EN18 MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?
กฎเหล็กของมาสคอตสามข้อ: ห้ามคุย, ห้ามถอด, ห้ามงอแง คุณเคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังหัวการ์ตูนสุดน่ารักเหล่านั้น เขาคือใครกันแน่ คำตอบน่ะหรือ...ผีที่มีชีวิตยังไงล่ะ
บทที่ 0: “ทำไม”
ว่ากันว่าโลกก็เปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีหัวใจ ไม่มีสมองเหมือนบรรดาสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรสัตว์ ไม่มีคลอโรฟิลด์ไว้สังเคราะห์แสงเหมือนพืชต่างๆ ไม่มีผนังเซลล์ที่ทำมาจากเปปทิโดไกลแคนเหมือนพวกแบคทีเรีย แต่มันก็มีไกอา หรือ สายพลังงานลึกลับที่ทำหน้าที่เสมือนโลหิตที่คอยรักษาสมดุลให้ดาวเคราะห์ดวงนี้คงอยู่ต่อไปได้ ทว่าถ้าโลกเกิด ‘ป่วย’ ไกอาก็จะทำหน้าที่เสมือนเม็ดเลือดขาวของสัตว์ที่คอยกำจัดสิ่งที่ทำให้สิ่งแวดล้อมภายในร่างกายเสียสมดุล
หลังจากอดทนกับมลพิษ สงคราม ความอดอยาก โรคระบาดตั้งแต่ยุคสมัยเมโสโปเตเมียเรื่อยมา สุดท้ายโลกก็ถึงกับจุดที่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป... สงครามโลกครั้งที่สอง
หลังสงครามจบลงได้ไม่ถึงหกเดือน พลังไกอาหรือเส้นแสงสีขาวดำจำนวนมหาศาลก็ล้นทะลึกขึ้นจากผืนดิน พวกมันวิ่งไปทั่วโลก หมายจะชะล้างสิ่งที่โลกเห็นเป็น ‘โรคร้าย’...มนุษย์
มนุษย์ที่ถูกแสงแห่งไกอาสัมผัสส่วนใหญ่ล้วนเสียชีวิตภายในสามเดือน ทว่าร่างกายของมนุษย์บางกลุ่มเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านพลังเหล่านั้น พวกเขาสามารถรับเส้นแสงเข้าสู่ร่างกายแล้วดึงมันออกมาใช้เป็นของตัวเอง พวกเขาถูกเรียกว่า โอไรออน
โอไรออนถูกใช้เป็นอาวุธสงครามในรุ่นต่อๆมา สุดท้าย เมื่อเห็นพลังไกอาส่วนหนึ่งเริ่มผุดขึ้นจากผืนดินอีกครั้ง พันธสัญญา “Novae Terrae” หรือพันธสัญญาโลกใหม่ก็ถูกร่างขึ้นเพื่อป้องกันการเสียสมดุลของโลก นี่นำไปสู่การรวมตัวของประเทศในเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้เพื่อต่อสู้กับปัญหาประชากรที่ลดลงและปัญหาขาดแคลนทรัพยากร ประเทศใหม่นี้มีชื่อว่า แพนเอเชีย
ว่ากันว่ามนุษย์มักจะกลัวในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ เพราะพลังเหนือธรรมชาติที่อาจกลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศ โอไรออนทุกคนถูกฝังชิพควบคุมความประพฤติในสมองส่วนลิมบิกและสมองส่วนหน้าที่มีหน้าที่รับรู้อารมณ์ การเรียนรู้ การปรับตัว ความทรงจำ ระบบจะนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลแล้วคาดเดาว่าโอไรออนคนนั้นจะประพฤติตัวอย่างไรต่อไป หลังจากระบบนี้ถูกใช้งาน จำนวนอาชญากรโอไรออนลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้น โอไรออนก็ถูกจำกัดสิทธิ มีสนามเด็กเล่น โรงเรียน โรงพยาบาลและระบบขนส่งสาธารณะสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะเพื่อลดความเสี่ยงของมนุษย์ที่อาจจะโดนทำร้าย
เมื่อจบการศึกษา โอไรออนส่วนใหญ่ถูกบรรจุเข้าในกองกำลังรักษาดินแดนโดยอัตโนมัติ พวกเขาแทบจะไม่มีสิทธิได้ประกอบอาชีพอื่นๆ ทว่าแทนที่จะคัดค้าน พวกเขากลับยินยอมกับข้อตกลงนี้โดยดี...
