EN13 Mr.Hidden?s Secret Boxes
Mr.Hiddenคือเจ้าแห่งความลับ ห้องทำงานของเขาเต็มไปด้วยกล่องเก็บความลับมากมาย ตั้งแต่ความลับของคนธรรมดายันคนชั้นสูง แล้วเด็กชายเฮย์เด็นวัย10ขวบจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องมาอยู่ร่วมกับลุงคนนี้ในช่วงปิดเทอม?
Mr.Hidden’s Secret Boxes
Prologue
ผมชื่อ เฮย์เด็น อายุ 10 ขวบ ลุงของผมเป็นคนประหลาดที่สุดในโลก
ในอาณาจักรวาฟซายน์มีอาชีพมากมายให้ทำ ทั้งคนส่งนม แม่ค้าขายขนมหวาน หัวหน้ากองคาราวานเร่ร่อน แต่ถึงอย่างนั้นลุงของผม มิสเตอร์ฮิดเด็น กลับทำอาชีพที่เรียกว่า ‘นักเก็บความลับ’
ลุงบอกว่า เก็บความลับไม่เหมือนกับเก็บของทั่วไป มันทั้งอันตรายและหอมหวาน หอมหวานต่างจากรสชาติของลูกกวาดหรือกลิ่นของดอกไม้
เพื่อนหรือแขกของลุงล้วนแต่ดูไม่น่าไว้วางใจ ชอบปิดหน้าปิดตา แถมวันดีคืนดีผมก็แอบเห็นลุงคุยกับลูกน้องคนสนิทของเจ้าเมือง คนที่พอจะดูธรรมดาหน่อยก็เห็นจะมีแค่น้าโรสมิลล่า ผู้ช่วยสาวสุดสวยของลุงเท่านั้น(ถ้าไม่นับเรื่องที่เธอชอบยั่วโมโหลุงทุกครั้งที่มีโอกาสล่ะก็นะ)
ผมล่ะงง ทั้งๆ ที่แม่สอนผมอยู่เสมอว่าชีวิตคนเรามันสั้น แล้วลุงจะเสี่ยงชีวิตไปเพื่ออะไร ทำไมถึงไม่ทำอาชีพที่มันสบายๆ รักษาชีวิตกว่านี้ แต่พอถามไปแบบนั้น ลุงก็ตอบว่าเป็นเพราะมันเหมาะกับพลังของลุงที่สุดแล้ว ...อันที่จริงผมก็ไม่เข้าใจพลังของลุงนักหรอก มันเรียกว่า ‘ความสามารถในการปรับเปลี่ยนสิ่งที่เป็นนามธรรม ให้กลายเป็นรูปธรรม และเก็บรักษาไว้ด้วยวิธีการพิเศษ’ โอ๊ย มีแต่ศัพท์ยากๆ ผมจะไปเข้าใจได้ยังไงกัน แน่จริงเอาพจนานุกรมมาเปิดแล้วอธิบายให้ผมฟังสิ!
พูดกันตามตรง ปิดเทอมฤดูร้อนครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทำให้เราสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน ก่อนหน้านี้ผมเคยเจอลุงแค่ตอนวันเกิดอายุครบสามขวบ(ที่ผมยังจำความไม่ได้) กับหกขวบเท่านั้น ภาพของลุงที่ผมจำได้คือ เป็นผู้ชายที่สูงมากๆ แขนขายาว หน้าบึ้งไม่ค่อยยิ้ม ชอบสวมสูทสีดำกับหมวกทรงสูงราคาแพง ตอนนั้นลุงไว้ผมยาวเล็กน้อยแล้วมัดรวบไว้หลังท้ายทอย แสดงออกชัดเจนว่าต่อต้านสังคมที่นิยมให้ผู้ชายไว้ผมสั้น แต่เหตุการณ์ที่ผมจำได้ดีที่สุดเกี่ยวกับลุงก็คือตอนที่ จอร์นนี่ สุนัขที่ผมเลี้ยงไว้เกิดตายเพราะโดนเด็กแถวบ้านที่เกลียดขี้หน้าผมวางยาเอา ลุงเป็นคนแรกที่เจอศพของมัน ตอนนั้นเป็นช่วงพระอาทิตย์กำลังตก ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน ลุงนั่งยองๆ อยู่ข้างจอร์นนี่ ดวงตาสีเทาวาววับ ขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น สีหน้าดูหน้ากลัวราวกับปิศาจ
