EN11 หลุยส์ เลตเทรต์ กับสมุดบันทึกความทรงจำโลก
หลุยส์ เลตเทรต์...เบื้องหน้าเขาคือ ?บุรุษไปรณีย์? ผู้ซื่อตรง แต่เบื้องหลังเขาคือ ?นักสืบมากเล่ห์? ไม่มีเนื้อความในจดหมายใดหลุดลอดสายตาเขาไปได้ ความลับของทุกคนอยู่ในมือเขาแต่เพียงผู้เดียว
ผ |
มกลับมายังเพิงพักเล็กๆ ในห้องใต้หลังคาของร้านเดอะ สกาลาจ แล้ววางบัตรเข้าชมละครไว้บนโต๊ะทำงาน ก่อนที่จะทำการรื้อค้นกองกระดาษมากมายที่วางอยู่บนนั้น เพราะผมเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เมื่อครู่นี้เอง
บางอย่างที่สำคัญ
ผมใช้เวลาในการค้นหาอยู่หลายนาที จนกระทั่งพบกระดาษแผ่นหนึ่ง มันคือหนังสือสัญญาระหว่างบุรุษไปรษณีย์ (ซึ่งในที่นี้ก็คือ ผม) กับผู้ว่าจ้าง (ซึ่งผมไม่รู้ว่าใคร) อย่างที่ผมเคยบอกในตอนแรกว่า ผมเป็นนักสืบ และผู้ว่าจ้างคนล่าสุดก็ได้จ้างวานงานที่ผมมิอาจเข้าใจอะไรได้เลยจนถึงตอนนี้
มันยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้นอีกสำหรับผมและทุกคน บุรุษไปรษณีย์แห่งเมืองบีตส์เบิร์กมีหน้าที่ส่งจดหมายและเป็น...นักสืบ เรื่องที่ว่านี้ก็มีแต่เพียงบุรุษไปรษณีย์ด้วยกันเท่านั้นนั่นแหละที่รู้ แต่พวกเราก็ไม่เคยพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ และผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้คนภายนอกทราบได้อย่างไร
บุรุษไปรษณีย์จะมีเขตบริการรับจดหมายเฉพาะของตน (แต่จะส่งไปยังเขตไหนนั้นว่ากันอีกที) ทำให้พวกเราไม่ค่อยได้เจอหน้าค่าตากันเท่าไหร่นัก คุณอาจจะกำลังสงสัยว่า อะไรคือความลำบากที่ผมกล่าวถึง
สำหรับในส่วนของงานนักสืบนั้น บุรุษไปรษณีย์จะต้องรับงานผ่านหัวหน้าบุรุษไปรษณีย์จากที่ทำการไปรษณีย์เมืองบีตส์เบิร์กเท่านั้น ผมและบุรุษไปรษณีย์คนอื่นๆ จึงไม่มีวันได้รู้ว่าใครคือผู้ว่าจ้าง ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถที่จะหันหน้าไปถามใครในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจได้
หนังสือสัญญาระหว่างบุรุษไปรษณีย์และผู้ว่าจ้างเป็นเพียงข้อความสั้นๆ ไม่กี่บรรทัดที่ไม่ว่าใครก็น่าจะยอมรับได้ ข้อความนั้นจะกล่าวถึงลักษณะงานแต่ละงานนั้นโดยย่อ ก่อนจะจบลงด้วยข้อความว่า
บุรุษไปรษณีย์จะต้องไม่แพร่งพรายความลับที่ตนรู้ให้ใครรู้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
มันเป็นข้อความสั้นๆ ที่ดูปฏิบัติตามได้อย่างไม่ยากลำบากนัก เพียงแต่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า ถ้าเราทำผิดสัญญาจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะมีบทลงโทษอะไรบางอย่าง ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ยินเรื่องบุรุษไปรษณีย์คนใดทำผิดสัญญาอยู่แล้ว เราลงชื่อในหนังสือสัญญาตามธรรมเนียมก็เท่านั้น
คุณคงอยากจะรู้แล้วสิว่า งานของนักสืบที่ผมได้รับมอบหมายนั้นคืออะไร
ข้อความที่อธิบายไว้ในหนังสือสัญญานั้นค่อนข้างห้วนกระชับ และใจความสำคัญที่ผมพอจะสรุปออกมาได้ก็คือ ในเมืองบีตส์เบิร์กมีองค์กรลับองค์กรหนึ่งกำลังวางแผนเพื่อที่จะครอบงำคนทั้งเมือง
งานของผมคือ การยืนยันว่าองค์กรที่ว่านั้นมีอยู่จริง ชื่ออะไร มีใครเป็นสมาชิกอยู่บ้าง และมีแผนการที่จะทำอะไรบ้าง ราวกับนี่เป็นการเล่นตลกของใครบางคน เพราะข้อมูลเบื้องต้นที่ผมได้รับมาแทบไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยต่างหาก ผมคิดด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างแรง
ข้อมูลที่ผมได้รับมาจากสืบสวนผ่านเนื้อหาจดหมายที่ส่งตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่สืบสวนเรื่องนี้ ทำให้รู้ว่ามีองค์กรลับใต้ดินอยู่ในเมืองบีตส์เบิร์กแห่งนี้จริงๆ แต่ใครจะยืนยันได้ล่ะว่า เมืองบีตส์เบิร์กจะมีองค์กรใต้ดินที่ว่าเพียงองค์กรเดียว ส่วนประเด็นอื่นๆ ค่อนข้างน่าลำบากใจที่จะเอ่ยถึง
องค์กรนั้นชื่ออะไร...ผมไม่ทราบ ไม่เคยมีชื่อเขียนไว้แม้แต่ในจดหมายหรือเคยได้ยินใครพูดถึง มีแต่เพียงสัญลักษณ์ปริศนาน่าสงสัย
