EN11 หลุยส์ เลตเทรต์ กับสมุดบันทึกความทรงจำโลก

หลุยส์ เลตเทรต์...เบื้องหน้าเขาคือ ?บุรุษไปรณีย์? ผู้ซื่อตรง แต่เบื้องหลังเขาคือ ?นักสืบมากเล่ห์? ไม่มีเนื้อความในจดหมายใดหลุดลอดสายตาเขาไปได้ ความลับของทุกคนอยู่ในมือเขาแต่เพียงผู้เดียว

ผู้แต่ง

peecee

0%

ตอนที่ 3/5 : ตอนที่ 3 ละครโอเปร่า


 

มกลับมายังเพิงพักเล็กๆ ในห้องใต้หลังคาของร้านเดอะ สกาลาจ แล้ววางบัตรเข้าชมละครไว้บนโต๊ะทำงาน ก่อนที่จะทำการรื้อค้นกองกระดาษมากมายที่วางอยู่บนนั้น เพราะผมเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เมื่อครู่นี้เอง

 

บางอย่างที่สำคัญ

 

ผมใช้เวลาในการค้นหาอยู่หลายนาที จนกระทั่งพบกระดาษแผ่นหนึ่ง มันคือหนังสือสัญญาระหว่างบุรุษไปรษณีย์ (ซึ่งในที่นี้ก็คือ ผม) กับผู้ว่าจ้าง (ซึ่งผมไม่รู้ว่าใคร) อย่างที่ผมเคยบอกในตอนแรกว่า ผมเป็นนักสืบ และผู้ว่าจ้างคนล่าสุดก็ได้จ้างวานงานที่ผมมิอาจเข้าใจอะไรได้เลยจนถึงตอนนี้

 

มันยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้นอีกสำหรับผมและทุกคน บุรุษไปรษณีย์แห่งเมืองบีตส์เบิร์กมีหน้าที่ส่งจดหมายและเป็น...นักสืบ เรื่องที่ว่านี้ก็มีแต่เพียงบุรุษไปรษณีย์ด้วยกันเท่านั้นนั่นแหละที่รู้ แต่พวกเราก็ไม่เคยพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ และผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้คนภายนอกทราบได้อย่างไร

 

บุรุษไปรษณีย์จะมีเขตบริการรับจดหมายเฉพาะของตน (แต่จะส่งไปยังเขตไหนนั้นว่ากันอีกที) ทำให้พวกเราไม่ค่อยได้เจอหน้าค่าตากันเท่าไหร่นัก คุณอาจจะกำลังสงสัยว่า อะไรคือความลำบากที่ผมกล่าวถึง

 

สำหรับในส่วนของงานนักสืบนั้น บุรุษไปรษณีย์จะต้องรับงานผ่านหัวหน้าบุรุษไปรษณีย์จากที่ทำการไปรษณีย์เมืองบีตส์เบิร์กเท่านั้น ผมและบุรุษไปรษณีย์คนอื่นๆ จึงไม่มีวันได้รู้ว่าใครคือผู้ว่าจ้าง ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถที่จะหันหน้าไปถามใครในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจได้

 

หนังสือสัญญาระหว่างบุรุษไปรษณีย์และผู้ว่าจ้างเป็นเพียงข้อความสั้นๆ ไม่กี่บรรทัดที่ไม่ว่าใครก็น่าจะยอมรับได้ ข้อความนั้นจะกล่าวถึงลักษณะงานแต่ละงานนั้นโดยย่อ ก่อนจะจบลงด้วยข้อความว่า

 

 

บุรุษไปรษณีย์จะต้องไม่แพร่งพรายความลับที่ตนรู้ให้ใครรู้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม

 

 มันเป็นข้อความสั้นๆ ที่ดูปฏิบัติตามได้อย่างไม่ยากลำบากนัก เพียงแต่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า ถ้าเราทำผิดสัญญาจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะมีบทลงโทษอะไรบางอย่าง ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ยินเรื่องบุรุษไปรษณีย์คนใดทำผิดสัญญาอยู่แล้ว เราลงชื่อในหนังสือสัญญาตามธรรมเนียมก็เท่านั้น

 

คุณคงอยากจะรู้แล้วสิว่า งานของนักสืบที่ผมได้รับมอบหมายนั้นคืออะไร

 

ข้อความที่อธิบายไว้ในหนังสือสัญญานั้นค่อนข้างห้วนกระชับ และใจความสำคัญที่ผมพอจะสรุปออกมาได้ก็คือ ในเมืองบีตส์เบิร์กมีองค์กรลับองค์กรหนึ่งกำลังวางแผนเพื่อที่จะครอบงำคนทั้งเมือง

 

งานของผมคือ การยืนยันว่าองค์กรที่ว่านั้นมีอยู่จริง ชื่ออะไร มีใครเป็นสมาชิกอยู่บ้าง และมีแผนการที่จะทำอะไรบ้าง ราวกับนี่เป็นการเล่นตลกของใครบางคน เพราะข้อมูลเบื้องต้นที่ผมได้รับมาแทบไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

 

มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยต่างหาก ผมคิดด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างแรง

 

ข้อมูลที่ผมได้รับมาจากสืบสวนผ่านเนื้อหาจดหมายที่ส่งตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่สืบสวนเรื่องนี้ ทำให้รู้ว่ามีองค์กรลับใต้ดินอยู่ในเมืองบีตส์เบิร์กแห่งนี้จริงๆ แต่ใครจะยืนยันได้ล่ะว่า เมืองบีตส์เบิร์กจะมีองค์กรใต้ดินที่ว่าเพียงองค์กรเดียว ส่วนประเด็นอื่นๆ ค่อนข้างน่าลำบากใจที่จะเอ่ยถึง

 

องค์กรนั้นชื่ออะไร...ผมไม่ทราบ ไม่เคยมีชื่อเขียนไว้แม้แต่ในจดหมายหรือเคยได้ยินใครพูดถึง มีแต่เพียงสัญลักษณ์ปริศนาน่าสงสัย

 

มีใครเป็นสมาชิก...คุณออกซ์ฟอร์ดคือสมาชิกคนเดียวที่ผมรู้ ถ้าไม่รวมชายที่ชื่อ ร็อดดริก ซีเรียลที่เพิ่งเพิ่มขึ้นมาเร็วๆ นี้

 

ส่วนแผนการ...ผมไม่คิดว่าจะมีใครสาธยายแผนการณ์ของตนลงในจดหมาย และนั่นทำให้ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย

 

ผมมองไปยังบัตรเข้าชมละครโอเปร่าบนโต๊ะ พลางคิดว่า มันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร หรือนี่จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขององค์กร ดูเหมือนจะมีเพียงวิธีเดียวที่ผมจะสามารถรู้เรื่องนี้ได้ก็คือ การตอบรับการเชิญชวนนี้

 

 

เป็นคืนนี้เองที่ผมกำลังเอ่ยเรื่องความลับ ถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องความลับแล้วล่ะก็ ผมสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ไม่จบไม่สิ้น และคงต้องใช้เวลากว่าค่อนวันในการบอกใครก็ตามที่ทนฟังว่า ความลับเหล่านั้นคืออะไร และใช้เวลาต่ออีกหลายชั่วโมง ซึ่งนานพอที่จะทำให้คนเหล่านั้นพลาดดินเนอร์สุดหรูในภัตตาคารเจอนัวร์ หรือพลาดนัดสำคัญกับเพื่อนที่ลานน้ำพุ และอาจจะทำให้พวกเขานอนไม่หลับไปอีกหลายคืน

 

นั่นเพราะ...ผมเข้าใจมัน และในเมืองนี้ก็มีคนเพียงไม่กี่คนหรอกที่เข้าใจในสิ่งที่ผมเข้าใจ