“โอไรออนก็เหมือนสุนัขล่าเนื้อ พวกเขาทำตามคำสั่งของเจ้านายได้อย่างดีเยี่ยม แต่กลับไม่เคยสงสัยในจุดมุ่งหมายของคำสั่งเหล่านั้น ทำไมพวกเขาต้องอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่า ทำไมพวกเขาต้องคอยเดินตาม พวกเขาจะเดินนำไม่ได้หรือ ทำไม ทำไม ทำไม”
“ทำไมกัน”
เงาของแผ่นหลังสูงทาบประทับลงบนร่างของเด็กหนุ่มท่ามกลางซากปรักหักพัง อุณหภูมิติดลบของโอซาก้าในเดือนมกราคมทำให้ลมหายใจร้อนๆกลับกลายเป็นไอสีขาวขุ่น มันถูกพ่นออกมาในจังหวะที่รวดเร็วแต่อ่อนแอตามจังหวะหัวใจของเจ้าของ ถึงแม้ว่าผิวของเขาจะขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ มือในถุงมือสีดำเปรอะฝุ่นก็ยังพยายามเอื้อมไปข้างหน้า หมายจะยื้อไม่ให้อดีตเพื่อนสนิทเดินจากไป
“เคย์!” เขาพยายามเค้นเสียงผ่านริมฝีปากอันสั่นเทาออกมาก่อนที่ความเจ็บปวดจากกระดูกซี่โครงที่หักไม่เหลือชิ้นดีจะหยุดรั้งเขาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เริ่มพร่ามัวจากการขาดเลือดสะท้อนภาพใบหน้าด้านข้างของคนคุ้นเคย
เขายังจำใบหน้านั่นได้ดี... ใบหน้าของคนทรยศ
ราวกับช่วงเวลาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ หยดน้ำที่เกิดจากเกล็ดหิมะละลายวิ่งไปตามเรือนผมสีดำสนิทระต้นคอ ดวงตาสีทับทิมสะท้อนภาพ “ผลงาน” ของตัวเองอย่างไร้ความรู้สึก ผิวขาวดุจรูปสลักเปรอะไปด้วยเลือด... เลือดของเขา เลือดของมานาบุ เลือดของอลิซ... เลือดของเพื่อนทุกคน
“ลาก่อน ธันวา” เสียงเย็นๆที่ถึงแม้จะคุ้นชินแค่ไหน ทว่าความหมายของมันกลับทำให้ไขสันหลังเย็นวาบ
บทที่ 1 กฎเหล็กของมาสคอตสามประการ
รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน
“มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา”
“Becoming a Freelance Mascot”
โดย
นางสาวมะลิ สุนทรบุระ รหัส LOE02357
โรงเรียนฝึกโอไรออน สาขาโอกินาวา
ประจำปีการศึกษา A.G. 2016
----------------------------------------------------------------
กิตติกรรมประกาศ
(Acknowledgement)
การที่ข้าพเจ้าได้มาฝึกงาน ณ บางกอก (ไม่ระบุสถานที่แน่ชัด) ตั้งแต่วันที่ 1 เดือน กรกฎาคม A.G. 2016 ถึงวันที่ 31 เดือน สิงหาคม A.G. 2016 นั้น ข้าพเจ้าได้รับคำแนะนำ ความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ที่มีค่าที่สามารถนำไปใช้ได้ในการเป็นโอไรออนปกป้องดินแดนในอนาคต การฝึกงานภาคฤดูร้อนนี้สำเร็จลงได้ด้วยดีจากความร่วมมือและสนับสนุนจากหลายฝ่ายดังนี้
1. คุณ ธันวา (ไม่สามารถระบุนามสกุล) ตำแหน่ง ฟรีแลนซ์มาสคอตมืออาชีพ
2. คุณ มานาบุ โนดะ ตำแหน่ง หัวหน้าโอไรออนทีมบางกอก
และ ผู้ปกครองและลูกค้าทุกท่านที่คอยสนับสนุน มอบกำลังใจระหว่างการปฏิบัติงาน และเหล่าผู้ก่อการร้ายที่ช่วยมอบประสบการณ์ในการปฏิบัติงานจริงให้แก่ข้าพเจ้าก่อนที่จะก้าวไปสู่สังคมการทำงานหลังจากจบการศึกษา ข้าพเจ้าจึงขอบคุณ ไว้ ณ ที่นี้
มะลิ สุนทรบุระ
ผู้จัดทำรายงาน
“เอาล่ะ ก่อนที่เธอจะเริ่มฝึกงานกับฉัน เรามีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อน”
เด็กสาวผิวแทนในเสื้อแขนกุดสีแดงวางกระป๋องน้ำอัดลมลงบนพื้นแกรนิตขัดมันที่ตนนั่งอยู่ ดวงตากลมโตสะท้อนภาพ “ผู้สอนงาน”ของเธอ
ใช่แล้ว เมื่อจบปีสิบสอง นักเรียนโอไรออนฝึกหัดทุกคนจะถูกส่งไปฝึกงานฤดูร้อนกับหน่วยรักษาดินแดนทั่วเอเชียหรือหน่วยงานที่ต้องการเจ้าหน้าที่โอไรออน หากใครไม่ผ่านการฝึกงานก็จะถือว่าสอบตกทั้งปีและต้องซ้ำชั้น
มะลิ สุนทรบุระ เป็นโอไรออนที่พลังน้อย แถมสมองเล็กๆก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องการท่องจำบรรดาสูตรทฤษฎีฟิสิกส์ประยุกต์อีกด้วย ผลสอบของเธอทำให้ครูประจำชั้นลุ้นตัวโก่งเสมอว่าเธอจะผ่านไปยังชั้นปีต่อไปได้หรือไม่ และนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่มีศูนย์ปฏิบัติการโอไรออนซักที่ยอมรับเธอเข้าฝึกงาน...
“กฎเหล็กของมาสคอตมีทั้งหมดสามข้อ” ชายเบื้องหน้า ไม่สิ “กระต่ายปุกปุย” เบื้องหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำขัดกับหัวโตๆ ฟันเหยินๆและชุดกระโปรงแสนหวาน มะลิถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยพลางนึกย้อนไปเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว
“กองกำลังรักษาดินแดนมอบหมายตำแหน่งตามระดับพลังโอไรออนและผลสอบข้อเขียน พวกเราไม่สามารถให้โอไรออนที่พลังน้อยเข้าร่วมหน่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้ เพราะมันจะเป็นภัยทั้งต่อตัวคุณเองและสมาชิกคนอื่นๆ” ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีฟ้า เนกไทสีน้ำเงินเข้มอธิบายขณะเดินนำผ่านประตูกระจกอัตโนมัติ ก่อนที่ลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศภายในจะปะทะหน้าของพวกเขาอย่างจัง เหนือประตูมีป้ายไฟแอลอีดีปรากฏเป็นชื่อห้างหรูกลางกรุงแห่งนี้
ห้างสรรพสินค้า NOVA AVENUE
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว มะลิได้รับจดหมายตอบรับเข้าฝึกงานกับหน่วยรักษาดินแดนสาขาบางกอก หนึ่งในหน่วยปฏิบัติการโอไรออนที่แข็งแกร่งที่สุดในแพนเอเชีย มะลิแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอรีบโทรข้ามเขตการปกครองจากโอกินาวาไปยังบางกอกเพื่อเช็คว่าพวกเขาส่งอีเมล์มาผิดรึเปล่า เมื่อพบว่านี่ไม่ใช่ความผิดพลาด เด็กสาวก็เก็บกระเป๋าออกเดินทางมายังบางกอกทันที
ทว่าเมื่อมาถึง เธอก็พบว่าแท้จริงแล้ว โอไรออนทีมบางกอกเป็นแค่คนกลางคอยประสานงานเท่านั้น ชายเบื้องหน้าเธอ คุณมานาบุ โนดะ หัวหน้ากองกำลังรักษาดินแดนสาขาบางกอกออกมาต้อนรับเธอพร้อมเผยว่าเขาจะฝากฝังเธอไว้กับรุ่นพี่ของเขา
มานาบุ เป็นชายวัยยี่สิบสี่ปีมีหน้าตาแสนธรรมดา ความสูงระดับมาตรฐานชายเอเชีย การแต่งตัวฉบับพนักงานบริษัทบวกกับแว่นกรอบสี่เหลี่ยมสีดำนั่นแล้ว ไม่ว่าใครมาเห็นก็คงจะเดาว่าเขาเป็นพนักงานแผนกบัญชีในบริษัทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแน่นอน ยกเว้นเสียว่าพวกเขาจะเห็นรอยสัก WKN00121
โอไรออนทุกคนจะมีรอยสักที่คอเพื่อบ่งบอกสถานที่เกิดและรหัสประจำตัว แต่WKNงั้นหรือ...