มีใครเป็นสมาชิก...คุณออกซ์ฟอร์ดคือสมาชิกคนเดียวที่ผมรู้ ถ้าไม่รวมชายที่ชื่อ ร็อดดริก ซีเรียลที่เพิ่งเพิ่มขึ้นมาเร็วๆ นี้
ส่วนแผนการ...ผมไม่คิดว่าจะมีใครสาธยายแผนการณ์ของตนลงในจดหมาย และนั่นทำให้ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
ผมมองไปยังบัตรเข้าชมละครโอเปร่าบนโต๊ะ พลางคิดว่า มันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร หรือนี่จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขององค์กร ดูเหมือนจะมีเพียงวิธีเดียวที่ผมจะสามารถรู้เรื่องนี้ได้ก็คือ การตอบรับการเชิญชวนนี้
เป็นคืนนี้เองที่ผมกำลังเอ่ยเรื่องความลับ ถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องความลับแล้วล่ะก็ ผมสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ไม่จบไม่สิ้น และคงต้องใช้เวลากว่าค่อนวันในการบอกใครก็ตามที่ทนฟังว่า ความลับเหล่านั้นคืออะไร และใช้เวลาต่ออีกหลายชั่วโมง ซึ่งนานพอที่จะทำให้คนเหล่านั้นพลาดดินเนอร์สุดหรูในภัตตาคารเจอนัวร์ หรือพลาดนัดสำคัญกับเพื่อนที่ลานน้ำพุ และอาจจะทำให้พวกเขานอนไม่หลับไปอีกหลายคืน
นั่นเพราะ...ผมเข้าใจมัน และในเมืองนี้ก็มีคนเพียงไม่กี่คนหรอกที่เข้าใจในสิ่งที่ผมเข้าใจ
“ความลับไม่มีในโลกหรอกรู้ไหม” ผมกล่าวออกไป ขณะนั่งสาธยายเรื่องความลับให้เด็กชายเกเรสองคนฟังที่ลานกลางเมือง
“ไม่จริงหรอก” เด็กชายคนแรกแย้งขึ้นมา
“จริงสิ ทำไมนายถึงว่าไม่จริงล่ะ” ผมถาม
“อย่างน้อยก็คงไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเพิ่งทำอะไรลงไป นี่ล่ะความลับ”
อย่างที่คุณรู้ ความลับมีอยู่สองประเภท ประเภทแรก...ความลับที่เป็นปัจเจกและความลับที่ไม่เป็นปัจเจก (ในตอนนี้ผมอนุญาติให้คุณย้อนกลับไปทบทวนเรื่องราวความหมายของมันได้) สำหรับความลับของเด็กชายคนนี้เป็นประเภทที่สอง เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่เพื่อนของเขาจะไม่รู้ว่าเด็กชายคนนี้คิดจะทำอะไรในเวลานี้
“งั้นรึ” ผมยิ้มเยาะ สิ่งหนึ่งที่ผมเคยบอกไป นิยามที่ว่า ความลับไม่มีในโลก นั้นใช้ได้กับคนอย่างผมเท่านั้น และถ้าจะถามผมว่าความลับของผมนั้นเป็นประเภทใด ผมยินดีที่จะบอกว่าความลับของผมนั้นไม่ใช่ทั้งสอง มันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ
“มันอาจจะเป็นอย่างที่นายว่านะ สำหรับเงินจำนวนไม่น้อยเลยที่นายแอบหยิบออกมาจากกระเป๋าตังค์แม่ เพื่อจะไปซื้อขนมหรือไปแอบดูโอเปร่าที่โรงละคร ซึ่งห้ามบุคคลอายุต่ำกว่าสิบแปดปีเข้าไป” ผมสาธยายความลับของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะรู้ ถ้าคุณเห็นธนบัตรสองสามใบซึ่งยับยู่ยี่อยู่ในมือของเด็กชายคนแรกตอนนี้
ผมหยิบนาฬิกาพกทองเหลืองขึ้นมาดู เข็มสั้นและเข็มยาวบอกว่า นี่เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว และละครโอเปร่ากำลังจะเริ่มแสดง และผมควรจะหยุดเล่นสักที
“อย่าเครียดไปเลยน่า ฉันไม่เอาไปฟ้องแม่ของพวกนายหรอก ถึงแม้จะรู้ว่าบ้านนายอยู่ที่ไหนก็ตาม จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ” ผมว่า เด็กทั้งสองคนจึงรีบหันหลังวิ่งจากไป พวกเขากำลังมุ่งตรงไปยังอาคารหลังใหญ่ที่พราวระยับราวกับพระราชวัง ที่ซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกเลื่องชื่อ มันมีรูปแบบสถาปัตยกรรมงดงามที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเมืองนี้ แสงไฟที่ลอดออกมาจากหน้าต่างโมเสกบานสูงสว่างไสว ขณะที่เสียงบรรเลงของวงดนตรีซิมโฟนีออเคสตร้าเริ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ที่นั่นคือ โรงละครที่ผมว่า
และที่นั่นคือ ที่ที่ผมกำลังจะไป
ผมรีบรุดไปยังโรงละครหลังโตนั่นในทันที ความโอ่อ่าของมันทำให้ผมหวั่นเกรง และเริ่มไหวหวั่นราวกับว่าตนเองมาอยู่ผิดที่ผิดทาง