“ความลับไม่มีในโลกหรอกรู้ไหม” ผมกล่าวออกไป ขณะนั่งสาธยายเรื่องความลับให้เด็กชายเกเรสองคนฟังที่ลานกลางเมือง

 

“ไม่จริงหรอก” เด็กชายคนแรกแย้งขึ้นมา

 

“จริงสิ ทำไมนายถึงว่าไม่จริงล่ะ” ผมถาม

 

“อย่างน้อยก็คงไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเพิ่งทำอะไรลงไป นี่ล่ะความลับ”

 

อย่างที่คุณรู้ ความลับมีอยู่สองประเภท ประเภทแรก...ความลับที่เป็นปัจเจกและความลับที่ไม่เป็นปัจเจก (ในตอนนี้ผมอนุญาติให้คุณย้อนกลับไปทบทวนเรื่องราวความหมายของมันได้) สำหรับความลับของเด็กชายคนนี้เป็นประเภทที่สอง เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่เพื่อนของเขาจะไม่รู้ว่าเด็กชายคนนี้คิดจะทำอะไรในเวลานี้

 

“งั้นรึ” ผมยิ้มเยาะ สิ่งหนึ่งที่ผมเคยบอกไป นิยามที่ว่า ความลับไม่มีในโลก นั้นใช้ได้กับคนอย่างผมเท่านั้น และถ้าจะถามผมว่าความลับของผมนั้นเป็นประเภทใด ผมยินดีที่จะบอกว่าความลับของผมนั้นไม่ใช่ทั้งสอง มันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ

 

“มันอาจจะเป็นอย่างที่นายว่านะ สำหรับเงินจำนวนไม่น้อยเลยที่นายแอบหยิบออกมาจากกระเป๋าตังค์แม่ เพื่อจะไปซื้อขนมหรือไปแอบดูโอเปร่าที่โรงละคร ซึ่งห้ามบุคคลอายุต่ำกว่าสิบแปดปีเข้าไป” ผมสาธยายความลับของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะรู้ ถ้าคุณเห็นธนบัตรสองสามใบซึ่งยับยู่ยี่อยู่ในมือของเด็กชายคนแรกตอนนี้

 

ผมหยิบนาฬิกาพกทองเหลืองขึ้นมาดู เข็มสั้นและเข็มยาวบอกว่า นี่เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว และละครโอเปร่ากำลังจะเริ่มแสดง และผมควรจะหยุดเล่นสักที

 

“อย่าเครียดไปเลยน่า ฉันไม่เอาไปฟ้องแม่ของพวกนายหรอก ถึงแม้จะรู้ว่าบ้านนายอยู่ที่ไหนก็ตาม จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ” ผมว่า เด็กทั้งสองคนจึงรีบหันหลังวิ่งจากไป พวกเขากำลังมุ่งตรงไปยังอาคารหลังใหญ่ที่พราวระยับราวกับพระราชวัง ที่ซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกเลื่องชื่อ มันมีรูปแบบสถาปัตยกรรมงดงามที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเมืองนี้ แสงไฟที่ลอดออกมาจากหน้าต่างโมเสกบานสูงสว่างไสว ขณะที่เสียงบรรเลงของวงดนตรีซิมโฟนีออเคสตร้าเริ่มขึ้นอย่างช้าๆ

 

ที่นั่นคือ โรงละครที่ผมว่า

 

และที่นั่นคือ ที่ที่ผมกำลังจะไป

 

 ผมรีบรุดไปยังโรงละครหลังโตนั่นในทันที ความโอ่อ่าของมันทำให้ผมหวั่นเกรง และเริ่มไหวหวั่นราวกับว่าตนเองมาอยู่ผิดที่ผิดทาง

 

พนักงานชายที่เฝ้าประตูด้านหน้าเดินเข้ามาขวางผม ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าประตู พนักงานชายคนนั้นไล่สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางสำรวจมองชุดบุรุษไปรษณีย์อย่างดูถูก ก่อนที่จะพูดว่า “คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในงานนี้นะ บุรุษไปรษณีย์”

 

“ขอโทษด้วยครับ”

 

ผมหยิบบัตรเข้าชมละครออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านใน พนักงานชายมีท่าทีตกใจไปเลยเมื่อเห็นดังนั้น เขาโน้มตัวถอยหลังสองสามก้าวพร้อมกับผายมือ

 

“เชิญครับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและไม่สู้เต็มใจนัก เห็นได้ชัดว่า ชายคนนี้ไม่อยากเชื่อว่าผมจะมีบัตรเข้าชมละครโอเปร่าอันยิ่งใหญ่และฟุ่มเฟือย นั่นไม่ต้องพูดถึงราคาบัตรเลยว่าจะแพงขนาดไหน เขาคงกำลังสงสัย...ผมมีบัตรใบนี้ได้ยังไงกันนะ

 

ผมเดินเข้าไปข้างในด้วยความสะใจอยู่ไม่น้อย แต่ความเปรมปรีดิ์เป็นต้องหยุดแต่เพียงเท่านั้น มีเสียงทักทายผมขึ้นจากข้างหลัง และเมื่อผมหันกลับไปก็ทำให้พบกับบุคคลที่คาดไม่ถึง

 

“ราตรีสวัสดิ์หลุยส์ เลตเทรย์ นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ”

 

ผมหันหน้าไปมองดอว์น คาวัลนี นักสืบหน้าใหม่ไฟแรงของกองตำรวจสืบสวนและปราบปรามเมืองบีตส์เบิร์ก ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจสีกรมท่าเต็มยศ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า เขามาทำอะไรที่นี่ตอนนี้

 

“ฉันมาดูละคร” ผมตอบกลับไปด้วยถ้อยคำสั้นห้วน

 

“โอ้ บุรุษไปรษณีย์มาดูละครโอเปร่าที่จัดขึ้นเพื่อการกุศล ที่มีแต่นักการเมือง นักการศาล ทูต เศรษฐี เศรษฐินี และผู้ทรงอิทธิพลในเมืองบีตส์เบิร์กเท่านั้นที่ได้รับเชิญงั้นรึ”

 

“ฉันก็ได้รับเชิญ”

 

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมนายถึงมีบัตรเชิญนั่น แต่ฉันขอแนะนำ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นายควรอยู่”

 

“ไม่ต้องบอกฉันก็รู้” ผมมองดอว์นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกล่าวว่า “นายก็ไม่ควรมาอยู่ที่นี่เช่นกัน นักสืบคาวัลนีแห่งกองสืบสวน”

 

คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมกับดอว์นถึงดูสนิทกันมากขนาดนี้ (คำว่า สนิทอาจจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก ถ้าเรียกว่าคู่กัดอาจจะใกล้เคียงกว่า) พวกเราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ เพราะพวกเราทั้งคู่ต่างเติบโตขึ้นมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ดอว์นมีอายุมากกว่าผมเพียงสามปีเท่านั้น ในอดีตพวกเราทะเลาะกันประจำ (แม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีบ้างเป็นครั้งคราว) จึงไม่แน่แปลกใจที่พวกเราทั้งสองดูจะไม่ลงรอยกันนัก

 

ผมไม่รู้ว่าตำรวจสืบสวนมาทำอะไรที่นี่ตอนนี้ แต่นั่นก็แปลความได้ว่า คืนนี้ไม่ใช่ค่ำคืนที่ปกติ มันจะต้องมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

“ฉันเตือนนายแล้วนะ มันไม่ปลอดภัย” ดอว์นตะโกนไล่หลังมา แต่ผมไม่สนใจ ผมเดินขึ้นบันไดมาจนถึงประตูที่เปิดออกไปสู่โถงโรงละคร ที่หน้าประตูเหมือนมีใครคนหนึ่งรอผมอยู่ คนคนนั้นคือ คุณโปรา...พ่อบ้านของร็อดดริก ซีเรียล

 

