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ ก่อนจะแทรกซึมไปทั่วเมอร์ไซด์ในเวลาไม่นาน
ระหว่างนั้นคาวินทร์กับเอโนสยังคงทำงานตามปกติ เฒ่าดัชคลินแยกทั้งคู่ออกไปทำงานคนเดียว คาวินทร์ทำงานตากปลาและเก็บปลาแห้งอยู่ในโรงชำแหละกับพวกทาสผู้หญิงและเด็ก ส่วนเอโนสไปอยู่โรงชำแหละกับราฟ ทั้งคู่มีหัวหน้าคนงานคอย ควบคุมไม่ให้ทั้งคู่โจนเข้าฟัดกันก่อนผู้เฒ่าจะประกาศวันเวลา
“เฮ้ย!”
เด็กชายตัวดำซึ่งเป็นทาสจากโรงอบแห้งปลาวิ่งถือกระดาษเข้ามาหาหัวหน้าคนงานที่กำลังยืนคุมงานอยู่บนห้องชั้นสองของโรงอบ เด็กชายหน้าตาตื่น ชี้โบ้ชี้เบ้มาทางคาวินทร์ที่กำลังขนปลามาลงไว้ให้ทาสผู้หญิงวางในถาดอบแห้ง ทาสทุกคนวางมือจากงาน มีเพียงคาวินทร์ที่ยังทำงานงก ๆ
“ตาเฒ่าจะเปิดสนามประลองที่นี่”หัวหน้าคนงานโบกใบประกาศไปมา
ทุกสายตามองมายังคาวินทร์ และเขาไม่ชอบเป็นเป้าสายตาเอาเสียเลย แต่ถึงตอนนี้เขาคงไม่มีทางเลือก การต่อสู้มาถึงตัวเขาเร็วกว่าที่คิด
การเปิดสนามประลองที่เออร์ติงตันกลายเป็นข่าวใหญ่ที่แพร่กระจายไปทั่วเมอร์ไซด์เร็วดั่งไฟลามทุ่ง ผู้คนกำลังหลั่งไหลมาที่แพปลาของดัชคลิน ทั้งพ่อค้าทาส นักพนัน พ่อค้า นักสู้ ร้านรวงต่าง ๆ เข้ามาติดต่อกับราฟเพื่อขอพื้นที่ตั้งแผงขายของ ตอนนี้มันไม่ได้กลายเป็นการต่อสู้ของทาสสองคน แต่เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่นำเงินเข้ากระเป๋าของดัชคลินมากมายมหาศาล
ต้นไม้ตรงป่าละเมาะตลอดแนวหาดถูกโค่น สนามประลองถูกวางโครงสร้างตรงริมทะเล มันจะกลายเป็นสนามประลองครึ่งบกครึ่งน้ำแบบชั่วคราวที่ใหญ่พอจะจุคนได้เป็นร้อย ๆ คน ทาสทุกคนถูกเกณฑ์ไปทำงานสร้างสนาม ไม่เว้นแม้แต่พวกนักสู้
“มันจะต้องเป็นสนามประลองที่ยิ่งใหญ่ พอผู้คนมาขึ้นข้าจะร่ำรวย ข้าจะสร้างสนามที่ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับสนามที่ลองโดว์ การต่อสู้ริมน้ำจะต้องเกิดขึ้นที่นี่และโด่งดังไปทั่วยูโรกา”ดัชคลินถูมือไปมาขณะมองไปที่สนามของตน
คาวินทร์ละสายตาจากผู้เฒ่า เข็นรถขนหินตรงไปที่สนามแข่ง ที่นั่นเอโนสกำลังมองมาที่เขา
“แล้วเราจะได้เห็นดีกันไอ้ลิงอาร์เซีย ครั้งนี้เจ้าไม่รอดแน่”
คาวินทร์ไม่สนคำเจ้าคนไซเพน ถีบกระบะเทหินลงที่กองรวมกับคนอื่นแล้วลากรถเข็นออกมาห่างจากคนพวกนั้น
“เจ้าคนอาร์เซีย”
คาวินทร์ปล่อยรถเข็น เดินเข้าไปหาคนที่เรียกชื่อตัวเอง
“มีอะไรกับข้าหรือนายราฟ”
“ตาเฒ่าเรียกแกไปหา”