ลุงอุ้มจอร์นนี่มาหาผมที่ยืนนิ่ง ช็อคจนแม้แต่น้ำตาก็ยังไม่ไหล ลุงย่อตัวลง บอกกับผมว่า “จอร์นนี่มีอะไรฝากบอกเธอก่อนที่มันจะตาย เดี๋ยวลุงจะเอาให้ฟังนะ”
แล้วลุงก็วางมือซ้ายลงบนศีรษะยาวๆ ของจอร์นนี่ เกิดแสงสีขาวขึ้นที่ใต้ฝ่ามือ แล้วมันก็บิดม้วนกลายเป็นก้อนแสงกลมๆ ขนาดเท่าลูกเชอร์รี่ ก่อนจะเอามันมาอังกับหน้าผากของผม ถ้าตอนนั้นผมไม่ได้ประสาทหลอนไปเอง ผมจำได้ว่าได้ยินเสียงผู้ชายวัยรุ่นที่ฟังดูแปลกหูพูดอยู่ในหัวผมว่า “ขอบคุณที่คอยเลี้ยงฉันมาตลอดนะเฮย์เด็น ขอบคุณสำหรับเศษน่องไก่ที่คอยแอบเอามาให้ฉันกินเสมอ นายคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ต่อจากนี้ก็ดูแลตัวเองด้วย ฉันหวังว่านายจะไม่แอบไปร้องไห้ที่ใต้ต้นเอลเดอร์ข้างๆ แม่น้ำคนเดียวอีกนะ...มีอะไรก็บอกแม่ของนายบ้าง เธอคือคนที่รักนายที่สุดในโลก ฉันขอโทษที่เล่นกับนายไม่ได้อีกแล้ว...โชคดีนะ”
พอเสียงนั้นพูดจบ ผมก็รู้สึกหน้ามืดตาลาย แล้วล้มลงหมดสติทันที แต่ก็ทันเห็นรอยยิ้มเศร้าๆ ของลุงและสีหน้าตกใจของแม่
ผมฟื้นหลังจากนั้นสองวัน แม่เอาจอร์นนี่ไปฝังไว้หลังบ้านแล้ว ส่วนลุงก็กลับไปตั้งแต่คืนเกิดเหตุ แม่ไม่พอใจลุงมากที่เอาก้อนแสงยัดใส่หน้าผากผม
“มันเป็นพลังต้องสาป...น่ารังเกียจ คราวหน้าถ้าเขาทำอีก แม่จะฆ่าเขาซะ” แล้วแม่ก็ย้ำอีกว่าอย่าได้อธิษฐานกับดาวตกขอให้ตอน 11 ขวบมีพลังแบบลุงเด็ดขาด สู้มีพลังให้สามารถทอผ้าและวาดภาพได้ลวดลายดั่งใจนึกแบบแม่เสียยังดีกว่า
แต่ผู้ใหญ่ช่างเข้าใจยากจริงๆ ช่วงปิดเทอมก่อนวันเกิดของผมสามเดือน แม่ก็ดันเอาผมมาฝากลุงเลี้ยงเสียนี่
สีหน้าของลุงตอนที่เห็นผมอยู่หน้าประตูบ้านนั้นดูหนักใจและไม่อยากต้อนรับเท่าไร ส่วนแม่นั้นพอดันกระเป๋าเสื้อผ้าผมพ้นประตูบ้านก็หันมาหอมแก้มผมเร็วๆ แล้วรีบเดินกลับหันหลังหายไปทันที ไม่แม้แต่จะทักทายพี่ชายสักคำ
...ช่วยไม่ได้ ผมจะพยายามทำตัวเป็นหลานที่น่ารักแล้วกันนะ
Chapter 1
เฮย์เด็นผู้สงบเสงี่ยม
-------------------------------------------------------------------------------------------
ลุงไม่อยู่บ้าน วันนี้อาจจะเป็นโอกาสของผมก็ได้...โอกาสที่จะได้เห็นห้องแห่งความลับ
อันที่จริงมันมีชื่อที่ฟังดูสวยหรูกว่านี้ แต่ผมจำไม่ได้ แถมชื่อที่ตั้งเองก็เรียกง่ายดี ถ้าจะให้อธิบาย...ห้องแห่งความลับคือสถานที่ปฏิบัติงานของลุง เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างสนามรบกับทหารนั่นแหละ
คนที่เข้าห้องนี้ได้ มีแค่ลุง น้าโรสมิลล่า ลุงไอแซค และลูกค้าเท่านั้น ผมถูกกันออกไปโดยสิ้นเชิงด้วยคำไล่ต่างๆ นานา ทั้ง ไปเล่นกับสุนัขข้างบ้านสิ ไปซื้อขนมกินสิ ไปนอนอ่านหนังสือหาความรู้สิ...สารพัดจะไล่ อยู่บ้านนี้มาหนึ่งสัปดาห์แล้วลุงยังไม่ไว้ใจผมเลย ทั้งๆ ที่ผมทำจานแตกไปแค่สองใบ วิ่งข้ามถนนไม่ระวังจนโดนรถม้าเฉี่ยว กับได้แผลถลอกจากการปีนต้นไม้เท่านั้น เพราะงั้นผมถึงต้องใช้วิธีแอบสังเกตการณ์แทน...อ่าฮ่า ผมเลยได้รู้ที่ซ่อนกุญแจของลุงยังไงเล่า ลุงชอบซุกมันไว้ใต้กระถางต้นเรดเบิร์นในห้องนอน หรือไม่ก็สอดไว้ในหนังสือเล่มที่สามชั้นบนสุดทางขวามือในห้องนั่งเล่น ผมต้องเอาเก้าอี้มาต่อขาถึงจะขึ้นไปหยิบได้
จะว่าไป ลุงจัดบ้านได้พิลึกมากๆ ...ไม่สิ มันไม่เรียกว่าจัดด้วยซ้ำ เพราะนอกจากชุดโซฟาสีเลือดหมูแบบสามที่นั่งและพรมที่สีคล้ายๆ กันแล้ว อย่างอื่นก็เหมือนแค่เอามาวางมั่วๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะแจกันทรงสูง รูปวาดแนวเสมือนจริง ชั้นหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ เคาน์เตอร์ครัว นาฬิกา ล้วนไม่มีสิ่งไหนเข้ากันเลย เหมือนเอาสินค้าที่ออกแบบสมัยรุ่นทวดมาปนกับเสื้อผ้าคอลเลคชั่นล่าสุดของดีไซเนอร์ไฟแรงอายุยี่สิบนั่นแหละ เพราะฉะนั้นมันเลยยากที่จะอธิบายว่าแต่ละห้องหน้าตาเป็นยังไง เช่นห้องนั่งเล่นกึ่งห้องรับแขกนี่ก็มีเก้าอี้ถึงเจ็ดตัวกระจัดกระจายอยู่ทั่วแต่กลับไม่มีโต๊ะสักตัว รูปวาดเก้ารูปแขวนเบียดๆ กันบนผนังติดวอลเปเปอร์สีเหลืองอ่อน แถมผ้าม่านสองฝั่งยังคนละสีด้วยซ้ำ ...สิ่งที่ผมพอจะบอกได้ก็คือ ห้องแห่งความลับคือห้องที่ใหญ่ที่สุด หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาผมคิดว่าค่อนข้างจะสำรวจทุกห้องอย่างละเอียดแล้ว เหลือก็แต่เจ้าห้องปฏิบัติการณ์แสนลึกลับของลุงนี่ละ
ลุงกับน้าโรสมิลล่าออกไปทำธุระข้างนอกได้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมเช็คประตูหน้าต่างประมาณสิบรอบได้กว่าจะกล้าลงมือจริงๆ เอาล่ะ...ไหนดูซิ ชั้นวางหนังสือของลุงอยู่ถัดจากด้านหลังของโซฟายาวไปราวห้าก้าว มีภาพวาดทุ่งดอกทานตะวันแขวนอยู่ทางซ้าย มันทำให้ผมนึกถึงแม่นิดหน่อย ส่วนทางขวาเป็นกล่องใส่จดหมายและเอกสารเก่าๆ ของลุงสามกล่อง ข้างบนกล่องมีบรรดาใบปลิวโฆษณา และเศษตั๋วเข้าชมการแสดงตามโรงละครต่างๆ วางอยู่ มันมีมากเสียจนต้องมัดรวมไว้เป็นปึก ทุกครั้งที่ลุงออกไปข้างนอกก็จะได้มันมาเพิ่มเสมอ แต่ผมยังไม่เคยไปดูละครหรือนั่งฟังเพลงโอเปร่ากับลุงสักครั้งเดียว
ผมยกเก้าอี้ที่ซุกตัวอยู่มุมห้องมาวางไว้หน้าชั้นหนังสือแล้วปีนขึ้นไป ชั่วขณะนั้น ผมย้อนนึกถึงตอนที่แอบเอาอาหารบนจานส่งให้จอร์นนี่ที่หมอบแอบอยู่ใต้โต๊ะ ตอนแอบหนีไปเล่นนอกบ้านหลังเที่ยงคืน และตอนที่แอบอ่านโทรเลขของแม่ ผมขยับนิ้วเท้าทั้งสิบภายในถุงเท้าลายทาง ผมเองก็มีความลับเหมือนกัน แต่มันคงเทียบไม่ได้กับความลับที่ผมกำลังจะได้เห็น!