“สวัสดียามค่ำครับ นายท่าน” เขาเอ่ยอย่างน้อมนอบ ผมอยากให้เขาเลิกใช้สรรพนามเช่นนี้เรียกตัวผมเสียที

 

“ผมต้องทำยังไงบ้างครับ” ผมถาม

 

“กรุณาสวมนี่ด้วยครับ” พ่อบ้านส่งเสื้อโค้ทสีดำแกมเทามาให้ผม ดูด้วยหางตาก็รู้ว่านี่เป็นเสื้อโค้ทราคาแพงมียี่ห้อที่พวกผู้ดีเขาใส่กัน

 

“เอ่อ...ขอโทษนะครับ ผมต้องสวมมันอย่างนั้นหรือ”

 

“เพื่อประโยชน์ต่อตัวคุณเอง”

 

คำพูดสั้นๆ เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมถึงบางอ้อ พวกผู้ดีทั้งหลายคงไม่ชอบใจแน่ที่เห็นบุรุษไปรษณีย์ร่วมชมละครอันเปี่ยมด้วยเกียรติกับพวกเขา มันคงจะเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเกินไป ด้วยเหตุนั้นผมจึงรับเสื้อโค้ทขึ้นมา แล้วสวมทับเสื้อกั๊กของบุรุษไปรษณีย์ มันให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจตลอดเวลาที่ใส่มัน

 

“เชิญทางนี้ครับ คุณหนูกำลังรออยู่”

 

เบื้องหลังบานประตูตรงหน้าคือความยิ่งใหญ่ทางสถาปัตยกรรมอย่างแท้จริง ผมก้าวเข้าสู่ความตระการตาของห้องโถงโรงละครอันเป็นที่ภาคภูมิใจของเมืองบีตส์เบิร์ก

 

โรงอุปราการบีตส์เบิร์ก พวกเราชาวเมืองเรียกที่นี่ว่าอย่างนั้น ความยิ่งใหญ่อลังการของมันทำเอาผมใจสั่น กิตติศัพท์ความงามของมันผมพอจะเคยได้ยินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะอลังการถึงจราดนี้ ถ้าเพื่อนของผมทุกคนต้องรู้สึกอิจฉาเป็นแน่ การได้เข้ามาภายในสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของบุรุษไปรษณีย์สักคนเดียว

 

ผมเดินตามคุณโปราไป กลิ่นเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายราคาแพงปะทะเข้าจมูกของผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยเห็นเหล่าคนชนชั้นสูงรวมตัวมากเท่านี้มาก่อน ขณะที่ผมเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ มีผู้ดีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หันมามอง ก่อนจะละความสนใจไปอย่างรวดเร็ว นั่นอาจเป็นเพราะเสื้อคลุมราคาแพงที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ที่ทำให้ตัวผมดูมีมูลค่าขึ้นอย่างมหาศาล ผมนึกไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าพวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของผมแล้วจะมีปฏิกิริยาเช่นใด

 

คุณโปรานำผมมายังแถวที่นั่งชั้นบนสุด ผมสังเกตเห็นร็อดดริก ซีเรียลอย่างง่ายดาย มีเก้าอี้บุนวมกำมะหยี่สีครามข้างๆ ว่างอยู่ตัวหนึ่ง และนั่นทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที

 

“เชิญนั่งสิ คุณเลตเทรย์ คุณมาได้จังหวะพอดี การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”

 

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีเชื่องช้า ผมไม่เคยได้นั่งเก้าอี้ที่มีเบาะนุ่มเท่านี้มาก่อนในชีวิต และรู้สึกเกร็งบริเวณก้นกบมากกว่าจะสบาย

 

ผมสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ก่อนจะพบว่าที่นั่งชั้นบนนั้นประกอบด้วยบุคคลระดับวีไอพีทั้งสิ้น มีมาตั้งแต่นายกเทศมนตรี ประธานผู้พิพากษา และผู้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองของเมืองบีตส์เบิร์ก นอกจากนี้ยังมีผู้ทรงอิทธิพลจากวงการต่างๆ มากมายเท่าที่คุณจะนึกออก ผมมองไล่ไปจนกระทั่งพบคุณออกซ์ฟอร์ดนั่งอยู่ถัดไปเพียงสามช่วงเก้าอี้เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะจำผมไม่ได้

 

ผมมองสำรวจต่อไปอีก ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณที่ผมนั่งมากนักมีประตูทางออกฉุกเฉินอยู่ มีพนักงานรักษาความปลอดภัยยืนเฝ้าสองคน พวกเขาทั้งคู่ดูร้อนรนจนผิดวิสัย หากผมเลือกที่จะไม่สนใจเท่าใดนัก ทางออกฉุกเฉินมีอยู่ทั้งหมดห้าจุดด้วยกัน และผู้ชมที่อยู่ในโรงละครแห่งนี้น่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่าห้าร้อยคน ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สภาพก็คงไม่ต่างจากมดแตกรัง

 

เมื่อผมหันกลับไปมองทางออกฉุกเฉินที่อยู่ใกล้ที่สุด ผมก็สังเกตเห็นดอว์นเดินเข้ามายืนแทนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนนั้น และนั่นก็พอดีกับตอนที่ไฟทั้งโรงละครถูกหรี่ลง หลงเหลือแต่เพียงแสงไฟส่องบริเวณเวทีเท่านั้น

 

“ท่านสุภาพสตรีและท่านสุภาพบุรุษแห่งเมืองบีตส์เบิร์กทั้งหลาย!”

 

เสียงก้องกังวานของพิธีกรชื่อดังอย่าง ลาร์ เฮฟวีร์ เรียกสายตาของคนทุกคนให้จับจ้องไปที่เขา ราวกับเขาคือสิ่งเดียวที่น่าสนใจที่สุดบนโลกใบนี้

 

“ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่มหรสพแห่งความรุ่งโรจน์และนาฏกรรมแห่งความโชติช่วงที่จะออกมาเฉิดฉายภายในโรงอุปราการบีตส์เบิร์กแห่งนี้!”

 

เสียงตบมือดังครึกโครมตามมา

 

“เอาล่ะ ก็เหมือนเช่นเคย ไม่เคยมีวันไหนหรือคืนใดที่สีสันจะไม่ถูกแต้มจรดหรือสรรพเสียงจะไม่เรียบเรียงความไพเราะ ทุกสิ่งทุกอย่างจะปรากฏให้ท่านได้รับทราบรับสัมผัสที่นี่ทุกคืนทุกวัน!”

 

ผมจ้องมองลาร์ เฮฟวีร์ พูดพล่ามด้วยความรู้สึกน่าขยะแขยงเล็กน้อย ผมไม่เข้าใจนักหรอกว่า ทำไมผู้คนถึงชอบความเจ้าสำบัดสำนวนที่แสนจะลีลาของชายคนนี้นัก สำหรับผมมันค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เมื่อถ้อยคำเพียงหนึ่งคำสามารถพูดลากยาวขยายความต่อไปได้อีกหลายประโยค

 

“แต่ว่า...” น้ำเสียงของลาร์ เฮฟวีร์เปลี่ยนเป็นการกระซิบกระซาบ พร้อมแสงไฟของโรงละครทั้งโรงที่พร้อมกันดับ เหลือแต่เพียงแสงไฟที่สาดส่องลงมายังตัวพิธีกรชื่อดัง “...ทุกท่านน่าจะรู้ถึงความพิเศษของค่ำคืนนี้ดี ถึงมาที่นี่” พิธีกรหนุ่มเงียบเสียงไปหลายวินาที แต่นั่นก็นานพอที่จะทำให้ใครหลายคนลืมหายใจ แต่ตกใจอย่างสุดขีดกับเสียงกึกก้องกังวานในวินาทีต่อมา

 