พนักงานชายที่เฝ้าประตูด้านหน้าเดินเข้ามาขวางผม ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าประตู พนักงานชายคนนั้นไล่สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางสำรวจมองชุดบุรุษไปรษณีย์อย่างดูถูก ก่อนที่จะพูดว่า “คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในงานนี้นะ บุรุษไปรษณีย์”
“ขอโทษด้วยครับ”
ผมหยิบบัตรเข้าชมละครออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านใน พนักงานชายมีท่าทีตกใจไปเลยเมื่อเห็นดังนั้น เขาโน้มตัวถอยหลังสองสามก้าวพร้อมกับผายมือ
“เชิญครับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและไม่สู้เต็มใจนัก เห็นได้ชัดว่า ชายคนนี้ไม่อยากเชื่อว่าผมจะมีบัตรเข้าชมละครโอเปร่าอันยิ่งใหญ่และฟุ่มเฟือย นั่นไม่ต้องพูดถึงราคาบัตรเลยว่าจะแพงขนาดไหน เขาคงกำลังสงสัย...ผมมีบัตรใบนี้ได้ยังไงกันนะ
ผมเดินเข้าไปข้างในด้วยความสะใจอยู่ไม่น้อย แต่ความเปรมปรีดิ์เป็นต้องหยุดแต่เพียงเท่านั้น มีเสียงทักทายผมขึ้นจากข้างหลัง และเมื่อผมหันกลับไปก็ทำให้พบกับบุคคลที่คาดไม่ถึง
“ราตรีสวัสดิ์หลุยส์ เลตเทรย์ นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ”
ผมหันหน้าไปมองดอว์น คาวัลนี นักสืบหน้าใหม่ไฟแรงของกองตำรวจสืบสวนและปราบปรามเมืองบีตส์เบิร์ก ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจสีกรมท่าเต็มยศ ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า เขามาทำอะไรที่นี่ตอนนี้
“ฉันมาดูละคร” ผมตอบกลับไปด้วยถ้อยคำสั้นห้วน
“โอ้ บุรุษไปรษณีย์มาดูละครโอเปร่าที่จัดขึ้นเพื่อการกุศล ที่มีแต่นักการเมือง นักการศาล ทูต เศรษฐี เศรษฐินี และผู้ทรงอิทธิพลในเมืองบีตส์เบิร์กเท่านั้นที่ได้รับเชิญงั้นรึ”
“ฉันก็ได้รับเชิญ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมนายถึงมีบัตรเชิญนั่น แต่ฉันขอแนะนำ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นายควรอยู่”
“ไม่ต้องบอกฉันก็รู้” ผมมองดอว์นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกล่าวว่า “นายก็ไม่ควรมาอยู่ที่นี่เช่นกัน นักสืบคาวัลนีแห่งกองสืบสวน”
คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมกับดอว์นถึงดูสนิทกันมากขนาดนี้ (คำว่า ‘สนิท’ อาจจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก ถ้าเรียกว่า ‘คู่กัด’ อาจจะใกล้เคียงกว่า) พวกเราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ เพราะพวกเราทั้งคู่ต่างเติบโตขึ้นมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ดอว์นมีอายุมากกว่าผมเพียงสามปีเท่านั้น ในอดีตพวกเราทะเลาะกันประจำ (แม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีบ้างเป็นครั้งคราว) จึงไม่แน่แปลกใจที่พวกเราทั้งสองดูจะไม่ลงรอยกันนัก
ผมไม่รู้ว่าตำรวจสืบสวนมาทำอะไรที่นี่ตอนนี้ แต่นั่นก็แปลความได้ว่า คืนนี้ไม่ใช่ค่ำคืนที่ปกติ มันจะต้องมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ฉันเตือนนายแล้วนะ มันไม่ปลอดภัย” ดอว์นตะโกนไล่หลังมา แต่ผมไม่สนใจ ผมเดินขึ้นบันไดมาจนถึงประตูที่เปิดออกไปสู่โถงโรงละคร ที่หน้าประตูเหมือนมีใครคนหนึ่งรอผมอยู่ คนคนนั้นคือ คุณโปรา...พ่อบ้านของร็อดดริก ซีเรียล
“สวัสดียามค่ำครับ นายท่าน” เขาเอ่ยอย่างน้อมนอบ ผมอยากให้เขาเลิกใช้สรรพนามเช่นนี้เรียกตัวผมเสียที
“ผมต้องทำยังไงบ้างครับ” ผมถาม
“กรุณาสวมนี่ด้วยครับ” พ่อบ้านส่งเสื้อโค้ทสีดำแกมเทามาให้ผม ดูด้วยหางตาก็รู้ว่านี่เป็นเสื้อโค้ทราคาแพงมียี่ห้อที่พวกผู้ดีเขาใส่กัน
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ ผมต้องสวมมันอย่างนั้นหรือ”
“เพื่อประโยชน์ต่อตัวคุณเอง”
คำพูดสั้นๆ เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมถึงบางอ้อ พวกผู้ดีทั้งหลายคงไม่ชอบใจแน่ที่เห็นบุรุษไปรษณีย์ร่วมชมละครอันเปี่ยมด้วยเกียรติกับพวกเขา มันคงจะเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเกินไป ด้วยเหตุนั้นผมจึงรับเสื้อโค้ทขึ้นมา แล้วสวมทับเสื้อกั๊กของบุรุษไปรษณีย์ มันให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจตลอดเวลาที่ใส่มัน