ผมเหลียวไปมองข้างหลังเพื่อความแน่ใจ ข้างนอกเงียบกริบ ได้ยินเสียงรถม้าบดกับถนนแว่วมาไกลๆ ลมพัดผ้าม่านต่างสีไหวน้อยๆ เอาล่ะ...ผมหันกลับมา สูดหายใจลึก มือซ้ายยกยันกับชั้นหนังสือ ยื่นแขนขวาขึ้นไปยังช่องหนังสือชั้นบนสุด ผมกะระยะพลาดนิดหน่อยเลยทำให้ต้องเอี้ยวตัวไปทางขวาเล็กน้อย โอ้...นี่ไง หนังสือเล่มที่สาม มันหนากว่าเล่มอื่นแถมหนักไม่ใช่ย่อย ผมเพิ่งได้จับเป็นครั้งแรกเพราะลุงหูตาไวมากเวลาอยู่บ้าน ปกของมันสีดำสนิท มีตัวอักษรอ่อนช้อยสีทองเขียนว่า ‘ศาสตร์แห่งการโกหก – เมื่อมนุษย์ทุกคนคือนักแสดงบนเวทีชีวิต’ ผมขมวดคิ้ว ท่าทางเนื้อหาจะเข้าใจยาก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจนัก ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ...พลิกกระดาษไปหน้ากลางเสีย
ผมถึงกับเบิกตากว้าง ...มันอยู่ที่นี่จริงๆ กุญแจสีเงิน ดอกเล็กพอที่จะกำไว้จนมิด ส่วนท้ายเป็นสี่เหลี่ยมแบนและมีรูวงรีเล็กๆ ไว้คล้องห่วงกันหล่นหาย ก้านยื่นออกไปราวข้อนิ้วกว่าๆ ซี่ฟันที่ส่วนปลายเป็นรอยบากสองฝั่งคล้ายก้างปลา ดูเรียบง่าย แต่องศาเอียงๆ ของซี่ฟันชวนให้คิดว่ารูกุญแจคงซ่อนกลไกซับซ้อนเอาไว้ ยิ่งมอง เหงื่อก็ยิ่งซึมชื้นบนมืออันสั่นระริกของผม กุญแจนี่มันทั้งประหลาดทั้งสวยอย่างบอกไม่ถูก ผมมองมันอยู่อึดใจหนึ่งทีเดียว ก่อนจะปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้อย่างโล่งอก เตรียมจะหยิบมันขึ้นมาดู ทว่า...
“นั่นหลานทำอะไรอยู่น่ะ เฮย์”
ผมสะดุ้งเฮือก ตัวเย็นวาบ สติถูกตัดฉับไปเสียเฉยๆ -- ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผมหลับตาปี๋ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเผลอเอามือเหนี่ยวชั้นหนังสือไว้จนมันเอนลงมาข้างหน้า จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องเฮ้ยและเสียงหนังสือตก รู้ตัวว่ากำลังร่วง โอ้ ผมกำลังจะโดนชั้นหนังสือทับ ต้องเจ็บโคตรๆ แน่ แต่ผมทำอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!
แต่แล้วผมก็รู้สึกถึงแรงกดปริศนาที่เอวทั้งสอง ตัวผมลอยขึ้น หัวหมุนติ้ว หูได้ยินเสียงโคร้ม! หนึ่งครั้งและตุบ!นับครั้งไม่ถ้วน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหมุนสักร้อยรอบได้ ก่อนที่เสียงทุกอย่างจะเงียบลง ร่างของผมแนบอยู่กับอะไรอุ่นๆ พอตั้งสติได้ก็พบว่าเป็นอกกว้างในเสื้อสูทของลุงที่มีหัวใจเต้นตุ้บๆ ดังจนน่ากลัว
ผมค่อยๆ เงยหน้า ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้ รู้แต่ว่าสีหน้าลุงที่ได้เห็นอย่างใกล้ชิดนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าแม่ร้อยเท่า ดวงตาเรียวรีสีเทาของลุงเบิกกว้างจนหางตาแทบฉีก คิ้วก็ขมวดแน่นจนหน้าผากย่นเสียยิ่งกว่าตอนผมหกขวบ ผมจำได้ว่าลุงสวมหมวกทรงสูงก่อนออกจากบ้าน แต่ตอนนี้มันหายไปไหนไม่รู้แถมผมหยักศกสีน้ำตาลของลุงก็ยุ่งเหยิงราวกับไปนั่งดื่มชาท่ามกลางพายุมา
เราอยู่ท่านั้นกันนานเท่าไรไม่ทราบได้ จนกระทั่งใครคนหนึ่งส่งเสียงขึ้นมาจากเบื้องหลังของลุง “อะแฮ่ม ดิฉันว่าท่านปล่อยหนูเฮย์เด็นได้แล้วกระมังคะ?”
ลุงกระพริบตา สูดหายใจฟืด สะบัดหัวหนึ่งที แล้วค่อยๆ วางผมลง แต่พอเท้าแตะพื้นผมก็พลันแข้งขาอ่อนขึ้นมาเฉยๆ ดีที่ลุงยังจับแขนของผมไว้อยู่ แต่ถ้าให้เลือกได้ ผมว่าผมแกล้งเป็นลมไปเลยน่าจะดีกว่า
“ไหนบอกลุงมาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น...” เสียงทุ้มของลุงสั่นเล็กน้อย แน่ล่ะก็เขากัดฟันอยู่นี่...ส่วนผมน่ะเปลี่ยนใจอยากกัดลิ้นตายไปเรียบร้อยแล้ว “หลานปีนเก้าอี้ขึ้นไปทำไม เฮย์”
“คือว่า...” ผมยิ้มแหย ไม่รู้จะมองไปตรงไหนดี “ผมจะอ่านหนังสือน่ะฮะ ก็เลย...”