“ค่ำคืนนี้! ที่แห่งนี้! เวทมนตร์จะถูกร่ายลงยังดินแดนแห่งภายมายา ละครเวทีที่ทุกท่านจะได้ชมในราตรีนี้ ไม่เคยมีการแสดงที่ใดมาก่อน แต่ผมรับประกันได้เลยว่า นี่จะเป็นละครเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในหลายศตวรรษ ความวิเศษของมันคงยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้แล้วในแผ่นดิน! และทุกท่านน่าจะรู้จักตำนานของออซเซ่กันดีนะ”

 

ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง รู้สึกฉงนกับคำพูดของอีกฝ่าย ผมไม่คิดว่าจะมีคณะละครใดจะหยิบนำเรื่องเล่าเก่าแก่นั่นมาทำเป็นละครเวที

 

ตำนานออซเซ่...เป็นตำนานที่มีมานานในเมืองบีตส์เบิร์ก ถึงกระนั้นคนเมืองอื่นก็น่าจะรู้จักมันเป็นอย่างดี ตำนานเรื่องนี้หลายคนว่าเป็นเรื่องเล่า หลายคนว่าเป็นเรื่องจริง สำหรับผมแล้วมันเป็นนิทานกล่อมนอนเรื่องดีเรื่องหนึ่ง

 

ตำนานออซเซ่มีฉายาอีกฉายาหนึ่งว่า ‘เรื่องราวที่เล่าไม่จบ’

 

เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายชราคนหนึ่งที่เป็นช่างซ่อมรองเท้า เขาเป็นช่างซ่อมรองเท้าพเนจรที่มักจะย้ายถิ่นฐานไปเมืองต่างๆ ทุกยี่สิบห้าปี เขาอยู่ตั้งแต่เด็กทารกคนหนึ่งเติบโตกลายเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์หรือสาววัยสะพรั่ง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาย้ายมากี่เมืองแล้ว บ้างก็ว่าสามถึงสี่เมือง บ้างกว่ามากกว่าสิบเมือง และไม่มีใครรู้ว่าชายชราอายุเท่าไหร่

 

ชายชราผู้นี้มีชื่อว่า ออซเซ่ ช่างซ่อมรองเท้ามหัศจรรย์ แต่คนทั่วไปมักจะเรียกเขาว่า ช่างออซ รองเท้าทุกคู่ไม่จะเก่าหรือใหม่ เมื่อถูกเขาซ่อมแล้วจะกลับกลายเป็นรองเท้าชั้นดี สวมได้พอดีเท้าไม่พลาดแม้แต่มิลลิเมตรเดียว และเดินเหินสะดวกราวกับบินได้ เจ้าของรองเท้าจะรู้สึกเหมือนว่าตนได้รองเท้าคู่ใหม่กลับมาครอบครอง

 

ทว่ามีเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าฝีมือในการซ่อมรองเท้าของเขา ช่างออซปฏิเสธที่จะรับเงินเป็นสินไหมค่าจ้างในการซ่อมรองเท้าโดยสิ้นเชิง เขากลับขอสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องราวเล็กๆ ที่เป็นความลับของเจ้าของรองเท้าแต่ละคู่ ด้วยเหตุนี้รองเท้าทุกคู่จึงมีประวัติ (ครั้งตอนเด็กผมก็เคยอดคิดสงสัยไม่ได้ว่า รองเท้าที่ผมใส่อยู่นี้เคยถูกซ่อมโดยช่างออซหรือเปล่า)

 

และแล้ววันหนึ่งก็ไม่มีช่างออซอีกต่อไป ไม่มีใครพบเขา บุคคลสุดท้ายที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรองเท้าคู่สุดท้ายที่ช่างออซซ่อม ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ประจำเมืองว่า ชายชราได้ทิ้งสมุดบันทึกส่วนตัวเอาไว้ ก่อนที่เขาจะจากไป บันทึกที่เก็บเกี่ยวมาจากเรื่องราวที่ผู้คนแบ่งปันมาให้เขา

 

มันคือ บันทึกความทรงจำของคนทั้งโลก

 

และเรื่องราวเกี่ยวกับช่างออซก็จบลงเพียงเท่านี้

 

ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม มันเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก แต่ใช่ว่ามันจะเลวร้าย เรื่องราวของช่างออซนั้นเป็นสิ่งที่เด็กหลายคนชื่นชอบมาก (ผมต้องยอมรับว่าเคยเป็นหนึ่งในผู้ที่คลั่งไคล้) เด็กๆ จะเสริมต่อจินตนาการกับเรื่องราวเหล่านี้ หลายครั้งที่มีการละเล่นกันในหมู่เด็กเล็ก ให้คนหนึ่งสวมบทบาทเป็นช่างออซ หลังจากนั้นทุกคนสามารถขอให้ช่างออซทำอะไรก็ได้ แต่ต้องเล่าเรื่องราวของตนเองให้ฟังเป็นการแลกเปลี่ยน

 

ก็น่าสนุกดี ผมคิด เมื่อม่านเวทีเริ่มเปิดฉากขึ้น ผมไม่รู้หรอกว่าทุกคนจะมีอารมณ์ร่วมไปกับละครเวทีเรื่องนี้ไหม แต่ผมมั่นใจว่าเกือบทุกคนที่นี่ล้วนมีความทรงจำเกี่ยวกับช่างออซ...ไม่แบ่งเพศ ชนชั้น และวรรณะ

ละครโอเปร่าเริ่ม ความตื่นตาตื่นใจเริ่มตั้งแต่ฉากที่ช่างออซปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางหมอกสีขาว นำแสดงโดยนักแสดงละครเวทีระดับโลก การดำเนินเรื่องเริ่มขึ้นเป็นฉากย้อนอดีตที่มาของช่างออซ

 

กล่าวถึงช่างออซครั้งยังเป็นเด็กเร่ร่อนที่คอยเป็นมือปืนรับจ้างพ่อค้าแม่ค้าในตลาด (นี่จะต้องเป็นเรื่องราวที่ต้องถูกเสริมเติมแต่งขึ้นมาอย่างแน่นอน) ออซเซ่น้อยในวัยเด็กไม่มีแม้แต่รองเท้าจะใส่ เมื่อเขาได้รับของขวัญเป็นรองเท้าบู๊ตคู่หนึ่งจากแม่ชีใจบุญ จุดนั้นเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นช่างซ่อมรองเท้า

 

และเรื่องราวต่อจากนั้นก็เหมือนดังที่ผมเล่าไว้ในข้างต้น นักร้องนักแสดงบนเวทีถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างหมดจด สมกับที่ลาร์ เฮฟวีร์โฆษณาไว้จริงๆ ผมเชื่อว่าสำหรับคนที่ตั้งใจมาดูละครเวทีเรื่องนี้ มันจะต้องเป็นหนึ่งในการแสดงที่ติดตราตรึงใจอย่างแน่นอน แต่ทว่า...ผมไม่ได้สนใจในการแสดงตรงหน้าสักเท่าไหร่

 

การแสดงทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ในตอนนี้มันได้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว นักแสดงชายผู้ซึ่งแสดงเป็นช่างออซได้หยิบสมุดบันทึกขึ้นมา นั่นจะต้องเป็นสมุดบันทึกความทรงจำโลกอย่างแน่นอน และอีกไม่นานชื่อของออซเซ่ก็จะกลายเป็นตำนาน

 

“ได้เวลาแล้ว” ร็อดดริก ซีเรียล ชายผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายผมพูดขึ้นในตอนนั้น แต่เขาไม่ได้หันมาพูดกับผม เขาหันไปพูดกับคนข้างๆ ซึ่งเป็นหญิงสาวผู้อยู่ในอาภรณ์ขนนกสีดำ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากที่นั่ง

 

“ส่วนคุณรอผมอยู่ที่นี่นะ” คราวนี้แหละที่เขาหันมาพูดกับผม ซึ่งผมต้องยอมรับ ณ ตอนนั้นว่า ไม่เข้าใจความหายของมันแม้แต่นิดเดียว

 

ร็อดดริกลุกขึ้นตามหญิงชุดดำคนนั้น และผมก็สังเกตเห็นในตอนนั้นเอง เมื่อร็อดดริกเดินผ่านหน้าผมไป แหวนแบบเดียวกันกับคุณออกซ์ฟอร์ดสวมอยู่บนนิ้วชี้ข้างขวาของเขาและเธอ!

 

ผมเริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ผิดปกติขึ้นได้ในทันที เมื่อคุณออกซ์ฟอร์ดที่นั่งห่างออกไปไม่มากนักก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไปจากห้องหลังจากนั้นไม่นาน ชายวัยกลางคนเหลือบมองผมชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมถึงกับใจสั่น ผมทอดมองเจ้าหน้าที่การเงินอาวุโสที่เดินไปยังทางออกฉุกเฉิน ผมเห็นดอว์นยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม สายตาสอดส่องไปทั่ว ไม่แม้แต่จะสงสัยเมื่อมีคนเดินผ่าน

 

ก็ใครกันล่ะจะเคลือบแคลงสงสัยในตัวเจ้าหน้าที่อาวุโสแห่งสถาบันการเงินโวฟามิงโก้

ก็ผมนี่ไง!

 

ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่ง ไม่สนใจคำพูดของร็อดดริกที่ให้ผมรอ แต่พอผมกำลังจะเดินออกไปนั้นเอง กลับถูกตำรวจหนุ่มดักทางไว้

 

“นายจะรีบไปไหน การแสดงยังไม่ทันจบ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามผมพร้อมส่งสายตาที่เพ่งมองด้วยความสงสัย

 

“ฉันจะไป...เอ่อ...” นี่มันเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติชัดๆ ผมพยายามคิดหาเหตุผลพลางมองไปบนเวที ซึ่งขณะนี้การแสดงกำลังจะจบลง...ช่างออซปิดสมุดบันทึกของเขาในที่สุด

 

ตูม!

 

เสียงระเบิดดังกึกก้อง คุณอาจจะคิดว่านี่คือเสียงซาวน์เอฟเฟ็กประกอบการแสดง แต่ไม่ใช่เลย เมื่อเศษปูนเริ่มร่วงหล่นลงมาจากเพดาน ผมกับดอว์นได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น

 

ตูมมม!

 

เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งและใหญ่กว่าเดิม มันระเบิดขึ้นบริเวณโซนที่นั่งวีไอพีหรือพูดให้ชัดก็คือบริเวณแถวที่นั่งที่ผมนั่งอยู่เมื่อสักครู่นั่นแหละ และแน่นอนว่าผมกับดอว์นได้รับแรงกระแทกอย่างแรง หูของผมแทบจะเรียกได้ว่าดับไปเลย ภาพตรงหน้าดูสับสนไปเสียหมด ผมมองไปยังบริเวณแถวเก้าอี้ที่ตนเคยนั่ง บัดนี้มีเศษอิฐเศษปูนมากมายถล่มลงมาทับบริเวณนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเห็นเหล่าบรรดาผู้ดีวิ่งหนีกันอลหม่านไปยังทางออก กระโปรงฟูฟ่องของของเหล่าคุณนายสร้างภาระมากไม่ใช่น้อย ขณะที่โรงอุปราการเริ่มทลายตัวลงมาอย่างช้าๆ

“หลุยส์ เลตเทรย์!”

 

ผมได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกอื้ออึงอยู่ไม่ไกล นั่นใช่เสียงดอว์นหรือเปล่านะ ผมรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนพยุงตัวผมขึ้น พวกเราสองคนต่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากห้องนั้น มีคนมากมายวิ่งผ่านผมไป การก้าวย่างลงบันไดแต่ละขั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก และเมื่อผมกลับมามีสติเต็มที่อีกครั้งก็พบว่า ตนเองได้ออกมายืนอยู่หน้าโรงอุปราการบีตส์เบิร์กแล้ว และคนที่ยืนอยู่ข้างกายนั้นคือ ดอว์น

 

“เกิดอะไรขึ้น” ผมถาม แม้ว่าจะรู้ดีถึงสิ่งที่เกิด ผมทอดมองสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่เบื้องหน้า ซึ่งมันกำลังจะกลายเป็นเพียงอดีต

 

ตูม!

 

เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและนี่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย เปลวไฟพุ่งขึ้นสูงเหนือหลังคาโรงอุปราการ แสงสีแดงสะท้อนไหวอยู่ในแววตาทุกคน ยังโชคดีที่มีผู้รอดชีวิตจากการระเบิดครั้งนี้จำนวนไม่น้อย สีหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ขณะทอดมองสถาปัตยกรรมอันแสนภาคภูมิของเมืองถล่มต่อหน้าต่อตา

 

“ดอว์น...นายต้องไป” ผมพูดกับตำรวจหนุ่มข้างหาย

 

“ไป...ไปไหน”

 

ผมไม่ได้ตอบในทันที เพราะสายตาผมทอดมองไปยังชายที่ชื่อร็อดดริก ซีเรียลอยู่ ชายผู้นี้ยืนอยู่อีกฟากถนนพร้อมรถม้าคันใหญ่ และกำลังมองมาที่ผม แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัดนัก แต่มันก็น่าหวาดหวั่น ผมชี้ไปที่ร็อดดริก “นั่น คนนั้น นายต้องตามหมอนั่นไป”

ดอว์นหันไปตามทางที่ผมบอก แต่เขาไม่รู้ว่าผมพูดถึงอะไร ร็อดดริกกำลังจะขึ้นรถม้าไปแล้ว

 

“นายให้ตามใคร”

 

“เขาชื่อร็อดดริก...ร็อดดริก ซีเรียล และเหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ”

 

“น่ะ...นายรู้ได้ยังไงกัน” ดอว์นยังคงสงสัย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของการอธิบายขยายความ

 

“เรื่องนั้นไว้ทีหลัง แต่ฉันมั่นใจว่า หมอนั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”

ถึงแม้พวกเราสองคนจะไม่เข้าร่องเข้ารอยกันนัก แต่เราทั้งคู่ก็รู้ดีว่า เวลาไหนควรทำอะไร ด้วยเหตุนั้นดอว์นจึงพยักหน้าตอบรับ แม้เขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม เขาวิ่งตามไปและเรียกตำรวจที่อยู่บริเวณนั้นอีกสองคนให้ตามมา มีรถม้าของกองสืบสวนอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก

 

ความคิดของผมสับสนไปเสียหมดในตอนนี้ ผมยังคงสวมเสื้อโค้ทราคาแพงอยู่ เมื่อดอว์นไปได้สักพักแล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปเช่นกัน ผมกระชับเสื้อให้ได้ทรงขณะเดินโซซัดโซเซห่างออกมาจากที่เกิดเหตุ รถดับเพลิงจำนวนมากเร่งรุดมายังที่นี่ และผมเพิ่งค้นพบเดี๋ยวนั้นเองว่า งานที่ผมได้รับมอบหมาย มันอันตรายยิ่งกว่างานใดๆ

 

ผมเดินเอ้อระเหยออกมาจากที่ตรงนั้น ก่อนที่จะเผลอไปชนใครเข้า แล้วก็เดินไปชนใครเข้าจริงๆ

 

“อ่ะ...ขอโทษครับ” ผมขอโทษขอโพยอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วทันทีที่เดินชนใครเข้า คนที่ผมเดินชนนั้นสวมเสื้อคลุมสีตุ่นคลุมทั้งตัว เขาหรือเธอผู้นี้สวมหมวกฮู้ดคลุมศีรษะเอาไว้ ทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่นัก

 