ที่ไหนกันนะ ถ้าเป็นเมืองใหญ่อย่างโตเกียวก็ TKY สิงคโปร์ก็ SIG แต่เธอกลับไม่เคยเห็นโค้ดWKN มาก่อน
“WKN ย่อมาจากวักกะไนน่ะ เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของฮอกไกโดติดกับชายแดนรัซเซีย” มานาบุที่เห็นเด็กสาวจ้องคอขาวเนียนของตนมานานเอ่ยขึ้น เขาเอียงศีรษะมองโอไรออนฝึกหัดแล้วขยับแว่นเล็กน้อย
“มาจากเลยใช่ไหมเรา” เด็กสาวเบิกตาด้วยความแปลกใจ เขาเป็นหนึ่งในน้อยคนที่รู้ว่าโค้ด LOE ย่อมาจากเลย
“ฉันเป็นคนเชียงคานค่ะ”
“วิเศษไปเลย งั้นคุณน่าจะเข้ากับรุ่นพี่ได้ดี เขาเป็นคนตรังน่ะ ตรังกับเลยใกล้ๆกันใช่มั้ย เห็นออกเสียงหนึ่งพยางค์เหมือนกัน” เอ่อ... ไม่เลยค่ะ มะลิเริ่มสงสัยว่าแว่นตาบนจมูกโด่งๆนั่นมีไว้เพื่ออ่านหนังสือวิชาการหรืออ่านมังงะกันแน่
“รู้ไหม รุ่นพี่น่ะ ไม่เคยรับใครเข้าฝึกงานมาก่อนเลยนะ แต่เพราะปีนี้โรงเรียนคุณอยากทำสถิติไม่มีเด็กซ้ำชั้น ผู้อำนวยการเลยขอร้องให้ผมที่เป็นศิษย์เก่ารับเด็กไปหนึ่งคน พอดีหน่วยผมไม่มีที่ว่างเลยต้องไปขอร้องพี่เขา หมดของเซ่นไหว้ไปเยอะเลยแหละ ไม่ว่าจะหมูย่างตรัง ผลไม้ห้าอย่าง ขนมชั้น กล้วยบวดชี ฟักทอง” มานาบุไล่ลิสต์ “อ้อ แล้วก็น้ำแดงด้วย”
เอ่อ...รุ่นพี่ของคุณเป็นเจ้าที่เหรอคะ
“นี่ผมเกือบจะเอาผ้าสามสีไปพันพี่เขาล่ะนะ ฮะๆ” หนุ่มแว่นที่ดูเหมือนจะรู้ตัวหัวเราะเบาๆขณะโบกมือปฏิเสธอมยิ้มจากมาสคอตยีราฟ เพราะวันนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติ เหล่าผู้ปกครองจึงจูงมือลูกเล็กเด็กแดงออกมาจับจ่ายซื้อของและดูการแสดงที่ห้างจัดขึ้น หุ่นมาสคอตหน้าตาน่ารักจำนวนมากเดินหิ้วตะกร้าแจกอมยิ้มไปทั่วให้ความรู้สึกอบอุ่นสดใสต่างจากความรู้สึกโอ่อ่าของห้างแห่งนี้ยามไร้เทศกาล
“รุ่นพี่ของคุณมานาบุเป็นโอไรออนประจำเขตเหรอคะถึงมาประจำในห้างแบบนี้” ยิ่งเดินลึกเข้าไปในห้างมากเท่าไหร่ หัวใจเล็กๆของเด็กสาวก็ยิ่งเต้นเร็วมากขึ้น...ความฝันของการเป็นโอไรออนรักษาดินแดนได้ใกล้เข้ามาอีกก้าวนึงแล้ว
รุ่นพี่ของหัวหน้าทีมรักษาดินแดนอย่างนั้นหรือ...จะเก่งแค่ไหนกันนะ จะเท่ขนาดไหนกันนะ!
“อ๋อ ไม่หรอก..เขาไม่ได้เป็นโอไรออนด้วยซ้ำ เขาน่ะ... อ๊ะ! นั่นไง เขาอยู่นั่น!” มานาบุชี้ไปยังใจกลางกลุ่มเด็กๆที่กำลังวิ่งเล่นกลางงานเทศกาลวันเด็ก มะลิมองตามปลายนิ้วตาค้าง...
เห็นสิ เห็นชัดเลย
ก็เล่นหัวโต ตัวพองขนาดนั้น ใครมองไม่เห็นก็บ้าแล้ว!
“พี่กระต่ายลูซี่ อุ้มหนูหน่อย!”
“ไม่ได้นะ พี่กระต่ายลูซี่ต้องกอดเค้าก่อนนะ!”
“พี่กระต่าย!”
เธอต้องมาฝึกงานกับกระต่ายลูซี่อย่างนั้นหรือ!?