“เชิญทางนี้ครับ คุณหนูกำลังรออยู่”
เบื้องหลังบานประตูตรงหน้าคือความยิ่งใหญ่ทางสถาปัตยกรรมอย่างแท้จริง ผมก้าวเข้าสู่ความตระการตาของห้องโถงโรงละครอันเป็นที่ภาคภูมิใจของเมืองบีตส์เบิร์ก
โรงอุปราการบีตส์เบิร์ก พวกเราชาวเมืองเรียกที่นี่ว่าอย่างนั้น ความยิ่งใหญ่อลังการของมันทำเอาผมใจสั่น กิตติศัพท์ความงามของมันผมพอจะเคยได้ยินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะอลังการถึงจราดนี้ ถ้าเพื่อนของผมทุกคนต้องรู้สึกอิจฉาเป็นแน่ การได้เข้ามาภายในสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของบุรุษไปรษณีย์สักคนเดียว
ผมเดินตามคุณโปราไป กลิ่นเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายราคาแพงปะทะเข้าจมูกของผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยเห็นเหล่าคนชนชั้นสูงรวมตัวมากเท่านี้มาก่อน ขณะที่ผมเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ มีผู้ดีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หันมามอง ก่อนจะละความสนใจไปอย่างรวดเร็ว นั่นอาจเป็นเพราะเสื้อคลุมราคาแพงที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ที่ทำให้ตัวผมดูมีมูลค่าขึ้นอย่างมหาศาล ผมนึกไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าพวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของผมแล้วจะมีปฏิกิริยาเช่นใด
คุณโปรานำผมมายังแถวที่นั่งชั้นบนสุด ผมสังเกตเห็นร็อดดริก ซีเรียลอย่างง่ายดาย มีเก้าอี้บุนวมกำมะหยี่สีครามข้างๆ ว่างอยู่ตัวหนึ่ง และนั่นทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที
“เชิญนั่งสิ คุณเลตเทรย์ คุณมาได้จังหวะพอดี การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีเชื่องช้า ผมไม่เคยได้นั่งเก้าอี้ที่มีเบาะนุ่มเท่านี้มาก่อนในชีวิต และรู้สึกเกร็งบริเวณก้นกบมากกว่าจะสบาย
ผมสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ก่อนจะพบว่าที่นั่งชั้นบนนั้นประกอบด้วยบุคคลระดับวีไอพีทั้งสิ้น มีมาตั้งแต่นายกเทศมนตรี ประธานผู้พิพากษา และผู้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองของเมืองบีตส์เบิร์ก นอกจากนี้ยังมีผู้ทรงอิทธิพลจากวงการต่างๆ มากมายเท่าที่คุณจะนึกออก ผมมองไล่ไปจนกระทั่งพบคุณออกซ์ฟอร์ดนั่งอยู่ถัดไปเพียงสามช่วงเก้าอี้เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะจำผมไม่ได้
ผมมองสำรวจต่อไปอีก ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณที่ผมนั่งมากนักมีประตูทางออกฉุกเฉินอยู่ มีพนักงานรักษาความปลอดภัยยืนเฝ้าสองคน พวกเขาทั้งคู่ดูร้อนรนจนผิดวิสัย หากผมเลือกที่จะไม่สนใจเท่าใดนัก ทางออกฉุกเฉินมีอยู่ทั้งหมดห้าจุดด้วยกัน และผู้ชมที่อยู่ในโรงละครแห่งนี้น่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่าห้าร้อยคน ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สภาพก็คงไม่ต่างจากมดแตกรัง
เมื่อผมหันกลับไปมองทางออกฉุกเฉินที่อยู่ใกล้ที่สุด ผมก็สังเกตเห็นดอว์นเดินเข้ามายืนแทนที่พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนนั้น และนั่นก็พอดีกับตอนที่ไฟทั้งโรงละครถูกหรี่ลง หลงเหลือแต่เพียงแสงไฟส่องบริเวณเวทีเท่านั้น
“ท่านสุภาพสตรีและท่านสุภาพบุรุษแห่งเมืองบีตส์เบิร์กทั้งหลาย!”
เสียงก้องกังวานของพิธีกรชื่อดังอย่าง ลาร์ เฮฟวีร์ เรียกสายตาของคนทุกคนให้จับจ้องไปที่เขา ราวกับเขาคือสิ่งเดียวที่น่าสนใจที่สุดบนโลกใบนี้
“ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่มหรสพแห่งความรุ่งโรจน์และนาฏกรรมแห่งความโชติช่วงที่จะออกมาเฉิดฉายภายในโรงอุปราการบีตส์เบิร์กแห่งนี้!”
เสียงตบมือดังครึกโครมตามมา
“เอาล่ะ ก็เหมือนเช่นเคย ไม่เคยมีวันไหนหรือคืนใดที่สีสันจะไม่ถูกแต้มจรดหรือสรรพเสียงจะไม่เรียบเรียงความไพเราะ ทุกสิ่งทุกอย่างจะปรากฏให้ท่านได้รับทราบรับสัมผัสที่นี่ทุกคืนทุกวัน!”
ผมจ้องมองลาร์ เฮฟวีร์ พูดพล่ามด้วยความรู้สึกน่าขยะแขยงเล็กน้อย ผมไม่เข้าใจนักหรอกว่า ทำไมผู้คนถึงชอบความเจ้าสำบัดสำนวนที่แสนจะลีลาของชายคนนี้นัก สำหรับผมมันค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เมื่อถ้อยคำเพียงหนึ่งคำสามารถพูดลากยาวขยายความต่อไปได้อีกหลายประโยค
“แต่ว่า...” น้ำเสียงของลาร์ เฮฟวีร์เปลี่ยนเป็นการกระซิบกระซาบ พร้อมแสงไฟของโรงละครทั้งโรงที่พร้อมกันดับ เหลือแต่เพียงแสงไฟที่สาดส่องลงมายังตัวพิธีกรชื่อดัง “...ทุกท่านน่าจะรู้ถึงความพิเศษของค่ำคืนนี้ดี ถึงมาที่นี่” พิธีกรหนุ่มเงียบเสียงไปหลายวินาที แต่นั่นก็นานพอที่จะทำให้ใครหลายคนลืมหายใจ แต่ตกใจอย่างสุดขีดกับเสียงกึกก้องกังวานในวินาทีต่อมา
“ค่ำคืนนี้! ที่แห่งนี้! เวทมนตร์จะถูกร่ายลงยังดินแดนแห่งภายมายา ละครเวทีที่ทุกท่านจะได้ชมในราตรีนี้ ไม่เคยมีการแสดงที่ใดมาก่อน แต่ผมรับประกันได้เลยว่า นี่จะเป็นละครเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในหลายศตวรรษ ความวิเศษของมันคงยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้แล้วในแผ่นดิน! และทุกท่านน่าจะรู้จักตำนานของออซเซ่กันดีนะ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง รู้สึกฉงนกับคำพูดของอีกฝ่าย ผมไม่คิดว่าจะมีคณะละครใดจะหยิบนำเรื่องเล่าเก่าแก่นั่นมาทำเป็นละครเวที
ตำนานออซเซ่...เป็นตำนานที่มีมานานในเมืองบีตส์เบิร์ก ถึงกระนั้นคนเมืองอื่นก็น่าจะรู้จักมันเป็นอย่างดี ตำนานเรื่องนี้หลายคนว่าเป็นเรื่องเล่า หลายคนว่าเป็นเรื่องจริง สำหรับผมแล้วมันเป็นนิทานกล่อมนอนเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
ตำนานออซเซ่มีฉายาอีกฉายาหนึ่งว่า ‘เรื่องราวที่เล่าไม่จบ’
เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายชราคนหนึ่งที่เป็นช่างซ่อมรองเท้า เขาเป็นช่างซ่อมรองเท้าพเนจรที่มักจะย้ายถิ่นฐานไปเมืองต่างๆ ทุกยี่สิบห้าปี เขาอยู่ตั้งแต่เด็กทารกคนหนึ่งเติบโตกลายเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์หรือสาววัยสะพรั่ง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาย้ายมากี่เมืองแล้ว บ้างก็ว่าสามถึงสี่เมือง บ้างกว่ามากกว่าสิบเมือง และไม่มีใครรู้ว่าชายชราอายุเท่าไหร่
ชายชราผู้นี้มีชื่อว่า ออซเซ่ ช่างซ่อมรองเท้ามหัศจรรย์ แต่คนทั่วไปมักจะเรียกเขาว่า ช่างออซ รองเท้าทุกคู่ไม่จะเก่าหรือใหม่ เมื่อถูกเขาซ่อมแล้วจะกลับกลายเป็นรองเท้าชั้นดี สวมได้พอดีเท้าไม่พลาดแม้แต่มิลลิเมตรเดียว และเดินเหินสะดวกราวกับบินได้ เจ้าของรองเท้าจะรู้สึกเหมือนว่าตนได้รองเท้าคู่ใหม่กลับมาครอบครอง
ทว่ามีเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าฝีมือในการซ่อมรองเท้าของเขา ช่างออซปฏิเสธที่จะรับเงินเป็นสินไหมค่าจ้างในการซ่อมรองเท้าโดยสิ้นเชิง เขากลับขอสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องราวเล็กๆ ที่เป็นความลับของเจ้าของรองเท้าแต่ละคู่ ด้วยเหตุนี้รองเท้าทุกคู่จึงมีประวัติ (ครั้งตอนเด็กผมก็เคยอดคิดสงสัยไม่ได้ว่า รองเท้าที่ผมใส่อยู่นี้เคยถูกซ่อมโดยช่างออซหรือเปล่า)
และแล้ววันหนึ่งก็ไม่มีช่างออซอีกต่อไป ไม่มีใครพบเขา บุคคลสุดท้ายที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรองเท้าคู่สุดท้ายที่ช่างออซซ่อม ได้ให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ประจำเมืองว่า ชายชราได้ทิ้งสมุดบันทึกส่วนตัวเอาไว้ ก่อนที่เขาจะจากไป บันทึกที่เก็บเกี่ยวมาจากเรื่องราวที่ผู้คนแบ่งปันมาให้เขา
มันคือ บันทึกความทรงจำของคนทั้งโลก
และเรื่องราวเกี่ยวกับช่างออซก็จบลงเพียงเท่านี้
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม มันเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก แต่ใช่ว่ามันจะเลวร้าย เรื่องราวของช่างออซนั้นเป็นสิ่งที่เด็กหลายคนชื่นชอบมาก (ผมต้องยอมรับว่าเคยเป็นหนึ่งในผู้ที่คลั่งไคล้) เด็กๆ จะเสริมต่อจินตนาการกับเรื่องราวเหล่านี้ หลายครั้งที่มีการละเล่นกันในหมู่เด็กเล็ก ให้คนหนึ่งสวมบทบาทเป็นช่างออซ หลังจากนั้นทุกคนสามารถขอให้ช่างออซทำอะไรก็ได้ แต่ต้องเล่าเรื่องราวของตนเองให้ฟังเป็นการแลกเปลี่ยน
ก็น่าสนุกดี ผมคิด เมื่อม่านเวทีเริ่มเปิดฉากขึ้น ผมไม่รู้หรอกว่าทุกคนจะมีอารมณ์ร่วมไปกับละครเวทีเรื่องนี้ไหม แต่ผมมั่นใจว่าเกือบทุกคนที่นี่ล้วนมีความทรงจำเกี่ยวกับช่างออซ...ไม่แบ่งเพศ ชนชั้น และวรรณะ
ละครโอเปร่าเริ่ม ความตื่นตาตื่นใจเริ่มตั้งแต่ฉากที่ช่างออซปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางหมอกสีขาว นำแสดงโดยนักแสดงละครเวทีระดับโลก การดำเนินเรื่องเริ่มขึ้นเป็นฉากย้อนอดีตที่มาของช่างออซ
กล่าวถึงช่างออซครั้งยังเป็นเด็กเร่ร่อนที่คอยเป็นมือปืนรับจ้างพ่อค้าแม่ค้าในตลาด (นี่จะต้องเป็นเรื่องราวที่ต้องถูกเสริมเติมแต่งขึ้นมาอย่างแน่นอน) ออซเซ่น้อยในวัยเด็กไม่มีแม้แต่รองเท้าจะใส่ เมื่อเขาได้รับของขวัญเป็นรองเท้าบู๊ตคู่หนึ่งจากแม่ชีใจบุญ จุดนั้นเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นช่างซ่อมรองเท้า
และเรื่องราวต่อจากนั้นก็เหมือนดังที่ผมเล่าไว้ในข้างต้น นักร้องนักแสดงบนเวทีถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างหมดจด สมกับที่ลาร์ เฮฟวีร์โฆษณาไว้จริงๆ ผมเชื่อว่าสำหรับคนที่ตั้งใจมาดูละครเวทีเรื่องนี้ มันจะต้องเป็นหนึ่งในการแสดงที่ติดตราตรึงใจอย่างแน่นอน แต่ทว่า...ผมไม่ได้สนใจในการแสดงตรงหน้าสักเท่าไหร่
การแสดงทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ในตอนนี้มันได้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว นักแสดงชายผู้ซึ่งแสดงเป็นช่างออซได้หยิบสมุดบันทึกขึ้นมา นั่นจะต้องเป็นสมุดบันทึกความทรงจำโลกอย่างแน่นอน และอีกไม่นานชื่อของออซเซ่ก็จะกลายเป็นตำนาน
“ได้เวลาแล้ว” ร็อดดริก ซีเรียล ชายผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายผมพูดขึ้นในตอนนั้น แต่เขาไม่ได้หันมาพูดกับผม เขาหันไปพูดกับคนข้างๆ ซึ่งเป็นหญิงสาวผู้อยู่ในอาภรณ์ขนนกสีดำ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ส่วนคุณรอผมอยู่ที่นี่นะ” คราวนี้แหละที่เขาหันมาพูดกับผม ซึ่งผมต้องยอมรับ ณ ตอนนั้นว่า ไม่เข้าใจความหายของมันแม้แต่นิดเดียว
ร็อดดริกลุกขึ้นตามหญิงชุดดำคนนั้น และผมก็สังเกตเห็นในตอนนั้นเอง เมื่อร็อดดริกเดินผ่านหน้าผมไป แหวนแบบเดียวกันกับคุณออกซ์ฟอร์ดสวมอยู่บนนิ้วชี้ข้างขวาของเขาและเธอ!
ผมเริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ผิดปกติขึ้นได้ในทันที เมื่อคุณออกซ์ฟอร์ดที่นั่งห่างออกไปไม่มากนักก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไปจากห้องหลังจากนั้นไม่นาน ชายวัยกลางคนเหลือบมองผมชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมถึงกับใจสั่น ผมทอดมองเจ้าหน้าที่การเงินอาวุโสที่เดินไปยังทางออกฉุกเฉิน ผมเห็นดอว์นยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม สายตาสอดส่องไปทั่ว ไม่แม้แต่จะสงสัยเมื่อมีคนเดินผ่าน
ก็ใครกันล่ะจะเคลือบแคลงสงสัยในตัวเจ้าหน้าที่อาวุโสแห่งสถาบันการเงินโวฟามิงโก้
ก็ผมนี่ไง!
ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่ง ไม่สนใจคำพูดของร็อดดริกที่ให้ผมรอ แต่พอผมกำลังจะเดินออกไปนั้นเอง กลับถูกตำรวจหนุ่มดักทางไว้
“นายจะรีบไปไหน การแสดงยังไม่ทันจบ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถามผมพร้อมส่งสายตาที่เพ่งมองด้วยความสงสัย
“ฉันจะไป...เอ่อ...” นี่มันเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติชัดๆ ผมพยายามคิดหาเหตุผลพลางมองไปบนเวที ซึ่งขณะนี้การแสดงกำลังจะจบลง...ช่างออซปิดสมุดบันทึกของเขาในที่สุด
ตูม!
เสียงระเบิดดังกึกก้อง คุณอาจจะคิดว่านี่คือเสียงซาวน์เอฟเฟ็กประกอบการแสดง แต่ไม่ใช่เลย เมื่อเศษปูนเริ่มร่วงหล่นลงมาจากเพดาน ผมกับดอว์นได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
ตูมมม!
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งและใหญ่กว่าเดิม มันระเบิดขึ้นบริเวณโซนที่นั่งวีไอพีหรือพูดให้ชัดก็คือบริเวณแถวที่นั่งที่ผมนั่งอยู่เมื่อสักครู่นั่นแหละ และแน่นอนว่าผมกับดอว์นได้รับแรงกระแทกอย่างแรง หูของผมแทบจะเรียกได้ว่าดับไปเลย ภาพตรงหน้าดูสับสนไปเสียหมด ผมมองไปยังบริเวณแถวเก้าอี้ที่ตนเคยนั่ง บัดนี้มีเศษอิฐเศษปูนมากมายถล่มลงมาทับบริเวณนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเห็นเหล่าบรรดาผู้ดีวิ่งหนีกันอลหม่านไปยังทางออก กระโปรงฟูฟ่องของของเหล่าคุณนายสร้างภาระมากไม่ใช่น้อย ขณะที่โรงอุปราการเริ่มทลายตัวลงมาอย่างช้าๆ
“หลุยส์ เลตเทรย์!”
ผมได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกอื้ออึงอยู่ไม่ไกล นั่นใช่เสียงดอว์นหรือเปล่านะ ผมรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนพยุงตัวผมขึ้น พวกเราสองคนต่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากห้องนั้น มีคนมากมายวิ่งผ่านผมไป การก้าวย่างลงบันไดแต่ละขั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก และเมื่อผมกลับมามีสติเต็มที่อีกครั้งก็พบว่า ตนเองได้ออกมายืนอยู่หน้าโรงอุปราการบีตส์เบิร์กแล้ว และคนที่ยืนอยู่ข้างกายนั้นคือ ดอว์น
“เกิดอะไรขึ้น” ผมถาม แม้ว่าจะรู้ดีถึงสิ่งที่เกิด ผมทอดมองสิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่เบื้องหน้า ซึ่งมันกำลังจะกลายเป็นเพียงอดีต
ตูม!
เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งและนี่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย เปลวไฟพุ่งขึ้นสูงเหนือหลังคาโรงอุปราการ แสงสีแดงสะท้อนไหวอยู่ในแววตาทุกคน ยังโชคดีที่มีผู้รอดชีวิตจากการระเบิดครั้งนี้จำนวนไม่น้อย สีหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ขณะทอดมองสถาปัตยกรรมอันแสนภาคภูมิของเมืองถล่มต่อหน้าต่อตา
“ดอว์น...นายต้องไป” ผมพูดกับตำรวจหนุ่มข้างหาย
“ไป...ไปไหน”
ผมไม่ได้ตอบในทันที เพราะสายตาผมทอดมองไปยังชายที่ชื่อร็อดดริก ซีเรียลอยู่ ชายผู้นี้ยืนอยู่อีกฟากถนนพร้อมรถม้าคันใหญ่ และกำลังมองมาที่ผม แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัดนัก แต่มันก็น่าหวาดหวั่น ผมชี้ไปที่ร็อดดริก “นั่น คนนั้น นายต้องตามหมอนั่นไป”
ดอว์นหันไปตามทางที่ผมบอก แต่เขาไม่รู้ว่าผมพูดถึงอะไร ร็อดดริกกำลังจะขึ้นรถม้าไปแล้ว
“นายให้ตามใคร”
“เขาชื่อร็อดดริก...ร็อดดริก ซีเรียล และเหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ”
“น่ะ...นายรู้ได้ยังไงกัน” ดอว์นยังคงสงสัย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของการอธิบายขยายความ
“เรื่องนั้นไว้ทีหลัง แต่ฉันมั่นใจว่า หมอนั่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ถึงแม้พวกเราสองคนจะไม่เข้าร่องเข้ารอยกันนัก แต่เราทั้งคู่ก็รู้ดีว่า เวลาไหนควรทำอะไร ด้วยเหตุนั้นดอว์นจึงพยักหน้าตอบรับ แม้เขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม เขาวิ่งตามไปและเรียกตำรวจที่อยู่บริเวณนั้นอีกสองคนให้ตามมา มีรถม้าของกองสืบสวนอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก
ความคิดของผมสับสนไปเสียหมดในตอนนี้ ผมยังคงสวมเสื้อโค้ทราคาแพงอยู่ เมื่อดอว์นไปได้สักพักแล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปเช่นกัน ผมกระชับเสื้อให้ได้ทรงขณะเดินโซซัดโซเซห่างออกมาจากที่เกิดเหตุ รถดับเพลิงจำนวนมากเร่งรุดมายังที่นี่ และผมเพิ่งค้นพบเดี๋ยวนั้นเองว่า งานที่ผมได้รับมอบหมาย มันอันตรายยิ่งกว่างานใดๆ
ผมเดินเอ้อระเหยออกมาจากที่ตรงนั้น ก่อนที่จะเผลอไปชนใครเข้า แล้วก็เดินไปชนใครเข้าจริงๆ
“อ่ะ...ขอโทษครับ” ผมขอโทษขอโพยอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วทันทีที่เดินชนใครเข้า คนที่ผมเดินชนนั้นสวมเสื้อคลุมสีตุ่นคลุมทั้งตัว เขาหรือเธอผู้นี้สวมหมวกฮู้ดคลุมศีรษะเอาไว้ ทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไร” เขาหรือเธอคนนั้นพูด ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไปอย่างน่าผิดสังเกต ถึงกระนั้น ตอนนี้ผมก็ไม่มีอารมณ์พอจะมาจับผิดใครหรือสนใจว่าอาจจะมีใครเอาอะไรมาหยอดใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทหรือเปล่า
ผมเดินไปยังจักรยานที่จอดทิ้งไว้ไม่ไกลนัก ก่อนจะขี่มันกลับที่พัก และผมก็นึกถึงดอว์นที่ไล่ตาม
เช้ารุ่งวันพรุ่งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น มันจะต้องเป็นข่าวใหญ่มากที่สุดในรอบรอบสิบปีอย่างแน่นอน
ผู้แต่ง : peecee
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | ตอนที่ 1 บุรุษไปรษณีย์ผู้มากความ | 08 ก.พ. 59 |
2 | ตอนที่ 2 ความลับกับตราสัญลักษณ์ | 07 มี.ค. 59 |
3 | ตอนที่ 3 ละครโอเปร่า | 14 มี.ค. 59 |
4 | ตอนที่ 4 ความร่วมมือที่ไม่น่าเป็นไปได้ | 21 มี.ค. 59 |
5 | ตอนที่ 5 สมุดบันทึกและเด็กสาวนิรนาม | 28 มี.ค. 59 |
สำหรับนิยายแนวสืบสวนสอบสวน/ ลึกลับซ่อนเงื่อน
แน่นอนว่าช่วงบทแรกๆต้องเป็นการปูเนื้อเรื่อง+ผูกปมซะเยอะ
ซึ่งตรงนี้ทำได้ดีแล้วนะครับ เดินเรื่องได้ลื่นไหล
แต่กว่าจะถึงจุดคลี่คลายปมที่ผูกเอาไว้ก็คงต้องท้ายๆเรื่องนู่น
ซึ่งใน 5 บทแรกคงไม่มีทางได้เห็น
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าถึงตอนเฉลย มันจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกทึ่งสุดๆไปเลยนะคับ XD
บทที่ 5 นี้รู้สึกว่าอ่านง่ายขึ้นกว่าบทก่อนๆ
ดูเหมือนกำลังเข้าฝักได้ที่เลยครับ
อย่างไรก็ตาม ฝากปรับปรุงตามตัวอย่าง 2 จุดนี้เพิ่มเติมนะครับ
1. พยายามเลี่ยงการใช้สำนวนฝรั่งนะครับ(ต่อให้เรื่องของเราจะเป็นธีมฝรั่งก็ตาม แต่สำนวนไม่ควรฝรั่ง)
เช่น [ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออก]
ถูกเปิดออก ---> แบบนี้เป็นรูปประโยค passive/ ฝรั่งนิยมใช้/ คนไทยไม่นิยมนะครับ
คนไทยใช้รูป active
ดังนั้นควรแก้ให้เป็นรูป active เช่น: [ไม่นานนักก็มีคนมาเปิดประตู]/ [ไม่นานนักประตูก็อ้าเปิด]
2. ตัดคำซ้ำนะครับ
เช่น [มีไม่กี่สาเหตุนักที่จะทำให้ซิสเตอร์แมร์รี่ผู้อ่อนโยนจะแปลงร่างจากนางฟ้าเป็นแม่มด และหนึ่งในสาเหตุนั้นก็คือ การที่เด็กกำพร้า...]
สังเกตดู มีคำว่า 'จะ' 2 คำในประโยคเดียวกัน
และมีคำว่า 'สาเหตุ' 2 คำในประโยคเดียวกัน
เป็นเหตุที่ทำให้อ่านแล้วสะดุดครับ
ควรแก้/ ใช้คำอื่นแทน/ หรือตัดทิ้งไปเลยยังได้
กรณีที่ตั้งใจใช้คำซ้ำเพื่อให้เกิดสัมผัสในก็มีครับ นักเขียนบางคนใช้ได้อย่างสวยงาม
แต่ในตัวอย่างที่ยกมานี้ไม่ใช่
จะเอาใจช่วยต่อไปนะครับ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช