EN15 INCOGNITO วันวานกับกาลเวลา
ตัวข้านั้นคือ ?วันวาน? ส่วนหนึ่งเล็กๆของสิ่งที่เรียกว่า ?กาลเวลา?
บทที่ 1
ณ อีกฝั่งของพายุ
“กาลครั้งหนึ่งมาแล้ว ... มีอสุรกายตัวหนึ่งแหวกว่ายอยู่ในกาลเวลาและกำลังรอวันที่จะกลืนกินโลกทั้งใบ”
ชื่อของเธอคือ อินดิโก
และเธอถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกร
นับตั้งแต่วินาทีที่อินดิโกถูกโยนเข้าห้องขัง มันก็ยากจะเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ทัณฑสถานหญิงเดวิเลียนนั้นทั้งเปียกชื้นและน่าอึดอัด ด้วยทำเลที่ตั้งใกล้ชายหาดซึ่งมีลมฝนพัดผ่านเข้ามาอยู่ตลอดเวลา อินดิโกจึงมักจะนั่งขดตัวตลอดทั้งวันอยู่ในกองผ้าห่มที่เจ้าหน้าที่มอบมาให้เธอตั้งแต่วันแรก ตลอดเช้าถึงเย็นสายตาของเธอมักจะจับจ้องไปที่รอยแตกบนกำแพง ในเมื่อเธอมาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งเวลาไร้ความหมายต่อชีวิตของเธอ มีเพียงวันเวลาอันไม่สิ้นสุดรออยู่เบื้องหน้า สิ่งที่อินดิโกพอจะทำได้ก็คือการฆ่าเวลาโดยการนับจำนวนรอยแตกบนกำแพง
ช่องระบายอากาศบนผนังถูกปิดล้อมด้วยลูกกรงอย่างแน่นหนา แต่อินดิโกก็มักจะเขย่งเท้าเพื่อมองลอดสิ่งกำบังออกไปยังทิวทัศน์ของขอบฟ้าที่อยู่ไกลแสนไกลไปออกไปจนกระทั่งจรดกับน้ำทะเลที่ทอประกายซึ่งล้อมรอบเกาะแห่งนี้ซึ่งเป็นที่คุมขังของเธอ กลิ่นเค็มๆของเกลือโชยมาปะทะจมูกของอินดิโก หญิงสาวสูดมันเข้าไปเต็มๆปอด พลางคำนึงว่ามันจะรู้สึกเช่นไร หากเธอได้รับอิสรภาพอีกครั้งและได้เสพความสวยงามของทิวทัศน์เหล่านี้ในสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป
อินดิโกสะดุ้งโหยงเมื่อช่องเล็กๆที่อยู่บนบานประตูถูกเปิดออกและถาดอาหารค่อยๆเลื่อนผ่านช่องเข้ามา หญิงสาวเดินไปหยิบถาดอาหารขึ้นมานั่งกินบนเตียง แม้ว่าเมนูอาหารวันนี้จะไม่ได้แตกต่างไปจากทุกวันซึ่งมีเพียงขนมปังแข็งๆหนึ่งก้อน และถั่วลันเตาผัดกับเนย
หลังจากที่กินอาหารเสร็จและสอดถาดกลับคืนเพื่อให้เจ้าพนักงานมารับภาชนะของเธอแล้ว อินดิโกก็เดินไปหยิบหนังสือที่เธออ่านทิ้งเอาไว้ขึ้นมาอ่านต่อ หนังสือที่เธออ่านเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหลังจากที่เขาจากบ้านไปหลายปีและเดินทางไปรอบโลก จนเมื่อเขารู้ตัวว่าเขาโหยหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป นั่นทำให้เขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มโลกทั้งใบของเขา แต่ถึงกระนั้น ... เส้นทางของชายหนุ่มก็ไม่ได้โรยด้วยกุหลาบเมื่ออดีตของหญิงสาวตามมาหลอกหลอนพวกเขาทั้งคู่
อินดิโกหลับตาพลางนึกถึงความรักระหว่างพระนางในหนังสือที่เธออ่าน มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจความรู้สึกของตัวละครในเรื่อง ในเมื่อเธอไม่เคยได้รับความรักแบบนั้นจากใครเลย แม้กระทั่งพ่อแม่อุปถัมภ์ของเธอที่เธออยู่ด้วยมาตลอดหลายปีก็ตาม และวันที่อินดิโกถูกพามายังทัณฑสถานแห่งนี้ คำพูดของผู้หญิงที่อินดิโกเผลอคิดไปว่าคือแม่แท้ๆของเธอคือมีดที่เฉือนเข้าไปในใจจิตใจของเธอทุกครั้ง แม้กระทั่งตอนนี้คำพูดนั้นก็หล่อนยังดังก้องอยู่ในหัวของเธอไม่เคยจางหาย
‘แกไม่ใช่ลูกฉัน’
อินดิโกไม่มีพ่อแม่ เธอถูกทิ้งเอาไว้ตั้งแต่บ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเด็ก และเติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลของมิสมอร์ธา แม่ชีในโบสถ์ประจำเมืองเล็กๆในประเทศเม็กซิโกที่ทำหน้าที่เป็นทั้งแม่และครูของเธอ ตอนนั้นอินดิโกเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างจะต่างกับเด็กทั่วไป นั่นทำให้เธอถูกล้อจากเพื่อนๆเสมอ ผมของเธอเป็นสีบลอนด์ ในขณะที่เด็กๆทั้งโบสถ์มีผมสีดำกันหมด ส่วนสูงของเธอก็มากกว่าเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน นั่นยังไม่รวมถึงผิวของเธอที่ขาวซีด ซึ่งทำให้เธอแตกต่างจากคนอื่นที่มีผิวสีเข้มอย่างชัดเจน อินดิโกมักจะถูกเพื่อนๆเรียกว่าตัวตลกอยู่เสมอ
ปึง !
จู่ๆประตูห้องขังของเธอก็ถูกเปิดออก หญิงสาวพยายามหรี่ตาสู้แสงไฟนีออนที่อยู่ด้านนอก อินดิโกรู้สึกแปลกใจเพราะตั้งแต่เธออยู่ที่มาตลอดสามเดือนนั้น ไม่เคยมีใครที่กล้าจะเปิดประตูให้เธอเลยสักคนเดียว ดังนั้นอินดิโกจึงรีบกระถดตัวถอยหลังจนชนกับผนังห้องทางด้านหลัง หลังที่อินดิโกพยายามหรี่ตาจนสายตาของเธอมองเห็นภาพตรงนั้นชัดเจนแล้ว เธอจึงพบว่าชายที่ยืนอยู่ตรงกรอบประตูตอนนี้เป็นชายรูปร่างสูงและกำยำ เขาแต่งกายด้วยเครื่องแบบอันแปลกประหลาดที่อินดิโกไม่เคยเห็นมาก่อน กางเกงหนังสีน้ำตาลของเขากระชับเข้ากับท่อนขาอย่างพอดิบพอดี เสื้อเชิ้ตรัดลำตัวของชายหนุ่มจนอินดิโกสามารถมองเห็นรูปร่างโดยรวมของเขาชัดเจน เขาผูกผ้าพันคอน้ำตาลเข้ากับสีกางเกง แต่เมื่อมองโดยภาพรวมแล้วการแต่งตัวของชายคนนี้ผิดแปลกไปจากแฟชั่นในยุคปัจจุบันมากพอสมควร
ยังไม่ทันที่อินดิโกจะเอ่ยปากอะไรออกไป เธอก็ถูกตัดบทเสียก่อน
“มากับฉัน ... เดี๋ยวนี้ !” ชายแปลกหน้าโบกมือให้อินดิโกลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหา เมื่ออินดิโกเดินเข้าไปหาชายคนนั้นด้วยท่าทีระแวดระวัง แสงนีออนจากด้านนอกก็ส่องให้หญิงสาวเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
ใบหน้าของชายแปลกนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ผมสีน้ำตาลเข้มยาวลงมาปรกดวงตาสีเทาอ่อนที่กำลังจับจ้องมาที่อินดิโก ริมฝีปากของเขาเม้มเข้าเมื่อชายหนุ่มเริ่มสังเกตว่าหญิงสาวกำลังจ้องหน้าเขาอยู่
“ไปได้แล้ว” จู่ๆข้อมือของอินดิโกก็ถูกคว้าและร่างของเธอก็ถูกลากไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปจนถึงหัวมุมที่หักเลี้ยวไปทางซ้าย อินดิโกไม่ลืมที่จะสังเกตร่างของเจ้าหน้าที่ที่นอนกองอยู่บนพื้นตลอดทางที่เธอวิ่งตามหลังชายแปลกหน้าคนนี้ไป
“คุณทำอะไรกับพวกเขาน่ะ”
“เงียบปากซะ ! นี่ไม่ใช่เวลาถามเรื่องไร้สาระ” ชายแปลกหน้าเอ่ยอย่างห้วนๆ
อินดิโกเกือบจะสะดุดขาตัวเองตอนเธอยังเริ่มวิ่งไปได้ไม่เท่าไร แต่เมื่อเธอวิ่งเลี้ยวหามุมมาจนถึงทางเดินที่เปิดโล่งไปจนถึงประตูบานใหญ่ จู่ๆสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไฟสีแดงกะพริบแวบวาบ อินดิโกเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าที่กระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ ชายแปลกหน้าดึงเธอให้วิ่งตามเขาผ่านประตูแล้วขึ้นไดจนกระทั่งถึงห้องโถง
กระสุนปืนนัดหนึ่งทะลุผนังซึ่งเยื้องไปทางขวาของอินดิโก หญิงสาวก้มตัวหลบทันเวลา เมื่อชายแปลกหน้าที่พาเธอหนีชักปืนรูปทรงประหลาดออกมาจากซองซึ่งคาดอยู่ที่เอวและกราดยิงเจ้าหน้าที่สี่คนที่วิ่งตรงมายังพวกเขา
“ไป ไป ไป !!!” ชายแปลกหน้าดันหลังให้อินดิโกวิ่งไปยังประตูที่ล็อคเอาไว้ด้วยรหัสตัวเลขสี่หลัก
“ประตูล็อค ... ฉันไม่รู้รหัส !” อินดิโกหันไปตะโกนใส่ชายคนนั้นขณะที่เขาเบี่ยงตัวหลบกระสุน เจ้าหน้าที่สามนายนอนลงไปกองอยู่บนพื้น แต่นั่นไม่ได้ทำให้อินดิโกโล่งอกมากนัก เพราะเธอเห็นกำลังเสริมวิ่งเข้ามาหาเธอราวๆสิบคน ดังนั้นอินดิโกและชายแปลกหน้าจึงถูกล้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่มีจำนวนมากกว่าและตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“เอ้า รับนี่ไปซะ” ชายแปลกหน้าโยนปืนให้แก่อินดิโก หญิงสาวถึงกับหน้าเหวอเมื่อเธอรับอาวุธมาด้วยมือที่สั่นเทา แต่ยังไม่ทันที่อินดิโกจะได้สติและยกปืนเล็งไปยังเจ้าหน้าที่สิบกว่าคนที่ล้อมเธอเอาไว้ หูของเธอก็อื้ออึงเมื่อพลังงานบางอย่างที่พุ่งออกมาจากตัวของชายแปลกหน้าแล้วกระแทกเข้ากับกำแพงมนุษย์ที่โอบล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างจัง เจ้าหน้าที่ทั้งหมดนอนหงายลงไปกับพื้น บางคนนอนโอดโอย บางคนก็ถึงกับหมดสติ
เมื่อได้โอกาส ชายแปลกหน้าก็รีบวิ่งมากดรหัสที่แป้นอย่างกระฉับกระเฉง อินดิโกได้ยินเสียงล็อคถูกปลดออกในเวลาต่อมา เธอสาวเท้าไปเหวี่ยงประตูให้เปิดออกและวิ่งไปยังโถงทางเดินอีกแห่งที่อัดแน่นไปด้วยเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสีดำเต็มยศซึ่งกำลังเล็งปากกระบอกปืนมาที่พวกเขา
ซูมมมมมมมมมมมมมมมมม
ชายแปลกหน้าปล่อยพลังบางอย่างออกมาจากตัวเขาเหมือนเมื่อครู่ อินดิโกไม่มีเวลามาคิดว่าเขาทำแบบนั้นได้อย่างไร เพราะสัญชาตญาณการเอาตัวรอดกำลังครอบงำให้เท้าทั้งสองข้างของหญิงสาววิ่งต่อไปข้างหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
อินดิโกไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เธอหายใจเหนื่อยหอบเมื่อออกมาถึงประตูด้านหลังของทัณฑสถานที่เปิดออกสู่พื้นที่ว่างเปล่าของชายหาดด้านนอก
รั้วไฟฟ้าทอดตัวยาวโอบล้อมทัณฑสถานแห่งนี้ครบทั้งสี่ด้าน ชายแปลกหน้าหักนิ้วมือเสียงดังกร็อบแล้วยืดแขนทั้งสองข้างของเขาออกไปด้านหน้า พลังงานที่มองไม่เห็นทะยานฝ่าอากาศซึ่งกั้นอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสองและกระทบเข้ากับสิ่งกีดขวางอิสรภาพที่อยู่เบื้องหน้า
ทันใดนั้นรั้วไฟฟ้าก็ถูกฉีกออกอย่างง่ายดาย อินดิโกหันไปมองชายแปลกหน้าที่หันกลับมาเพื่อยักคิ้วให้แก่เธอก่อนที่เขาจะวิ่งผ่านรั้วออกไปด้านนอก
อินดิโกวิ่งตามเขาไป
กลิ่นเกลือและต้นหญ้าปะทะกับจมูกของอินดิโกอย่างจังเมื่อเธอมาถึงชายหาด ชายแปลกหน้าคว้าข้อมือของอินดิโกและพาเธอยังไปเรือขนาดเล็กที่จอดเอาไว้ใกล้ๆกับทางที่พวกเขาเพิ่งออกมา อินดิโกปีนขึ้นเรือขณะที่ชายแปลกหน้าสตาร์ทเครื่อง เรือเล็กทะยานฝ่าฟองคลื่นออกไปยังมหาสมุทรเบื้องหน้าที่แผ่ตัวออกไปไกลอย่างไร้จุดสิ้นสุด พอพวกเขาทั้งสองเริ่มทิ้งระยะห่างกับชายฝั่งได้พอสมควรแล้ว อินดิโกก็เอ่ยคำถามที่คาอยู่ในใจของเธอตั้งแต่วินาทีที่เธอได้เจอกับชายแปลกหน้าคนนี้
“คุณเป็นใคร”
ชายแปลกหน้าเหล่หลังเพื่อที่จะมองหน้าอินดิโก เขาถอนหายใจออกมายาวๆก่อนจะตอบเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า
“ฉันชื่อแอตลาส และฉันได้รับคำสั่งให้มาช่วยเธออกไปจากที่นี่”
“คำสั่ง ? … คำสั่งจากใคร ?” อินดิโกรู้สึกมึนงงสับสนไปหมดเมื่อความจริงอันเหลือเชื่อเริ่มประเดประดังเข้ามาในหัวของเธอ ทั้งเรื่องชายที่ชื่อแอตลาสที่มาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าห้องขังของเธออย่างกะทันหัน นั่นยังไม่รวมถึงเรื่องพลังวิเศษนั่นที่ทำให้เขาสามารถเดินผ่านเข้าออกทัณฑสถานซึ่งมีการป้องกันอย่างแน่นหนาได้ง่ายราวกับปลอกกล้วย
“ไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่จะอธิบายให้เธอฟัง” แอตลาสยักใหญ่ราวกับว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย
อินดิโกยกมือกอดอกพลางหันไปมองน้ำทะเลรอบๆตัวเธอที่เริ่มเปลี่ยนจากสีฟ้ากลายมาเป็นสีเทาเข้มตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