“เอ่อ แต่กระต่ายลูซี่เป็นแค่ตัวการ์ตูนนะคะ” เด็กสาวถามงงๆ มานาบุส่ายหน้าแล้วชี้ไปยังมาสคอตตัวเดิม
“คนที่อยู่ใต้ชุดมาสคอตนั่นต่างหากล่ะ ที่จะสอนงานคุณ ตามมาสิ เดี๋ยวผมจะแนะนำให้คุณรู้จัก” มะลิเดินตามหัวหน้าทีมบางกอกด้วยความลังเล เอาล่ะ ตอนนี้เธอมีสองทฤษฎีเกี่ยวกับสถานการณ์เบื้องหน้า...
1. เขาอาจจะเป็นโอไรออนยอดฝีมือที่ปลอมตัวเป็นมาสคอตเพื่อปกป้องลูกชายประธานาธิบดี
2. หนุ่มฮอกไกโดอย่างมานาบุอาจจะทนความร้อนของบางกอกไม่ไหวจนเสียสติไปแล้ว!
ทำไมโอไรออนอย่างเธอต้องมาฝึกงานกับตัวละครมาสคอตด้วย!
เพื่อนเธอคนอื่นๆล้วนได้ไปฝึกงานในหน่วยโอไรออนที่กระจายไปทั่วประเทศ พวกเขาล้วนได้ออกลาดตระเวน ได้ทำภารกิจ แล้วดูเธอสิ! เธอโดนส่งมาฝึกงานกับมาสคอตตัวหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับกองกำลังรักษาดินแดนเลยด้วยซ้ำ
“เฮ้ ฟังอยู่รึเปล่า มาลี”
“มะลิ! ฉันชื่อมะลิ!”
“เออ นั่นแหละ กฎเหล็กของมาสคอตมีทั้งหมดสามข้อหลัก” กระต่ายตัวเดิมยกนิ้วชี้ขึ้นมาข้างหน้าตัวเอง
“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย” มะลิขัดขึ้น
“อ๋อ ฉันไม่มีเงินเดือนให้หรอกนะ ถ้าอยากได้ล่ะก็ ลองไปถามไอ้แว่นโอตาคุนั่นไป หมอนั่นเป็นคนส่งเธอมาไม่ใช่เหรอ” มะลิชะงักไป ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่เธออยากจะถาม แต่การไม่ได้เงินเดือนเลยก็ทำให้เธอตกใจใช่ย่อย
“ฉันจะถามว่า คุณเป็นหน่วยย่อยของโอไรออนสังกัดบางกอกใช่มั้ย ปกติคุณออกลาดตระเวนกี่โมง” มะลิพยายามมองโลกในแง่ดี ใช่! บางทีเขาอาจจะเป็นโอไรออนสอดแนมที่ทำตัวปะปนกับประชาชนทั่วไปก็ได้
“เอ๋ ไม่ใช่นะ เขาไม่ได้บอกเธอเหรอว่าฉันน่ะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ทำงานเป็นมาสคอตฟรีแลนซ์ พลังวิเศษอะไรพวกนั้นน่ะ ไม่มีหรอก งานที่เธอจะทำกับฉันก็มีแค่นี่” เขาชี้ไปที่หัวกระต่ายโตๆของตัวเอง “เท่านั้นแหละ”
ว่ายังไงนะ เธอโดนส่งมาฝึกงานกับคนธรรมดา! ล้อกันเล่นใช่ไหม!?
“แต่คุณมาซาบุบอกว่าคุณเป็นรุ่นพี่ของเขานี่ มนุษย์ธรรมดาจะมาเรียนที่โรงเรียนฝึกโอไรออนได้ยังไง”
“โอกินาวาเหรอ...” กระต่ายลูซี่ทวนชื่อที่ตั้งโรงเรียนของตนแล้วเงียบไปชั่วครู่ ดวงตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยความหวัง
ตามสูตรการ์ตูนญี่ปุ่นที่เธอเคยอ่าน พระเอกที่ดูกระจอกๆมักจะแฝงไปด้วยพละกำลังมหาศาล กระต่ายลูซี่อาจจะเป็นโอไรออนยอดพลังที่เบื่อการทำงานเดิมๆเลยลาออกมาเป็นมาสคอตก็ได้ ตอนนี้เขาคงกำลังระลึกความหลังในวันที่เขาต่อสู้ไปพร้อมๆกับผองเพื่อน มีมิตรภาพอันแสนงดงาม ได้พบเห็นความตายของลูกทีม และวันที่เขาตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างจนกลายเป็นมาสคอตโง่ๆตัวนี้
“นี่เป็นฤดูมะระของโอกินาวารึยังนะ” ประโยคต่อมาทำให้เด็กสาวอยากโขกหัวใส่เสาหินแกรนิตทันที
อะไรของเขาเนี่ย ผิดสูตรการ์ตูนญี่ปุ่นชัดๆ
“ที่เมื่อกี้คุณเงียบไปนี่คือคิดเรื่องมะระญี่ปุ่นอยู่เหรอ”
“ถ้าพูดถึงโอกินาวาก็ต้องนึกถึงมะระสิ จะให้นึกถึงลูกมะคำดีควายรึไง เออ แล้วร้านอารากากิที่ทำผัดมะระอร่อยๆหน้าโรงเรียนยังอยู่มั้ยนะ” เขายกมือขึ้นทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน “แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ สรุปแล้วเธอชื่ออะไรกันแน่นะ พิกุลใช่มั้ย”
“ทำไมไม่เรียกฉันว่าดอกหน้าวัวไปเลยล่ะ”
“อ้าว ชื่อหน้าวัวเหรอ ขอโทษทีๆ จะพยายามจำนะ หน้าวัว” เด็กสาวอยากดึงหูกระต่ายจนขาดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“ฉันประชด!” มะลิกลอกตา เธอโยนกระป๋องน้ำอัดลมสีแดงลงถังขยะใกล้ๆ รองเท้ากีฬาสีดำออกเดินจากห้องหลังเวทีงานวันเด็กไปโดยไม่เหลียวหลัง
“เดี๋ยวสิ เธอจะไปไหนน่ะ” กระต่ายลูซี่ตะโกนไล่หลัง
“ไปทำเรื่องขอเรียนซ้ำชั้น อย่างน้อยมันก็น่าจะดีกว่าต้องมาใส่ชุดโง่ๆ ทำงานฟรีๆไปอีกสองเดือน” สาวเจ้าหันมาค้อนกระต่ายยักษ์ที่กำลังกระโดดสองขาท่ากระต่ายตามเธอมา ตอนนี้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวไปด้วยความโกรธ
โรงเรียนฝึกเห็นเธอเป็นอะไร? ทำไมพวกเขาถึงอนุมัติให้เธอมาฝึกงานฤดูร้อนมั่วซั่วๆแบบนี้
ใช่ เธอหัวไม่ดี พลังน้อย แต่เธอก็อยากจะใช้พลังที่มีปกป้องประเทศ ปกป้องเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่มาเต้นแร้งเต้นกาให้เด็กๆดู
ปัง!