“ดิฉันคิดว่าท่านผิดเองนะคะที่จู่ๆ ไปเรียกหนูเฮย์เด็นแกแบบนั้น” ผู้ช่วยสาวของลุงคือนางฟ้าของผมเสมอ เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่มักสวมชุดสูทรัดรูปสีสด และรองเท้าส้นสูงพอๆ กับหน้าผา แต่กลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่วอย่างเหลือเชื่อ “เวลาอยู่ในบ้านน่ะหัดเดินให้มันเสียงดังๆ หน่อยสิคะ แล้วก็เลิกใช้เวททะลุกำแพงได้แล้วค่ะ!”
ลุงเบ้หน้า ผมเริ่มเห็นทางรอดแล้ว ลุงแพ้ทางน้าโรสมิลล่าเสมอ ผมเดาได้เลยว่าลุงจะตอบว่าอะไร และมันก็ถูกเสียด้วย “เธอเป็นแม่ฉันรึไงโรส บ่นอยู่ได้”
“บ่นแน่ล่ะค่ะ เพราะถ้าเขาบาดเจ็บขึ้นมา คนที่รักษาคือฉันนี่คะ” ใบหน้าเรียวสวยเชิดขึ้นเล็กน้อย ผมสีแดงเพลิงยาวถึงกลางหลังสะบัดพรึ่บ ในอ้อมแขนยังคงเต็มไปด้วยแฟ้มเอกสาร ผมว่าผมเห็นประกายไฟในดวงตาสีอัลมอนด์ของเธอด้วยซ้ำ “แล้วเมื่อไรจะพาหนูเฮย์เด็นไปนั่งสักทีล่ะคะ!”
“นี่ใครเป็นเจ้านายกันแน่เนี่ย” ลุงบ่นบ้าง ใบหน้าน่ากลัวหายไปแล้ว ผมกลั้นหัวเราะจนปวดแก้มขณะเดินตามลุงที่ช่วยพยุงผมไปยังโซฟา พอผมนั่งลงเรียบร้อย ลุงก็ย่อตัวลงแล้วมองสำรวจผมด้วยดวงตาเคร่งขรึม “ไหน เจ็บตรงไหนรึเปล่าเฮย์”
“ไม่เลยฮะ...ขอโทษด้วยฮะที่ทำให้บ้านเลอะเทอะ” ผมเพิ่งนึกเรื่องกุญแจขึ้นได้เลยรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอีกครั้ง มันหลุดมือผมไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่คิดอีกทีที่ชั้นหนังสือล้มก็คงดีเหมือนกัน ผมจะได้กลบเกลื่อนเรื่องกุญแจได้
ลุงพยักหน้าเร็วๆ หันไปมองชั้นหนังสือที่คว่ำลงมาไม่เป็นท่า หนังสือหลายสิบเล่มกระจัดกระจายทั่วพื้น ก่อนจะสั่งการว่า “โรส เธอไปบอกเพื่อนบ้านด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น พวกนั้นจะได้ไม่ตื่นตูม” แล้วหันกลับมาหาผม “เฮย์ ถ้าหลานหายตกใจแล้วก็ไปเก็บหนังสือกองเรียงไว้ให้เรียบร้อยด้วย จำที่ลุงสอนได้ใช่ไหม”
“จำได้ฮะ เราต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองฮะ ...แล้วคุณลุงจะไปไหนเหรอฮะ?”
“จะไปเตรียมของนิดหน่อย เดี๋ยวมีลูกค้ามา” ลุงจ้องตาผมนิ่ง อันที่จริงถึงจะมีศักดิ์เป็นลุง แต่ลุงก็ยังดูหนุ่มมาก ใบหน้าเหลี่ยมเข้ากับหนวดบางๆ ที่ไล่จากจอนผมยาวเรื่อยมาถึงคางและรอบริบฝีปาก ติ่งหูของลุงค่อนข้างหนาและยาวหน่อยๆ น้าโรสมิลล่าเคยบอกผมว่ามันคือลักษณะของคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ “รีบเก็บให้เสร็จก่อนลูกค้ามาล่ะ”
ลุงลูบหัวผมหยาบๆ จนดูเหมือนตบหัวสุนัขเบาๆ มากกว่าแล้วเดินหายไปในทางเดินยาวที่ทอดสู่บริเวณหลังบ้าน ผมหันไปมองน้าโรสมิลล่าที่กำลังหาที่วางแฟ้มเอกสารท่ามกลางการจัดบ้านอันแสนพิลึก “ว่าแต่ทำไมถึงกลับกันเร็วจังเลยล่ะฮะน้าโรสมิลล่า ผมนึกว่าจะกลับเย็นๆ ซะอีก”
ริมฝีปากสีกุหลาบยิ้มให้ผมอย่างอารี “พอดีลูกค้ายกเลิกนัดกะทันหันค่ะ ท่านเป็นห่วงคุณหนูเลยรีบกลับมา ...แต่ว่านะคะ”
“ฮะ?”