หลังจากนั้นไม่นานอินดิโกก็เริ่มสังเกตเห็นเมฆฝนที่เริ่มตั้งเค้าอยู่ไม่ไกลจากเรือที่เธอโดยสารอยู่ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ที่เธอเดินทางออกมาจากเกาะ ท้องฟ้าก็ยังโปร่งใสไร้เมฆอยู่เลย อินดิโกจึงไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเมฆฝนถึงก่อตัวขึ้นได้ภายในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้
“นี่นายจะทำบ้าอะไร !?” อินดิโกร้องเสียงหลงเมื่อเธอเห็นพายุขนาดใหญ่เริ่มก่อตัวกลางมหาสมุทร จุดศูนย์กลางของมันเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆจนทำให้น้ำทะเลที่อยู่รอบๆหมุนวนเร็วขึ้น เรือที่อินดิโกกำลังนั่งอยู่ก็เริ่มโคลงเคลงเพราะกระแสลม พอยิ่งเข้าไปใกล้พายุมากเท่าไร เธอก็เริ่มรู้สึกราวกับว่าเรือทั้งลำกำลังถูกพัดจนลอยขึ้นจากน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ
“จับแน่นไว้แน่นๆละกัน ถ้าไม่อยากตกน้ำไปซะก่อน” แอตลาสพูดโดยไม่เห็นมามองอินดิโก หญิงสาวเกือบจะคุมสติเอาไว้มาอยู่เมื่อชายหนุ่มเพิ่มความเร็วของเรือให้มากยิ่งขึ้นขณะที่อินดิโกเริ่มตระหนักได้ว่าปลายทางของเขาก็คือจุดศุนย์กลางของพายุเบื้องหน้า
“หยุดเรือเดี๋ยวนี้ !” อินดิโกร้องแข่งกับเสียงลมที่พัดจนใบหน้าของเธอรู้สึกชาไปหมด แต่แอตลาสก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเรือแต่ประการใด อินดิโกหลับตาแน่นเมื่อหัวเรือเริ่มแล่นเข้าไปในกระแสน้ำวนที่ดูดทุกสิ่งเข้าสู่ศูนย์กลาง เรือทั้งลำเสียการควบคุมแทบจะทันที แอตลาสผละออกมาจากพวงมาลัยแล้วกระโจนเข้ามาหาอินดิโกที่คว้าราวเหล็กด้านหนึ่งทั้งเอาไว้แน่นจนข้อนิ้วของเธอขาวซีด
อินดิโกกรีดร้องจนเธอไม่แน่ใจแล้วว่ายังมีเสียงออกมาจากลำคอของเธออยู่อีกไหมเมื่อเรือทั้งลำลอยขึ้นจากผืนน้ำอย่างรวดเร็วแล้วถูกดึงเข้าไปในพายุ แขนข้างหนึ่งของแอตลาสโอบกระชับรอบตัวของอินดิโกเอาไว้ในขณะที่อีกข้างก็จับราวเหล็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
อินดิโกรู้สึกว่าเรือทั้งลำพลิกตลบอยู่ในพายุครั้งแล้วครั้งเล่า หัวของเธอหมุนติ้วจนเธอไม่รู้สึกถึงทิศทางอีกต่อไป แอตลาสพยายามพูดอะไรบางอย่างกับอินดิโก แต่เธอไม่ได้สนใจฟังเพราะสิ่งเดียวที่เธอรับรู้ได้ในตอนนี้ขณะที่เธอกำลังหลับตาอยู่ก็คือเสียงครางหวีดหวิวของพายุที่ดังลั่นจนเธออยากจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหูเอาไว้ถ้าไม่ติดว่าต้องเหนี่ยวรั้งราวเหล็กเอาไว้สุดชีวิตล่ะก็
ราวกับร่างทั้งร่างของอินดิโกถูกบีบอัดด้วยกระแสจากอะไรบางอย่างที่เธอไม่สาสามารถสัมผัสได้ ลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอของหญิงสาวเมื่อเรือเริ่มหมุนควงสว่านในขณะที่มันลอยตัวอยู่ ณ กึ่งกลางพายุสูงขึ้นเรื่อยๆ อินดิโกก็เริ่มรู้สึกเหมือนกับร่างของเธอถูกจับเหวี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า เธอพยายามฝืนลืมตาขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่หลายครั้งหลายครา จนในที่สุดก็สามารถลืมตาต้านแรงลมได้ แต่อินดิโกก็ต้องพบว่าตัวเองอ้าปากค้างเพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อน
พายุเริ่มหมุนตัวช้าลง แสงอาทิตย์ที่ส่องเล็ดลอดเข้ามาด้านในของพายุนั้นทำให้อินดิโกเหลือบเห็นวิวทิวทัศน์ที่อยู่ทางด้านล่างของใจกลางพายุอย่างชัดเจน
อินดิโกกรีดร้องเสียงแหลม เพราะตอนนี้เธอกำลังลอยตัวอยู่เหนือสะพานขนาดใหญ่ที่ความสูงระดับตึกห้าสิบชั้น !