กรี๊ด
ไม่ทันที่เด็กสาวจะก้าวขาเดินต่อ เสียงปืนก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงกรีดร้องจากเหล่านักช้อปในห้าง กระต่ายลูซี่เองก็ได้ยินเสียงนั้น เขาหันไปทางต้นเสียงสวนทางกับฝูงชนจำนวนมากที่วิ่งไปยังทางออก ทว่ายังไม่ทันที่มือของพวกเขาจะสัมผัสประตูกระจกใส เหล่ามาสคอตที่เดินแจกอมยิ้มไปทั่วห้างก็ชักปืนพกที่ถูกซุกไว้ก้นตะกร้าอมยิ้มออกมา พวกมันกันทางเข้าออกของห้างพร้อมกับขู่ให้เหล่าคนหนีตายกลับเข้าไปรวมตัวในลานกิจกรรมกลางห้าง
“หมอบลงกับพื้น! ถ้าไม่อยากตายก็หมอบลงซะ!” เหล่าตุ๊กตามาสคอตตะโกนเสียงกร้าวขัดกับใบหน้าจิ้มลิ้มแลดูใจดี ปืนพกหลายกระบอกถูกชูขึ้นฟ้าเป็นเชิงขู่ เกิดความโกลาหดขึ้นครั้งใหญ่ เหล่าผู้ปกครองพยายามจูงมือพาลูกตัวเองหนีแต่ก็ถูกเหล่ามาสคอตสกัดเอาไว้เสียก่อน
“มาสคอต...เป็นผู้ก่อการร้าย” มะลิพึมพำอย่างไม่เชื่อสายตา
“พวกแกต้องการอะไร!” หนึ่งในผู้ปกครองเหล่านั้นตะโกนถามขึ้นทั้งๆที่ยังโอบร่างลูกชายวัยแปดขวบแน่น “พวกเราแค่ต้องการเศษเงินเล็กน้อยจากนายกของพวกแกเท่านั้นเอง” น้ำเสียงน่าขยะแขยงถูกเปล่งออกมาจากหัวมาสคอตเป็ดเหลืองดั๊กกี้ดั๊กส์ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะ “แค่สามสิบล้านดอลเท่านั้นเอง”
“โอไรออน โอไรออนอยู่ไหนกัน! ใครก็ได้เรียกโอไรออนที!” เหล่าผู้ใหญ่นับสองร้อยกว่าคนที่เริ่มรู้ตัวว่าพวกเขากลายเป็นตัวประกันส่งเสียงระงมคละกับเสียงร้องไห้ของเด็กๆ
ปัง!
“หุบปาก! เรียกไปมันก็ไม่มาหรอก พวกเราวางระเบิดไว้ทุกทางเข้าออกของห้างแล้ว!” เขม่าควันสดๆร้อนๆจากปลายปืนตอกย้ำความกลัวให้เหล่าตัวประกันมากกว่าเดิม หัวใจของมะลิที่แอบเฝ้ามองจากตรอกเล็กๆนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะเคยสอนวิธีการช่วยเหลือตัวประกัน แต่เพราะเธอหัวไม่ดี สิ่งเดียวที่เธอจำได้คือหัวล้านๆของครูผู้ฝึกสอนที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายจนแสบตา
คิดสิ มะลิ คิดสิ!
“หัวหน้าครับ ครบเวลาครึ่งชั่วโมงตามที่ตกลงกันแล้ว แต่พวกมันยังไม่ยอมให้คำตอบเลยครับ!” ลูกน้องในชุดมาสคอตหมีรายงานการเจรจาเงินประกันตัว มาสคอตเป็ดเหลืองหายใจฟืดฟาดอย่างไม่สบอารมณ์ มือหนาจิกหัวหนึ่งในตัวประกันขึ้นมา
คุณแม่ยังสาวกรี๊ดตกใจ ก่อนจะยกมือสั่นเทาทั้งสองขึ้นประกบไหว้อ้อนวอนขอชีวิตพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า ลูกสาวผมตัวเล็กกอดขาของเธอแน่น
“ดูเอาไว้ซะ นี่คือผลของการปกครองอย่างขี้ขลาดของแก!” มันจ่อปืนไปยังกล้องมือถือที่กำลังถ่ายวีดิโอเอาไว้ก่อนจะหันมาจ่อที่ศีรษะของหญิงสาว ภาพเบื้องหน้าทำให้มะลิมือสั่น ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว หัวใจเต้นเร็วเกินร้อยยี่สิบครั้งต่อนาที
ไม่ได้แล้วเธอต้องทำอะไรสักอย่าง!