“คุณหนูคิดจะอ่านหนังสือจริงๆ น่ะเหรอคะ”
ผมตัวแข็งทื่อ ลำคอตีบตันไปเสียเฉยๆ นัยน์ตาของน้าโรสมิลล่าวาบวับแปลกๆ บนปากยังคงเคลือบรอยยิ้ม “อย่าหาว่าดิฉันยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะคะ แต่ว่าถ้าขนาดดิฉันยังดูออก คุณท่านคงไม่เหลือหรอกค่ะ ผิดแต่รายนั้นไม่ค่อยชอบพูดเท่านั้น ...ท่านคงใกล้กลับมาจากห้องนอนแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
แล้วร่างสูงโปร่งก็เปิดประตูออกไปทำตามคำสั่ง ผมนั่งอยู่ตรงนั้นอีกชั่วอึดใจก่อนจะรีบถลันไปยังกองหนังสือ ผมไม่แน่ใจว่าควรทำยังไงกันแน่ แต่ว่าผมอยากหากุญแจให้เจอก่อน อ๊ะ นี่มันหนังสือเล่มที่ใช้เก็บกุญแจนี่ โอเค แล้วกุญแจล่ะ ตรงนี้ก็ไม่มี หรือว่าจะกระเด็นไปแอบใต้เครื่องเรือนสักชิ้นนะ ผมร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ ก้มๆ เงยๆ หาตามซอกหลืบมากมาย แต่ก็ยังไม่เจอ เสียงฝีเท้าของลุงดังใกล้เข้ามา แย่แน่แล้ว!
ขณะที่กำลังจะสติแตกนั่นเอง ผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างสะท้อนแสงที่หางตา ไชโย นั่นไงกุญแจ! มันกระเด็นไปหล่นในกระถางต้นไม้ใกล้ๆ ชั้นหนังสือนี่เอง ผมรีบคว้ามันมาอย่างรวดเร็วแล้วจับยัดเข้าไปในหน้าไหนสักหน้าของหนังสือเล่มที่สาม ผมกำลังชักมือกลับมาพอดีตอนที่ลุงปรากฏตัวขึ้น
“อ้าว ทำไมหลานดูหอบๆ อย่างนั้นล่ะ” ลุงถามพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย ในมือมีเอกสารสองสามแผ่น ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่า แต่มุมปากของลุงเหมือนจะกระตุกๆ คล้ายอยากยิ้มจะแย่ยังไงชอบกล
“เปล่าฮะ เดี๋ยวผม...ผมจะรีบเก็บหนังสือนะฮะ” ผมรีบเอาหนังสือเล่มอื่นมากองทับเล่มเจ้าปัญหา ทำทีเป็นขยันเต็มที่ ผมได้ยินเสียงลุงหัวเราะหึหึในลำคอ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปเก็บหมวกบนพื้นแล้วเอามาแขวนไว้กับที่แขวนหมวกข้างประตู จากนั้นก็ไปนั่งหันหลังให้บนโซฟา ผมคิดว่าลุงคงกำลังดูเอกสารอยู่เลยก้มหน้าก้มตาเก็บหนังสือเงียบๆ ทว่าไม่นานเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นว่า
“หลานอยากเห็นห้องแห่งความลับนักรึ เฮย์”
ทีแรก ผมไม่คิดว่าลุงพูดกับผมด้วยซ้ำ อึดใจหนึ่งทีเดียวกว่าผมจะแปลคำพูดนั้นออก เหงื่อเริ่มซึมตามฝ่ามือ ลิ้นแข็งคับปากขึ้นมาเสียเฉยๆ “ทะ...ทำไมถึง”
“ถ้าเรื่องชื่อที่หลานตั้งให้ห้องทำงานของลุงน่ะ ลุงรู้ตั้งนานแล้ว ส่วนเรื่องอื่น...” ลุงผินหน้ามาทางซ้ายเล็กน้อย แลเห็นจมูกโด่งชัดเจน “คิดว่าลุงเป็นใครกัน ถ้าแม้แต่หลานตัวเองยังดูไม่ออก แล้วจะทำงานนี้มาครึ่งค่อนชีวิตได้ยังไงล่ะ”
“แสดงว่าคุณลุง...”
ฝ่ายนั้นหัวเราะเบาๆ แล้วกระดิกนิ้วเป็นเชิงเรียกให้ผมไปหา ผมจึงจำต้องละมือจากกองหนังสือแล้วไปนั่งข้างๆ ร่างสูงของลุง ลุงวางเอกสารลงบนตัก ก้มมองผมด้วยสีหน้าผ่อนคลายเหมือนเวลาได้สูบยาสูบชั้นดี “ไหน มีอะไรอยากสารภาพรึเปล่า หืม?”
ผมหลบตาลุง ทำปากยื่น “ก็เปล่านี่ฮะ...”
“เฮย์เด็น...” ลุงถอนหายใจ
“...ก็ได้ฮะ” ผมเหลือบมองลุง แต่ก็ไม่กล้าสบตาตรงๆ อยู่ดี “ผมแอบขโมยกุญแจของคุณลุงฮะ”
เกิดความเงียบขึ้น ผมคิดถึงผลลัพธ์เลวร้ายทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้น ทั้งโดนไล่กลับบ้านตัวเอง โดนตี โดนให้อดข้าว ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น แต่แล้วลุงกลับพูดว่า “งั้นรึ ไม่เป็นไรหรอก กุญแจนั่นมันไม่ใช่ของจริงอยู่แล้ว”
“...เอ๊ะ อะไรนะฮะ?”
“มันเป็นของปลอมยังไงล่ะ” ลุงยกขาขวาขึ้นไขว่ห้างสบายๆ ทำท่าจะควักไปป์ออกมาจากประเป๋าเสื้อด้านใน แต่อาจเพราะเห็นแก่ผมจึงไม่ได้ทำ “หลานคิดว่าลุงจะเก็บของสำคัญไว้ในที่แบบนั้นรึ”
ผมอ้าปากค้างไปเลย รู้สึกเหมือนที่เฝ้าสังเกตมาทั้งหมดช่างสูญเปล่า ความรู้สึกลุ้นระทึกทั้งหมดเหือดหายไป แต่ในขณะเดียวกันก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงอย่างนั้นก็อดเซ็งไม่ได้อยู่ดี “แล้วคุณลุงทำแบบนั้นทำไมล่ะฮะ”
ลุงไม่ตอบในทันที แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนผมยังคงจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ดูหล่อเหลาไม่น้อยนั่น อึดใจหนึ่งลุงก็หันกลับมา สีหน้าดูเคร่งขึ้น “เพราะลุงอยากจะทดสอบหลานยังไงล่ะ เฮย์เด็น”
หัวคิ้วผมชนกันอย่างไม่เข้าใจ “ทดสอบ? ทดสอบอะไรฮะ”
“ก็หลายๆ อย่าง” ลุงตอบคลุมเครือ เปลี่ยนเป็นนั่งหลังตรง “แต่อย่างหนึ่งที่ลุงรู้ก็คือ ผลลัพธ์ไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไร”
ผมตาโต รู้สึกเหมือนมีใครมาต้มน้ำเดือดๆ อยู่ในอก “หมายความว่าไงฮะ”
“ลุงชื่นชมนะที่หลานกล้าบอกความจริง แต่ว่านั่นก็เพราะลุงคาดคั้น” ลุงว่า “หลานควรจะพูดความจริงตั้งแต่แรกมากกว่า การมีความลับน่ะ มันไม่ดีนักหรอกนะเฮย์”
ผมฉุนกึก นี่ลุงจะอะไรกับผมนักหนาเนี่ย “คนอย่างคุณลุงพูดได้ด้วยเหรอฮะ...ทีคุณลุงยังมีความลับกับผมเลย มาทดสอบหลานตัวเองมันสนุกนักเหรอฮะ?”
คิ้วเข้มของลุงเลิกขึ้นสูงราวกับแปลกใจกับวาจาเผ็ดร้อนของผม อันที่จริงถ้าลุงทำหน้าตาน่ากลัวให้ได้สักครึ่งของตอนที่ผมจะตกเก้าอี้ ผมก็คงหงอไปแล้ว แต่ลุงกลับส่ายหน้า พูดด้วยเสียงเหมือนไร้เรี่ยวแรงว่า “ไม่เลยเฮย์ มันไม่สนุก แต่ลุงจำเป็นต้องทำ”
“แล้วความจำเป็นแบบไหน มันถึงสำคัญขนาดที่คุณลุงต้องทำเหมือนผมเป็นตัวตลกด้วยล่ะฮะ?” ผมเถียง รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กปากดีเหมือนที่ครูชอบตำหนิบ่อยๆ ขึ้นมาจริงๆ ถ้าแม่รู้คงเอ็ดผมยกใหญ่แน่ ...แต่คิดอีกที แม่ไม่ชอบลุงเอาเสียเลย แม่อาจจะสนับสนุนผมก็ได้ เธอแทบไม่เคยขัดใจผมเลยด้วยซ้ำ
ลุงส่ายหน้าช้าๆ น้ำเสียงเคร่งขึ้น “ลุงไม่เคยมองหลานเป็นตัวตลกเลยสักครั้งนะเฮย์เด็น”
“แต่คุณลุงหัวเราะเยาะผมตอนที่ผมเก็บหนังสือ”
“นั่นไม่ใช่การหัวเราะเยาะ...ให้ตายสิ เลี้ยงเด็กนี่มัน...” ลุงกลืนคำพูดที่เหลือทิ้งลงคอ ดูงุ่นง่านเหมือนโดนมดไต่ตามลำตัว “ลุงยังบอกอะไรหลานตอนนี้ไม่ได้ แต่สักวันจะบอก โอเคไหม?”
ไม่ ผมไม่โอเค “ต้องรอให้ผมโตกว่านี้ก่อนหรือไงฮะ”
ลุงยักไหล่ “ก็ประมาณนั้น...ทุกอย่างมันมีช่วงเวลาเหมาะสมในการแสดงตัวเสมอนะเฮย์ ไม่ว่าความลับหรือความจริง การไปเร่งรัดมันไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรทั้งนั้น”
“อ๋อ...งั้นเหรอฮะ” ผมเมินหน้าหนี แค่นหัวเราะ “คำก็เด็ก สองคำก็รอให้โตก่อน เหอะ พวกผู้ใหญ่ชอบกีดกัน”
“อย่ามาทำกิริยาแบบนี้กับลุงนะเฮย์เด็น...” เสียงของลุงเข้มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ผีบ้าซาตานที่ไหนดลใจ ผมถึงได้กล้าหันกลับไปจ้องหน้าลุงอย่างก้าวร้าวที่สุด
“ทำไมฮะ คุณลุงจะต่อยผมเหรอ?”
ตาของลุงเรืองแสงวาบ ผมผงะ ร่างของลุงกำลังแผ่รังสีบางอย่างออกมา ที่แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ ชั่วขณะนั้นผมคิดจริงๆ ว่าลุงอาจจะต่อยผมตามที่ท้าก็ได้ ซึ่งผมที่สูงแค่ข้อศอกของลุงจะไปทำอะไรได้!
...แต่ก็เป็นโชคดีของผมที่ลุงเลือกที่จะผลุดลุกขึ้นเต็มความสูง เหน็บเอกสารไว้ใต้แขน หยิบไปป์ออกมาแล้วทำท่าจะจุดไฟ นัยน์ตาสีเทาไม่เหลือความใจดีแล้ว “หลานไปข้างนอกเสียเถอะ ลุงต้องใช้พื้นที่ทำธุระ...และอย่าลืมว่าห้ามไปไกลกว่าที่ลุงเคยบอกเด็ดขาด!”
ผมลุกขึ้นก่อนลุงจะพูดจบเสียอีก ใจหนึ่งก็นึกอยากขอโทษ แต่อีกฝ่ายกลับมาเป็นมิสเตอร์ฮิดเด็น เจ้าแห่งความลับคนที่ผมไม่ชอบต่อกรด้วยเสียแล้ว เขาในยามนี้คือนักธุรกิจ ไม่ใช่ลุงที่มีรสนิยมแต่งบ้านพิลึกของผมอีกต่อไป
ผมเดินกำมือแน่นไปยังประตูบ้าน แต่พอเปิดออกไปก็ต้องสะดุ้งที่เห็นน้าโรสมิลล่ายืนอยู่ เธอส่งยิ้มจืดเจื่อนให้ผม ไม่ว่าเธอจะเพิ่งมาหรืออยู่ตรงนี้มานานแล้ว แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่เธอไม่ได้เห็นฉากที่เพิ่งผ่านพ้นไป
ผมออกวิ่ง ขอบตาร้อนผ่าว สงสัยผมจะเป็นหลานที่น่ารักไม่ได้จริงๆ
ผู้แต่ง : MyScarlette
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | เฮย์เด็นผู้สงบเสงี่ยม | 10 ก.พ. 59 |
2 | นักกล้ามในชุดสูท | 08 มี.ค. 59 |
3 | ห้องแห่งความลับ | 15 มี.ค. 59 |
4 | โรงละครโอโธรีย์ | 23 มี.ค. 59 |
5 | วันไวท์ซอร์โร่ว | 30 มี.ค. 59 |
นี่เป็นอีกเรื่องนึงนะครับ ที่สำนวนการเขียน(หมายถึงความลื่นไหล/ สละสลวยของภาษา)แทบไม่มีอะไรให้ต้องคอมเมนท์เลย การสะกดผิดยังแทบหาไม่เจอ เห็นได้ถึงความใส่ใจในฐานะนักเขียน : )
นอกจากนั้นในบทที่ 5 นี้ ตัวละครแต่ละตัวเริ่มมีแคแรกเตอร์กับไดอะล็อกซึ่งลงตัวแล้ว
เป็นบทที่มีพัฒนาการขึ้นมาเยอะมากเลยล่ะคับ XD
ดาวิษ ชาญชัยวานิช