“ไม่เป็นไร” เขาหรือเธอคนนั้นพูด ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไปอย่างน่าผิดสังเกต ถึงกระนั้น ตอนนี้ผมก็ไม่มีอารมณ์พอจะมาจับผิดใครหรือสนใจว่าอาจจะมีใครเอาอะไรมาหยอดใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทหรือเปล่า

 

ผมเดินไปยังจักรยานที่จอดทิ้งไว้ไม่ไกลนัก ก่อนจะขี่มันกลับที่พัก และผมก็นึกถึงดอว์นที่ไล่ตาม

 

เช้ารุ่งวันพรุ่งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น มันจะต้องเป็นข่าวใหญ่มากที่สุดในรอบรอบสิบปีอย่างแน่นอน



หลุยส์ เลตเทรต์ กับสมุดบันทึกความทรงจำโลก

ผู้แต่ง : peecee


Comment จากกรรมการ

#1 Enter Books Editor Team

สำหรับนิยายแนวสืบสวนสอบสวน/ ลึกลับซ่อนเงื่อน
แน่นอนว่าช่วงบทแรกๆต้องเป็นการปูเนื้อเรื่อง+ผูกปมซะเยอะ
ซึ่งตรงนี้ทำได้ดีแล้วนะครับ เดินเรื่องได้ลื่นไหล
แต่กว่าจะถึงจุดคลี่คลายปมที่ผูกเอาไว้ก็คงต้องท้ายๆเรื่องนู่น
ซึ่งใน 5 บทแรกคงไม่มีทางได้เห็น
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าถึงตอนเฉลย มันจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกทึ่งสุดๆไปเลยนะคับ XD

บทที่ 5 นี้รู้สึกว่าอ่านง่ายขึ้นกว่าบทก่อนๆ
ดูเหมือนกำลังเข้าฝักได้ที่เลยครับ

อย่างไรก็ตาม ฝากปรับปรุงตามตัวอย่าง 2 จุดนี้เพิ่มเติมนะครับ

1. พยายามเลี่ยงการใช้สำนวนฝรั่งนะครับ(ต่อให้เรื่องของเราจะเป็นธีมฝรั่งก็ตาม แต่สำนวนไม่ควรฝรั่ง)
เช่น [ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออก]
ถูกเปิดออก ---> แบบนี้เป็นรูปประโยค passive/ ฝรั่งนิยมใช้/ คนไทยไม่นิยมนะครับ
คนไทยใช้รูป active

ดังนั้นควรแก้ให้เป็นรูป active เช่น: [ไม่นานนักก็มีคนมาเปิดประตู]/ [ไม่นานนักประตูก็อ้าเปิด]

2. ตัดคำซ้ำนะครับ
เช่น [มีไม่กี่สาเหตุนักที่จะทำให้ซิสเตอร์แมร์รี่ผู้อ่อนโยนจะแปลงร่างจากนางฟ้าเป็นแม่มด และหนึ่งในสาเหตุนั้นก็คือ การที่เด็กกำพร้า...]

สังเกตดู มีคำว่า 'จะ' 2 คำในประโยคเดียวกัน
และมีคำว่า 'สาเหตุ' 2 คำในประโยคเดียวกัน
เป็นเหตุที่ทำให้อ่านแล้วสะดุดครับ
ควรแก้/ ใช้คำอื่นแทน/ หรือตัดทิ้งไปเลยยังได้

กรณีที่ตั้งใจใช้คำซ้ำเพื่อให้เกิดสัมผัสในก็มีครับ นักเขียนบางคนใช้ได้อย่างสวยงาม
แต่ในตัวอย่างที่ยกมานี้ไม่ใช่

จะเอาใจช่วยต่อไปนะครับ : )

ดาวิษ ชาญชัยวานิช

Comment จากกรรมการ

#2 กองบรรณาธิการสนพ. Enter Books

สวัสดีคร้าบ~

มีความเป็นเชอร์ล็อกผสมเจมส์บอนด์ เป็นนิยายสายนักสืบที่มีความคลาสสิกอยู่ในตัว ชอบครับ สำนวนภาษาก็ดี รออ่านตอนต่อไปอยู่นะครับ บุรุษไปรษณีย์นี่เป็นอะไรได้อีกเยอะจริงๆ

นี่เฮียเอง

ความคิดเห็นล่าสุด

Page 1 of 3 1 2 3
  • ความคิดเห็นที่ 44

    peecee
    • Name : peecee < My.iD > [IP] 171.5.248.152
    • 16 เมษายน 2559 / 13:35
    สามารถไปติดตามนิยายต่อได้ที่

    http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1460755
    นะครับ
  • ความคิดเห็นที่ 43

    ดำรงศักดิิื์
    • Name : ดำรงศักดิิื์ [IP] 124.120.24.100
    • 1 เมษายน 2559 / 12:34
    สู้ๆนะ
  • ความคิดเห็นที่ 42

    peecee
    • Name : peecee < My.iD > [IP] 161.246.76.212
    • 31 มีนาคม 2559 / 11:43
    #คห.39 พี่ปัฐ
    ขอบคุณครับผมที่แวะมาอ่าน  ผมนี่รู้สึกมาตลอดการแข่งขันเลยฮะว่า  เนื้อเรื่องผมอาจจะไม่ทันใจคนอื่นเขา

    #คห.41 พี่ดาวิษ
    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ครับ   เรื่องคำซ้ำนี่ผมรู้ตัวเลยครับ ตอนแต่งก็เห็นคำซ้ำอยู่  แต่บางจุดแก้ไปแก้มา  หารูปประโยคที่ลงตัวไม่ได้สักที
    ส่วนเรื่องสำนวนการเรียงคำ  จะนำไปพัฒนาครับ  เพราะค่อนข้างติดนิยายแปลสำนวนฝรั่งอยู่พอสมควร
  • ความคิดเห็นที่ 41

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.246.232
    • 31 มีนาคม 2559 / 05:57
    สำหรับนิยายแนวสืบสวนสอบสวน/ ลึกลับซ่อนเงื่อน
    แน่นอนว่าช่วงบทแรกๆต้องเป็นการปูเนื้อเรื่อง+ผูกปมซะเยอะ
    ซึ่งตรงนี้ทำได้ดีแล้วนะครับ เดินเรื่องได้ลื่นไหล
    แต่กว่าจะถึงจุดคลี่คลายปมที่ผูกเอาไว้ก็คงต้องท้ายๆเรื่องนู่น
    ซึ่งใน 5 บทแรกคงไม่มีทางได้เห็น
    หวังเป็นอย่างยิ่งว่าถึงตอนเฉลย มันจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกทึ่งสุดๆไปเลยนะคับ XD

    บทที่ 5 นี้รู้สึกว่าอ่านง่ายขึ้นกว่าบทก่อนๆ
    ดูเหมือนกำลังเข้าฝักได้ที่เลยครับ

    อย่างไรก็ตาม ฝากปรับปรุงตามตัวอย่าง 2 จุดนี้เพิ่มเติมนะครับ

    1. พยายามเลี่ยงการใช้สำนวนฝรั่งนะครับ(ต่อให้เรื่องของเราจะเป็นธีมฝรั่งก็ตาม แต่สำนวนไม่ควรฝรั่ง)
    เช่น [ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออก]
    ถูกเปิดออก ---> แบบนี้เป็นรูปประโยค passive/ ฝรั่งนิยมใช้/ คนไทยไม่นิยมนะครับ
    คนไทยใช้รูป active

    ดังนั้นควรแก้ให้เป็นรูป active เช่น: [ไม่นานนักก็มีคนมาเปิดประตู]/ [ไม่นานนักประตูก็อ้าเปิด]

    2. ตัดคำซ้ำนะครับ
    เช่น [มีไม่กี่สาเหตุนักที่จะทำให้ซิสเตอร์แมร์รี่ผู้อ่อนโยนจะแปลงร่างจากนางฟ้าเป็นแม่มด และหนึ่งในสาเหตุนั้นก็คือ การที่เด็กกำพร้า...]

    สังเกตดู มีคำว่า 'จะ' 2 คำในประโยคเดียวกัน
    และมีคำว่า 'สาเหตุ' 2 คำในประโยคเดียวกัน
    เป็นเหตุที่ทำให้อ่านแล้วสะดุดครับ
    ควรแก้/ ใช้คำอื่นแทน/ หรือตัดทิ้งไปเลยยังได้

    กรณีที่ตั้งใจใช้คำซ้ำเพื่อให้เกิดสัมผัสในก็มีครับ นักเขียนบางคนใช้ได้อย่างสวยงาม
    แต่ในตัวอย่างที่ยกมานี้ไม่ใช่

    จะเอาใจช่วยต่อไปนะครับ : )

    ดาวิษ ชาญชัยวานิช
  • ความคิดเห็นที่ 40

    สุทธิพจน์
    • Name : สุทธิพจน์ [IP] 49.229.108.109
    • 29 มีนาคม 2559 / 08:26
  • ความคิดเห็นที่ 39

    dinn
    • Name : dinn < My.iD > [IP] 171.96.183.166
    • 29 มีนาคม 2559 / 07:33
    พี่ปัฐเองนะครับ ^ ^

    อ่านจบ 5 บทแล้ว มีการเปิดตัวละครมาอีกหลายตัวทีเดียว และข้อมูลที่ให้มามากขึ้น แต่ยังจับความเชื่อมโยงอะไรไม่ได้ คือตรงนี้ไม่ใช่อะไรที่ผิดปกตินะครับ เพราะนิยายสืบสวนก็ต้องเป็นแนวนี้อยู่แล้ว ค่อยๆ ให้ข้อมูลผู้อ่านเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลเนื้อหาผู้คนทุกอย่างเข้าด้วยกันเพื่อหาคำตอบ คงต้องลุ้นกันว่าตอนต่อไปจะมีข้อมูลมีอะไรมาให้อีก ^ ^b
    ดูเรื่องเป็นแนวคล้ายๆ นักสืบเยาวชนของทางฝั่งตะวันตกที่อดทำให้คิดถึงสมัยเด็กๆ ไม่ได้ ที่ตอนนั้นชอบอ่านเรื่องแนวนี้เป็นประจำเลยครับ ^ ^
    นอกนั้นก็คงไม่มีอะไรคอมเมนต์แล้วมั้งครับ เพราะที่เหลือก็คอมเมนต์ไปในครั้งก่อนหมดแล้ว 555
    ยินดีที่ได้เข้ารอบครับ และพยายามต่อไปนะครับผม ^ ^v
  • ความคิดเห็นที่ 38

    Bank
    • Name : Bank [IP] 171.96.170.112
    • 29 มีนาคม 2559 / 01:18
  • ความคิดเห็นที่ 37

    เกีย
    • Name : เกีย [IP] 103.26.22.231
    • 28 มีนาคม 2559 / 09:29
  • ความคิดเห็นที่ 36

    peecee
    • Name : peecee < My.iD > [IP] 171.5.246.103
    • 27 มีนาคม 2559 / 02:08
    #35 luzier
    ดีใจครับที่ชอบ  โอ้ ตรงจุดนั้นเรื่องอายุที่จำกัดผมเผลอไปแก้ไข (แบบลืมไปเลยว่าที่ลงใบเว็บไปแล้วมันแก้ไม่ได้)  เพิ่งสังเกตเห็น ขอบคุณมากครับ   ตอนแรกก็ถูกอยู่แล้วแท้ 555
    ตอนที่ 5 จะอัพประมาณวันจันทร์นะครับ รออ่านนะครับผม
  • ความคิดเห็นที่ 35

    luzier
    • Name : luzier < My.iD > [IP] 171.7.179.238
    • 26 มีนาคม 2559 / 13:17
    มาเป็นกำลังใจให้นักเขียนอีกแรงค่ะ
    อ่านจบไป4ตอนแล้ว คือน่าสนใจมากกกกก
    ชอบสำนวนการเขียนแบบนี้มากเลยค่ะ ตัวเองก็อยากเขียนได้แบบนี้มากๆ
    เนื้อเรื่องก็น่าติดตาม สรุปคือดี!!! 
    แต่มีอะไรเล็กๆน้อยๆที่สังเกตเห็น...ตอนที่1ที่หลุยส์คุยกับเด็กแล้วบอกว่า โรงละครไม่ให้คนอายุต่ำกว่า 15 ปีเข้า พออ่านตอนที่3 กลายเป็นต่ำกว่า 18 ปีห้ามเข้า...ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่บังเอิญไปเห็นพอดี ลองย้อนไปดูนะคะ

    สู้ๆ โหวตให้แล้ว รอตอนต่อไปค่ะ^^
  • ความคิดเห็นที่ 34

    peecee
    • Name : peecee < My.iD > [IP] 124.122.70.38
    • 25 มีนาคม 2559 / 15:41
    #32 พี่ดาวิษ
    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ครับ
    โอเครเลยครับ จะลองทำดูนะครับ  ความจริง คไพูดหลายบท ผมก็ไม่ได้บรรยายต่อน้า

    #33 บุญชาต
  • ความคิดเห็นที่ 33

    บุญชาต
    • Name : บุญชาต [IP] 103.26.22.231
    • 25 มีนาคม 2559 / 11:04
  • ความคิดเห็นที่ 32

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.246.110
    • 24 มีนาคม 2559 / 02:42
    สนุกดีคับ
    เริ่มมี Expectation แล้ว อยากเห็นว่าพอหลุยส์กับดอว์นร่วมมือกันแล้วจะเป็นยังไง

    อย่างไรก็ตาม
    มีอะไรจะลองแนะนำให้ทำดูอย่างนึงนะคับ
    คิดซะว่าเป็นการบ้านของสัปดาห์นี้ > <

    ตอนต่อๆไป ลองเขียนไดอะล็อก(การพูดโต้ตอบของตัวละครสองตัว)
    โดยไม่ต้องเขียนคำบรรยายต่อท้ายดูนะคับ
    แบบนี้:

    "xxxxx xxxx xxxxxxxx"
    "yyyy yyy yy yyyyyyyyyyyyyyyyy"
    "xxxxxxxxx xxxxxx xxxxxxx"
    "yyyy"
    "xxxx?!"
    "yyy..."

    คืออยากให้ใส่บทพูดรูปแบบนี้เข้าไปในเรื่องบ้างคับ เพราะ:
    ข้อแรก - เพื่อไม่ให้อ่านแล้วอึน แบบว่าพูดปุ๊บจะต้องบรรยายต่อตลอด อ่านไปเรื่อยๆก้อเบลอได้
    ข้อสอง - ถ้าเขียนไดอะล็อกโดยไม่มีบทบรรยาย แต่อ่านแล้วเห็นภาพได้ แบบนี้จะกลายเป็นเทพขึ้นมาคับ XD
    นักเขียนที่เก่งๆ ใช้แค่คำพูดของตัวละครเท่านั้น แต่คนอ่านเห็นภาพในหัวหมดเลยว่าตัวละครพูดด้วยกิริยาท่าทางไหน ...ไม่ต้องมีคำบรรยายเลย : )

    ดาวิษ ชาญชัยวานิช
  • ความคิดเห็นที่ 31

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.194.122
    • 23 มีนาคม 2559 / 22:40
    มีความรู้สึกเหมือนบทสนทนาช่วงนี้มันดูไม่รื่นๆแปลกๆ
    ยกตัวอย่างที่นั่งขมวดคิ้วละกัน อืมม