มะลิพุ่งออกจากตรอกไป ทว่าแขนเรียวกลับโดนมือหนานุ่มของใครบางคนรั้งไว้
“อย่าทำอะไรโง่ๆ เธอเป็นแค่นักเรียนนะ” มะลิสะบัดแขนจากมือของกระต่ายลูซี่ที่วิ่งตามมาอย่างไม่แยแส
โอเค การที่ไอ้บ้าชุดเป็ดนี้สามารถมีเจตนา “จงใจฆ่า” มนุษย์โดยไม่ถูกระบบควบคุมความประพฤติรั้งเอาไว้แสดงว่าพวกมันไม่ใช่โอไรออน เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เธอควรจะกลัวคือปืนของพวกมัน
คงจะไม่ยากมาก...มั้ง
“หยุดนะ!!!” ผู้ก่อการร้ายนับสิบรายหยุดแล้วหันมามองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว... เด็กสาวกางฝ่ามือไปข้างหน้า
“อะไรของมันวะ” ไม่ทันที่หัวหน้ากลุ่มจะพูดจบ เขาก็รู้สึกถึงผืนดินข้างใต้ที่เริ่มขยับออกห่างราวกับเกิดแผ่นดินไหว รากไม้ขนาดใหญ่โผล่ขึ้นจากรอยแยกเหล่านั้น มันสะบัดใส่เหล่ามาสคอตจนกระเด็นตัวลอยราวกับเป็นแค่แมลงวันตัวเล็กๆ มะลิกำมือ หนึ่งในรากไม้เหล่านั้นพุ่งไปยังหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ตอนนี้ถอยหนีจนร่างชิดกับเสาแกรนิตขอบลานอเนกประสงค์ ทว่าเมื่อปลายแหลมของรากอยู่ห่างจากตาของมาสคอตไม่ถึงสิบมิลลิเมตร มันก็หยุดนิ่ง
ไม่นะ! จะหยุดตอนนี้ไม่ได้นะ
มะลิย้ำกับตัวเอง เธอเริ่มหอบหายใจแรง รู้สึกวิงเวียนศีรษะ ใช่แล้ว เธอมีพลังน้อยอย่างเหลือเชื่อ นี่ทำให้เธอสอบตกวิชาปฏิบัติเสมอ ความรู้สึกหนักอึ้งเริ่มไล่ขึ้นมาจากปลายเท้า มายังขา ต้นขา ลำตัวและแขน สุดท้ายร่างบางก็ค่อยๆทรุดลงราวกับมีคนดึงขาเธอจากพื้นดิน...
บ้าจริง!
รากไม้เหล่านั้นค่อยๆสลายกลายเป็นแสงสีขาว ส่วนเจ้าของพลังก็นอนหอบบนพื้นราวกับเพิ่งวิ่งมาราธอนเสร็จ
พลังเธอหมดแล้ว!
เวรล่ะสิ
เมื่อเห็นว่าโอไรออนเบื้องหน้าทำอะไรตนไม่ได้ เหล่าผู้ก่อการร้ายที่ถูกซัดกระเด็นเมื่อครู่ก็มุ่งหน้ามายังร่างบางหมายจะแก้แค้นให้สาสม
“โอไรออนหน้าโง่ ตัวคนเดียวแต่คิดจะสู้กับคนนับสิบ เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้ว่ะ” สิ้นเสียง เท้าใหญ่ๆก็เตะเข้าที่ท้องน้อยของเธออย่างจัง ความรู้สึกเจ็บแล่นพล่านไปทั่วร่าง แต่เธอกลับไม่มีแม้แต่แรงที่จะงอตัวจากความเจ็บปวด หัวหน้ากลุ่มเตะเข้าที่ใบหน้าของเธออีกครั้งจนศีรษะหันไปกระแทกพื้นอีกฝั่ง เขาเหยียบเข้าที่ไหล่องเธอราวกับต้องการจะบดขยี้ให้แหลก ปืนพกสีเงินยวงถูกจ่อเข้าที่ศีรษะของเด็กสาว
“วันนี้เป็นวันดีชะมัด ได้ฆ่าโอไรออนซะด้วย” หัวหน้าผู้ก่อการร้ายหัวเราะอย่างพึงพอใจ มะลิรู้สึกได้ถึงรสชาติขมๆในปาก แอ่งน้ำสีแดงเล็กๆก่อตัวขึ้นจากเลือดที่ค่อยๆไหลออกมาจากแผลบนศีรษะและปากของเธอ หางตาของเด็กสาวเหลือบไปเห็นเหล่าผู้ก่อการร้ายในชุดมาสคอตเปื้อนเลือดกำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากราวกับอยู่ในงานสังสรรค์ ทว่าเธอกลับเห็นเงาดำๆข้างหลังมาสคอตเป็ด...หัวโตๆ หูตั้งสองข้างสีขาว ฟันเหยินสองซี่... มือนุ่มปุกปุยสะกิดไหล่มาสคอตเป็ดน้อยที่กำลังจะจบชีวิตเด็กสาวเบื้องหน้า
“จะสะกิดทำไมวะ ขอข้าจัดการนังโอไรออนนี่ก่อน แต่มือนั่นก็ยังสะกิดไม่เลิก เมื่อความอดทนขาดผึง เขาก็หันไปหาต้นเหตุความรำคาญ
พลั่ก!
หัวมาสคอตเป็ดสีเหลืองแจ๋นถูกหมัดแน่นๆของกระต่ายขาวชกเข้าเต็มๆจนมันกระเด็นหลุดออก ร่างบึกบึนโดนแรงหมัดซัดไปชนลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างหลัง เมื่อเหล่าเด็กน้อยพบว่าเบื้องหลังตัวการ์ตูนสุดโปรดคือชายฉกรรจ์หนวดเครารุงรัง หน้าตาดุร้าย พวกเขาก็ส่งเสียงร้องไห้จ้า
“แกเป็นใคร! กลุ่มของพวกเราไม่มีมาสคอตกระต่ายนี่!” หนึ่งในผู้ก่อการร้ายตะโกนขึ้นอย่างฉงนขณะเล็งปืนใส่ชายผู้มาใหม่ที่กำลังยืนหักข้อมือดังกร๊อบแกร๊บพร้อมกับสะบัดข้อเท้าราวกับกำลังเตรียมตัววิ่งมาราธอน
“ให้ตายสิ ถ้าจะก่อการร้ายก็ช่วยใส่ชุดอื่นไม่ได้เหรอวะ เล่นใส่ชุดมาสคอตแบบนี้ ชื่อเสียงอาชีพของฉันก็แปดเปื้อนหมดพอดี” มะลิที่ตอนนี้เจ็บจนชาได้แต่มองสิ่งที่เห็นตาค้าง...