หญิงสาวร้องลั่นออกมาอย่างต่อเนื่องเมื่อจู่ๆพายุก็หายไปอย่างกะทันหัน ซึ่งนั่นทำให้เรือทั้งลำของเธอทิ้งดิ่งลงสู่พื้นโลกเบื้องล่างแทบจะทันที
แอตลาสกอดอินดิโกเอาไว้จนเธอเริ่มหายใจไม่ออก ทั้งสองร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว อินดิโกหยุดร้องไม่ได้ เธอหลับตาแน่นเพราะมั่นใจว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ... ชีวิตของเธอต้องจบสิ้นแน่ๆอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่ามกลางเสียงดังที่โหมกระแทกโสตประสาทของอินดิโก หญิงสาวกลับได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังฝ่าความน่ากลัวของการตกจากที่สูง เสียงที่คล้ายราวกับว่าเธอเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
ภายในพริบตา ร่างของอินดิโกและแอตลาสก็ดันหยุดลงกลางอากาศอย่างไม่น่าเชื่อ อินดิโกค่อยๆลืมตา สิ่งแรกที่เธอเห็นคือใบหน้าของแอตลาสที่อยู่ห่างจากเธอไม่ถึงหนึ่งนิ้ว สิ่งต่อมาที่เธอรับรู้ได้ก็คือ ... ร่างของพวกเขาสองคนอยู่ห่างจากพื้นปูนเบื้องล่างไม่เกินสองสามฟุตเท่านั้น
แอตลาสกระโดดลงไปยืนด้วยท่วงท่าที่ทำให้อินดิโกนึกอิจฉาขึ้นมาตอนเธอล้มคะมำจนหน้ากระแทกเข้ากับพื้นเข้าอย่างจังหลังจากอะไรก็ตามที่ช่วยชีวิตเธอจากการตกจากที่สูงนั้นดันหายไปอย่างดื้อๆ
เรือที่อินดิโกและแอตลาสโดยสารมาที่นี่ตกกระทบพื้นจนแตกออกเป็นเสี่ยงบนพื้นที่อยู่ห่างจากจุดที่พวกเขากำลังยืนอยู่ไม่ถึงสิบฟุต อินดิโกสะดุ้งโหยง
อินดิโกลุกขึ้นยืนอย่างงุนงงพร้อมกับปัดฝุ่นที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าของเธอเต็มไปหมด หญิงสาวเงยหน้ามองสำรวบบริเวณรอบๆ สะพานที่เธอยืนอยู่นั้นทอดผ่านแม่น้ำสีเทาขนาดใหญ่ที่ไหลเชี่ยวอยู่เบื้องล่าง ตึกรามบ้านช่องที่ขนาบทั้งสองฝั่งของแม่น้ำถูกก่อสร้างด้วยรูปทรงที่อินดิโกไม่คุ้นตามาก่อน ไม่ใช่สิ ! อินดิโกมั่นใจว่าเธอเคยเห็นสิ่งปลูกสร้างแบบนี้มาจากในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น
หอนาฬิกาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางตึกขนาดเล็กที่สูงลดหลั่นกันมา หลังตาของตึกเป็นสีเขียวไข่กา บ้างก็เป็นสีน้ำเงินเข้ม ยอดตึกแต่งด้วยเหล็กแหลมสูงหลายยอดตามสไตล์วิคตอเรียน เมื่อลดระดับสายตาลงมา เธอจึงก็หน้าต่างของหอคอยที่ขนาบทั้งสองข้างของตึกถูกประดับด้วยกระจกสีสันหลากหลาย ผนังของตึกสลักเป็นลวดลายวิจิตร หากมองให้ดีๆก็จะพบว่า มุมทั้งสี่ของตึกที่อยู่ต่ำจากหลังคาลงมานั้นมีรูปปั้นการ์กอยล์แกะสลักตั้งอยู่ในท่วงท่าที่ยกแขนรองรับหลังคา
“ที่นี่ไหน ?” อินดิโกเอ่ยเสียงเบา ใจของเธอหล่นตุ้บไปถึงตาตุ่มเมื่อสิ่งที่ยืนยันข้อสงสัยของเธอคือชายในชุดสูทสีดำที่มีผ้าคลุมขนาดใหญ่คลุมทับอยู่อีกตัวกำลังควบขับรถม้าผ่านจุดที่เธอยืนอยู่บนสะพานไป ตู้โดยสารของรถม้าเป็นสีดำทั้งหมด หน้าต่างด้านหนึ่งของรถเปิดออกจนอินดิโกสามารถมองลอดเข้าไปด้านในและสังเกตเห็นหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวด้วยผ้าลูกไม้สีชมพูอ่อน ผมสีบลอนด์หยิกของเธอทิ้งตัวจรดบ่า หญิงสาวคนนั้นยกมือข้างหนึ่งที่สวมถุงมือสีขาวขึ้นมาป้องปากตัวเองแล้วหัวเราะคิกคักจนอินดิโกที่ยืนอยู่ห่างจากรถม้าพอสมควรยังได้ยินเสียงของเธอแว่วมา
“ยินดีต้อนรับสู่ลอนดอน ปีคริสต์ศักราช 1860”
แอตลาสเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
อินดิโกไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง จนกระทั่งเสียงกังวานใสของหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านหลังของเธอ
“มาแบบเงียบๆไม่เป็นเลยสินะ แอตลาส” ผู้หญิงในชุดผ้าซาตินสีแดงสดเยื้องย่างเข้ามาหาอินดิโกและแอตลาส ใบหน้าของเธอสวยสง่าราวกับราชินีที่หลุดออกมาจากภาพถ่าย ผมสีดำล้อมกรอบหน้าของเธออย่างเหมาะเจาะนั่นช่วยทำให้ทุกอย่างบนใบหน้าดูโดดเด่นไปเสียหมดจนอินดิโกรู้สึกราวกับความสวยงามที่รายล้อมสถานที่แห่งนี้ซึ่งเธอรับรู้ได้ตั้งแต่วินาทีแรกได้ถูกดูดเข้าไปอยู่ในตัวของหญิงสาวรายนี้จนหมดสิ้น
“เอลิซาเบธ” แอตลาสเรียกเชื่อหญิงสาวในชุดผ้าซาติน อินดิโกยิ้มทักทายเมื่อเอลิซาเบธหันมามองเธอ ผู้มาใหม่ยิ้มให้อินดิโกอย่างเป็นมิตร ก่อนที่อินดิโกจะยื่นมือให้อีกฝ่ายจับ ร่างของเธอก็ถูกเอลิซาเบธรวบเข้าไปกอดไว้เต็มรักเสียก่อน
“เป็นไงบ้างจ๊ะที่รัก สำหรับการเดินทาง” เอลิซาเบธถามอินดิโกด้วยสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงอย่างเปิดเผย
“ก็...ดี มั้งคะ” อินดิโกอึกอัก เพราะเธอชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่าการเดินทางเมื่อครู่สามารถเรียกว่าเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นได้เหลือเปล่า เพราะมันเกือบจะทำให้เธอช็อคตายตอนที่แอตลาสแล่นเรือเข้าสู่กลางพายุน่ะสิ
“เก็บกวาดด้วย ... แอตลาส” เอลิซาเบธชี้นิ้วสั่งแอตลาสที่ยืนเกาหัวแกรกๆแล้วหันมาคุยกับอินดิโกต่อว่า …
“ส่วนเธอมากับฉัน ... อินดิโก รถม้าของฉันจอดรออยู่ที่อีกฝั่งของสะพานโน้นแน่ะ” เอลิซาเบธชี้นิ้วไปยังอีกด้านของสะพานที่ผู้คนเริ่มแออัดมากขึ้นเพราะรถม้าที่แล่นผ่านไปมาเกิดหยุดกะทันหันจากเหตุการณ์ที่มีเรือที่หล่นลงมาจากฟ้า อินดิโกไม่รู้ว่าเอลิซาเบธรู้จักชื่อของเธอได้อย่างไร แต่เธอก็ไม่มีเวลามาถามเมื่อเอลิซาเบธจูงเธอเดินผ่านรถม้าที่จอดเรียงรายแล้วข้ามถนนอีกเส้นจนทั้งคู่มาอยู่ที่จัตุรัสขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยผู้คนในชุดสีสันแปลกตา
อินดิโกรู้สึกชื่นชมกับทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ แม้ว่าใจหนึ่งเธอจะรู้สึกเหลือเชื่อกับเรื่องทั้งหมดสำหรับการที่เธอเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ในยุคสมัยที่แตกต่างออกไปจากที่ที่เธอจากมา แต่จิตใต้สำนึกของเธอกลับรู้ดีว่าหลังจากสิ่งที่เธอทำลงไปจนทำให้เธอถูกจับขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงเดวิเลียนแล้ว ทุกอย่างก็ดูไม่ได้น่าเหลือเชื่อจนเกินไปนัก
เมื่อภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเริ่มหวนกลับคืนสู่หัวของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ อินดิโกก็พยายามผลักความรู้สึกเหล่านั้นให้ออกไปจากสมอง
เธอไม่ได้ตั้งใจให้สิ่งๆนั้นเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เธอไม่ได้อยากให้คนๆหนึ่งต้องมาตายด้วยน้ำมือของเธอด้วยซ้ำ
“อินดิโก อินดิโกจ๊ะ” เมื่อเอลิซาเบธเห็นอินดิโกเหม่อลอยจนไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด หญิงสาวก็ยกมือสะกิดอินดิโกที่สะดุ้งแล้วหันมามองหน้าเธอ
“ขอโทษค่ะ พอดีฉัน ...”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอน่ะ เธอไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นหรอกใช่มั้ย” อินดิโกเกือบจะหยุดหายใจ เธอไม่รู้ว่าเอลิซาเบธรู้เรื่องของเธอได้อย่างไร
“เอ่อ ... คุณ” อินดิโกพูดไม่ออก
“เธอคงจะมีเรื่องสงสัยไปหมดเลยสิ ใช่ไหม ? รอเราไปถึงอีเดนก่อนนะ เดี๋ยวมอร์เฟียสจะอธิบายให้เธอฟังจนหมดเองแหละ” เอลิซาเบธยิ้ม อินดิโกพยักหน้า แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เอลิซาเบธพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ลึกๆแล้วอินดิโกก็เชื่อว่าเธอกำลังเลือกทางเดินที่ถูกต้อง
อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้ ...
อินดิโกมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกไป แต่พอเธอขึ้นรถม้าขนาดใหญ่ที่จอดเอาไว้เทียบกับขอบทางเดินแล้ว ความสงสัยเหล่านั้นก็ค่อยๆมลายหายไปจนกระทั่งความตื่นตาตื่นใจค่อยๆกลับเข้ามาแทนที่
หลังจากที่เดินทางออกจากจัตุรัสแล้ว รถม้าก็วิ่งมาถึงถนนขนาดใหญ่ที่สองข้างทางขนาบด้วยร้านรวงมากมาย พ่อค้าใส่หมวกทรงสูงโบกมือเรียกลูกค้าเพื่อให้แวะเข้าชมกล่องสีทองซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่กว่ากำปั้นมากนัก แต่เมื่อเปิดออกแล้วก็กลับมีควันหลากสีพวยพุ่งออกมา ถัดกันนั้นไม่ไกลมีแม่ค้าในชุดกระโปรงสุ่ม อินดิโกไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของแม่ค้าที่ถูกหมวกปิดกว้างบังเอาไว้ แต่ในอ้อมกอดของแม่ค้านั้นมีลูกแมวสามตัวกำลังส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงฝีเท้าของผู้ที่สัญจรผ่านไปมา
วิวข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อรถม้าเลี้ยวซ้ายที่หัวมุมถนน และหยุดลงตรงหน้ารั้วที่ล้อมรอบสถานที่แห่งหนึ่งพอดิบพอดี
สิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของอินดิโกตอนนี้นั้นทั้งยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ตึกสามชั้นสไตล์วิคตอเรียแผ่อาณาบริเวณออกไปทั้งสองด้าน หน้าต่างเรียงรายตลอดแนวตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นสาม สนามหญ้าหน้าบ้านเต็มไปด้วยรูปปั้นรูปทรงแปลกๆ ทางเดินถูกโรยไว้ด้วยกรวดซึ่งทอดยาวไปจนถึงประตูบานคู่ขนาดใหญ่ที่เมื่ออินดิโกเข้าไปมองใกล้ๆแล้ว เธอจึงพบว่ารูปสลักบนประตำไม้เป็นเรื่องราวของสงครามและการต่อสู้ระหว่างเทวดาและปีศาจ
“ที่นี่คืออีเดน มาเถอะ ... เข้าไปข้างในกัน” เอลิซาเบธผลักประตูบานคู่ให้เปิดออก หญิงสาวเดินเข้าไปด้านใน ไม่นาน ... อินดิโกก็อ้าปากคว้างกับสิ่งที่เธอเห็นอีกครั้ง
โคมไฟระย้าแขวนอยู่เหนือหัวส่องแสงสีเหลือนวลทาบสะท้อนกับพื้นกระเบื้องที่ถูกขัดจนมันวาว รอบผนังห้องทั้งสองด้านถูกแขวนด้วยผ้าม่านสีขาวสะอาดตา ส่วนอีกฝั่งของห้องโถงนั้นมีบันไดขนาดใหญ่ที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ชั้นสอง กลิ่นเปลือกส้มลอยคลุ้งออกมาจากประตูทางด้านซ้ายมือซึ่งอินดิโกสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นที่ตั้งของห้องครัว
“เอลิซาเบธ !”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งลงมาจากบันไดด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่ แต่สายตาของเขากลับเหลือบมองมาที่อินดิโกอย่างระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาที่เขาและเอลิซาเบธเริ่มกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่อินดิโกไม่ได้ยิน
“เอ่อ ฉันชื่ออินดิโก” อินดิโกยื่นมือให้อีกฝ่ายจับ แต่เด็กหนุ่มกลับเบิกตากว้างและวิ่งหนีกลับขึ้นบันไดไป อินดิโกจึงหันไปมองเอลิซาเบธที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“นั่นโฟบอสน่ะ ... หมอนั่นค่อนข้างจะขี้อายไปหน่อย” เอลิซาเบธฉีกยิ้มอย่างอบอุ่นจนทำให้ความมั่นใจที่เริ่มหายไปของอินดิโกค่อยๆกลับคืนมาอีกครั้ง
กา !
จู่ๆ อีกาตัวหนึ่งก็บินโฉบลงมาหาอินดิโก จะงอยปากของมันคมกริบราวกับใบมีดที่สามารถตัดโลหะออกเป็นสองท่อนได้อย่างสบายๆ หญิงสาวยกแขนทั้งสองขึ้นมาป้องหน้าตามสัญชาตญาณ เธอรู้สึกตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อนกตัวนั้นจิกแขนเธออย่างแรงจนเธอรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆที่ไหลลงมาจนถึงข้อศอก
“โคล ! หยุดนะ ... โคล !” เอลิซาเบธตะโกนเรียกชื่อของคนที่อินดิโกไม่รู้จักเสียงดัง แต่อินดิโกก็ไม่มีเวลาที่จะมาสนใจเรื่องเหล่านี้เมื่อเธอพยายามปัดป่ายอีกาตัวนั้นให้เลิกยุ่งกับเธอ ในขณะที่เลือดก็ไหลออกมาจากบาดแผลบริเวณข้อศอกมากขึ้นเรื่อยๆ
เสียงกระพือปีกดังแข่งกับเสียงแหลมสูงของเอลิซาเบธที่เรียกชื่อของโคลซ้ำแล้วซ้ำเล่า วินาทีนั้น ... อินดิโกก็รู้สึกเหมือนหัวของเธอกำลังจะระเบิด อะไรบางอย่างที่อยู่ด้านในตัวของเธอค่อยๆคลายออกราวกับงูพิษขนาดใหญ่ที่ตื่นจากการหลับไหล กระแสพลังงานแล่นปราดออกมาจากส่วนที่อยู่ลึกที่สุด มันค่อยๆแผ่ปกคลุมทุกอณูบนร่างของเธออย่างช้าๆ ราวกับอินดิโกย้อนกลับไปยังฝันร้ายของวันนั้นอีกครั้ง เสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่กลายเป็นเหยื่อในวินาทีที่อินดิโกเสียการควบคุมตัวเองดังแข่งกับเสียงร้องอันแหบแห้งด้วยความสิ้นหวังของเธอ
อินดิโกทรุดลงไปกองกับพื้นพอดีกับจังหวะที่เสียงร้องของอีกาหยุดลงอย่างกะทันหัน เอลิซาเบธถอนหายใจดังเฮือก ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่อินดิโกอย่างไม่หยุดยั้งราวกับคลื่นยักษ์ เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกาตัวนั้นโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องลืมตาขึ้นมามอง
ทันใดนั้น เสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากระเบียงชั้นบนของบันได
“เก่งมาก ... เก่งจริงๆ” อินดิโกลืมตาขึ้นเพื่อที่จะมองชายผู้มาใหม่ที่ยืนกอดอกด้วยท่วงท่าอันสง่าสงามราวกับราชวงศ์ เขาสวมเสื้อโค้ทสีดำขนาดพอดีตัว ใบหน้าของเขานั้นแฝงไปด้วยความเยือกเย็น ผมสีขาวยาวล้อมรอบนัยน์ตาสีฟ้าที่ซีดจางราวกับน้ำแข็งยิ่งทำให้ชายคนนี้กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับอินดิโกมากขึ้นเมื่อเขาเดินมาหยุดตรงจุดที่ห่างจากเธอไม่ถึงสามก้าว
“โคล ไม่ตลกเลยนะ นายทำแบบนี้ได้ยังไง ถ้าเดลโตโร่รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ ...” โคลยกมือปรามเอลิซาเบธ หญิงสาวหยุดพูดก่อนที่ชายหนุ่มจะเบี่ยงหน้ากลับมาฉีกยิ้มให้กับอินดิโก
“ที่เขาลือกันก็เป็นความจริงสินะ …” โคลพูดด้วยน้ำเสียงอันนุ่มลึกราวกับมีปริศนามากมายอยู่ในตัวของชายคนนี้ ปริศนาอันดำมืดที่อินดิโกไม่สามารถจะหยั่งถึงได้
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน !!!” ประตูเปิดด้านหน้าออกดังปัง แอตลาสก้าวยาวๆเข้ามายังห้องโถงใหญ่ สายตาของเขากวาดมองจนเห็นอินดิโกที่นั่งขดตัวอยู่บนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ ร่างทั้งร่างของเธอสั่นระริกราวกับลูกนกตกน้ำ
“แหม ... อย่าหงุดหงิดไปหน่อยเลยน่า ... แอต ไม่ใช่เรื่องของนายที่จะต้องเข้ามายุ่งซะหน่อยนี่ ใช่มั้ย ?” โคลยักไหล่อย่างยียวน แอตลาสค่อยๆประคองให้อินดิโกลุกขึ้นยืนในขณะที่เขาจับข้อศอกทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้เผื่อว่าเธอจะเสียหลัก
“โคล นายก็รู้ ทุกคนที่นี่สั่งห้ามว่าไม่ให้เข้าไปยุ่งกับ ...” แอตลาสเว้นวรรคไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อว่า “... พลังของเธอ”
“พลัง ... ของ ... ฉัน ?” อินดิโกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ใช่แล้ว สาวน้อย” โคลเดินเข้ามาประชิดอินดิโก เขาก้มลงหยิบอะไรบางอย่างจนเมื่ออินดิโกมองให้ชัดๆเธอจึงรู้ว่ามันคือซากของอีกาตัวที่บินเข้ามาทำร้ายเธอนั่นเอง
แต่ตอนนี้ร่างสีดำขลับของมันกลับอ่อนปวกเปียกและไร้ลมหายใจ
เพราะมันถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของเธอ
ผู้แต่ง : ZE'EV
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | บทที่ 1 : ณ อีกฝั่งของพายุ | 13 ก.พ. 59 |
2 | บทที่ 2 : เซราฟิโน่ | 07 มี.ค. 59 |
3 | บทที่ 3 : ร่วงหล่น | 14 มี.ค. 59 |
4 | บทที่ 4 : คลั่ง | 23 มี.ค. 59 |
5 | บทที่ 5 : ตกนรกหมกไหม้ | 30 มี.ค. 59 |
อ่านไปอ่านมา ชักจะชอบเอลิซาเบธมากกว่าอินดิโกซะแล้วล่ะครับ > <
ดาวิษ ชาญชัยวานิช