คาวินทร์พยักหน้า เดินตามราฟออกไปจากเขตก่อสร้าง แต่ไม่ไม่วายต้องมาปะหน้ากับเจ้าคนไซเพนที่ทำงานอยู่อีกด้านหนึ่งอีกหน
“ประจบนายใหญ่ไว้เถอะไอ้ลิง เพราะแกไม่รอดไปจากสนามนี่หรอก”
เสียงแหลม สำเนียงแปร่งแบบชาวไซเพนดังไล่หลังเขามา
สนามประลองเป็นรูปเป็นร่างและสำเร็จเสร็จสิ้นในเวลาเพียงสามสัปดาห์หลังจากมีการประกาศเปิดการประลอง ซึ่งอยู่ห่างจากแพปลาไปทางทิศราวห้าสิบหลา มันคือนรกที่ครึ่งหนึ่งอยู่บนบก อีกครึ่งอยู่ในน้ำทะเล รายล้อมด้วยที่นั่งรูปสี่เหลี่ยม ตัวห้องพักของนักสู้และกรงขังทาสถูกก่อสร้างด้วยหิน เชื่อมต่อกับตัวสนามประลอง พวกทาสลงความเห็นว่ามันคือค่ายหรือป้อมอะไรสักอย่าง ไม่ใช่สนามอย่างที่เคยพบเห็น
เฒ่าดัชคลินสั่งให้แยกทาสนักสู้ของตนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละสิบคน กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มของเอโนสที่พรักพร้อมด้วยมือดี อีกกลุ่มคือพวกที่ถูกคัดมาอยู่กับคาวินทร์ ซึ่งล้วนตี่เกลียดขี้หน้ากันจนยากจะทำให้ร่วมรบด้วยกันได้
“เจ้าเอโนสมันเป็นผู้ชนะการต่อสู้มาจากเมืองหลวง แต่มีโทษติดตัวเลยถูกขายมาอยู่กับข้า อีกเพียงครั้งเดียวมันจะพ้นจากโทษที่มันมีอยู่และได้กลับไปเป็นนักสู้ในสนามที่ลองโดว์ หากเจ้าจะสะสางกับเอโนส นี่คือโอกาสเดียวของเจ้า และเจ้าต้องฝ่าด่านที่ข้าวางไว้อย่างน้อยห้าด่าน”นี่คือคำพูดที่เฒ่าดัชคลินบอกกับเขาในวันที่ถูกเรียกตัวไปพบ
“แล้วข้าจะได้อะไร”เขาถามตาเฒ่าเจ้าเล่ห์
“เจ้าจะได้สิทธิในการไปสู้ที่เมืองหลวง”
“แล้วอิสรภาพของข้าเล่า”
ผู้เฒ่าหัวเราะในคอเหี่ยวย่น จุดกล้องยาสูบแล้วพ่นควันผุย ๆ
“ค่าตัวของเจ้าแพงโขสำหรับคนอาร์เซีย แล้วความวุ่นวายที่เจ้าทำนี้ก็ล้วนแต่มูลค่าของมัน ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะได้อิสรภาพเร็วนัก”ผู้เฒ่าพ่นควันรูปวงกลม “แต่แน่นอนเจ้าจะได้”
“ข้ามีค่าไถ่ตัวเท่าไหร่”
“หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญทอง”ตาเฒ่าบอกโดยไม่หยุดคิด และมันทำให้คาวินทร์ผงะ มันมากกว่าค่าตัวที่ตาเฒ่าซื้อเขามาเสียอีก
“มันมากกว่าค่าตัวข้าอีกเท่าตัว”
“ทำให้ข้ารวย เจ้าจะได้มันเร็วขึ้น”
คาวินทร์ถูกพาตัวออกมาจากบ้านของผู้เฒ่า แล้วส่งกลับที่พัก
ในจำนวนทาสนักสู้ที่อยู่กลุ่มเดียวกัน คาวินทร์แทบไม่สนิทกับใครเลย จะมีที่พอพูดคุยกันบ้างก็แค่โกแลง ชายผิวดำร่างยักษ์ท่าทางโผงผางที่มาอยู่ก่อนหน้าเขาไม่นาน
โกแลงเป็นชาวซารัค ด้วยเคยเป็นนักล่าเหมือนกัน คาวินทร์เลยมีเรื่องพูดคุยกับโกแลงค่อนข้างมากและไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเมื่อสนทนาพาทีด้วยยามพัก
“ลูกสาวข้าตอนนี้คงห้าขวบแล้ว”โกแลงมักเล่าเรื่องลูกและชีวิตครอบครัวให้ฟัง คาวินทร์มักจะได้เห็นรอยยิ้มของชายชาวซารัคยามที่เขาพูดถึงลูก
คาวินทร์มองไปที่พวกคนคุมฝึกที่เฒ่าดัชคลินจ้างมาเพื่อดูแลการฝึกของทาสโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่เป็นพวกลูกคหบดี คนร่ำคนรวยในเมอร์ไซด์ ที่ต้องการหาลาภยศหรือชื่อเสียงมาประดับตัวในฐานะผู้จัดการนักสู้ มองเพียงปราดเดียวก็รู้คนพวกนี้ไม่เคยเสี่ยงตายอย่างที่พวกเขาต้องเข้าไปเจอในสนามเลย บางคนต่อสู้ไม่เป็นด้วยซ้ำ แค่เดินสวมเกราะไหล่สีทอง เกราะอ่อนมีลายสวย ๆ สะพายดาบยาวฟันเป้าซ้อมไปมาเพื่อขยายขี้เท่อให้พวกนักสู้กร้าวแกร่งแอบหัวร่อกันทีหลัง
ลูกพ่อค้าผ้าชื่อบาร์โลเป็นคนคุมการฝึกกลุ่มของคาวินทร์ ทุกคนเรียกเจ้าคนนี้ว่าบาร์โลจอมพล่ามเพราะแต่ละครั้งที่เจ้าคนชื่อบาร์โลลงมาที่ลานฝึก มันจะพล่ามไม่หยุด พูดเรื่องการต่อสู้ที่มันเคยเจอหรือที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ สาธยายและพินิจพิเคราะห์เหตุการณ์และการต่อสู้ต่าง ๆ ให้ฟังทั้งที่ตัวเองยังจับดาบไม่แน่นเสียด้วยซ้ำ นอกจากเรื่องการพล่ามแล้ว บาร์โลยังบังคับให้ทุกคนเรียกตัวเองว่าท่านบาร์โล เน้นย้ำให้มีคำว่าท่านเสมอ หากไม่มีคำว่าท่าน เจ้าคนนั้นจะถูกนำไปเฆี่ยน
ในหมู่นักสู้สิบคนที่คาวินร์อยู่ด้วย ดูเหมือนโกแลงจะเป็นคนที่ไม่ชอบบาร์โลที่สุดเพราะลูกชายพ่อค้าผ้าจะดูถูกเขาเพราะเขาเป็นคนตะวันออกผิวดำ มักด่าสาดเสียเทเสียใส่โกแลงเป็นประจำ
“อยากให้มันลงไปในสนามประลอง จะได้เด็ดหัวมัน พวกเจ้าจะต้องช่วยข้า ทำให้การสู้วุ่นวาย แล้วข้าจะพุ่งอาวุธสักอย่างใส่มันให้ตาย ๆ ไปเสีย”
วันเปิดการประลองขยับเข้ามาเรื่อย ๆ แพปลาเออร์ติงตันตอนนี้เป็นศูนย์รวมการค้าชั่วคราวของเมอร์ไซด์ ร้านรวงมากมายเปิดค้าขายตั้งแต่เช้าจนค่ำ มีบาร์ชั่วคราวที่พวกคนงานมานั่งเมาแล้วชกต่อยกันวุ่นวาย มีแม้แต่โรงตีเหล็กและแผงขายอาวุธ
บ่ายวันหนึ่งขณะซ้อมกันอยู่มีชายหนุ่มชื่อแบร์สมาหาคาวินทร์โดยติดสินบนบาร์โลด้วยมีดเล่มงาม
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยเป็นนักล่า ข้าจะยินดีมากหากวันหนึ่งได้ร่วมงานกับเจ้า”