ตาย ตายแน่ๆ
มนุษย์ธรรมดา ไร้อาวุธ อย่างกระต่ายนั่นต้องถูกฆ่าตายแน่ๆ
“จะยืนรออะไรวะ! ยิงมันสิ!” หัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่ลุกขึ้นมาด้วยท่าทีโซเซตะโกนจนน้ำลายแตกฝอย
แกร๊ก แกร๊ก
“อ้าว เฮ้ย! ปืนหายไปไหนวะ!” เมื่อจะเหนี่ยวไก พวกเขาก็พบว่าปืนพกถูกแทนที่ด้วยอมยิ้มสีรุ้ง
“อ๋อ เศษเหล็กพวกนี้น่ะเหรอ” เป้าหมายของพวกเขาโบกโครงปืนที่เพิ่งถอดจากกระบอกสุดท้ายเสร็จไปมา ที่ปลายเท้าของเขามีส่วนประกอบของปืนจำนวนนับสิบกองเป็นพะเนิน เหล่าผู้ก่อการร้ายมองเขาตาแทบถลน
มันขโมยปืนของพวกเขาไปตั้งแต่ตอนไหน แล้วมันถอดส่วนประกอบปืนสิบกว่ากระบอกเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน!?
“รู้อะไรมั้ย มาสคอตน่ะ ควรจะแจกอมยิ้มและดอกไม้” กระต่ายลูซี่ที่ยังคงถืออมยิ้มไว้ในมืออีกข้างกล่าวเสียงต่ำ “พวกเรามีหน้าที่มอบความสุขให้แก่เด็กๆ เพราะฉะนั้น การที่แกมาทำเรื่องอุบาทว์แบบนี้ ฉันรับไม่ได้จริงๆว่ะ!”
สิ้นเสียง อมยิ้มสีเหลืองก็ถูกโยนขึ้นฟ้า เหล่าผู้ก่อการร้ายมองตามอมยิ้มด้วยความมึนงง กระต่ายยักษ์ฉวยโอกาสนี้กระโดดเหยียบหน้าหนึ่งในมาสคอตเหล่านั้นจนหัวกระแทกพื้น ขาขาวๆยกขึ้นเตะก้านคอหนึ่งในผู้ก่อการร้ายจนหัวมาสคอตหมาลายจุดหลุดกระเด็น เหล่าผู้ก่อการร้ายที่เหลือต่างหยิบมีดพกที่ซ่อนไว้ขึ้นมา
“พวกแกนี่วอนหาเรื่องจริงๆเลยนะ” เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองเหล่าตัวประกันที่ตอนนี้ขยับตัวออกห่างจากวงหมาหมู่ตรงกลาง
“ผู้ปกครองทุกคนครับ กรุณาปิดตาคุณหนูๆให้ดีเพราะฉากต่อไปนี้...” เขาเว้นวรรค “อาจจะไม่น่าดูซักเท่าไหร่”
ราวกับเป็นคำสั่ง พ่อแม่ทุกคนยกมือขึ้นปิดตาลูกแน่นยิ่งกว่ากาวตาช้าง...และแล้ว ”ภาพไม่น่าดู” ก็เริ่มขึ้น ในเวลาไม่กี่นาที ร่างนับสิบล้มไปนอนโอดครวญบนพื้นตามๆกัน ปุยนุ่นจากหัวมาสคอตที่โดนซัดกระจุยลอยฟุ้งเต็มอากาศคละคลุ้งกับกลิ่นเลือด ตอนนี้เหลือแค่มวยคู่สุดท้าย...มาสคอตเป็ดหัวหน้าขบวนการและกระต่ายสีขาว
“กะ...แกเป็นโอไรออนปลอมตัวมาเรอะ” มาสคอตเป็ดถอยหลังไปช้าๆ ถึงแม้ว่ากระต่ายลูซี่จะยิ้มหวานเหมือนเคยแต่เลือดที่เลอะไปทั่วชุดนั้นกลับทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขาเชื่อว่าใบหน้าเบื้องหลังหน้ากากนั่นไม่ได้ยิ้มอยู่แน่ๆ
“โอไรออนอะไรกัน ถ้าฉันเป็นโอไรออนล่ะก็ ป่านนี้ไอ้ระบบควบคุมนั่นคงสั่งให้ฉันหยุดแล้วล่ะ” กระต่ายลูซี่เดินเข้าใกล้เหยื่อคนสุดท้ายอย่างเชื่องช้า “เพราะระบบนั่น...มีกฎห้ามฆ่าคนใช่มั้ยล่ะ”
“เฮ้อ ลำดวน ฟังฉันให้ดีๆนะ กฎเหล็กของมาสคอตมีอยู่ทั้งหมดสามข้อ” กระต่ายหน้าหวานชูนิ้วขึ้นสามนิ้วให้กับเด็กสาวที่ตอนนี้ยังนอนหมอบอยู่กับพื้น แล้วหันไปมองเหยื่อที่ตอนนี้ตัวสั่นเทายิ่งกว่าลูกเจี๊ยบเกิดใหม่“แล้วไอ้บ้านี้ก็แหกกฎทุกอย่างจนเละเทะ”
“ข้อที่หนึ่ง ห้ามไม่ให้คนเห็นหน้าจริงของเรา” กำปั้นหลวมๆซัดเข้าที่ใบหน้าของหัวหน้าขบวนการเต็มๆ
“ข้อที่สอง ห้ามพูดเมื่อใส่ชุดมาสคอต พวกเราต้องสื่อสารด้วยมือเท่านั้น” ว่าแล้วมือขาวเปื้อนเลือดก็หยิบอมยิ้มนับสิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยัดใส่ปากของผู้ก่อการร้ายทันที
อะ...อั่ก!
“กฎข้อสุดท้าย ข้อนี้สำคัญมาก ฟังให้ดีนะ อัญชัญ” เขากระชากคอเสื้อมาสคอตเป็ดจนร่างลอยขึ้นจากพื้น
“กฎข้อสุดท้าย มาสคอตต้องอดทน เพื่อความสุขของเด็กๆ” เขาเว้นวรรค “แต่ไอ้บ้านี่กลับมอบฝันร้ายที่จะติดตาไปตลอดชีวิตให้กับพวกเขา”
“ยะ...อย่า” อมยิ้มร่วงจากปากของผู้แหกกฎ ริมฝีปากหนาสั่นเทาเมื่อรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากใต้หัวมาสคอตเบื้องหน้า “ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว!”