    "...เป็นกรุณามากเลยทีเดียว" เป็นกรุณาคืออะไร? คือเข้าใจว่าขอบคุณที่กรุณาอะไรงี้ แต่พอมีเป็นมาแล้วมันงงๆ ไม่เคลียร์แปลกๆแฮะ
    "มีประโยชน์อันใด ทำไม...ล่ะ" ช่วงนี้เหมือนภาษามันคนละระดับ อยู่ๆมันมาอันใด เราก็เฮ้ยยย พอมาลงท้ายแบบสามัญธรรมดาเลยประหลาด ถ้าใช้ มีประโยชน์อะไร น่าจะดูเข้ากันได้ดีกว่านี้แฮะ อันนี้ความรู้สึกส่วนตัวนะ
    "นายไม่ไปส่งไปรษณีย์หรือไง" ตอนแรกเราก็งงประโยคนี้ ทำไมไม่ส่งจดหมายวะ? ส่งไปรษณีย์? มีความรู้สึกประหลาดๆ คนเราจะพูดจริงๆเหรอว่า เฮ้ยยย เดี๋ยวไปส่งไปรษณีย์ก่อนนะ

    ตอนนี้ก็ยังคงมีอะไรเพิ่มมา ปมเยอะขึ้นเรื่อยๆและทิ้งท้ายให้อ่านต่อเหมือนเดิม :P
  • ความคิดเห็นที่ 30

    peecee
    • Name : peecee < My.iD > [IP] 124.122.129.192
    • 23 มีนาคม 2559 / 16:09
    #27 หอยทาก
    ขอบคุณครับ  มีกำลังใจมากๆ เลย  ตอนนี้กำลังคิดหนักเลยว่าจะทำไงให้ตอนที่ 5 พีคที่สุด

    #28 ttttop
    ขอบคุณครับ ดีใจที่เห็นคนชอบครับ

    #29 บุปผานามเรือล่ม
    ขอบคุณมากๆเลยครับผม
  • ความคิดเห็นที่ 29

    บุบผานามเรือล่ม
    • Name : บุบผานามเรือล่ม < My.iD > [IP] 64.233.173.160
    • 23 มีนาคม 2559 / 14:55
    กดโหวตเเล้วเจ้าค่ะ ชอบนิยายเเนวนี้มาก สู้ๆ นะคะ
  • ความคิดเห็นที่ 28

    ttttop
    • Name : ttttop [IP] 171.7.246.103
    • 22 มีนาคม 2559 / 09:25
    ไม่เคยผิดหวังเลยครับไรท์ ทิ้งไว้ให้คนอ่านลุ้นต่อในตอนต่อไปได้ดีมากๆ ชอบการทิ้งท้ายในทุกตอนของไรท์เลย สู้ๆครับ!!
  • ความคิดเห็นที่ 27

    หอยทากกินบะหมี่
    • Name : หอยทากกินบะหมี่ < My.iD > [IP] 183.89.58.111
    • 21 มีนาคม 2559 / 21:47
    ก่อนอื่นเลยขอกรี๊ดให้กับเรื่องนี้ด้วย 2 เหตุผลนะคะ
    1 กรี๊ด ดีใจด้วยค่ะที่ผ่านเข้ารอบ
    2 กรี๊ด จริงๆเมนท์ไปแล้ว(ยาวด้วย) แต่เน็ตเน่า หายหมด! #ร้องแรง

    จะพยายามรวบรวมลมปราณเมนท์ให้ใหม่นะคะ //เสียจึย

    อ่านแล้วหอยทากรู้สึกชอบคาแรคเตอร์ของดอว์นนะ คือนอกจากจิ้นกับหลุยส์ได้แล้ว (เดี๋ยวๆ) บทบาทนายตำรวจคนนี้เค้าดูมีแรงดึงดูดบางอย่าง อาจจะไม่ได้ช่างสังเกตหรือความลับเยอะแบบหลุยส์ แต่ตอนนี้ได้แสดงให้เห็นว่าดอว์นเป็นคนฉลาด

    เขาฉลาดในการเข้าหาและเลือกใช้คนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง โดยที่อีกฝ่ายไม่สามารถปฏิเสธได้ อาศัยความเป็นตำรวจในการบอกว่าขอความร่วมมือกับอีโนริค เพราะรู้ว่าถ้าเป็นตัวเองไปบอกกับหลุยส์ตรงๆยังไงก็โดนปฏิเสธแน่ ก็เลยเข้าทางพ่อตา เอ่อ ทางผู้ใหญ่ที่หลุยส์เคารพแทน แล้วก็ล่อหลุยส์ให้ตามตนมาด้วยชื่อร็อดดริก เหอเหอ

    เนื้อหาตอนนี้ยังคงเป็นการเปิดปมเล็กเพื่อเข้าหาปมใหญ่และโยงเข้าสู้แก่นเรื่อง ชอบเลข 27 มากค่ะเพราะเป็นเลขวันเกิดหอยทากเอง...นอกจากนี้ก็ได้เห็นรูปแบบการทำงานกันของเหล่าพนักงานไปรษณีย์ในที่ทำการไปรษณีย์แล้วด้วย ดูเป็นองค์กรที่ลึกลับพอๆกับองค์กรที่หลุยส์ตามสืบเลยทีเดียว

    ท้ายตอนที่หลุยส์หยิบบันทึกขึ้นมา หอยทากถึงกับอุทานว่า "หูวววว" เลยค่ะ
    ไม่ใช่อะไร ลุ้นจนตัวโก่งว่าความแฟนตาซีของเรื่องนี้มันจะออกมาในรูปแบบไหนกันแน่ค่ะ
    ดีใจที่มันค่อยๆเปิดเผยออกมาแล้ว รอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆ
  • ความคิดเห็นที่ 26

    peecee
    • Name : peecee < My.iD > [IP] 124.122.91.253
    • 20 มีนาคม 2559 / 03:51
    #คห.23 พี่ดาวิษ
    ขอบคุณครับพี่ดาวิษ เดี๋ยวจะเช็คคำบ่อยๆนะครับ

    #คห.24 เฮีย
    ขอบคุณครับเฮีย กลัวจะหาความแฟนตาซีในเรื่องไม่เจอ 55

    #คห.25 หอยทากกินบะหมี่
    ขอบคุณมากครับ คอมเม้นละเอียดจัง ชอบ 55
  • ความคิดเห็นที่ 25

    หอยทากกินบะหมี่
    • Name : หอยทากกินบะหมี่ < My.iD > [IP] 183.89.58.111
    • 19 มีนาคม 2559 / 23:05
    สวัสดีค่ะ แวะมาอ่านเพราะติดใจในคำโปรยหน้าเรื่องค่ะ
    เข้ามาอ่านแล้วเห็นชื่อผู้แต่งก็ถึงกับอุทานอ้าวในใจเบาๆ
    คุณพีซีนี่นาาาา แม้เราจะไม่ค่อยได้คุยกัน แต่หอยทากรู้จักคุณนะ
    เห็นชื่อบ่อยๆในบอร์ดนักเขียน แหะะะ XD

    อ่านแล้วชอบนะคะเรื่องนี้ แอบจิ้นหลุยส์กับดอว์นด้วย ๕๕๕๕๕
    ยอมใจจริงๆกับการมีภาพตัวละครตรงการขึ้นบทใหม่ ดูดีย์อะ เหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์เลออออ

    งานอวยงานวายขอแปะไว้ในนี้ ส่วนคำวิจารณ์เรื่องจากเรา(ที่ไม่รู้ว่าคุณพีซีอยากได้มั้ย)
    เราขออนุญาตทำเป็นลิงค์แปะไว้ให้นะคะ เพราะมันยาวเกิน 3000 ตัวอักษรอะ เมนท์ไม่ได้ T^T

    คำวิจารณ์หลุยส์ >> คลิกโลด <<

    เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ!! อยากอ่านตอนต่อไปมวากกกก
Page 1 of 3 1 2 3

เข้าสู่ระบบด้วย Dek-D ID

เข้าสู่ระบบด้วย Social Network

คลิกที่นี่
แสดงความคิดเห็น
ชื่อ Email รูปตัวแทน

โปรดใส่รหัสตามรูป