คาวินทร์พยักหน้ารับคำไปส่ง ๆ ขณะฟังแบร์สสาธยายเรื่องธุรกิจการทำชุดเกราะจากเกล็ดมังกรและสัตว์ร้ายหลากหลายชนิด ซึ่งล้วนแต่เป็นชุดรูปแบบใหม่ที่แข็งแรงและกระชับ ไม่มีน้ำหนักมาก
“การแข่งล่าสัตว์ร้ายกำลังจะมาถึง ข้าได้กลิ่นมันมากับข่าวสารการเปิดสนามประลองนี้ ข้าเลยอยากทาบทามเจ้าไว้ร่วมธุรกิจกับข้าหากเจ้าออกไปได้”
“หวังว่าข้าจะได้ออกไปนะแบร์ส อันที่จริงเจ้าน่าจะไถ่ตัวข้าออกไปเลย”
ชายหนุ่มช่างทำชุดเกราะยิ้มร่า “ข้าไม่มีเงินพันห้าร้อยเหรียญทองมาไถ่ตัวเจ้าหรอก มันมากเกินไป แต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะได้ออกไป มาหาข้าที่บาร์โดซ่าหรือไม่ก็ฟรัวซ์เมื่อมีการแข่งล่าสัตว์ร้ายเริ่มขึ้น ข้าจะมีของเตรียมไว้ให้”
หลังจากแบร์สลากลับ โกแลงตรงเข้ามาตบบ่าคาวินทร์ หัวเราะร่า โกแลงบอกเขาบ่อย ๆ ว่าเป็นนักสู้มันมีข้อดีหลายอย่าง และการที่มีคนมาทาบทามทั้งที่ตัวเองเป็นทาสก็ถือว่าเป็นข้อดี
“เราไม่ได้ทำงานคนใช้นานแล้ว นั่นถือเป็นเรื่องดี”โกแลงเอ่ยขณะฝึกขวานด้วยกัน “เจ้าพวกนักดนตรี นักอ่านและหนอนหนังสือมากมายยังถูกจับเป็นทาส คิดดูซิคนฉลาดพวกนั้นต้องมาเป็นทาสใช้แรงงาน ทำงานโง่ ๆและถูกเฆี่ยนจนตาย น่าสมเพช”โกแลงควงขวานอย่างคล่องแคล่วเพื่อสาธิตให้คาวินทร์ดู หลังจากควงจนจบทุกกระบวนท่าแล้ว นักล่าจากซารัคสับขวานกับเสาแล้วหยิบน้ำมาดื่ม “คิดดูเถิด หากเรายังอยู่ข้างนอก พวกผู้รู้ กวีและนักดนตรีอยู่ข้างนอก พวกนั้นคงดูหมิ่นสติปัญญาพวกเรา มองพวกเราเป็นแค่พวกสวะ พวกที่หน้ามุดกระดาษ ศึกษาสร้างสรรค์อะไรบ้า ๆ และไม่ได้เงินทองจากสิ่งพวกนี้เลย อย่างมากก็ได้แค่เกียรติยศนิดหน่อยจากศิลปะที่ทำทั้งชีวิตและตายอย่างโดดเดี่ยว ผิดกับเราที่ไม่มีวันอดตาย ต่อสู้กับโลกไหนก็ได้เพราะเราเรียนรู้และเติบโตเพื่อเอาตัวรอด เจ้าว่าข้าพูดถูกไหม”
คาวินทร์ยักไหล่ “ก็ไม่ถูกทั้งหมดหรอกน่าโกแลง ข้าไม่คิดว่าพวกคนบ้าตำราจะดูถูกคนอื่นเสียทุกคน พวกเขาบางคนอบอุ่นและมีจิตใจดีงาม หากไม่มีพวกเขา พวกเราคงไม่รู้ประวัติศาสตร์เพราะไม่มีใครบันทึก ไม่มีบทกวีเกี้ยวหญิงเพราะเราไม่เคยฟังกวี ทุกอย่างมีความสำคัญ หากแต่จะอยู่กับคนที่ดีหรือไม่ดีเท่านั้น”
“เจ้านี่แปลกคน เป็นนักล่าตี่ไปยกย่องพวกหนอนกระดาษ ใครสอนเจ้าให้คิดแบบนี้กัน”
“พ่อของข้าเป็นนักล่า และพ่อก็ยกย่องคนพวกนี้เช่นกัน อาจยกย่องมากกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ”พอพูดแล้วคาวินทร์ก็ถอนใจ เขาคิดถึงพ่อกับแม่ และเขาอยากกลับบ้านสุดหัวใจ
คืนวันล่วงเลยไปรวดเร็ว อีกไม่กี่วันข้างหน้าการประลองจะเริ่มขึ้น คนคุมฝึกเดินทางมายังห้องขังรวมของสนามพร้อมใบประกาศคู่แข่งขัน และพวกเขาคือกลุ่มแรกที่จะเปิดสนาม
คาวินทร์ไม่เคยลงสังเวียนแบบนี้มาก่อน แม้จะเคยดูมาบ้างเมื่อสมัยยังเด็กกว่านี้ แต่เขายังจินตนาการภาพตัวเองอยู่ในสังเวียนไม่ออก เลือด ความตาย เสียงโห่ร้อง ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความกระหายของคนดู ทุกคนสู้และตายด้วยมือมนุษย์ด้วยกัน มันแตกต่างจากการล่าสัตว์ร้ายอย่างสิ้นเชิง ในเมือสัตว์ร้ายทรงพลังและมีความเถื่อนตามสัญชาตญาณ ทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดกันและหาอาหาร ไม่มีความละโมบ ไม่มีการหยามหมิ่น มันงดงามและทรงคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งที่มนุษย์ทำแก่กัน
เสียงสรรพวุธต่าง ๆ ถูกขนมาที่สนามดึงความสนใจของคาวินทร์ โกแลงเดินนำหน้าไปแล้ว ตัวเขายังยืนอยู่บนพื้นทรายเย็นเฉียบ มองดูที่นั่งคนดูและตกอยู่ในภวังค์ อีกไม่กี่วันที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คน และพื้นทรายกับผืนน้ำนี้จะมีแต่เลือดทาบทาแดงฉาน เสียงโกแลงตะโกนเร่งมาจากใต้อัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม คาวินทร์โบกมือให้ไปก่อน
พื้นทรายว่างเปล่า รอบตัวเงียบเสียงลง เขาใช้ปลายเท้าขีดอักขระไซย์แอมลงไป
ข้าบุตรของดาวดวงหนึ่ง
สนทนากับสายลม
ได้ยินเสียงเพรียกหา
ข้าอยู่บ้านแล้ว
ทุกคำบนผืนทรายจะถูกลบหายในไม่ช้า แต่มันจะอยู่กับเขาอีกนานตราบใดที่เขายังมีอาร์เซียอยู่ในใจ เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่ล่วงลับ
“เร็วเข้าคนอาร์เซีย”เสียงโกแลงดังมาอีก
ในไม่ช้าเขากับโกแลงและคนอื่น ๆ จะต้องลงสังเวียน ในคืนนั้นทุกคนนั่งเงียบฟังเสียงคลื่น คิดถึงบางสิ่ง และชะตากรรมตัวเองในสนามประลองที่กำลังจะมาถึง
เสียงกลองดังเป็นจังหวะฮึกเหิมผสมกับเสียงคนดูที่โห่ร้องรับการมาของเหล่าวีรบุรุษแห่งสังเวียน ในอาคารหินที่เชื่อมติดกับสนาม เฒ่าดัชคลินยืนถือไม้เท้ามองมาที่ทุกคน สายตาดุดัน คิ้วหนาขมวดชนกัน๘ณะมองมาที่ทุกคน
“พวกแกจะต้องสู้สุดฝีมือ”เฒ่าดัชคลินพูดเสียงดังตอนเดินหลังโก่งซึ่งล้วนแต่เสแสร้งผ่านหน้าทุกคน “ออกไปสู้เพื่อเกียรติยศของพวกเจ้า เพื่อชีวิตของพวกเจ้า ให้คนดูสรรเสริญเจ้า”
เสียงผู้ชมในสนามดังกระหึ่มกลับเสียงผู้เฒ่า เสียงแตรเขาสัตว์ดังยาวนาน เป็นสัญญาณเรียกพวกเขาออกไป ทุกคนลุกขึ้นยืน คนของดัชคลินลากทุกคนไปที่ประตูทางออก จากในอุโมงค์มืดสลัวที่ทุกคนตั้งแถวรอเวลา เสียงผู้คนและเสียงกลองดังจนแก้วหูสั่น มันคือเสียงต้อนรับ มันคือคำสาปส่ง มันคือเสียงเทพเจ้าที่กำหนดชะตาทุกคน
“สู้หรือตาย”ผู้เฒ่าส่งเสียงแข่งฝูงชน
คนของผู้เฒ่าที่คุมประตูปลดโซ่ทาสนักสู้ทุกคน พวกที่ยืนถือหอกคุมข้างหลังใช้ด้ามหอกดันทุกคนเข้าไปชิดประตู
“ตามข้ามาล่ะ อย่าหลุดแถว”โกแลงที่ยืนหน้าสุดพูดโยไม่หันมา
คาวินทร์กำดาบดาบแน่น ไม่ตอบคำโกแลง ข้างนอกนั่น อีกด้านของประตูตรงหน้าพวกเขา ไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามีอะไรรออยู่
โซ่ล่ามประตูถูกลากออก ผู้คนโห่ร้องอีกครั้ง
“ออกไป!”
เสียงเฒ่าดัชคลินดังพร้อมกับประตูที่เปิดผาง แสงจากข้างนอกสาดจ้าเข้ามา มันกลืนร่างดำทะมึนของโกแลงไปในพริบตา ใครคนหนึ่งถูกคมอาวุธร้องเสียงหลง คนดูครางในคออย่างหวาดเสียว ทุกคนออกจากประตูตามหลังโกแลงไปพบความตายที่รออยู่ข้างนอก ไม่มีขบวน ไม่มีกลวิธีการเอาชนะใด ๆ เลย
โกแลงลากคอคาวินทร์หลบออกมาจากประตูตอนที่ทุกคนวิ่งออกมา คาวินทร์ไม่ทันเห็นว่าเป็นใครที่ตามหลังตัวเองมา แต่รู้ว่าเป็นผู้โชคร้าย ถูกหอกเสียบเข้ากลางอก และคนที่อยู่ข้างหลังก็กระโดดข้ามร่างนั้นออกไปหาทางเอาชีวิตรอดกลางลานทราย
“ฆ่า ! ฆ่า !”เสียงผู้คนกู่ร้อง
เสียงกลองกระหน่ำบีบคั้นใจ ทุกอย่างที่คาวินทร์ตอนนี้พร่าเบลอ เคลื่อนไหวช้าบ้างเร็วบ้าง
“มาเร็ว”โกแลงตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง
คนสวมเกราะหนักกับหมวกเหล็กปิดหน้าตรงเข้ามาหาทั้งคู่พร้อมโตมรสองแฉก คาวินทร์ผลักโกแลงออกห่างตัว เบี่ยงหลบปลายแหลมที่เสือกเข้ามา ดาบในมือยัดเข้าไปตรงกลางระหว่างปลายแหลมทั้งสอง เจ้าคนถือสะอึก พยายามชักดาบตอบโต้แต่ถูกโล่ที่รัดแขนเขากระแทกหน้าคว่ำไปก่อน
ใครสักคนใกล้ ๆ ตัวเขาถูกฟันเลือดสาด สนามประลองวุ่นวาย นักสู้สองฝ่ายห้ำหั่นกัน ตกตายไปเป็นคน ๆ นี่มันไม่ใช่การทะเลาะวิวาทของมนุษย์ที่เขาเคยประสบ ไม่ใช่การล่าสัตว์ร้าย ที่นี่ผู้คนที่มีความคิดจิตใจสูงกว่าสัตว์หลงลืมมนุษยธรรม โห่ร้องให้มนุษย์ด้วยกันโจนเข้าขย้ำกันดุดสัตว์ป่า โห่ฮาเมื่อมีร่างสักร่างเลือดสาดและตกตายไป
“คาวินทร์!”
เสียงของโกแลงดึงสติของเขากลับมา เจ้าคนที่ถูกโล่กระแทกเสือกดาบใส่เขา ยังดีที่โกแลงเตือนทันเวลา คาวินทร์ใช้โล่รับดาบไว้ทันน ปลายดาบของคนที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนแฉลบออกไป คาวินทร์แทงสวน คมดาบส่งวิญญาณฉับพลันทันทีที่มันดื่มลึกผ่านชุดเกราะเข้าไปในทรวงอกร่างนั้น ในที่สุดเขาก็ฆ่าคนในสนามประลองครั้งแรกในชีวิต เขากำลังก้าวเท้าสู่อาณาจักรดำมืดในใจตัวเอง
“ฆ่า!”
เสียงคนดูกึกก้องไปทั่ว คาวินทร์สลัดโล่ทิ้ง หยิบโตมรขึ้นมาพุ่งใส่นักสู้ฝ่ายตรงข้ามที่กำลังเข้าไปแทงข้างหลังโกแลง ร่างที่ต้องโตมรเท้าหลุดจากพื้น ลอยละลิ่วจากพื้นทรายแล้วตกลงไปในน้ำทะเล
“รับ!”
โกแลงโยนขวานที่ชิงมาได้ให้เขา แต่ก่อนมันจะมาถึง นักสู้คนหนึ่งโฉบเข้ามาคว้ามันไป คาวินทร์ผงะ เจ้าคนที่ฉวยเอาขวานไปได้ตรงเข้ามาหาเขา ชิงโจมตีก่อนอย่างไม่มีกระบวน ขวานตัดอากาศเสียงดังฟังชัดแต่ไม่ถึงตัวเขาสักครั้งเดียว
ดาบกับขวานประดังเข้ามาไม่หยุด คาวินทร์ยกดาบขึ้นรับแล้วถอยเป็นวงกลม ตรงกลางมีดาบอีกเล่มตกอยู่ และนั่นคือสิ่งที่จะช่วยให้เขาเอาตัวรอดจากพายุอาวุธนี้ได้
คาวินทร์ขยับเท้าทำท่าจะเข้าไปหยิบดาบ เจ้าคนขโมยขวานทำท่าจะเข้าโจมตี คาวินทร์เดินเป็นวงกลม พยายามขยับเข้าไปหยิบดาบอีกก่อนจะถอยออกเพราะดาบฟันฉับสวนมา เขาขยับเข้าไปอีก
ขวานในมือคู่ต่อสู้เหวี่ยงมา คาวินทร์รอให้ขวานหลุดออกจากระยะโจมตี ดีดตัวเข้าไปกลางวงกลมที่ตัวเองทำไว้ หยิบดาบเล่มนั้นขึ้นรับ ดาบอีกเล่มแทงเข้าไปที่ร่างของคู่ต่อสู้เต็มแรง เพียงครั้งเดียวร่างนั้นก็กระตุก เลือดทะลักเป็นลิ่มก่อนฟาดลงกับพื้น คาวินทร์หยิบขวานมาจากร่างไร้วิญญาณนั้นก่อนจะเดินเข้าไปหาโกแลงที่ยืนคุมเชิงอยู่
การต่อสู้จบลงแล้ว และเขาคือผู้อยู่รอดร่วมกับเพื่อนนักสู้อีกสี่คน
“พวกนี้ไม่ใช่พวกของเอโนส”คาวินทร์เงยหน้าขึ้นมองโกแลงที่กำลังเดินมา
“ก็ไม่ใช่น่ะซิ”โกแลงโยนดาบทิ้ง
ประตูสนามทุกบานเปิดกว้าง นักสู้ยี่สิบคนพร้อมอาวุธครบมือออกมาตั้งแถวรอบพวกเขาทั้งห้า คาวินทร์จำคนที่นำมาได้
“เอโนส”ขวานในมือของคาวินทร์กระชับมั่น
เจ้าคนไซเพนในชุดเกราะวาววับชักดาบออกมา “รีบไปซะ นี่ยังไม่ถึงเวลาตายของเจ้า”
คาวินทร์เห็นดัชคลินกับราฟเดินฝ่าฝูงชนที่อยู่เต็มอัฒจันทร์มานั่งใต้ซุ้มที่มีเหล่าคนสูงศักดิ์และเศรษฐีนั่งรวมกันอยู่ สายตาของเฒ่าดัชคลินมองมาที่เขา มันเป็นสายตาที่คาดเดาอะไรไม่ได้ และเขาไม่ชอบมันเอามาก ๆ
“ไปซะ อย่ามาเกะกะ”
ขบวนรบด้านที่อยู่ทางด้านหลังเปิดทางให้พวกเขาทั้งห้ากลับเข้าไปในอุโมงค์ที่พวกเขาเคยยืนรอเวลาออกมาสู้กับความตาย โกแลงสะกิดเตือนให้คาวินทร์ตามทุกคนกลับเข้าไป เจ้าเอโนสแสยะยิ้ม ส่งสายตาหยามหมิ่นและชวนโมโหตามมา
“ไปซิโว้ย!”
คาวินทร์โยนดาบไปที่พื้นตรงหน้าเจ้าคนไซเพน ก้าวตามโกแลงไป สองก้าวจากตรงที่ยืนอยู่เมื่อครู่ เขาหันกลับไปพร้อมกับขว้างขวานในมือ มันดิ่งไปที่เอโนสอย่างเที่ยงตรงที่สุด
เสียงขวานเจาะลงบนโล่กลมดังไปทั่วทั้งสนาม ทุกอย่างเงียบเสียงไปชั่วขณะ
เอโนสมองขวานและคาวินทร์สลับกัน มันมีทั้งความชิงชังและโกรธเกรี้ยวอยู่ในดวงตานั้น คาวินทร์เห็นหน้าของเจ้าคนไซเพนที่แดงอยู่แล้ว แดงก่ำขึ้นไปอีก
“หวังว่าเราจะได้เจอกันเอโนส”
คาวินทร์ทิ้งท้ายก่อนตามโกแลงกลับเข้าไปในอุโมงค์
*ขอบคุณที่ทุกคนติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้ แล้วเราจะได้เจอกันอีกในไม่ช้า
ตราบใดที่ยังมีคนอ่าน จะมีคนเขียนเสมอ
ด้วยจิตคารวะ
สันติภาพ วัฒนะ/หมอกเหนือ
The Huntsman Way - วิถีนักล่า
ผู้แต่ง : หมอกเหนือ
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | ปัจจุบัน | 25 ม.ค. 59 |
| 2 | นักล่า | 07 มี.ค. 59 |
| 3 | หนี | 14 มี.ค. 59 |
| 4 | ปีกที่ถูกตรึง | 21 มี.ค. 59 |
| 5 | ทาส | 28 มี.ค. 59 |



สวัสดีค่ะ
รู้สึกว่างานคุณดียิ่งขึ้นกว่าปีก่อน การเล่าเรื่องกระชับขึ้น เสียงก็มั่นคง คุณเป็นคนมีฝีมือค่ะ และคิดว่าจะเขียนต่อไปเรื่อยๆ ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก
ต่อจากนี้เป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น คือพูดเพราะรู้สึกอย่างนี้ คุณไม่ต้องทำตามก็ได้ คือเรารู้สึกว่าสามตอนแรกที่เป็นเปิดเรื่องในเมือง เริ่มล่า ไปจนย้อนความถึงพ่อตายนั้นยังจับคนอ่านติดสู้สองบทหลังที่เป็นทาสแล้วไม่ได้ เราจึงคิดว่าถ้าขึ้นด้วยอีเวนท์มาเป็นทาสเลย แล้วแฟลชแบ็คกลับไปที่ล่าจระเข้กับพ่อตาย เรื่องน่าจะมีอิมแพ็คแรงขึ้น (ส่วนบทนำให้กลับไปอยู่ที่ลำดับเวลาปรกติ) คือคนอ่านเปิดมาก็เฮ้ยทันที สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอจับติดแล้ว คนอ่านเห็นบุคลิกตัวเอกแล้ว คุณจะเล่าอะไรก็ได้ค่ะ
ลวิตร์