“ฉันให้อภัยแกไม่ได้จริงๆว่ะ” น้ำเสียงเย็นๆถูกเปล่งออกมา มือหนาปุกปุยบีบคอผู้แหกกฎแรงขึ้นเรื่อยๆ ร่างบึกบึนดิ้นพล่านราวกับปลาขาดน้ำ
“หยุดเถอะ” มะลิพยายามเค้นเสียงทั้งหมดที่มีออกมา แต่ดูเหมือนว่ามันจะเบาเกินที่จะเรียกสติเขากลับคืนมา หัวหน้าผู้ก่อการร้ายเริ่มดิ้นขัดขืนน้อยลง ใบหน้าของเขาซีดเผือกไร้เลือด
“กระต่ายลูซี่ ผมขอสั่งให้คุณหยุด!” เสียงอันคุ้นเคยถูกเปล่งออกจากลำโพงรอบห้าง ปลายทางเดินที่ทอดตัวออกจากลานอเนกประสงค์ปรากฏเหล่าชายหญิงในเสื้อเกราะกันกระสุนสีน้ำเงินที่มีตัวอักษร ORION สกรีนเอาไว้
ทีมรักษาดินแดน...
เสียงนั่นทำให้กระต่ายขาวละมือจากคอของผู้ก่อการร้ายเบื้องหน้า
“ชอบมาตอนงานเลี้ยงเลิกนะ แกเนี่ย” มาสคอตฟรีแลนซ์บ่น
“พอดีต้องรอให้ทีมกู้ระเบิดเคลียร์พื้นที่น่ะครับ” มานาบุที่เพิ่งเข้ามาพร้อมกับโอไรออนในทีมยิ้มแหยๆ “โกหก แกคงจะดูอนิเมค้างอยู่ล่ะสิเลยไม่คิดขยับตัวทำอะไร” ธันวาคาดคั้น รุ่นน้องแดนปลาดิบเผยรอยยิ้มเหมือนเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าแอบทานขนมหลังแปรงฟัน พอรู้ว่าธันวาอยู่ในห้าง เขาก็ไม่บุกเข้าไปแต่กลับเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านกล้องวงจรปิดขณะที่จอทีวีข้างๆฉายอนิเม น้องหมีของผม...ไม่น่ารักขนาดนั้นหรอก!
“คนที่มีเสป็คผู้หญิงแปลกๆอย่างพี่ธันวาน่าจะชอบอนิเมเรื่องที่ผมดูอยู่นะ” หนุ่มแว่นแหย่เล่น
“ฉันชอบมนุษย์ว่ะ” ธันวาส่ายหัวเบาๆแล้วเดินออกจากห้างไปท่ามกลางสายตาของเหล่าสมาชิกโอไรออน
“มาสคอตนั่นเป็นโอไรออนรึเปล่าครับ” เหล่าลูกน้องถามขึ้น
“ไม่หรอก เขาไม่ใช่อะไรทั้งนั้น” มานาบุขยับแว่น ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองแผ่นหลังของกระต่ายยักษ์
ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่โอไรออน ธันวาไม่ใช่อะไรทั้งนั้น
ภายนอกห้าง มะลิถูกหน่วยพยาบาลจับนอนบนเปลเข็น อาการของเธอไม่ถึงกับสาหัส เพียงแค่หัวแตก เยื่อบุผนังปากถลอก ใบหน้าและลำตัวช้ำ กับหัวไหล่เคลื่อนเท่านั้น ระหว่างจะถูกลำเลียงขึ้นรถ เธอก็เห็นกระต่ายในชุดกระโปรงสีชมพูเดินออกมาจากห้าง เด็กสาวพยายามลุกขึ้นทันที
“กระต่ายลูซี่!” คนถูกเรียกเดินมา มือหนาผลักร่างบางที่พยายามลุกขึ้นนั่งลงนอนราบกับเตียงฉับพลัน
“อย่าทำอะไรโง่ๆอีกล่ะ” แทนที่จะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ เขากลับเอ็ดเธอทันที มะลิชะงักไป น้ำเสียงนั่นไม่ได้ฟังดูเนิบๆเฉื่อยๆเหมือนก่อนหน้านี้ มันดูเคร่งเครียดเหมือนพี่ชายห่วงน้องสาว กระต่ายร่างยักษ์ทำท่าเหมือนจะกล่าวอะไรต่อแต่ก็ล้มเลิกความตั้งใจไป เขาหันหลังยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลา
“โชคดีกับการซ้ำชั้นนะ มาลี”
“เดี๋ยวก่อน...” มือเล็กคว้าเข้าที่ข้อมือหนานุ่ม ร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าชะงักไป
“ฉันจะฝึกงานกับคุณจนกว่าคุณจะจำชื่อฉันได้”
-จบบทที่ 1-
ผู้แต่ง : Patra Fujiyama
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | บทที่ 0: ทำไม + บทที่ 1: กฎเหล็กของมาสคอตสามประการ | 14 ก.พ. 59 |
2 | บทที่ 2: Gluggave?ur อากาศภายนอก | 09 มี.ค. 59 |
3 | บทที่ 3 dyragaroinum สวนสัตว์ | 16 มี.ค. 59 |
4 | บทที่ 4: Ra?lj?st แสงสว่างในความมืด | 23 มี.ค. 59 |
5 | บทที่ 5: Aurora แสงเหนือ | 30 มี.ค. 59 |
เก็บเรื่องสำนวนไว้เมนท์ในครั้งสุดท้าย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด(ไม่แน่กรรมการอาจจะคิดไปเอง XD )
เป็นคนที่ภาษาสวยนะครับ ลื่นไหล และมีสัมผัส
ไดอะล็อกมีพลัง
ถึงบอกไงครับว่าเขียนไปเรื่อยๆนะ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช